collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ร้อยขันติ : คำนำ  (อ่าน 58299 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ร้อยขันติ   

           หกสิบสองขันติ  :   ถูกกล่าวหาขโมยหนังสือ

        กงอี้เป็นคนที่รักตัวหนังสือ ก็ให้บังเอิญไปถึงบ้านของนายลิ้มเคี้ยว เห็นผนังบ้านในห้องรับแขกมีตัวหนังสือเก่าปิดอยู่ พอดีลิ้มเคี้ยวไม่อยู่บ้าน จึงพูดกับภรรยาว่า ขอเก็บตัวอักษรเก่าได้ไหม ภรรยาลิ้มเคี้ยวว่า เก็บไปให้หมดเลย กงอี้จึงเก็บหนังสือเก่า ๆ และอักษรเก่าบนผนัง แล้วนำกลับบ้านไป โดยไม่คาดคิด เมื่อนายลิ้มเคี้ยวกลับมาถึงบ้าน ภรยาก็เล่าเรื่องไปตามความจริง ลิ้มเคี้ยวฟังจบก็คิดวางแผนแล้วตามไปที่บ้านของกงอี้ กล่าวหากงอี้ว่าขโมยหนังสือ กงอี้จะพูดความจริงเท่าไร ลิ้มเคี้ยวก็ไม่สนใจทั้งนั้น พูดจาหยาบคายมาก กงอี้รู้สึกอารมณ์ไม่ดีจึงหยิบเงิน ๕๐๐ อีแปะให้แก่ลิ้มเคี้ยวเพื่อยุติเรือง ก็ให้บังเอิญ คืนนั้นภรรยากงอี้ให้กำเนิดบุตรอีกหนึ่งคน กงอี้จึงตั้งชื่อให้ว่า ตงหงี ทั้งครอบครัวมีความปิติยินดี วันรุ่งขึ้น นายลิ้มเคี้ยวก็มาหาอีก กงอี้ถามว่ามีเรื่องอะไร  ลิ้มเคี้ยวตอบว่า เมื่อคืนฝนตกหนักมาก เขื่อนที่หลังบ้านเกิดพังลง น้ำทะลักเข้ามา ทำให้ผนังบ้านจมน้ำ ในที่สุดผนังก็พังลง ทำให้วัวตายไป ๒ ตัว กำแพงดินหนามาก จึงอยากจะมาขอยืมจอบหลายอัน กงอี้ได้ฟังก็เกิดสงสาร จึงเรียกคนงานให้ไปช่วยเหลือ นี่คือความไม่ถือสาคนเขลาของกงอี้ เป็นขันติที่ ๖๒ ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

ผู้ศรัทธาความดีฟ้าเพิ่มให้             หากผู้ใดเป็นปราชญ์ฟ้ายกย่อง
รสแห่งธรรมลิ้มได้สุดผุดผ่อง          คุณธรรมทองซาบซึ้งฟ้าสวรรค์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ร้อยขันติ   
 
            หกสิบสามขันติ  :   กงอี้ซาบซึ้งผู้ตอบโต้ตน

        กล่าวคือ กงอี้มีญาติผู้หนึ่งชื่อ เพ้งกุ่ย มีอยู่วันหนึ่ง เขามาหากงอี้ที่บ้านเพื่อขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องการรักหนังสือ ว่ามีบุญกุศลอย่างไรบ้าง กงอี้ว่าการตอบสนองผู้รักหนังสือมีมากมายพูดไม่หมด อย่างเช่นใน "กั๊กซี่เก็ง" กล่าวว่า อยากได้ลูกก็ได้ อยากต่ออายุก็ได้ อยากร่ำรวยก็ได้ ล้วนประสบความสำเร็จทั้งสิ้น เมื่อภาวนาร้องขอก็ได้ผลตอบสนอง คนที่จะได้ต้องมีใจรักหนังสือจริง นายเพ้ยกุ่ยถามต่อไปว่า อย่างไรจึงจะเรียกว่ารักหนังสือจริง กงอี้ว่า อย่าได้เขียนอักษรส่งเดชและไม่ทิ้งขว้าง ในห้องนอน อย่าเก็บหนังสือ ใต้เตียงก็อย่าเก็บธนบัตร ตามพื้นทรายไม่เขียนหนังสือ เครื่องใช้อย่าจารึกยี่ห้อ โต๊ะก็ไม่ให้เขียนหนังสือ ด้านใต้ของกระดาษก็ไม่ให้เขียนหนังสือ ถ้าพูดถึงดวงชะตาชีวิตก็อย่าเขียนเอาไว้ ทำตามทุกอย่างไม่ขี้เกียจ เพ่งกุ่ยพูดว่า คนที่ไม่รักหนังสือมีผลตอบสนองอย่างไรบ้างกงอี้ว่า ผลร้ายตอบสนองพอคร่าว ๆ คือ โง่ทึบ หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ตามขาเป็นแผลพุพอง มักประสบเคาระห์ร้าย เรียนหนังสือไม่เก่ง พอดีขณะนั้นทางบ้านกงอี้ชงชามาให้เพ้งกุ่ยดื่ม เพ้งกุ่ยว่า เมื่อก่อนเครื่องชงชามักจารึกยี่ห้อ จะรักหนังสือได้อย่างไร กงอี้ก็ว่าให้ทุบแตกแล้วฝังดินเสีย เพ้งกุ่ยว่า ฝังดินจะถือว่ารักหนังสือหรือกงอี้ว่าแม้จะไม่ฉลาดนัก ก็ขอคำชี้แนะ เพ้งกุ่ยก็เอาเครื่องชงน้ำชาของกงอี้วางลงแล้วทุบแตก พลางพูดว่า กงอี้จะว่าอย่างไร  กงอี้ลุกขึ้นมาขอบคุณว่า ได้คุณชักนำสอนข้าสนใจ เพ้งกุ่ยว่า พี่ท่านอย่าโกรธ ควรปฏิบัติอย่างรอบคอบ ข้าต้องขอบคุณกงอี้ที่สอน จะไม่ลืมพระคุณ เพ้งกุ่ยกลับไปบ้านแล้วก็รักหนังสืออย่างเคร่งครัดมาก ต่อมาบุตรสามคนสอบเข้ารับราชการได้ กงอี้ก็นำเอาเครื่องดินเผาที่มีอยู่ทั้งหมดมาสำรวจดูถี่ถ้วน ถ้ามีตัวหนังสือก็นำเอาฝังดินที่สะอาดให้หมด เพื่อเป็นการรักตัวหนังสือ รู้สึกซาบซึ้งต่อผู้ต่อต้านตน เป็นขันติที่ 63 ต่อมาคนเขียนกลอนให้

รักตัวหนังสือปลูกบุญกุศล             ปฏิบัติตนอย่าอวดอ้างเลิศสุด
ความรู้คนเดียวยากทำได้สิ้นสุด       ได้เพื่อนฉุดช่วยการุณย์ย่อมเจริญ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ร้อยขันติ   

              หกสิบสี่ขันติ  :   รับผู้ยากไร้เป็นบุตรบุญธรรม

        กงอี้ไปเยี่ยมบ้านญาติฝ่านมารดาที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เป็นบ้านของนายเอี้ยฮ้ง ๆ จัดอาหารรับรอง ระหว่างรับประทานเอี้ยฮ้งก็พูดว่า ขอความเห็นของท่านพี่สักหน่อยเพื่อใ้ตัดสินใจ กงอี้ว่า ขอรับฟังวาจาท่าน นายฮ้งว่า ข้ามีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง บุตรชายแต่งงานแล้ว บุตรหญิงตอนยังเล็กอยู่ก็ได้หมั้นกับนายเฮ้งเจียง บุตรคนเดียวของเฮ้งเซ้งซื้วไว้แล้วตอนนั้นบ้านนายเซ้งซิ้วร่ำรวยอยู่ ไม่คาดคิดเมื่อนายเซ้งซิ้วตายลง นายเจียงผู้คงแก่เรียนดูแลบ้านกลับยากจนลง ข้าเลยไหว้วานคนไปเจรจาถอนหมั้น นายเจียงก็ยินยอม ขอถามท่านพี่ว่า เรื่องนี้ทำได้ไหม กงอี้ว่า เรื่องนี้ทำไม่ได้มันเกี่ยวข้องกับกฏบ้านเมือง เป็นการฝืนสัจจะ คู่หมั้นหมายวุ่นวาย ต้องรู้ว่าท่านจูจื้อเคยได้พูดเอาไว้ แต่งลูกสาวเลือกเขยดี อย่าเลือกคู่ใหม่ ควรเข้าใจเรื่องการแต่งงาน โบราณเคยว่าไว้ นักศึกษายากไร้มักเป็นปราชญ์ ทำไมจึงเห็นแก่ความร่ำรวย เป็นการหาทุกข์มาใส่ตัว นายฮ้งฟังแล้วก็ลังเล ตัดสินใจไม่ได้ ตอนหลังก็เอาบุตรสาวไปตกลงกับเจ้าอื่น นายเฮ้งเจียงรู้เรื่องเข้า จึงไปร้องทุกข์กับศาล ศาลสั่งให้นายเอี้ยฮ้งกับบุตรสาวมาขึ้นศาลสอบสวน ศาลว่า บุตรสาวของท่านได้หมั้นหมายกับนายเฮ้งเจียงไว้แล้ว ทำไมจึงไปเลือกผู้อื่นอีก นายฮ้งตอบว่าบิดาของนายเจียงร่ำรวย พอตายลงบ้านก็ล้มสลายไม่เหลือทรัพย์ ศาลว่า เจ้าเห็นแก่ร่ำรวยดูแคลนคนจน ปรับโทษโบย  20 ที นายฮ้งรีบร้องว่า ข้าร่างกายอ่อนแอรับโทษโบยไม่ไหว ศาลว่า ให้ปรับเป็นทองห้าร้อยเหรียญ นายเอี้ยฮ้งยินยอมรับคำ ศาลว่าให้ปรับเงินว้นนี้ แล้วให้คนคุมออกไป แล้วเรียกนายเฮ้งเจียงขึ้นศาลมาถามว่า ทำไมบ้านจึงล้มสลาย นายเจียงตอบว่า ตนเองเรียนหนังสือตั้งแต่เล็ก ไม่เคยปกครองบ้าน เพราะพ่อแม่ตายลง มีค่าใช้จ่ายงานศพจนหมด ศาลว่า เจ้ายังดีไม่เที่ยวแตร่ เล่นการพนัน ทำชั่วช้า มิฉะนั้นต้องมีโทษ ที่บ้านเจ้ายังมีญาติผู้ใหญ่ไหม นายเจียงตอบว่าไม่มีแล้ว ศาลดูนายเฮ้งเจียงแล้วมีบุคลิกลักษณะดี ก็ให้พอดีทางศาลมีผู้ลาออก 2 คน ศาลจึงให้นายเฮ้งเจียงมาทดสอบต่อคำกลอน ศาลพูดว่า กตัญญูซาบซึ้ง ลมวสันต์พัดมา  นายเจียงต่อว่า คุณหนุนพา ฝนโบกโปรย ได้ฤกษืดี  ศาลฟังแล้วพอใจ ก็รับเข้าเป็นข้าราชการ ศาลก็เรียกบุตรสาวนายฮ้งมาถามว่า เดิมทีเธอได้หมั้นหมายกับใครไว้ เธอตอบว่าเดิมทีหมั้นกับนายเฮ้งเจียงไว้ และก็ไม่สนใจผู้อื่นเลย ศาลถามว่า หากเป็นเช่นนี้เมื่อบิดาเจ้าไปหาคนอื่น ทำไมเธอไม่ระงับห้ามไว้ เธอตอบว่า ก่อนนี้มีคุณอาญาติกันชื่อ จางกงอี้ ก็ตักเตือนเอาไว้ บิดาข้าไม่เชื่อตาม ข้าน้อยไม่มีอำนาจห้ามบิดาได้ ศาลก็ถามเฮ้งเจียงว่า จางกงอี้เป็นใคร  นายเจียงว่าเป็นผู้มีคุณธรรมมาก ทำงานมีระเบียบ มีความการุณย์รักผู้คน ทางการก้เคยประกาศเกียรติคุณให้ไว้ ทางศาลได้ยินว่าเป็นผู้มีคุณธรรม จึงเขียนจดหมายขอเชิญกงอี้ให้มาหา กงอี้ได้รับเชิญก็รีบมาทันที  พอกงอี้มาถึงทางศาลก็เชิญนั่งที่ศาล แล้วเรียกนายเฮ้งเจียงกับบุตรสาวของนายเอี้ยฮ้งเข้ามาพร้อมเงินค่าปรับอีก 500 เหรียญ แล้วก็สั่งให้ทั้งสองดำเนินพิธีแต่งงานกัน โดยให้นายเฮ้งเจียงเป็นบุตรบุญธรรมของกงอี้  แล้วเขียนใบประกาศเกียรติคุณให้แ่ก่กงอี้ พร้อมทั้งมอบเงิน 500 เหรียญทองแก่กงอี้ไปซื้อข้าวของและให้เป็นผู้ดูแลด้วย ต่อมาภายหลังนายเฮ้งเจียงก็ไปสอบไล่ได้้ ต่อมาครอบครัวก็เจริญขึ้นจนร่ำรวย นี้ก็เป็นเพราะกงอี้มีบุญคุณรับผู้ยากไร้เป็นบุตรบุญธรรม  เป็นขันติที่ 64 ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

คุณธรรมคุ้มญาติพี่น้อง             พระคุณนองเนืองบุตรบุญธรรม
ลูกกำพร้านามเด่นหนุนนำ          การศึกษาทำสรรสร้างวีรชน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                 ร้อยขันติ   

           หกสิบห้าขันติ  :   เคารพผู้เฒ่าที่ยากเข็ญ

        มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่กงอี้กำลังอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ก็ให้มีขอทานแก่คนหนึ่งมาขออาหารกิน คนในบ้านก็เอาข้าวมาให้ชามหนึ่ง ขอทานด่าด้วยความโกรธว่าข้าได้ยินว่าท่านจางกงอี้ผู้มีคุณธรรมสงสารคนจน ข้ามาขอข้าวกินสักมื้อหนึ่ง ขอเสื้อผ้าใส่ตัวหนึ่ง ทำเสียไม่ได้  ให้ข้าวแค่ชามหนึ่งเท่านั้นก็รีบไล่ข้าไป คนในบ้านก็โกรธว่า ข้าเป็นหนี้เอ็งหรือ ขอทานยิ่งตะเบ็งเสียงด่า คนในบ้านก็เรียกคนใช้เอาไม้มาตี กงอี้ได้ยินเสียงก็รู้ว่ามีเรื่องวุ่นวายก็รีบออกมา มองเห็นคนในบ้านกำลังถือไม้จะตีขอทาน กงอี้รีบห้ามเอาไว้แล้วถามหาสาเหตุ คนใช้จึงพูดว่า ขอทานขอไม่รู้จักพอ กงอี้ตะวาดคนใช้ให้ถอยออกไป เห็นขอทานเป็นคนแก่ไม่มีเสื้อใส่ ขาทั้งสองข้างก็มีเลือดไหล น้ำตาก็ไหล ปากก็พูดพล่าม พอเห็นกงอี้เท่านั้นก็คุกเข่าลงอยู่นิ่งไม่พูด กงอี้ถามว่า ผู้เฒ่าแซ่อะไร ปีนี้อายุเท่าไร ขอทานตอบว่า ข้าแซ่เล้ง อยู่มากว่า 78 ปีแล้ว กงอี้ถามว่า ทำไมขาจึงเลือดไหล ขอทานตอบถูกหมากัด จึงมาหาท่านโดยเฉพาะ เพื่อขอเสื้อ ขอข้าวกินสักมื้อหนึ่ง กงอี้จึงสั่งคนในบ้านให้หาเสื้อผ้ามาตัวหนึ่งแล้วให้ข้าวกินมื้อหนึ่ง ว่าแล้วขอทานก็จากไป กงอี้จึงเขียนหนังสือและสอนคนในบ้านว่า คนจนก็แย่อยู่แล้ว เช้าก็ไม่มีทาง เย็นก็ไม่มีทาง ใจก็หวังพึ่งแต่คนรวยเหมือนเห็นพ่อแม่ ถ้าคนรวยไม่ให้ความสนใจ น้ำตาก็ร่วงริน ร้องไห้เปล่า ๆ ฟ้าดินหมุนเวียนมีหลักการณ์ คนรวยคนมียศศักดิ์ หมุนเวียนมีผลตอบสนอง ถ้าอยากให้ยืนยาวหรือไม่ให้สูญเสียยาวนาน เมื่อผู้ยากขอ ผู้มั่งมีก็ให้ เป็นการสั่งสมบุญดี ร่ำรวยจึงจะเจริญนาน บรรดาศักดิ์ก็เจริญ ดีนะที่วันนี้ยังไม่ทันวางกล้าม ไม่ก่อบาป จนเป็นหนี้วิบากกรรม พวกเธอจงจดจำ อย่าใช้อารมณ์ บุญก็จะมีไม่จำกัด  อ่านจบก็บอกให้คนในบ้านให้รู้จักเคารพคนแก่ สงสารคนจน  ผ่านไปอีก 7 วัน ก็ได้ข่าวว่า ขอทานแก่ไปขอทานที่บ้านโต๋ว แล้วนิสัยเดิมก็ไม่แก้ไข ถูกคนเขาตีตาย ถูกคดีฆ่าคนเสียเงินไปมาก นี่เพราะกงอี้สงสารคนแก่ เป็นขันติที่ 65 ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

อาหารนุ่งห่มคือทุกข์คนจน             บุญกุศลมีได้คือสงเคราะห์ทุกที่
บ้านต้องรู้สั่งสอนมีหลักวิธี              เมื่อบุญมีภัยเคาระห์ก็ไกลห่าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ร้อยขันติ   

             หกสิบหกขันติ  :   ให้ความสำคัญกับธัญญาหาร

        กล่าวคือ กงอี้ได้ไปที่บ้านญาติชื่อ ตั้งซื้อ เห็นบริเวณใกล้ตัวบ้านมีข้าวสุกตกเรี่ยราดมากมาย ประมาณดูแล้วร่วม ๆ ถัง พอเดินถึงตัวบ้านก็เห็นข้าวสารบริเวณชายคาบ้าน พอกงอี้ได้พบกับตั้งซื้อ ก็เอ่ยปากถามว่า ท่านพี่ตั้ง บริเวณบ้านของท่านทำไมจึงมีข้าวตกอยู่บนพื้น นายซื้อตอบว่า มีการเซ่นไหว้ผีไร้ญาติทำให้มีข้าวหก แล้วที่บริเวณชายคาทำไมมีข้าวสารหกอยู่ นายซื้อตอบว่า นักพรตทำพิธีเซ่นวิญญาณผีมีข้าวโปรยอยู่ทั่วพื้น กงอี้จึงว่า ทำไมพี่ท่านไม่หาวิธีถนอมข้าวเอาไว้ นายซื้อว่า ทำไมท่านต้องมัธยัสถ์ถึงเพียงนั้น ข้าวสารเหล่านี้จะมีค่างวดสักเท่าไร กงอี้ว่าอาจเป็นเพราะบ้านท่านใหญ่จึงไม่สนใจ ในส่วนของน้องเล็กอย่างข้าแล้ว เห็นข้าวสารดุจหยกทอง นายซื้อพูดเสียงดังว่า ทำไมท่านจึงพูดจาข่มเหงคนเล่า บ้านข้ายังสู้ท่านไม่ได้ ท่านยังมาพูดว่าข้าใหญ่กว่า กงอี้จึงรีบตัดบทว่า ท่านพี่ซื้อไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพี่ซื้อโปรดนั่งลงก่อน และอดทนฟังน้องพูด พี่หาว่าน้องข่มเหง ฉันเพียงทนไม่ได้ที่พี่ท่านต้องบาปเพราะเหยียบย่ำข้าว ในใบบันทึกบุญบาปเขียนไว้ว่า แต่ละวันที่ทิ้งข้าว 1 เม็ด  ตัด 1 บุญ มนุษย์ควรระลึกถึงพระคุณฟ้าดิน ที่อำนวยธัญญพืชแก่โลก ทำไมไม่คล้อยตามหลักธรรมฟ้าดิน  รักถนอมข้าวสารจะได้ไม่ต้องมีโทษบาป ทั้งยังสามารถเสวยสุขได้ยาวนาน ข้าวเปลือกดุจมีคุณค่า  ข้าวเปลือกแค่คนกิน 2 คำ ก้เลี้ยงแม่ไก่ได้ 5 ตัว จึงไม่ควรทิ้งขว้าง อย่างข้าวที่หกเรี่ยราดในวันนี้สามารถเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ได้เป็นเล้า  อาหารการกินสู้ประหยัดไม่ดีกว่าหรือ  นายซื้อถามว่า ถ้าถามพี่ท่านว่า การดปรยทานก็ไม่ได้ซิ กงอี้ว่า ไม่ใช่เช่นนั้น การทิ้งกระจาดมีมาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่ปัจจุบันไม่เอาอย่างสมัยก่อน ทิ้งกระจาดจะแจกผู้ยากไร้ก่อน ของที่ใช้จะเก็บไว้ก่อน ภายหลังเซ่นไหว้แล้ว ก็เก็บขึ้นแล้วนำมาแจกผู้ยากไร้ ที่เหลือค่อยนำมากินเอง จะไม่ให้ตกหล่นสักเม็ด  นายซื้อกล่าวขอบคุณว่า โชคดีที่พี่ท่านสั่งสอนข้า ถ้าไม่เช่นนั้นบาปกรรมคงถล่มฟ้า คงต้องอธิบายให้คนในบ้านให้รู้ว่า วันหลังทิ้งกระจาดให้หากระจาดรองรับไว้ พวกข้าวสารต้องระมัดระวัง นี่เพราะกงอี้เห็นความสำคัญของธัญญพืช ซาบซึ้งคน เป็นขันติที่ 66 ต่อมาคนก็แต่งกลอนให้

ธัญญพืชสุกได้เพราะฟ้า             มีคุณค่าเลี้ยงคนบำรุงชีวิต
ไม่ใส่ใจถนอมเก็บเนืองนิจ          โทษบาปผิดต้องถูกต้มตุ๋น 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   ร้อยขันติ   

            หกสิบเจ็ดขันติ  :   โน้วน้าวเพื่อนสู่ทางดี

        กล่าวคือ กงอี้มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ อวงจือลั้ง อยากเลิกอาชีพหมอรักษาโรค จึงมาขอยืมเงินกงอี้ไปทำทุน จะหันไปทำอาชีพฆ่าหมู กงอี้พูดว่า จะยืมเงินไปเลี้ยงชีวิตมีให้ แต่ถ้ายืมเงินไปฆ่าชีวิตไม่มีให้ จือลั้งพูดว่า ในโลกนี้อาชีพฆ่าสัตว์ก็มีไม่น้อย จะมีเพียงข้าคนเดียวหรือที่ฆ่าสัตว์ กงอี้ว่า คนฆ่าสัตว์มีมากแต่ได้ดีมีน้อย ที่ข้าเคยเห็นก็มีแต่นายอึ้งปังที่สามารถร่ำรวย เพราะเขามีอาชีพฆ่าหมู ที่ไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา เขาจะบันทึกจำนวนหมูที่ถูกฆ่า พอถึงช่วงกลางชีวิต เขาสร้างสถานธรรมเพื่อโปรดผู้คนโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย พร้อมรายงานสิ่งที่กระทำมา คนสมัยนี้ที่ฆ่าสัตว์ มีใครบ้างที่กล้าสำนึกบาป จือลั้งพูดว่า หมูแพะ คนเหน็ดเหนื่อยเลี้ยงมา มันไม่มีคุณกับคน ทุก ๆ บ้านก็มีการฆ่าสัตว์ตอนสิ้นปี มีหรือที่ข้าต้องรับบาปเพียงคนเดียว กงอี้ว่า ถึงแม้ทุกบ้านจะมีการฆ่าสัตว์ก็เพราะในเทศกาลการเซ่นไหว้ฟ้าดิน ชีวิตก็พึ่งเทพเจ้าโปรดไป แต่ถ้าเป็นพ่อแม่ที่ทำวันเกิดหรืองานศพ ซึ่งต้องตั้งใจศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อต้องเลี้ยงอาหารแขก ควรใช้อาหารเจกับผลไม้ เป็นการแสดงความเคารพ และเป็นการเพิ่มอายุของพ่อแม่ ซึ่งสมเหตุผล เมื่อทำงานศพของพ่อแม่ไม่ควรฆ่าสัตว์ดีที่สุด อาหารเลี้ยงแขกควรเป็นอาหารเจดีที่สุด ท่านหลื่อโจ้วกล่าวว่า หากต้องการต่ออายุควรฟังคำข้า ผู้ฉลาดต้องไม่เห็นแก่ตน ถ้าเธอต้องการมีอายุยาวต้องปล่อยสัตว์ นี่คือหลักสัจธรรม ถ้าหากเขาจะตายแล้วเธอช่วยชีวิตเขา พอเธอจะตายฟ้าก็จะช่วยชีวิตเธอ การยึดอายุหรือขอบุตรไม่มีวิธีใดนอกจากปล่อยสัตว์ จือลั้งพูดว่า ขอรับคำสั่งสอนด้วยความจริงใจ  แต่ข้าเป็นผู้รักษาคน เป็นเพราะขาดเงินทุนหายาก จึงคิดเปลี่ยนอาชีพ กงอี้ว่า การร่ำรวยสุดแต่ฟ้า แต่ต้องการความร่ำรวยก็สุดแต่ใจ และยิ่งคล้อยตามหลักธรรมฟ้าก็ร่ำรวยได้ ไม่ต้องถูกต้มตุ๋น อาชีพหมอของท่านกำหนดมาแต่ปางก่อน จึงจะสามารถฝึกหลักชีพจร เรียนตำรายา ต้องอาศัยบุญลับซาบซึ้งสวรรค์ก็จะได้มรรคผลเอง ต้องคิดว่าชีวิตคนนั้นสำคัญ มีเงินก็มาให้รักษา ไม่มีเงินก็มาให้รักษา ต้องมีใจไม่หลอกลวงเพื่อผลประโยชน์  ข้าก็ยอมให้ท่านยืมเงินพันอีแปะเพื่อไปหาซื้อยามาเปิดร้าน พวกที่มาให้รักษา ไม่ว่าพวกแร้นแค้น หรือ ผู้ป่วยที่ยากจน ไม่มีเงินก็ต้องรักษาให้ ก็จะได้บุญบารมีมาก  ย่อมมีคุณค่าได้ในที่สุด จือลั้งกล่าวว่า ขอรับฟังท่านกงอี้ตลอดไป ขอบคุณที่สั่งสอน แล้วกลับบ้านไป แล้วดำเนินการตามคำของกงอี้ ต่อมาภายหลังก็ร่ำรวยได้ มีบุตรคนหนึ่งได้รับราชการ นี่ด้วยกงอี้โน้มน้าวคนมาทางดี เป็นขันติที่ 67 ต่อมาภายหลังคนแต่งกลอนให้

อย่าฆ่าสัตว์เซ่นสรวงว่างสุขศรี             กงอี้ชี้แนะตัดนรกกายใจเบา
โปรดคนด้วยธรรมไม่เสียเปล่า             สร้างบุญลับเอาวาจาสุดไปมา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ร้อยขันติ   

              หกสิบแปดขันติ  :   รักผู้อื่นเสมือนบุตร

        กล่าวคือวันหนึ่งกงอี้ไปที่ตลาด บนถนนพบเด็กชายอายุประมาณขวบกว่า บนตัวไม่มีหลักฐานอะไร ผู้คนข้างถนนก็พูดกันว่าเป็นเด็กที่ถูกทิ้ง กงอี้จึงอุ้มเด็กน้อยกลับบ้าน อาบน้ำแต่งตัวเลี้ยงดูอยู่ประมาณ 10 วัน  กงอี้ก็เขียนหลักฐานเกี่ยวกับเด็กเพื่อยกให้ อึ้งฮก เป็นบุตร เพราะอึ้งฮกไม่มีบุตร อึ้งฮกรู้ข่าวนี้แล้วแต่ยังคลางแคลงใจอยู่ จึงยังไม่ตัดสินใจว่าจะรับเด็กหรือไม่  กงอี้ก็ยังให้ข้าวสารอีก 20 ถัง แต่อึ้งฮกบังคับให้กงอี้เขียนหนังสือการรับรองการเอาเด็กไปเลี้ยง กงอี้จึงเขียนว่า หนังสือสัญญาอุ้มเด็กไปเลี้ยง  จางกงอี้ยอมให้อุ้มเด็กไปเลี้ยง เพราะทางบ้านไม่สามารถรับเลี้ยงเด็กเล็กได้ จึงยอมให้อึ้งฮกอุ้มเด็กไปเลี้ยงเพื่อสืบสกุล นายอึ้งฮกก็ตั้งชื่อว่า อึ้งกวงเม้ง ยอมให้เรียนหนังสือ เติบโตก็ให้แต่งงาน แม้ต่อมาเกิดมีบุตรชายตนเอง มรดกก็ต้องแบ่งเท่ากัน สองสามีภรรยาจะไม่เห็นแก่ตน ข้ายินยอมยกเด็กให้ แก่อึ้งฮกด้วยความเต็มใจ และขอให้กวงเม้งประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ เสร็จแล้วก็มอบหนังสือให้อึ้งฮกเก็บไว้ ต่อไปก็จะไม่ถามหาเด็กคนนี้อีก  ต่อมาภายหลังเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ครอบครัวก็ร่ำรวย เด็กคนนี้มักจะพูดกับคนอื่นว่า ปู่ของข้ากงอี้ไม่น่าเอาข้าอุ้มออกจากบ้าน บั้นปลายได้กลับมาหากงอี้บ่อย ๆ กงอี้ก็ยังกระทำกับข้าเหมือนลูกตนเอง นี่คือคุณธรรมของกงอี้ เป็นขันติที่ 68 ต่อมาภายหลังคนแต่งกลอนให้

พระคุณแผ่ทุกแห่งหน             กุศลลับยิ่งพิศดาร
โลกเหนือปสันนาการ              ยกเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งยง

หมายเหตุ !  ปสันนาการ : น่าเลื่อมใส

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ร้อยขันติ   

             หกสิบเก้าขันติ  :   แก้สันดานชั่วด้วยธรรม

        นายเอ็งสือมุ่ย เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ไกลออกไป เป็นผู้มีวาจาหยาบคาย ชอบยุแหย่ให้คุณมีคดีกัน ทั้งยังชอบนินทาผู้หญิง แม้แต่กงอี้ก็ยังถูกข่มเหงอยู่เบื้องหลัง เขาเข้าสอบเป็นข้าราชการแต่สอบไม่ได้หลายครั้ง เขาจึงมาหากงอี้เพื่อถามไถ่ว่า ข้ามีเรื่องอะไรขัดขวางจึงสอบไม่ติด กงอี้ว่า เจ้ามาถามจะไม่ตอบก็ไม่ได้ พูดไปก็เกรงว่าเจ้าจะไม่พอใจ แต่เพื่อชี้ทางหลงให้จะไม่พอใจก็ช่างเถอะ ปกติคนที่เรียนหนังสือเด่นกว่าคนอื่นก็นับว่าเลิศ มีคุณธรรมวาจาดีนิสัยดี ถ้าจะวิจารณ์การกระทำของเจ้าแล้วต้องถือว่าทางชั่วยังไม่หยุด เย่อหยิ่งในความเก่งรังแกคนโง่ยกหางคนฉลาด ผู้ถึงคุณธรรม ชอบยุแหย่คนให้มีคดีความ ชอบนินทาผู้หญิง พูดถึงนิสัย ถ้าไม่แก้ไขให้ปกติ น่าเจ็บใจที่ไม่เคารพตน ไม่หันสู่ความดี เพียงแต่เจ้าพิจารณาดูก็ไม่มีใครเทียบได้ สือมุ้ยจึงว่า สมัยก่อน ตงอึ้ง ได้ฟังความผิดของตนก็ปิติยินดี ข้ารู้สึกว่าท่านพูดตรง ๆ  สอนข้า ฯ ถือเป็นอาจารย์ของข้า  ขอเรียนถามว่ามีวิธีไหนที่จะถ่ายถอนบาปได้ กงอี้ว่า โบราณว่า กุศลกันความผิดได้ ความดีปิดความชั่วได้ ในการุณยธรรมไม่มีโทษ ขยันแก้ไขโทษที่ไม่การุณย์ เพื่อหวนสู่กรุณา โทษก็ไม่มีในธรรม ขยันแก้ไขโทษที่ไม่เป็นธรรม เพื่อหวนสู่ธรรม ตัวอย่างท่านบุ้นเซียงฮ่องเต้กล่าวว่า ทำความดีบ่อย ๆ  ทำบุญลับทุก ๆ อย่าง นี่คือทางแห่งเสนาบดี สือมุ้ยผงกศรีษะขอบคุณว่า ขอบคุณที่สั่งสอน แล้วกลับบ้านตระเตรียมทำใบฏีกาแล้วอ่านต่อหน้าพระเจ้าบุ้นเซียงฮ่องเต้ ตั้งสัตย์สาบานว่า ผู้น้อยสือมุ้ย เมื่อก่อนไม่รู้จึงทำผิดคุณธรรมบ่อย ๆ  ทำเรื่องไม่การุณย์ไม่เป็นธรรม จากวันนี้ไป ความชั่วทั้งหลายไม่ทำ ความดีทั้งหลายให้กระทำ พอขึ้นปีถัดไป เขาก็สอบไล่ได้เป็นข้าราชการ นี่คือกงอี้แก้สันดานคนชั่วด้วยธรรม เป็นขันติที่ 69 ต่อมาภายหลังคนก็แต่งกลอนให้

ความดีนำสู่จิตฟ้า             เจอะหน้ากล่อมคนได้
หันสู่ความดีสอบไล่ได้       รีบขจัดไปความชั่วเก่า

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”