collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ร้อยขันติ : คำนำ  (อ่าน 57737 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ร้อยขันติ   

              ห้าสิบแปดขันติ  :  สอนให้สามีภรรยาปรองดองกัน

        บ้านใกล้เรือนเคียง คนแซ่เอี้ย ชื่อ เคียม ได้ภรรยาแซ่โง้ว มักมีปากเสียงทะเลาะกันเป็นประจำ ตบตีข้าวของในบ้านเสียหายบ่อย ๆ  บิดาของเคียมไหว้วานกงอี้ช่วยไกล่เกลี่ย กงอี้ก็ยอมรับปาก มีวันหนึ่งเอี้ยเคียมก็มาที่บ้านกงอี้เพื่อขอยืมหนังสือ กงอี้ว่าหนังสืออื่นไม่มีประโยชน์ แต่มีบทหนึ่งเป็นอวาทสอนสามีภรรยา อ่านแล้วจะมีประโยชน์ จึงยื่นให้เอี้ยเคียมรับไปอ่านว่า

       บุพเพสันนิวาสกำหนดแต่ปางก่อน        สามีว่าภรรยาตามหยุดต่อล้อ
ชาติหนึ่งบำเพ็ญมาร่วมเรือนหนอ                สองชาติบำเพ็ญพอเป็นผัวเมีย
ผัวไม่ตำหนิว่าเมียอัปลักษณ์                      เมียอัปลักษณ์ฉลาดก็รวยได้
เมียไม่ตำหนิว่าบ้านผัวอับจน                     จนรวยตามภาวะมีกำหนด
ต้องรู้ใจพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย                         ทั้งชายและหญิงที่ลำบาก
ก็หวังแต่งสะใภ้เลี้ยงคนแก่                         สืบสานวงศ์ตระกูลให้มั่นคง
เลี้ยงหญิงออกเรือนหวังเกียรติยศ                 หวังดูแลซึ่งกันถึงแก่เฒ่า
พอรู้ว่าผัวเมียไม่ปรองดอง                         ทะเลาะเบาะแว้งอารมณ์บูด
ผัวเห็นเมียหน้าดำคร่ำเครียด                       เมียเห็นหน้าผัวร้ายเก็บกด
สองฝ่ายจุดไฟใช่ผู้คน                               ผัวเมียขวางตามักเข้าใจผิด
เพราะต่างแย่งเป็นใหญ่อารมณ์เก่า                ไม่กลัวผู้ใหญ่สองบ้านโกรธเคือง
กตัญญูยังปฏิบัติไม่สิ้นสุด                            เรื่องเลว ๆ ได้ยินถึงเรือนอื่น
เดินไปไหนใครเขาจะยกย่อง                       อยู่ด้านหลังเขาไม่สำนึกผิด
เพื่อนฝูงอยากสัมพันธ์ก็กลัวเธอ                   ผืนดินยาวสั้นเถียงได้ยาก               
โบราณมี เลี่ยงฮง กับ เม้งกวง                     ยกคดีชื่อก้องจดจำ
ไก่มีธรรมห้ามองดูซิ                                  โต้งเมียหากินดูแลกัน
คนโง่ไม่รู้หลักปรองดอง                             สู้ไก่ไม่ได้น่าอับอาย
เป็นสามีต้องคล้อยอารมณ์                         เป็นภรรยาต้องตามใจค่อยช่วยเหลือ
สามีพูดไม่ดีหยุดอ้าปาก                             ภรรยาไร้เหตุผลผูกลิ้นไว้
เรื่องแล้วไปไม่เอามาพูด                            เรื่องก่อนอย่านำมานับรวม
ข้อห้ามด่าว่าพ่อแม่กัน                               ใครละที่ไม่มีพ่อกับแม่
มาก่อนมาหลังเรียงอันดับ                           รุ่นหลังรุ่นน้องช้าสักก้าว
ฟังข้าพูดธรรมดาหวนกลับคิด                       แก้ไขกลับตัวตามทางธรรม
ผัวเมียปรองดองครอบครัวสำเร็จ                   ฟ้าดินสามัคคีฝนตกต้องฤดู

        "ปรองดอง" คำนี้มีค่าดุจทางทองพันชั่ง มัธยัสถ์อดออม ร่ำรวยได้ สามีภรรยาปรองดองถึอว่ามีความกตัญญู คนรุ่นหลังเจริญฟ้าคุ้มครอง เมื่อนายเอี้ยเนี้ยมอ่านจบ หน้าแดงก่ำ ไหว้ขอบคุณกงอี้ที่สั่งสอน นำเอาความพูดกลับไป แล้วพูดให้ภรรยาฟัง ตั้งแต่นั้นสามีภรรยาก็ปรองดองกัน ประหยัดมัธยัสถ์ดูแลครอบครัว จากนั้นมาครอบครัวก็เจริญ นี่คือกงอี้ให้ความการุณย์เป็นขันติที่ 58 ต่อมาคนแต่งกลอนให้

อารมณ์ปรองดองแปรเปลี่ยนสภาวะ        ใช้วาทะสอนสั่งซาบซึ้งทรวง
เหมือนฟ้าดุจดินน่าพิศวง                      ครอบคุ้มองค์กุศลไม่ลำเอียง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ร้อยขันติ   

               ห้าสิบเก้าขันติ  :  สองครูแย่งเข้าโรงเรียน

        บ้านทางทิศตะวันออก มีบัณฑิตอยู่ 2 คน คนหนึ่งชื่อ อึ่งเฮา  ส่วนอีกคนชื่อ เลี้ยวเซาะบ๊วย สาเหตุแย่งเข้าสอนในโรงเรียนเดียวกัน จึงพากันมาให้จางกงอี้คัดเลือก กงอี้ถามทั้งสองบัณฑิตว่า ศึกษากันมามากน้อยแค่ไหน อึ่งเฮาตอบว่าแปดสิบเอ็ดพันอักษร กงอี้จึงว่า เท่าที่ทั้งสองว่ามาถือว่าเป็นผู้คงแก่เรียน คงไม่ต้องสอบปากเปล่า ขอให้ทั้งสองบรยายถึงสภาวะของสังคม ให้อึ่งเฮาเขียนกลอนก่อน เพราะอาวุโสกว่า 
        อึ่งเฮาเขียนว่า            ด้วยบ้านยากจนใช้ลิ้นไถหว่าน             ผู้คงแก่เรียนผ่านชีวิตถือสัจจะ
                                     ด้วยท่านเวทนามากวนโทสะ               อึ้งเฮากล้าหรือจะชิงเซาะบ๊วย

     เลี้ยวเซาะบ๊วยก็เขียนว่า     ความรู้ในอกให้ลิ้นไถหว่าน                ท่องเรียนผ่านหน้าต่างไก่ขันเตือน
                                      แพรไหมต่วนงามแต่เมฆปรกเลือน        ลูกเลี้ยวเบือนเบี่ยงข้างทางไม่กล้าชิง

        ทั้งสองเขียนเสร็จจึงส่งให้กงอี้ดู กงอี้ดูแล้วก็วิจารณ์ว่า
                                      หนึ่งบาทสืบปราชญ์ปัญญาไถหว่าน        ใจเมตตาผ่านสัจจะเห็นสภาพ
                                      ต่างพากเพียรไต่สูงเสมอภาพ               ต่างปรองดองสันติภาพหยุดแย่งชิง

แล้วกงอี้ก็มีหนังสือถึงเจ้าของโรงเรียนว่า ทั้งสองล้วนมีความสามารถ จากการตัดสินของกงอี้  ทั้งสองจึงคบกันเป็นเพื่อน สาบานจะร่วมทุกข์ด้วยกัน แล้วทั้งคู่ก็สอนในโรงเรียนที่เดียวกัน เจ้าของโรงเรียนก็ดีใจมาก กงอี้จึงกล่าวเป็นกลอนสี่ว่า  สามรัฐเพียรพาก   คุณภาพมหาปราชญ์   อึ่งเฮากล่าวต่อว่า  : เก้าตรองครองตน   คัมภีร์มหาบุรุษ   เลี้ยวเซาะบ๊วยก็ต่อ  :  ครบสี่คติพจน์   ผู้เมตตาสุขสงบ
 
        ผู้คนที่ล้อมฟังอยู่ต่างยกย่องแล้วแยกย้ายกันไป นี่ก็คือ การยกย่องปราชญ์ของกงอี้  ตอมาคนก็แต่งกลอนให้
สองบัณฑิตชื่นชมกงอี้            สูตรคัมภีร์ร่วมมิตรร่วมแหล่ง
ยกบทวิจารณ์สมบูรณ์แจ้ง        ปัญญาแจงชาตรีลุคุณธรรม     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
               ร้อยขันติ   

             หกสิบขันติ  :  อธิบายหลักการทำความดี

        กล่าวคือ กงอี้มีเพื่อนสนิทมากคนหนึ่ง มีชื่อว่าเอี้ยหงีซ้วน เป็นคนง่าย ๆ แต่ทำงานมีระเบียบ ต่อมาครอบครัวก็มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นบ่อย ๆ ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาต่อองค์พุทธะปฏิมาก็ไม่ปนะสบผล วันหนึ่งเขาจึงมาหากงอี้แล้วพูดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟ้าดินไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ เสียแรงเซ่นไหว้ กงอี้จึงว่า ไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือ หงีซ้วนจึงว่า ท่านก็รู้ดีนี่นา ข้าเป็นผู้กระทำความดีเป็นประจำ แต่กลับพบกับความลำบาก กงอี้พูดว่า ผู้ทำความดีนั้นต้องมีความกรุณาในใจ มีจริยธรรมในใจ ไม่ใช่ทำงานพระก็หวังบุญวาสนา พระเจ้าบุ้นเชียงกล่าวไว้ว่า พระเจ้าต้องเคารพนับถือ  อย่าได้เหยียบย่ำผีหรือเจ้า เจ้ายังมีความศักดิ์สิทธิ์ฟ้ายังฟังและไวด้วย หงี่ช้วนรู้จักทำแต่ความดี แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้สำเร็จผลอย่างไร เหมือนก้อนหินที่ยังไม่ได้ขัดแต่งจนเป็นของมีค่า ถ้ายังไม่ได้รับความลำบากจากการขัดเกลา มีหรือจะสำเร็จเป็นคนมีคุณภาพ ทำให้พระเจ้าซาบซึ้งนับถือ นั่นก็คือความดีของท่าน ทำให้ฟ้าสะเทือน อย่างนี้ฟ้าต้องให้ความสงสารต่อท่าน จึงได้รับการคุ้มครอง  เพียงแต่เราต้องหวนถามตนเอง ในใจมีความการุณย์ทุก ๆ ขณะหรือไม่ มีหรือเจ้าจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นด้วยข้ามีความรู้สึกต่อธรรมเนียมโลกแล้วอ่อนใจ จึงเขียนโศลกเอาไว้ เขียนไว้อย่างหยาบ ๆ ท่านช่วยแก้ไขด้วยก็จะดี หงี่ช้วนยิ้มแล้วพูดว่า ให้ข้ายืมดูหน่อย กงอี้ยื่นให้พร้อมหัวเราะว่า อย่าว่ากันก็แล้วกัน หงี่ช้วนรับไปแล้วอ่านว่า

ปราชญ์ว่าคนดียังไม่เคยเห็น             ที่เห็นให้มั่นคงก็ดีแล้ว
ข้าคิดผู้มั่นคงมีจำกัด                      ที่เห็นมีใจต้องทดสอบได้
มีใจต้องเข้มแข็งเดินให้ดี                 มีใจบ่มเลี้ยงวอนขอได้
มีใจสั่งสมบุญให้เมตตา                   มีใจยุติธรรมคือคุณค่า
มีใจยะโสฟุ่มเฟือยไม่ทำ                 มีใจทำดีสองผู้เฒ่า
มีใจพรหมลิขิตเลื่องลือ                   มีใจอดทนผ่อนปรนเป็นดี
มีใจรักเพื่อนพี่น้อง                        มีใจสามีภรรยาคุ้มครองกัน
มีใจต่อเพื่อนต้องสัจจะ                   มีใจเพื่อนบ้านใจกว้างขวาง
มีใจตอบแทนคุณอาจารย์                มีใจสงสารคนจนเคารพคนแก่
มีใจสงสารลูกกำพร้า                     มีใจช่วยแก้ไขทุกข์วิวาท
มีใจรักษาตัวไม่ผิดกาม                  มีใจเตือนชั่วให้ทำดี
มีใจเคารพรักตัวอักษร                   มีใจสงสารชีวิตสัตว์เล็ก 
มีใจไม่ใช่แรงวัวม้าเกินไป               มีใจหยุดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
มีใจไม่ซื่อสัตย์ขจัดทิ้งไป               มีใจโลภละทิ้งเสีย 
มีใจฟังฟ้าตามลิขิต                       มีใจทำดีทำเพิ่ม ๆ
มีใจให้ใจเย็นตลอด                      ไหว้พระก็อ้อนวอนได้
มีใจเหมือนว่าคือใจยาย                  ฟ้าดินยังไม่มีก็ไม่คุ้มครอง
ถ้าหากไม่ดีให้มีใจ                        ทำให้คนร้องไห้เปียกเสื้อ
ทำผิดหวังผิดมีไม่น้อย                    ยังหาว่าตนเองเป็นคนดี
มีใจไม่กตัญญูพ่อแม่                      ลูกก็ไม่เลี้ยงเขาถึงแก่
มีใจไม่ปรองดองพี่น้อง                    รุ่นหลังก็เอาอย่างแย่งชิง
มีใจผัวเมียไม่ปรองดอง                    ครอบครัวก็แจ้งไม่เจริญ
มีใจคบเพื่อนไม่มีสัจจะ                     กลับหาภัยเคราะห์สู่ตัว
มีใจลวนลามหญิงชาวบ้าน                  รอบบ้านมีหรือจะจริงใจ
มีใจโลภให้ร้ายเขา                          ตัดบุญลูกหลานตนเอง
มีใจลืมอาจารย์ไร้สัตย์                      การเรียนไม่สำเร็จในชีวิต
มีใจหลอกเฒ่าข่มผู้เยา                     เคราะห์ส่งเหลือแต่ตัว
มีใจข่มเหงเด็กกำพร้า                       ซ้ำให้ภัยกำพร้าไม่สงสาร
มีใจข่มขืนลูกเมียเขา                        ลูกเมียเราให้เขาไป
มีใจไม่รักตัวหนังสือ                         มีลูกโง่ไม่ฉลาด
มีใจไม่รักชีวิตสัตว์เล็ก                      จะมีโรครุมเร้าทั้งตัว
มีใจชอบเลี้ยงนก                             มักหาภัยมาสู่ตัว
มีใจอธรรมแก้แค้น                          ไม่มีใครเห็นคุณพ่ายแพ้     
มีใจแอบทำลายผู้อื่น                        ส่วนใหญ่จะไม่มีลูกสืบสกุล
อย่างนี้ต้องมีใจไหว้พระ                    พระได้ยินไว้ชีวิต
การตอบสนองในโลกนี้                     กลับโกรธฟ้าดินไม่ศักดิ์สิทธิ์

        เหมือนคนรู้ความหมายนั้นแต่แรก ยังต้องมีความคิดมีใจไว้ เมื่อนายหงีซ้วนอ่านจบ ก็รีบขอบคุณกงอี้ว่า นี่ก็เหมือนฟ้ามาเตือนข้าให้มีใจ กงอี้ว่านี่ก็เหมือนฟ้ามาเตือนข้าให้มีใจ กงอี้ว่าก็เป็นกลอนธรรมดา ท่านอย่าหัวเราะก็แล้วกัน หงี่ซ้วนจึงว่า ปัจจุบันคนฉลาดมีน้อยคนโง่มีมาก คนที่อยากปฏิบัติอนุตตรธรรม (เทียนเต๋า) จะไม่อบรมกล่อมเกลาคนก็จะไม่สำเร็จ ท่านเป็นผู้มองทะลุในโลกถึงธรรม ก็เปรียบประดุจผู้ปฏิบัติอนุตตรธรรม ขอนำกลอนกลับไปพิจารณาเพื่อเตือนใจ จากนั้นมาหงี่ซ้วนก็ทำความดีมากขึ้น จนลุปีรุ่งขึ้นก็ได้บุตรชาย 1 คน นี่คือการนัดเพื่อนมาคุยธรรมะ เป็นความอดทนที่ 60 ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

ชักนำเพื่อนให้ทำความดีตลอด             กงอี้ปลอบดุจดังเทพเทวา
มีใจดุจดวงตะวันจันทรา                      แสงส่องทั่วเวหาสนิทฟ้าเอย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   ร้อยขันติ   

            หกสิบเอ็ดขันติ  :   กงอี้ช่วยเขียนใบฏีกา

        กล่าวคือมีนายเอี้ยใช้ บ้านใกล้กัน เนื่องจากภรรยาเป็นโรคตา จึงมาหากงอี้เพื่อขอตำหรับยา วันนั้นเป็นวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือนแปด กงอี้จึงพูดว่า แม่บ้านที่เป็นโรคตามักเกิดจากเจ้าแห่งเตาไฟทำเหตุ เนื่องจากพวกแม่บ้านมักไม่ค่อยจะเคารพนับถือเจ้าแห่งเตาไฟ ที่บ้านก็กำลังเขียนใบฏีกาสำนึกบาปอยู่ ที่บ้านมักจะอยู่เย็นเป็นสุข นายเอี้ยใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงขอร้องให้ช่วยเขียนใบฏีกาให้ใบหนึ่งด้วย กงอี้ว่าได้ ดังนั้นจึงนั่งลงพับกระดาษขาว แล้วก็ลงมือเขียนว่า

 "ข้าแต่เทพเจ้าแห่งเตาไฟ ผู้ปกปักรักษาครัว พระคุณคุ้มครอง ที่กระทำผิดล่วงเกิน ขอโปรดให้อภัย โปรดประทานบุญบารมี ด้วยวาระอริยสมภพของพระเจ้าเตาไฟ จึงตั้งใจศรัทธา โปรดช่วยปัดทุกข์ ขจัดภัย เนื่องด้วยบ่าวประชาชนมีโทษ จึงเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ด้วยความไม่เข้าใจจึงกระทำผิดต่อเตาและหม้อไห ไฟฟืน น้ำท่า ทำความสกปรก ปากเสียด่าว่าหมูหมา  พูดจาหยาบคาย  อีกใช้มีดสับหั่นของคาวเหม็น บางครั้งก็เปลี่ยนกายเพราะร้อน ตากเสื้อหน้าเตาเหมือนล้อเล่น ปีหนึ่งมี ๘ เทศกาล วันพระชิวอิวและสิบห้าค่ำ ตีหม้อตีกะทะ ต้มยาต้มชา เอะอะโวยวายเป็นประจำ ไม่ยำเกรง ไม่เคารพเทพเจ้า จึงกราบขออภัย โปรดเมตตาอภัยโทษ ขอให้เทพเจ้ามีอายุวัฒนะ มีพระคุณปกคุ้มทั่วพื้น"   ด้วยความเคารพโปรดอำนวยพร

        กงอี้เขียนเสร็จ ก็มอบใบฏีกาให้นายเอี้ยใช้  นายเอี้ยใช้ก็ยังขอให้กงอี้ช่วยอ่านใบฏีกาก่อนเผา พอวันขึ้น ๔ ค่ำ ภรยาก็หายตาเจ็บ นายเอี้ยใช้ก็มาขอบคุณกงอี้ นี่คือกงอี้ช่วยสงเคราะห์คนอื่นพ้นทุกข์เป็นขันติที่ ๖๑ ต่อมาคนก็เขียนกลอนให้

บ้านใกล้มีเคราะห์ภัยเบียดเบียน             จิตหนึ่งเพียรซาบซึ้งเทพเซียน
กราบวอนเซียนช่วยขจัดโรคเฮี้ยน           มนุษย์เรียนรู้แผ่นดินมีบุญคุณ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ร้อยขันติ   

           หกสิบสองขันติ  :   ถูกกล่าวหาขโมยหนังสือ

        กงอี้เป็นคนที่รักตัวหนังสือ ก็ให้บังเอิญไปถึงบ้านของนายลิ้มเคี้ยว เห็นผนังบ้านในห้องรับแขกมีตัวหนังสือเก่าปิดอยู่ พอดีลิ้มเคี้ยวไม่อยู่บ้าน จึงพูดกับภรรยาว่า ขอเก็บตัวอักษรเก่าได้ไหม ภรรยาลิ้มเคี้ยวว่า เก็บไปให้หมดเลย กงอี้จึงเก็บหนังสือเก่า ๆ และอักษรเก่าบนผนัง แล้วนำกลับบ้านไป โดยไม่คาดคิด เมื่อนายลิ้มเคี้ยวกลับมาถึงบ้าน ภรยาก็เล่าเรื่องไปตามความจริง ลิ้มเคี้ยวฟังจบก็คิดวางแผนแล้วตามไปที่บ้านของกงอี้ กล่าวหากงอี้ว่าขโมยหนังสือ กงอี้จะพูดความจริงเท่าไร ลิ้มเคี้ยวก็ไม่สนใจทั้งนั้น พูดจาหยาบคายมาก กงอี้รู้สึกอารมณ์ไม่ดีจึงหยิบเงิน ๕๐๐ อีแปะให้แก่ลิ้มเคี้ยวเพื่อยุติเรือง ก็ให้บังเอิญ คืนนั้นภรรยากงอี้ให้กำเนิดบุตรอีกหนึ่งคน กงอี้จึงตั้งชื่อให้ว่า ตงหงี ทั้งครอบครัวมีความปิติยินดี วันรุ่งขึ้น นายลิ้มเคี้ยวก็มาหาอีก กงอี้ถามว่ามีเรื่องอะไร  ลิ้มเคี้ยวตอบว่า เมื่อคืนฝนตกหนักมาก เขื่อนที่หลังบ้านเกิดพังลง น้ำทะลักเข้ามา ทำให้ผนังบ้านจมน้ำ ในที่สุดผนังก็พังลง ทำให้วัวตายไป ๒ ตัว กำแพงดินหนามาก จึงอยากจะมาขอยืมจอบหลายอัน กงอี้ได้ฟังก็เกิดสงสาร จึงเรียกคนงานให้ไปช่วยเหลือ นี่คือความไม่ถือสาคนเขลาของกงอี้ เป็นขันติที่ ๖๒ ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

ผู้ศรัทธาความดีฟ้าเพิ่มให้             หากผู้ใดเป็นปราชญ์ฟ้ายกย่อง
รสแห่งธรรมลิ้มได้สุดผุดผ่อง          คุณธรรมทองซาบซึ้งฟ้าสวรรค์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    ร้อยขันติ   
 
            หกสิบสามขันติ  :   กงอี้ซาบซึ้งผู้ตอบโต้ตน

        กล่าวคือ กงอี้มีญาติผู้หนึ่งชื่อ เพ้งกุ่ย มีอยู่วันหนึ่ง เขามาหากงอี้ที่บ้านเพื่อขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องการรักหนังสือ ว่ามีบุญกุศลอย่างไรบ้าง กงอี้ว่าการตอบสนองผู้รักหนังสือมีมากมายพูดไม่หมด อย่างเช่นใน "กั๊กซี่เก็ง" กล่าวว่า อยากได้ลูกก็ได้ อยากต่ออายุก็ได้ อยากร่ำรวยก็ได้ ล้วนประสบความสำเร็จทั้งสิ้น เมื่อภาวนาร้องขอก็ได้ผลตอบสนอง คนที่จะได้ต้องมีใจรักหนังสือจริง นายเพ้ยกุ่ยถามต่อไปว่า อย่างไรจึงจะเรียกว่ารักหนังสือจริง กงอี้ว่า อย่าได้เขียนอักษรส่งเดชและไม่ทิ้งขว้าง ในห้องนอน อย่าเก็บหนังสือ ใต้เตียงก็อย่าเก็บธนบัตร ตามพื้นทรายไม่เขียนหนังสือ เครื่องใช้อย่าจารึกยี่ห้อ โต๊ะก็ไม่ให้เขียนหนังสือ ด้านใต้ของกระดาษก็ไม่ให้เขียนหนังสือ ถ้าพูดถึงดวงชะตาชีวิตก็อย่าเขียนเอาไว้ ทำตามทุกอย่างไม่ขี้เกียจ เพ่งกุ่ยพูดว่า คนที่ไม่รักหนังสือมีผลตอบสนองอย่างไรบ้างกงอี้ว่า ผลร้ายตอบสนองพอคร่าว ๆ คือ โง่ทึบ หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ตามขาเป็นแผลพุพอง มักประสบเคาระห์ร้าย เรียนหนังสือไม่เก่ง พอดีขณะนั้นทางบ้านกงอี้ชงชามาให้เพ้งกุ่ยดื่ม เพ้งกุ่ยว่า เมื่อก่อนเครื่องชงชามักจารึกยี่ห้อ จะรักหนังสือได้อย่างไร กงอี้ก็ว่าให้ทุบแตกแล้วฝังดินเสีย เพ้งกุ่ยว่า ฝังดินจะถือว่ารักหนังสือหรือกงอี้ว่าแม้จะไม่ฉลาดนัก ก็ขอคำชี้แนะ เพ้งกุ่ยก็เอาเครื่องชงน้ำชาของกงอี้วางลงแล้วทุบแตก พลางพูดว่า กงอี้จะว่าอย่างไร  กงอี้ลุกขึ้นมาขอบคุณว่า ได้คุณชักนำสอนข้าสนใจ เพ้งกุ่ยว่า พี่ท่านอย่าโกรธ ควรปฏิบัติอย่างรอบคอบ ข้าต้องขอบคุณกงอี้ที่สอน จะไม่ลืมพระคุณ เพ้งกุ่ยกลับไปบ้านแล้วก็รักหนังสืออย่างเคร่งครัดมาก ต่อมาบุตรสามคนสอบเข้ารับราชการได้ กงอี้ก็นำเอาเครื่องดินเผาที่มีอยู่ทั้งหมดมาสำรวจดูถี่ถ้วน ถ้ามีตัวหนังสือก็นำเอาฝังดินที่สะอาดให้หมด เพื่อเป็นการรักตัวหนังสือ รู้สึกซาบซึ้งต่อผู้ต่อต้านตน เป็นขันติที่ 63 ต่อมาคนเขียนกลอนให้

รักตัวหนังสือปลูกบุญกุศล             ปฏิบัติตนอย่าอวดอ้างเลิศสุด
ความรู้คนเดียวยากทำได้สิ้นสุด       ได้เพื่อนฉุดช่วยการุณย์ย่อมเจริญ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ร้อยขันติ   

              หกสิบสี่ขันติ  :   รับผู้ยากไร้เป็นบุตรบุญธรรม

        กงอี้ไปเยี่ยมบ้านญาติฝ่านมารดาที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เป็นบ้านของนายเอี้ยฮ้ง ๆ จัดอาหารรับรอง ระหว่างรับประทานเอี้ยฮ้งก็พูดว่า ขอความเห็นของท่านพี่สักหน่อยเพื่อใ้ตัดสินใจ กงอี้ว่า ขอรับฟังวาจาท่าน นายฮ้งว่า ข้ามีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง บุตรชายแต่งงานแล้ว บุตรหญิงตอนยังเล็กอยู่ก็ได้หมั้นกับนายเฮ้งเจียง บุตรคนเดียวของเฮ้งเซ้งซื้วไว้แล้วตอนนั้นบ้านนายเซ้งซิ้วร่ำรวยอยู่ ไม่คาดคิดเมื่อนายเซ้งซิ้วตายลง นายเจียงผู้คงแก่เรียนดูแลบ้านกลับยากจนลง ข้าเลยไหว้วานคนไปเจรจาถอนหมั้น นายเจียงก็ยินยอม ขอถามท่านพี่ว่า เรื่องนี้ทำได้ไหม กงอี้ว่า เรื่องนี้ทำไม่ได้มันเกี่ยวข้องกับกฏบ้านเมือง เป็นการฝืนสัจจะ คู่หมั้นหมายวุ่นวาย ต้องรู้ว่าท่านจูจื้อเคยได้พูดเอาไว้ แต่งลูกสาวเลือกเขยดี อย่าเลือกคู่ใหม่ ควรเข้าใจเรื่องการแต่งงาน โบราณเคยว่าไว้ นักศึกษายากไร้มักเป็นปราชญ์ ทำไมจึงเห็นแก่ความร่ำรวย เป็นการหาทุกข์มาใส่ตัว นายฮ้งฟังแล้วก็ลังเล ตัดสินใจไม่ได้ ตอนหลังก็เอาบุตรสาวไปตกลงกับเจ้าอื่น นายเฮ้งเจียงรู้เรื่องเข้า จึงไปร้องทุกข์กับศาล ศาลสั่งให้นายเอี้ยฮ้งกับบุตรสาวมาขึ้นศาลสอบสวน ศาลว่า บุตรสาวของท่านได้หมั้นหมายกับนายเฮ้งเจียงไว้แล้ว ทำไมจึงไปเลือกผู้อื่นอีก นายฮ้งตอบว่าบิดาของนายเจียงร่ำรวย พอตายลงบ้านก็ล้มสลายไม่เหลือทรัพย์ ศาลว่า เจ้าเห็นแก่ร่ำรวยดูแคลนคนจน ปรับโทษโบย  20 ที นายฮ้งรีบร้องว่า ข้าร่างกายอ่อนแอรับโทษโบยไม่ไหว ศาลว่า ให้ปรับเป็นทองห้าร้อยเหรียญ นายเอี้ยฮ้งยินยอมรับคำ ศาลว่าให้ปรับเงินว้นนี้ แล้วให้คนคุมออกไป แล้วเรียกนายเฮ้งเจียงขึ้นศาลมาถามว่า ทำไมบ้านจึงล้มสลาย นายเจียงตอบว่า ตนเองเรียนหนังสือตั้งแต่เล็ก ไม่เคยปกครองบ้าน เพราะพ่อแม่ตายลง มีค่าใช้จ่ายงานศพจนหมด ศาลว่า เจ้ายังดีไม่เที่ยวแตร่ เล่นการพนัน ทำชั่วช้า มิฉะนั้นต้องมีโทษ ที่บ้านเจ้ายังมีญาติผู้ใหญ่ไหม นายเจียงตอบว่าไม่มีแล้ว ศาลดูนายเฮ้งเจียงแล้วมีบุคลิกลักษณะดี ก็ให้พอดีทางศาลมีผู้ลาออก 2 คน ศาลจึงให้นายเฮ้งเจียงมาทดสอบต่อคำกลอน ศาลพูดว่า กตัญญูซาบซึ้ง ลมวสันต์พัดมา  นายเจียงต่อว่า คุณหนุนพา ฝนโบกโปรย ได้ฤกษืดี  ศาลฟังแล้วพอใจ ก็รับเข้าเป็นข้าราชการ ศาลก็เรียกบุตรสาวนายฮ้งมาถามว่า เดิมทีเธอได้หมั้นหมายกับใครไว้ เธอตอบว่าเดิมทีหมั้นกับนายเฮ้งเจียงไว้ และก็ไม่สนใจผู้อื่นเลย ศาลถามว่า หากเป็นเช่นนี้เมื่อบิดาเจ้าไปหาคนอื่น ทำไมเธอไม่ระงับห้ามไว้ เธอตอบว่า ก่อนนี้มีคุณอาญาติกันชื่อ จางกงอี้ ก็ตักเตือนเอาไว้ บิดาข้าไม่เชื่อตาม ข้าน้อยไม่มีอำนาจห้ามบิดาได้ ศาลก็ถามเฮ้งเจียงว่า จางกงอี้เป็นใคร  นายเจียงว่าเป็นผู้มีคุณธรรมมาก ทำงานมีระเบียบ มีความการุณย์รักผู้คน ทางการก้เคยประกาศเกียรติคุณให้ไว้ ทางศาลได้ยินว่าเป็นผู้มีคุณธรรม จึงเขียนจดหมายขอเชิญกงอี้ให้มาหา กงอี้ได้รับเชิญก็รีบมาทันที  พอกงอี้มาถึงทางศาลก็เชิญนั่งที่ศาล แล้วเรียกนายเฮ้งเจียงกับบุตรสาวของนายเอี้ยฮ้งเข้ามาพร้อมเงินค่าปรับอีก 500 เหรียญ แล้วก็สั่งให้ทั้งสองดำเนินพิธีแต่งงานกัน โดยให้นายเฮ้งเจียงเป็นบุตรบุญธรรมของกงอี้  แล้วเขียนใบประกาศเกียรติคุณให้แ่ก่กงอี้ พร้อมทั้งมอบเงิน 500 เหรียญทองแก่กงอี้ไปซื้อข้าวของและให้เป็นผู้ดูแลด้วย ต่อมาภายหลังนายเฮ้งเจียงก็ไปสอบไล่ได้้ ต่อมาครอบครัวก็เจริญขึ้นจนร่ำรวย นี้ก็เป็นเพราะกงอี้มีบุญคุณรับผู้ยากไร้เป็นบุตรบุญธรรม  เป็นขันติที่ 64 ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

คุณธรรมคุ้มญาติพี่น้อง             พระคุณนองเนืองบุตรบุญธรรม
ลูกกำพร้านามเด่นหนุนนำ          การศึกษาทำสรรสร้างวีรชน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                 ร้อยขันติ   

           หกสิบห้าขันติ  :   เคารพผู้เฒ่าที่ยากเข็ญ

        มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่กงอี้กำลังอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ก็ให้มีขอทานแก่คนหนึ่งมาขออาหารกิน คนในบ้านก็เอาข้าวมาให้ชามหนึ่ง ขอทานด่าด้วยความโกรธว่าข้าได้ยินว่าท่านจางกงอี้ผู้มีคุณธรรมสงสารคนจน ข้ามาขอข้าวกินสักมื้อหนึ่ง ขอเสื้อผ้าใส่ตัวหนึ่ง ทำเสียไม่ได้  ให้ข้าวแค่ชามหนึ่งเท่านั้นก็รีบไล่ข้าไป คนในบ้านก็โกรธว่า ข้าเป็นหนี้เอ็งหรือ ขอทานยิ่งตะเบ็งเสียงด่า คนในบ้านก็เรียกคนใช้เอาไม้มาตี กงอี้ได้ยินเสียงก็รู้ว่ามีเรื่องวุ่นวายก็รีบออกมา มองเห็นคนในบ้านกำลังถือไม้จะตีขอทาน กงอี้รีบห้ามเอาไว้แล้วถามหาสาเหตุ คนใช้จึงพูดว่า ขอทานขอไม่รู้จักพอ กงอี้ตะวาดคนใช้ให้ถอยออกไป เห็นขอทานเป็นคนแก่ไม่มีเสื้อใส่ ขาทั้งสองข้างก็มีเลือดไหล น้ำตาก็ไหล ปากก็พูดพล่าม พอเห็นกงอี้เท่านั้นก็คุกเข่าลงอยู่นิ่งไม่พูด กงอี้ถามว่า ผู้เฒ่าแซ่อะไร ปีนี้อายุเท่าไร ขอทานตอบว่า ข้าแซ่เล้ง อยู่มากว่า 78 ปีแล้ว กงอี้ถามว่า ทำไมขาจึงเลือดไหล ขอทานตอบถูกหมากัด จึงมาหาท่านโดยเฉพาะ เพื่อขอเสื้อ ขอข้าวกินสักมื้อหนึ่ง กงอี้จึงสั่งคนในบ้านให้หาเสื้อผ้ามาตัวหนึ่งแล้วให้ข้าวกินมื้อหนึ่ง ว่าแล้วขอทานก็จากไป กงอี้จึงเขียนหนังสือและสอนคนในบ้านว่า คนจนก็แย่อยู่แล้ว เช้าก็ไม่มีทาง เย็นก็ไม่มีทาง ใจก็หวังพึ่งแต่คนรวยเหมือนเห็นพ่อแม่ ถ้าคนรวยไม่ให้ความสนใจ น้ำตาก็ร่วงริน ร้องไห้เปล่า ๆ ฟ้าดินหมุนเวียนมีหลักการณ์ คนรวยคนมียศศักดิ์ หมุนเวียนมีผลตอบสนอง ถ้าอยากให้ยืนยาวหรือไม่ให้สูญเสียยาวนาน เมื่อผู้ยากขอ ผู้มั่งมีก็ให้ เป็นการสั่งสมบุญดี ร่ำรวยจึงจะเจริญนาน บรรดาศักดิ์ก็เจริญ ดีนะที่วันนี้ยังไม่ทันวางกล้าม ไม่ก่อบาป จนเป็นหนี้วิบากกรรม พวกเธอจงจดจำ อย่าใช้อารมณ์ บุญก็จะมีไม่จำกัด  อ่านจบก็บอกให้คนในบ้านให้รู้จักเคารพคนแก่ สงสารคนจน  ผ่านไปอีก 7 วัน ก็ได้ข่าวว่า ขอทานแก่ไปขอทานที่บ้านโต๋ว แล้วนิสัยเดิมก็ไม่แก้ไข ถูกคนเขาตีตาย ถูกคดีฆ่าคนเสียเงินไปมาก นี่เพราะกงอี้สงสารคนแก่ เป็นขันติที่ 65 ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

อาหารนุ่งห่มคือทุกข์คนจน             บุญกุศลมีได้คือสงเคราะห์ทุกที่
บ้านต้องรู้สั่งสอนมีหลักวิธี              เมื่อบุญมีภัยเคาระห์ก็ไกลห่าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ร้อยขันติ   

             หกสิบหกขันติ  :   ให้ความสำคัญกับธัญญาหาร

        กล่าวคือ กงอี้ได้ไปที่บ้านญาติชื่อ ตั้งซื้อ เห็นบริเวณใกล้ตัวบ้านมีข้าวสุกตกเรี่ยราดมากมาย ประมาณดูแล้วร่วม ๆ ถัง พอเดินถึงตัวบ้านก็เห็นข้าวสารบริเวณชายคาบ้าน พอกงอี้ได้พบกับตั้งซื้อ ก็เอ่ยปากถามว่า ท่านพี่ตั้ง บริเวณบ้านของท่านทำไมจึงมีข้าวตกอยู่บนพื้น นายซื้อตอบว่า มีการเซ่นไหว้ผีไร้ญาติทำให้มีข้าวหก แล้วที่บริเวณชายคาทำไมมีข้าวสารหกอยู่ นายซื้อตอบว่า นักพรตทำพิธีเซ่นวิญญาณผีมีข้าวโปรยอยู่ทั่วพื้น กงอี้จึงว่า ทำไมพี่ท่านไม่หาวิธีถนอมข้าวเอาไว้ นายซื้อว่า ทำไมท่านต้องมัธยัสถ์ถึงเพียงนั้น ข้าวสารเหล่านี้จะมีค่างวดสักเท่าไร กงอี้ว่าอาจเป็นเพราะบ้านท่านใหญ่จึงไม่สนใจ ในส่วนของน้องเล็กอย่างข้าแล้ว เห็นข้าวสารดุจหยกทอง นายซื้อพูดเสียงดังว่า ทำไมท่านจึงพูดจาข่มเหงคนเล่า บ้านข้ายังสู้ท่านไม่ได้ ท่านยังมาพูดว่าข้าใหญ่กว่า กงอี้จึงรีบตัดบทว่า ท่านพี่ซื้อไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพี่ซื้อโปรดนั่งลงก่อน และอดทนฟังน้องพูด พี่หาว่าน้องข่มเหง ฉันเพียงทนไม่ได้ที่พี่ท่านต้องบาปเพราะเหยียบย่ำข้าว ในใบบันทึกบุญบาปเขียนไว้ว่า แต่ละวันที่ทิ้งข้าว 1 เม็ด  ตัด 1 บุญ มนุษย์ควรระลึกถึงพระคุณฟ้าดิน ที่อำนวยธัญญพืชแก่โลก ทำไมไม่คล้อยตามหลักธรรมฟ้าดิน  รักถนอมข้าวสารจะได้ไม่ต้องมีโทษบาป ทั้งยังสามารถเสวยสุขได้ยาวนาน ข้าวเปลือกดุจมีคุณค่า  ข้าวเปลือกแค่คนกิน 2 คำ ก้เลี้ยงแม่ไก่ได้ 5 ตัว จึงไม่ควรทิ้งขว้าง อย่างข้าวที่หกเรี่ยราดในวันนี้สามารถเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ได้เป็นเล้า  อาหารการกินสู้ประหยัดไม่ดีกว่าหรือ  นายซื้อถามว่า ถ้าถามพี่ท่านว่า การดปรยทานก็ไม่ได้ซิ กงอี้ว่า ไม่ใช่เช่นนั้น การทิ้งกระจาดมีมาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่ปัจจุบันไม่เอาอย่างสมัยก่อน ทิ้งกระจาดจะแจกผู้ยากไร้ก่อน ของที่ใช้จะเก็บไว้ก่อน ภายหลังเซ่นไหว้แล้ว ก็เก็บขึ้นแล้วนำมาแจกผู้ยากไร้ ที่เหลือค่อยนำมากินเอง จะไม่ให้ตกหล่นสักเม็ด  นายซื้อกล่าวขอบคุณว่า โชคดีที่พี่ท่านสั่งสอนข้า ถ้าไม่เช่นนั้นบาปกรรมคงถล่มฟ้า คงต้องอธิบายให้คนในบ้านให้รู้ว่า วันหลังทิ้งกระจาดให้หากระจาดรองรับไว้ พวกข้าวสารต้องระมัดระวัง นี่เพราะกงอี้เห็นความสำคัญของธัญญพืช ซาบซึ้งคน เป็นขันติที่ 66 ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

ธัญญพืชสุกได้เพราะฟ้า             มีคุณค่าเลี้ยงคนบำรุงชีวิต
ไม่ใส่ใจถนอมเก็บเนืองนิจ          โทษบาปผิดต้องถูกต้มตุ๋น 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   ร้อยขันติ   

            หกสิบเจ็ดขันติ  :   โน้วน้าวเพื่อนสู่ทางดี

        กล่าวคือ กงอี้มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ อวงจือลั้ง อยากเลิกอาชีพหมอรักษาโรค จึงมาขอยืมเงินกงอี้ไปทำทุน จะหันไปทำอาชีพฆ่าหมู กงอี้พูดว่า จะยืมเงินไปเลี้ยงชีวิตมีให้ แต่ถ้ายืมเงินไปฆ่าชีวิตไม่มีให้ จือลั้งพูดว่า ในโลกนี้อาชีพฆ่าสัตว์ก็มีไม่น้อย จะมีเพียงข้าคนเดียวหรือที่ฆ่าสัตว์ กงอี้ว่า คนฆ่าสัตว์มีมากแต่ได้ดีมีน้อย ที่ข้าเคยเห็นก็มีแต่นายอึ้งปังที่สามารถร่ำรวย เพราะเขามีอาชีพฆ่าหมู ที่ไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา เขาจะบันทึกจำนวนหมูที่ถูกฆ่า พอถึงช่วงกลางชีวิต เขาสร้างสถานธรรมเพื่อโปรดผู้คนโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย พร้อมรายงานสิ่งที่กระทำมา คนสมัยนี้ที่ฆ่าสัตว์ มีใครบ้างที่กล้าสำนึกบาป จือลั้งพูดว่า หมูแพะ คนเหน็ดเหนื่อยเลี้ยงมา มันไม่มีคุณกับคน ทุก ๆ บ้านก็มีการฆ่าสัตว์ตอนสิ้นปี มีหรือที่ข้าต้องรับบาปเพียงคนเดียว กงอี้ว่า ถึงแม้ทุกบ้านจะมีการฆ่าสัตว์ก็เพราะในเทศกาลการเซ่นไหว้ฟ้าดิน ชีวิตก็พึ่งเทพเจ้าโปรดไป แต่ถ้าเป็นพ่อแม่ที่ทำวันเกิดหรืองานศพ ซึ่งต้องตั้งใจศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อต้องเลี้ยงอาหารแขก ควรใช้อาหารเจกับผลไม้ เป็นการแสดงความเคารพ และเป็นการเพิ่มอายุของพ่อแม่ ซึ่งสมเหตุผล เมื่อทำงานศพของพ่อแม่ไม่ควรฆ่าสัตว์ดีที่สุด อาหารเลี้ยงแขกควรเป็นอาหารเจดีที่สุด ท่านหลื่อโจ้วกล่าวว่า หากต้องการต่ออายุควรฟังคำข้า ผู้ฉลาดต้องไม่เห็นแก่ตน ถ้าเธอต้องการมีอายุยาวต้องปล่อยสัตว์ นี่คือหลักสัจธรรม ถ้าหากเขาจะตายแล้วเธอช่วยชีวิตเขา พอเธอจะตายฟ้าก็จะช่วยชีวิตเธอ การยึดอายุหรือขอบุตรไม่มีวิธีใดนอกจากปล่อยสัตว์ จือลั้งพูดว่า ขอรับคำสั่งสอนด้วยความจริงใจ  แต่ข้าเป็นผู้รักษาคน เป็นเพราะขาดเงินทุนหายาก จึงคิดเปลี่ยนอาชีพ กงอี้ว่า การร่ำรวยสุดแต่ฟ้า แต่ต้องการความร่ำรวยก็สุดแต่ใจ และยิ่งคล้อยตามหลักธรรมฟ้าก็ร่ำรวยได้ ไม่ต้องถูกต้มตุ๋น อาชีพหมอของท่านกำหนดมาแต่ปางก่อน จึงจะสามารถฝึกหลักชีพจร เรียนตำรายา ต้องอาศัยบุญลับซาบซึ้งสวรรค์ก็จะได้มรรคผลเอง ต้องคิดว่าชีวิตคนนั้นสำคัญ มีเงินก็มาให้รักษา ไม่มีเงินก็มาให้รักษา ต้องมีใจไม่หลอกลวงเพื่อผลประโยชน์  ข้าก็ยอมให้ท่านยืมเงินพันอีแปะเพื่อไปหาซื้อยามาเปิดร้าน พวกที่มาให้รักษา ไม่ว่าพวกแร้นแค้น หรือ ผู้ป่วยที่ยากจน ไม่มีเงินก็ต้องรักษาให้ ก็จะได้บุญบารมีมาก  ย่อมมีคุณค่าได้ในที่สุด จือลั้งกล่าวว่า ขอรับฟังท่านกงอี้ตลอดไป ขอบคุณที่สั่งสอน แล้วกลับบ้านไป แล้วดำเนินการตามคำของกงอี้ ต่อมาภายหลังก็ร่ำรวยได้ มีบุตรคนหนึ่งได้รับราชการ นี่ด้วยกงอี้โน้มน้าวคนมาทางดี เป็นขันติที่ 67 ต่อมาภายหลังคนแต่งกลอนให้

อย่าฆ่าสัตว์เซ่นสรวงว่างสุขศรี             กงอี้ชี้แนะตัดนรกกายใจเบา
โปรดคนด้วยธรรมไม่เสียเปล่า             สร้างบุญลับเอาวาจาสุดไปมา

Tags: