collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋  (อ่าน 29677 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       คนที่เป็นสะใภ้ "กาย"จะต้องทำจริง(ขยันถูกต้อง) ""ใจ""ใฝ่แฝงความดีของทุกคนในบ้าน (คิดถูกต้อง)
จิตวิสัย จะต้องเหมือนน้ำคล่องตัวเบิกบานเสมอ แม้จะถูกด่าว่าปรักปรำก็จำยอม
       ถ้าสามีในตามีปัญหา (เห็นผิด) ก็ยังดีกว่าตาบอด คิดอย่างนี้ได้ก็จะพอใจในความสุขที่มีอยู่ นี่เป็นธรรมะแท้
ของแม่บ้าน ทำไมธรรมะแท้จึงหล่นหาย เพราะคนในแต่ละฐานะไม่ได้ใส่ใจธรรมะ ในฐานะนั้นของตนอีกแล้ว
       ที่เมืองจิ่นโจว มีคุณครู "เจ้าป๋อซิน" ครั้งวัยรุ่นเคยสอนหนังสืออยู่ที่ศึกษาสงเคราะห์สตรี ภายหลังแต่งงาน
ไปกับบ้านสกุลหวัง พ่อสามีตาบอดทั้งสองข้าง นิสัยอารมณ์มุทะลุดุร้าย แม่สามีเป็นหญิงเกรี้ยวกราด ปากคอ
เลาะร้าย เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วอีกทั้งสูบฝิ่น ส่วนสามีชอบเที่ยวแตร่เสเพล ไม่ทำการงาน ภายหลังหายสาบสูญไป
 แม่สามีกดขี่ข่มเหงทารุณเธอ ทุกอย่าง ทุกคืนจะต้องให้ปรนนิบัติรับใช้จนเที่ยงคืน กลางวันเธอยังจะต้องไปสอน
หนังสือเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัวนี้ ไม่เคยได้กินข้าวอิ่มเลยสักมื้อ เธอรับสภาพนี้มาสิบกว่าปี
       ในที่สุด ทำให้พ่อแม่สามีกลับใจได้ไม่ชิงชังเธออีกทั้งชื่นชมเธอ เมื่อพ่อแม่สามีตาย เธอทำศพให้ตามพิธี
ทุกคนยอมรับนับถือที่เธอดำเนินธรรมบนหนทางที่ยากยิ่ง และลำบากแสนเข็ญได้ ฉะนั้นฉันจึงว่าเธอเป็น
""จอหงวนหญิง"" คุณครูเจ้าป๋อซิน มีปฏิปทาธรรมที่จริงแท้ ที่สุด สอนหนังสือเอาเงินเลี้ยงพ่อแม่สามี เมื่อเป็นอยู่
เลี้ยงดูให้ เมื่อตาย ทำศพให้ ทำถึงที่สุดของกตัญญุตาธรรม ยังจะต้องสอนหนังสือเลี้ยงดูเด็ก เป็นแม่ที่เมตตา
ประเสริฐแสน ถ้ายืนหยัดดำเนินธรรม กล่อมเกลาชาวโลก ไม่ใช่เพื่อลูกของตนคนเดียว ก็จะเป็นแม่ของโลกทิพย์
       คน ที่ไม่อาจบรรลุธรรมกันได้นั้น เพราะฝ่าด่านของลูกหลานไปไม่ได้(ผูกพันอยู่กับเฉพาะลูกหลานตน)
วีรสตรีฟังไห่หลัน นามรอง จิ้งปอ เพื่อที่จะได้เลี้ยงดูแม่ผู้แก่เฒ่า เธอสละตัวเป็นอนุภรรยา สามีของเธอแซ่ฉิน
เมื่อสามีตาย เธอรักษาศุจิธรรมความบริสุทธิ์ เธอทำลายโฉมตนเองที่สวยมาก เพื่อให้มาร(ผู้ชาย)ไกลห่าง
เพื่อจะศึกษาธรรม แม้เจ็บป่วยก็ลากสังขารเข้ารับการอบรม เพื่อช่วยชาวโลกเธออรรถาธรรมแจกแจงคุณธรรมความดี
เพื่อบรรลุธรรม เธอยอมเหนื่อยหนักรับการปรักปรำโทษโพย
       สุดท้ายมีคนกล่าวว่า ฟังไห่หลัน เป็นพระภาคจากพระโพธิสัตว์  ฉันว่าเธอนิรมานกายมาจากพระโพธิสัตว์
เชียวล่ะจึงอดทนได้เกินคน
       พึงรู้ว่า ธรรมะบำเพ็ญได้ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ขัดฝืน  คุณธรรมสำเร็จได้จากสภาพทุกข์ยาก ฝ่าด่านทุกข์ยาก
ไปได้ก็ขึ้นสู่ฟากฝั่งได้ทันที
       คุณแม่จูอวี้ซัน สามีแซ่ตู้ คุณแม่ท่านนี้สูงสุดยอดและต่ำติดดิน ท่านเป็นเจ้าของสถานกุศลสงเคราะห์ ท่าน
ต่ำติดดินจะต้องรู้ความเป็นธรรมะของชาวโลก  กระจ่างแจ้งต่อธรรมะของทุกคนที่บ้านกับชาวโลก จึงจะโอบอ้อมบ้าน
และโลกไว้ให้ทั่วถึงบริบูรณ์ได้ ท่านทำหน้าที่ทั้งสูงสุดที่บ้านและติดดินในสังคมได้
       ครอบครัวดี บ้านเมืองจึงจะดี บ้านเมืองดี โลกจึงจะดี หากได้ความเป็นธรรมะเช่นคนโบราณ เธอก็คือบรรพชน
ผู้มีธรรม ได้ความเป็นธรรมะของคนปัจจุบัน เธอก็คือชีพกายอมตะ เอาความมุ่งหมายใฝ่ดีเป็นรากฐาน ก็คือไปถึงพุทธ
ภูมิแล้ว อารมณ์จิตใจละเอียดเบาเหมือนเถ้าถ่าน ก็คือพุทธะแล้ว       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      สามีภรรยาเป็นอินกับหยาง ถ้าต่างอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ของตนอย่างเที่ยงตรง ก็จะสอดคล้องกับความเป็นธรรมะ
ความเป็นธรรมะก็คือความเป็นอินหยาง แต่เมื่อความเป็นธรรมะตกสู่หญิงชายในโลก ชายขาดความแกร่งจริง หญิงขาด
ความอ่อนแท้ ครอบครัวขัดแย้ง ไม่เกิดลูกหลานดีมีผลเสียต่อสังคม โลกจึงขาดสันติสุข ขาดความสงบ เพราะต้นราก
ของคนมันไม่ดี
      ฉันสอนให้สามีภรรยาแจ้งใจในธรรม ให้ฟ้า (สามี ) ให้ดิน (ภรรยา ) มั่นคงเที่ยงตรงอยู่บนฐานของตน พลังของ
อินหยางราบรื่น ลูกหลานจะต้องเป็นเมธีคนดีแน่แท้ ในโลกมีเมธีคนดีให้มาก จะเกิดวิบากวุ่นวายได้อย่างไร
      คนโบราณพูดถึงการปกครองสามประการ(ซันกัง )คือเจ้าเหนือหัวปกครองขุนนาง พ่อปกครองลูก สามีปกครองภรรยา
แต่ฉันพูดถึงการปกครองสาม คือ ปกครองจิตวิสัย ปกครองใจ ปกครองกายตน (ปกครองเปรียบเช่นเส้นเชือกที่โอบคล้องไว้)
เกิดโทสะ คือจิตวิสัยขาดการโอบคล้องไว้ ด่าคน คือใจขาดการโอบคล้องไว้ ทำร้ายคน คือร่างกายขาดการโอบคล้องไว้
จะฟื้นฟูให้ชายรู้จักโอบคล้องปกครองดูแลภรรยากลับกลายเป็นข่มแหงรังแกเห็นผู้หญิงเป็นทาสเป็นของเล่นด่าว่าทุบตีเสียนี่
      สามปกครองจึงควรหมายถึง ปกครองตนเองให้ดี ทั้งจิตวิสัย จิตใจและร่างกาย ฉันพูดถึงสามปกครองคืออนุสัยไม่เิกิด
คือปกครองจิตวิสัยตัวรู้แท้ไว้ได้ ความโลภเห็นแก่ตัวไม่เกิดคือปกครองโอบคล้องใจเอาไว้ได้  ไม่ประพฤติผิดติดอบาย คือ
โอบคล้องปกครองกายไว้ได้  สามีให้หารือไม่ใช่หาเรื่องกับภรรยา พอหาเรื่องก็ไม่อาจโอบคล้องปกครองให้ด้ได้ ด่าทอคือ
การแสดงอำนาจภรรยาไม่กล้าด่าตอบแต่ความเจ็บแค้นฝังแน่นในใจแล้ว ตบตีคือมาดร้ายหมายชีวิต ภรรยาไม่กล้าตบตีตอบ
แต่ความเจ็บแค้นฝังแน่นในใจแล้ว ความเจ็บแค้นที่ระบายไม่ออกจะเป็นแรงกดดันถ่ายทอดไปสู่ลูกที่จะเกิดมา
       คน จิตหยาบจนน่าสงสารไม่อาจประมาณการต่อความปราณีตนี้ได้  คนโบราณพูดถึง""สามทำตาม"" ซันฉง ว่า
หญิงอยู่บ้านให้เชื่อฟังทำตามบิดา แต่งงานให้เชื่อฟังทำตามสามี สามีตายให้เชื่อฟังทำตามลูกชาย(ลูกที่เป็นผู้นำ--
ครอบครัวได้) ถ้าทำตามโดยไม่รู้ถูกไม่รู้ผิดเรียกว่า""ตาบอด""
       สมันนี้ผู้หญิงเขามีสามอิงอาศัย อยู่บ้านอาศัยพ่อแม่ แต่งงานอาศัยสามี แก่เฒ่าอาศัยลูก อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
ฉันว่าผู้หญิงมี""สามทำตาม""ที่แท้จริงคือ จิตวิสัยทำตามสัจธรรมของฟ้าเบื้องบน ใจทำตามหลักธรรมของความเป็นคน
กายทำตามทำนองคลองธรรม ฉันจึงเรียกร้องขอให้ผู้หญิงรู้จักสะสมเงินทองล้มเลิก""สามอิงอาศัย""ซันไล่  เสีย
ให้ยืนหยัดได้ด้วยตน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
    ได้โปรด
อย่าผลีผลาม    ย่ามใจ     อ่านง่ายนัก
ค่อยผ่อนพัก    พิจารณา   แต่ละข้อ
ค่อยทบทวน    ธรรมซึ้ง    ถึงต้นตอ
จะเกิดก่อ       ธรรมแท้    แด่ท่านจริง
                                      สาธุ     

     อรรถาคุณธรรม ฉันพูดเสมอให้หญิงชายต่างเที่ยงตรงอยู่บนฐานของตนเอง ชายให้อยู่บนฐานแกร่งตรง
หญิงให้อยู่บนฐานอ่อนโยน เหมือนน้ำ ให้มีเหตุผล
     แท้จริงแล้ว แกร่งตรงก็คืออ่อนโยน อ่อนโยนก็คือแกร่งตรง คำต่างกันแต่จิตใจเป็นอย่างเดียวกัน คนไม่รู้จักคิด
พิจารณาเอง ในพุทธธรรมคัมภีร์ว่า""ถึงฟากฝั่ง""อย่างไรจึงจะถึงฟากฝั่ง ฉันว่าหญิงชายต่างต้องเข้าใจความเป็น
ธรรมะซึ่งกัน ทุกคนก็จะสื่อสัมพันธ์กันได้ด้วยธรรมะ ก็จะถึงฟากฝั่ง พ้นปัญหาทุกข์ภัยได้สงบ
     สามีภรรยาสมัยนี้ ถ้าไม่ใช่ชายก็หญิงที่เจ้ากี้เจ้าการก้าวก่ายแทรกแซงรบกวนควบคุมบงการอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือด้วยกันทั้งคู่ จนกลายเป็น""ครอบครัวนรก""ไป
     ฉันขอให้เขาปรับปรุงหยุดเสีย จะได้เป็นครอบครัวชาวสวรรค์ ชาวโลกโง่มาก คิดว่าแต่งงานเข้ามาเป็นคนของเรา
แล้ว จะแทรกแซงควบคุมอย่างไรก็ได้ อย่างนี้เรียกว่า""ชายชิงหญิงยืด""พอคนหนึ่งตายไป ชายมีคู่ใหม่ หญิงมี
คู่ใหม่ ที่เคยแทรกแซงควบคุมกันไว้มันเหลืออะไร แม้แต่ทรัพย์สินที่เคยโลภชิงไว้ตายไปก็เท่ากับโยนทิ้ง อย่างนี้
ไม่เรียกว่าโง่หรือ สรุปก็คือ เขาเห็นความสำคัญของตนเองเป็นหลัก
     ฉันพูดถึงธรรมะของความเป็นสามีภรรยา ก็คือธรรมะของความเป็นอินหยาง สามีภรรยาสมานใจกันพลังอินหยาง
ก็ราบรื่นไม่ข่มเข่นกันไม่เพียงไม่เกิดเจ็บป่วยไม่ตายโหง ครอบครัวยังจะสมบูรณ์พร้อมพรักลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
ฉันจึงบอกว่าชายหญิงจะต้องรู้ความเป็นธรรมะซึ่งกัน ครอบครัวจึงจะสุขสมานได้ ถ้าชายแทรกแซงควบคุม หญิงได้
แต่อิงอาศัย ชายตบตีหญิง หญิงเคืองแค้นชาย อินหยางไม่สมาน ครอบครัวจะมีสุขได้อย่างไร

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

     กล่าวถึงคัมภีร์อี้จิงว่า""เมื่อเกิดน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตจากฟ้า หกส่วนพสุธารองรับ น้ำคือหลักของความอ่อนโยน
ถ้าคนเกิดโทสะเสมอ จะเป็นน้ำจากฟ้าที่หล่อเลี้ยงชีวิตได้อย่างไร""ฉันว่า""ชายคือฟ้า รักษาอารมณ์จิตใจไม่ให้
เกิดโทสะจึงจะเป็นเช่นน้ำจากฟ้าเกิดก่อมาหล่อเลี้ยงชีวิต ""หญิงคือพสุธา ทูนหนุนครอบครัวให้พรักพร้อมสมบูรณ์
ทั่วหน้าจึงจะเท่ารองรับน้ำจากฟ้า""
     เพศชายที่เป็นชายได้เพราะมีเพศหญิง จึงต้องเข้าใจความเป็นธรรมะของเพศหญิง  หญิงก็เช่นเดียวกัน มีเพียง
อย่างเดียว เรียกว่าคนสถานะเดียว
    ชายที่ยังไม่ได้ตกแต่งภรรยา ตกฐานะกตัญญูเต็มที่ทุกกรณี ได้ภรรยาแล้วตกฐานะผู้นำครอบครัวเต็มที่ ศรีสะใภ้
รับหน้าที่ดูแลกตัญญูพ่อแม่สามีและการบ้านเรือน
    หากสามีไม่อาจนำพาภรรยาให้กตัญญู ไม่รู้จักอบรมลูก แม้ตนจะเป็นลูกกตัญญูเพียงใร พ่อแม่ก็ยังไม่วางใจ
ศรีสะใภ้กตัญญู แต่ไม่อาจช่วยให้สามีเจริญคุณธรรม พ่อแม่ก็ไม่วางใจ
    ฉะนั้นหญิงชายจะต้องเข้าใจธรรมะ จึงจะทำความกตัญญูได้ถึงที่สุด  สามีภรรยาใช้ชีวิตร่วมกันทางที่ดีคือไม่พูด
พูดดีให้กลับกลายเป็นงอนง้อ พูดร้ายให้กลับกลายเป็นถกเถียง
    คนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวก้าวก่าย ดีร้ายไม่สะเทีอนจึงควรเดินสายกลาง ห่างกันพอสมควร สามีภรรยาในโลกของ
ความมุ่งมั่น จะลืมอารมณ์รักใคร่ สามีภรรยาในโลกของอุดมคติ จะราบเรียบ  ส่วนสามีภรรยาในโลกของอารมณ์จิตใจ
จะโยงใยผูกพัน สามีภรรยาในโลกของกายสังขารเกาะเกี่ยวเหนียวแน่น เกาะเกี่ยวเหนียวแน่นคือ""กวน""โยงใย
ผูกพันคือ""กลัว""ราบรื่นจะยั่งยืน มุ่งมั่นใจจะจริงแท้ ดีก็ไม่พูด ร้ายก็ไม่ว่า มาก็ไม่ว่า ไปก็ไม่ว่า จึงจะเป็นคู่ชีวิต
ในโลก""อุดมคติ""
    คู่ชีวิตในโลกของความมุ่งมั่น จะไม่พูดว่าจะสำนึกคุณซึ่งกันไม่โทษโพยใคร คู่ชีวิตในโลกอุดมคติจะมีความสุข
สามีนำพาภรรยาให้มีธรรม ภรรยาช่วยให้สามีบรรลุธรรม ไม่โกรธเคืองกัน
    คู่ชีวิตในโลกของจิตใจ เป็นชีวิตประเพณี จะมีการว่ากล่าวแทรกแซงกัน คู่ชีวิตในโลกของกายสังขารจะทะเลาะ
ด่าตีชีวิตจิตใจขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ ความต้องการ จึงแย่มาก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       กัลยาณชนเรียกร้องจากตนเอง  จัณฑชนคนทรามเรียกร้องจากใคร ๆ ฉันว่าคนที่เรียกร้องจากตนเอง
คือภาวะจิตจากฟ้า เรียกร้องจากใคร ๆคือภาวะจิตทางโลก
      จากนี้ไปสามีควรจะเลิกเรียกร้องจากภรรยา  ภรรยาเลิกเรียกร้องจากสามี ต่างทำการงาน ต่างมีธรรมะของตน
โอกาสที่ควรอยู่ใกล้กันก็อยู่ใกล้ ควรห่างก็ห่างไม่รบกวนกันสุขสมานทุกเวลา ห่างกันก็ไม่ต้องคร่ำครวญหวนหา
เป็นธรรมชาติสบาย ๆ อย่างนี้จึงเป็นคู่ชีวิตด้วยจิตเดิมแท้
      ฉันพูดเสมอว่าดูการดำริคิดของภรรยา จะรู้ได้ในตัวของสามี ดูจิตใจของสามีจะรู้ได้ในตัวของภรรยา เช่น
หวังซันเจี่ย แม้จะทนทุกข์ยากอยู่กับกระท่อมร้าง แต่ในดำริคิดของเธอเชื่อว่าสามีที่เดินทางเข้าเมืองหลวง
จะต้องได้เป็นเจ้าเมืองแน่นอนแล้วก็ได้เป็นจริง ๆ
      หญิงอีกคนหนึ่ง คือหลี่เสวียฮุ่ย มีดำริคิดว่าสามีของเธอที่อยู่นอกบ้านคงจะไปสูบฝิ่นกินกัญชาหาอนาคตไม่ได้
สุดท้ายก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในใจของฉันคิดว่าภรรยาของฉันจะต้องได้เป็นครูทั้งๆที่เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาไม่มี
การศึกษา คิดว่าลูกชายคงจะได้เป็นนักศึกษา ซึ่งภายหลังก็เป็นไปตามนั้น นี่คือตัวอย่างจริง
      ชายสำเร็จการต่าง ๆ ได้ด้วยใฝ่ใจมุ่งมั่น หญิงสำเร็จการต่าง ๆได้ด้วยใฝ่ในอุดมคติ ฟ้าโปรดให้คนกำเนิดมา
ด้วยวาสนาแต่เหตุใดผู้เสพสุขวาสนาจึงมีน้อย รับทุกข์ภัยจึงมีมาก เพราะคนหลงทางโลกีย์ คนที่เป็นเจ้านายรับ
ราชการชอบยักยอกกินสินบนโดยมีภรรยาเป็นต้นเหตุ
      ลูกละทิ้งพ่อแม่ แย่งสมบัติกับพี่น้องเพราะภรรยาผิดกฏหมายบ้านเมืองสิ้นมโนธรรมส่วนใหญ่ก็เพราะภรรยา
เป็นเหตุ คนที่ไม่มีภรรยาก็คือยักยอกเพื่อตนเองได้เสพสุข  จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าผู้หญิงกลืนกินข้าราชฯกลืนกิน
ผู้จงรักกับลูกชายกตัญญูเสียสิ้น ยังคิดว่าตนเองอุ้มชูสามีที่แท้รังแกสามี
     ผู้หญิงที่เกื้อกูลสามีจะตรวจสอบดูเสียก่อนว่าสามีคบหากับคนอย่างไร ที่พูดคุยกันเป็นเรื่องราวอะไร
ปัญญาชนถ้าคุยไร้สาระ คือปริมาตรใจคับแคบ คนที่เป็นเจ้านายรับราชการไม่คุยเรื่องรักชาติสุจริตมุ่งแต่จะกอบโกย
คนที่เป็นภรรยา หากเตือนสติสามีให้กลับใจได้ จึงจะเรียกว่าเกื้อกูลให้เขาบรรลุสู่คุณงามความดี
    ชั่วชีวิตของฉันทำเพื่อกุศลประโยชน์ หลังจากมุ่งมั่นจัดตั้งโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์สตรีแล้ว ไม่ได้พะวักพะวง
ภรรยาอีกเลย คนอื่นทำงานกุศลสงเคราะห์ดูยิ่งใหญ่มาก แต่ยังพะวงใจอยู่กับภรรยา
    สิ่งที่ผู้ร่วมงานศึกษาสงเคราะห์เหนือกว่าใคร ๆ คือไม่สาละวนกับภรรยาเขาเตือนสติเธอถึงหกครั้ง แต่เธอไม่ฟัง
ฟ้องอย่าจนได้ เขาไม่ได้สะเทือนจึงเรียกว่า เหนือกว่าใคร คนทั่วไปเยาะเย้าว่าเขากลัวเมีย แต่ฉันว่าเขาเป็นจอหงวน
ในสามปกครอง (ปกครองจิตวิสัย ใจ กายของตนไว้ได้ )

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        สร้างงาน -- แต่งงาน

      ชาวโลกแต่งงาน คนชั้นสูงคำนึงถึงอิทธิพล ทรัพย์สิน เพื่อการเสพสุข คนทั่วไปคำนึงถึงหลักทัรพย์
เพื่อความเป็นอยู่ เจ้าสาวจะเรียกร้องเงินทองของแต่งจากพ่อแม่ เรียกร้องสินสอดจากฝ่ายชาย อย่างนี้ไม่มีธรรมะ
ผู้หญิงสมัยนี้มีความรู้ มีการศึกษา ถ้าแต่งกับคนชั้นสูงก็เกรงจะเหนื่อยกาย แต่งกับคนไม่มีหลักทรัพย์ก็เกรงจะยากจน
อย่างนี้ก็ไม่มีธรรมะ ถ้าผู้หญิงไม่เข้าใจความเป็นธรรมะอย่างถ่องแท้ ค่านิยมของชาวโลกก็จะแก้ไขยาก ธรรมะที่
ฉันสอนก็จะดำเนินได้ยาก
      ฉันหยิบยกเสริมส่งการแต่งงานประหยัดอย่างสูงส่งนั่นคือ เมื่อหญิงสาวจะออกเรือนไป อย่าได้เรียกร้อง
อยากได้สมบัติอะไรจากพ่อแม่แม้แต่เสื้อผ้าสักชุด เพื่อปรับเปลี่ยนประเพณีนิยม ผู้หญิงถ้ามีผู้ชายแล้วจะเห็นแก่ตัว
เอารัดเอาเปรียบเอาสามีมาเป็นสมบัติส่วนตัว ถ้าไม่ใช่เจ้ากี้เจ้าการควบคุมบงการ ก็จะห่วงหาอาวรณ์ ซึ่งก็ไม่ถูกต้อง
ฉะนั้นฉันจึงหยิบยกเสริมส่งให้ผู้หญิงสะสมเงินทองสร้างงาน เพื่อจะลบล้างสามอิงอาศัย (อาศัยพ่อ อาศัยสามี --
อาศัยลูกชาย )
       หยัดยืนใจให้ฟ้าดิน หยัดยืนชีวินเพื่อประชา สืบสานการศึกษาเพื่ออดีตอริยะ เบิกทางสันติภาพเพื่อ
โลกนิรันดร์กาล คติพจน์ที่ท่านปราชญ์จางเหิงฉวี ถ่ายทอดให้ไม่กี่ประโยคนี้ แสดงถึงปณิธานมุ่งมั่นของท่าน
ปราชญ์เจียงซีจาง ตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังเป็นเด็ก ซึ่งเป็นเด็กอัจฉริยะต่างจากเด็กทั่วไปจนได้รับการยกย่องว่า
""ทิพย์กุมาร""สำหรับความคิดของฉัน ผู้ชายสะสมเงินทองสร้างงานยับยั้งความโลภ แก่งแย่ง เช่นนี้คือ
สุภาพบุรุษแท้จริง ที่หยัดยืนใจให้ฟ้าได้ ผู้หญิงสะสมเงินทองสร้างงาน ไม่เป็นภาระแก่ผู้ชาย เช่นนี้คือ
สุภาพสตรีแท้จริง ที่หยัดยืนใจให้แผ่นดินได้ อยู่ในสถานภาพใดก็ให้เป็นคนอยู่ในสถานภาพนั้นก็คือได้หยัดยืน
ชีวินเพื่อประชา ทำได้ดังนี้ก็จะเท่ากับสืบสานการศึกษาเพื่ออดีตอริยะเบิกทางสันติภาพเพื่อโลกนิรันดร์กาล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      ขณะก่อร่างสร้างงาน เป็นภาวะทางโลก (ดิ้นรนต่อสู้) ขณะดำรงการงานคือภาวะทางธรรม(สุขุม มั่นคง)
เอาควาโลภแก่งแย่งเป็นหลัก คือทางโลก เอาความสมถะละเลี่ยงให้เป็นหลัก คือทางธรรม
      ฉันหยิบยกเสริมส่งให้สะสมเงินทองสร้างงาน แต่งงาน ประหยัดอย่างสูงส่งนั่นคือนำประชาไปสู่โลกทางธรรม
นำข้ามไปได้เขาก็จะเป็น""ธรรมประชา""แต่หากได้ชื่อว่าแต่งงานอย่างสูงส่งดังกล่าว แต่ใจยังโลภอยากแก่งแย่ง
หรือเมื่อสร้างงานหยัดยืนได้แล้วใจยังไม่รู้จักพอเพียงก็ยังจะคงเป็น""โลกียประชา""สรุปว่า..จะเป็นการดำเนิน
ตามภายในภายนอกก็ตาม ถ้าเป็นคนด้วยจิตวิสัยมุ่งมั่นตั้งใจดี ก็คือ""ธรรมประชา""
       เป็นคนด้วยใจกาย ก็คือโลกียประชา ก็ใช่หรือไม่เล่าที่ธรรมประชาเขาไม่ยึดหมายในรูป แต่จะปฏิบัติ
ด้วยความจริงแท้ เมื่อก่อนฉัยหยิบยกเสริมส่งสร้างงานก่อนแต่งงาน บัดนี้เลือกสรรค์ส่งเสริมผู้คนอีกให้ก่อเกิด
โลกธรรมะขึ้นมาใหม่
       ใคร ๆต่าง ดูหมิ่นงานที่ฉันทำเข้าใจว่าฉันฟุ้งซ่านหารู้ไม่ว่าที่ฉันถูกดูหมิ่นนั้น กลับเป็นความวิเศษในการ
ดำเนินธรรมของฉัน ตอนนี้ดูอย่างกับไม่สลักสำคัญอีกร้อยปีภายหน้า ก็จะรู้ว่าที่ฉันหยิบยกเสริมส่งนั้นล้วนเป็น
กลไกสำคัญที่สุด ต่อการปรับแปรสังคม
       ครูใหญ่""หลิวเอวิ๋นอย่ง""(หญิง) ไม่เพียงสะสมเงินทองสร้างงานของตนเอง ยังสร้างงานให้แก่พ่อแม่
ไม่เพียงตนเองไม่มีภาระัยังได้อุ้มชูคนแก่ขึ้นมาเธอเป็นแบบอย่างของลูกสาวได้ดีทีเดียว
       เมื่อก่อนฉันแนะนำให้ลูกสะใภ้สะสมเงินทองสร้างงาน เอาเงินดอกเบี้ยจำนวนเศษหนึ่งส่วนห้าของปี
ให้แม่สามีเพื่อทำความกตัญญูให้ถึงพร้อม
       คุณครูหญิง""หวังชูเอวี๋ยน""กลับเอาเงินที่ตนเองสะสมไว้ (เงินต้น)สร้างงานให้แก่แม่สามี ไม่ถึงสองปี
ต่อมาคุณครูหวังชูเอวี๋ยนสิ้นชีวิต แม่สามีไม่ต้องเป็นห่วงค่าใช้จ่ายอยู่กินจนถึงค่าที่จะต้องทำศพ อีกทั้งเมื่อ
หลังจากนั้นแล้ว เงินทองที่เหลือจากการสร้างงาน ยังมอบให้คนอื่นไปสร้างงานต่อไปอีกคน ตัวตายแต่คุณธรรม
ไม่ตาย ภายหลังฉันจึงได้รู้ว่าเธอทำดีมากทีเดียว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        เหตุต้นผลตาม
     ย่าของฉันเป็นคนโง่เขลา มีธรรมะ อารีอารอบ แต่ดูแลบ้านช่องได้ไม่ดี ย่าสะใภ้ของฉันไม่ยอมรับนับถือ ลูกสะใภ้ของย่าสะใภ้ร้ายกาจต่ออย่าสะใภ้ซึ่งเป็นแม่สามี ยิ่งกว่าที่ย่าสะใภ้ร้ายต่อย่าของฉันอีก เธอไม่พูดกับแม่สามีถึงสิบปี ตกรุ่นมาถึง มู่สูเสียน ซึ่งเป็นหลานสะใภ้ ตั้งแต่แต่งเข้าบ้าน ไม่เคยปรนนิบัติดูแลแม่สามีเลยสักนิด จนเมื่อแม่สามีตาย เธอจึงค่อยเปลี่ยนดีได้ จากจุดนี้ฉันจึงเข้าใจได้ว่า""ธรรมะถ้าเดินผิดไป ยิ่งผิดยิ่งไปไกล""ตกถึงหลาน
     ชาติก่อนผิดต่อคุณสัมพันธ์เบญจธรรมในธรรมะข้อใด ชาตินี้ก็จะขาดคุณสัมพันธ์เบญจธรรมสัมพันธ์ในข้อนั้น ชาติก่อนหากไม่กตัญญู ชาตินี้ก็จะขาดทายาท หากคุณสัมพันธ์เบญจธรรมสัมพันธ์เสียหายทั้งหมดห้าข้อ ชาตินี้ก็จะต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย
     บ้านสกุลหวัง ตำบลถวนซันจื่อ อำเภอเฉาหยัง เป็นญาติผู้ชายฝ่ายแม่ของฉัน แต่ก่อนทำบ่อถ่านหินภายหลังลูก ๆ ไม่ทำสัมมาอาชีพ วันหนึ่งฉันไปอรรถาธรรม ขากลับผ่านมาทางหมู่บ้านของเขา เขาถามฉันว่า ฉันมีบาปเวรอะไรลูกๆ จึงสูบฝิ่น ถลุงเงิน ไม่ทำสัมมาอาชีพ ฉันบอกว่า ก็เพราะคุณขูดรีดคนยากจนผียากจนจึงพากันมาเกิดในบ้านคุณ
     ก่อนที่ฉันจะรับช่วงเป็นเถ้าแก่บ่อถ่านหิน ทุกคืนคนงานจะได้กินข้าวหนึ่งชาม กินหมี่หนึ่งชาม (ทำงานจนดึกดื่น) แต่คุณว่ามันสิ้นเปลืองตัดให้เหลือแค่เต้าหู้คนละสองก้อน ต่อมาเต้าหู้สองก้อนก็ยังว่าไม่คุ้ม ต้องทำเต้าหู้เอง คนอื่นเขาทำเต้าหู้ใช้ถั่วเหลืองหนึ่งทะนานใหญ่ทำเต้าหู้หนึ่งร้อยก้อน แต่นี่ใช้ถั่วเหลืองเพียงสองกระบวยครึ่งยังจะทำเต้าหู้ให้ได้หนึ่งร้อยยี่สิบก้อนอย่างนี้ไม่ใช่ขูดรีดคนจนหรอกหรือ
     ทุกครึ่งวันตรุษสารท บ้านคุณทั้งเด็กและผู้ใหญ่ช่วยกันฆ่าหมูขายให้คนงาน ขายแพงกว่าราคาท้องตลาดโกงตาชั่งอีกต่างหาก คนงานจะไม่ซื้อก็ไม่ได้ แม้ขายยาสูบ ขายแป้ง ก็โกงเขาอย่างนี้ เพราะกลัวตัวเองจะยากจนใช้วิถีขูดรีดจากคนจน ฉะนั้นผียากจนจึงมาเกิดที่บ้านคุณ คุณทำตัวของตัวเอง ยังจะมาถามใครได้ ญาติฝ่ายแม่ของฉันคนนี้ฟังฉันแจงโทษผิดบาปให้แล้วเขาได้แต่ร้องไห้เดินหนีไป
      คนสูงศักดิ์ข่มเหงหยามเหยียดคนต่ำต้อย ภายหน้าเขาจะต้องต่ำต้อยโง่เขลาแน่แท้ คนร่ำรวยขูดรีดรังเกียจคนยากจนภายหน้าเขาจะต้องยากจนเป็นแน่ นี่คือ หลักธรรมชาติของสังสารวัฏ เหตุเพราะเขาได้ห่างจากความเป็นธรรมะของคนสูงศักดิ์ร่ำรวยเสียแล้ว เธอรังเกียจเขา เขาย่อมรังเกียจเธอ หากเธอรังเกียจคนโง่ คนโง่จะรังเกียจชิงชังเธอแน่นอน
      ทุกสิ่งอย่างล้วนเวียนวนเป็นวัฏจักรไม่ผิดต่อกฏเกณฑ์นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าทำก้ำเกินละอายแก่ใจต่อคน แม้แต่เดรัจฉานก็จะทารุณต่อเขาไม่ได้ เดรัจฉานแม้จะพูดภาษาคนไม่ได้ และเบื้องบนก็มิอาจบอกกล่าวแก่เราก็ตาม ปีนั้นทางการตามจับผู้ร้ายมาถึงหมู่บ้านไม่ได้โจรแต่กลับจับพลเมืองดี บังคับให้เขาพูดเท็จว่าโจรวิ่งเข้ามาซ่อนตัวในบ้านของฉัน เจ้าหน้าที่ยังจับฉันตี แต่ฉันไม่ได้ขัดเคือง ไม่ได้โกรธ จนกระทั่งเมื่อฉันได้เฝ้าสุสานบิดา (มีเวลาว่างค่อยคิดพิจารณา ) ฉันจึงนึกรู้ได้ว่าผลกรรมตามสนองฉันเคยโบยตีวัวควายอย่างแรงขณะใช้งาน สร้างกายกรรมย่อมชดใช้กรรมด้วยกาย
      ชาตินี้คับข้อง ชาติก่อนไม่คับข้อง ชาตินี้ปรักปรำ ชาติก่อนไม่ปรักปรำ ทุกเรื่องที่ต้องคับข้อง ล้วนเป็นเพราะไม่เข้าใจเหตุต้นผลตามสามชาติ ดูจิตวิสัยของเขาก็จะรู้เหตุต้นผลตามในชีวิตของเขา ชาตินี้ได้รับอะไรล้วนสั่งสมกรรมนั้นมาจากชาติก่อน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      รู้จิตวิสัยของชาตินี้คืออะไร ก็จะรู้ว่าชาติก่อนเขาเคยทำอะไรมา  ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุไฟ ชาติก่อนจะต้องมียศศักดิ์ ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุน้ำชาติก่อนจะต้องเป็นพ่อค้า ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุไม้ชาติก่อนจะต้องเป็นคนงาน  ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุดินชาติก่อนจะต้องเป็นเกษตรกร  ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุทองชาติก่อนจะต้องเป็นนักศึกษาผู้เรียนรู้  ชาติก่อนชอบล่าสัตว์เข่นฆ่าทำลายชีวิตเขาชาตินี้จิตวิสัยธาตุไฟจะร้อน  ชาติก่อนชอบตอบโต้ผู้ใหญ่ชาตินี้จิตวิสัยธาตุไม้จะหนัก  ชาติก่อนชอบโกหกหลอกลวงชาตินี้จิตวิสัยธาตุไฟก็จะแรง  ชาติก่อนชอบขัดเคืองเขาชาตินี้จิตวิสัยธาตุดินก็จะหนา
     ในจิตวิสัยของวัวควายมีแรงไฟโง่เขลา  ในจิตวิสัยของสุนัขมีพลังอินของธาตุไม้ มันจึงปรากฏอาการของมันอย่างนั้นมันจึงได้รับความทุกข์ตามสภาพของมันอย่างนั้น หากแปรสลายธาตุจิตวิสัยนั้นไปได้ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ในสภาพเดรัจฉานได้
     ซ่งเสี่ยวเซิง ถามฉันว่าชาติหน้าผมจะต้องไปเิกิดเป็นอะไร  ฉันตอบว่า ชาติหน้าท่านจะต้องไปเกิดเป็นเถ้าแก่มือรอง ไม่มีอำนาจไม่มีสถานภาพเพราะใจของท่านกลวงโบ๋ หากพูดเท็จ ทำการเท็จ สร้างกุศลเท็จ เพียงเพื่อรับสรรเสริญแม้จะได้ไปเกิดเป็นเทวาอารักษ์ก็จะเป็นมือรอง (ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีสถานภาพ) หากเกิดเป็นคุณนายก็จะต้องเป็นอนุภรรยา
     คนเป็นสัตว์ประเสริฐ ทุกชีวิตล้วนอาจเกิดเป็นคน บำเพ็ญต่อไปก็จะได้เป็นพุทธะเทวา แต่น่าเสียดายที่คนนั้นหลงเสียแล้วจะต้องเวียนไปเิกิดเป็นเดรัจฉานอีก จึงเกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น
     คนหากฟุ้งซ่าน ทิฐิยึดหมาย ก็คือเวียนว่ายไม่จบสิ้นเป็น คน ไม่เป็น ไม่กระจ่างทางธรรมใจก็จะไถ่ถอนจากสังสารวัฏไม่ออกไม่พอใจ ไม่พอเพียง จิตดำริก็จะไถ่ถอนไม่ออก สรรพสิ่งยึดหมายไม่ว่างเปล่าได้ เรื่องราวค้างคาไม่หมดจดจิตมุ่งมั่นก็จะถูกผูกโยงไถ่ถอนไม่ออก ทำการหนึ่งจะต้องให้จบสิ้นต่อการหนึ่ง ดำเนินข้อธรรมหนึ่งให้จบสิ้นต่อข้อธรรมหนึ่ง รอดเข้าออกเป็นอิสระได้ไม่ถูกร่างแหโลกีย์ตรึงให้หลงจึงจะไถ่ถอนตัวออกมาได้
     ใจเป็นรากต้นที่ก่อเกิดเหตุและผลของกรรม หากมีความเห็นแก่ตัว ยึดหมาย กังวลแม้แต่น้อยนิดในใจก็จะมีเงาดำก็ไม่อาจหลุดรอดจบสิ้น ก็จะหนีไม่พ้นวงเวียนกรรม
      ใจทางโลกจึงต้องให้ตายสนิท ตายสนิทจึงจะขาดสิ้นจากรากต้นของ""เหตุอันก่อผล"" เรื่องราวทุกอย่างไม่มีที่จะไม่มาจากเหตุก่อผลเรื่องขัดฝืนมาถึงตัว หากยิ้มรับผ่านไปได้ ให้คิดเห็นว่ามันสมควรต้องเป็นเช่นนั้น เรื่องก็จะจบสิ้นผ่านไป แต่หากรับไม่ได้ทนไม่ไหว ในใจเกิดแรงคับแค้นขัดเคือง ต่อต้าน แม้เรื่องราวนั้นจะผ่านเลยไปได้แต่ภายหน้ายังจะต้องมีเรื่องขัดฝืนมาใหม่นั่นคือ""เหตุก่อผล"" อันต้องรับไว้ยังมิได้ให้มันจบสิ้นไป
      วิญญาณได้มาจากยมโลก จะรู้จักแต่โลภอยากแย่งชิง จึงมืดมัว
      จิตญาณได้มาจากฟ้าเบื้องบน จะรู้คุณสัมพันธ์ รู้จริยะ ละเลี่ยงให้ จึงใสสว่าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       คนเกิดได้ด้วยสามโลก  ฟ้าประทานจิตญาณ  แผ่นดินประทานชีวิต  พ่อแม่ให้กำเนิดรูปกาย  จึงกล่าวได้ว่าสามโลกเป็นที่มาของคน จิตญาณดำรงหลัักธรรมฟ้า  ใจดำรงหลักเหตุผล  กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรม จึงจะกลับคืนไปสู่ต้นรากที่มาได้ คนรู้แต่เพียงตัวฉันนี้ไม่รู้จิตญาณจากฟ้า ตัวฉันไม่รู้มีหนึ่งตัวฉันในนรกภูมิ
       เมื่อจิตญาณที่หลงไปได้กล่อมกลายฟื้นฟูแล้ว จิตญาณบริสุทธิ์สูงส่ง ตัวฉันจะได้มรรคผลยังเบื้องบน เมื่อหลักเหตุผลกระจ่างแจ้งแก่ใจตนแล้ว อีกหนึ่งชีวิตตัวฉันในนรกภูมิสูงส่งขึ้นเป็นคนบนโลก จึงกล่าวว่า คนมีสามกาย เสียดายที่ใคร ๆ ไม่รู้กัน
       ที่ฉันพูดว่า จิตวิสัยจะต้องดำรงหลักธรรมฟ้า ใจดำรงหลักเหตุผล กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรมนั้น เป็นอย่างเดียวกับไตรสรณะของศาสนาพุทธ เป็นอย่างเดียวกับสามวิเศษของธรรมศาสนา และเป็นอย่างเดียวกับสามปกครองของศาสนาปราชญ์ ไตรสรณะของศาสนาพุทธก็คือ จิตญาณ ใจ กาย  จิตวิสัยในจิตญาณ ดำรงหลักธรรมฟ้าก็คือ พุทธังสรณังฯ ใจดำรงหลักเหตุผลก็คือธรรมมังสรณังฯ กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรม ก็คือสังฆังสรณังฯ
       สามวิเศษของศาสนาเต๋า (ธรรมศาสนา) คือจิตญาณ ใจ กาย  จิตวิสัยในจิตญาณ เบิกบานงดงามเต็มเปี่ยมอยู่กับสัจธรรม
ใจเบิกบานงดงามพร้อมอยู่กับหลักเหตุผล กายเบิกบานงดงามพร้อมอยู่กับทำนองคลองธรรม
       สามฐานะคุณธรรม ของศาสนาปราชญ์ คือจิตญาณ ใจ กาย  จิตวิสัยในจิตญาณดำรงหลักธรรมฟ้าจะมีธาตุแท้กรุณาธรรม ใจดำรงหลักเหตุผลจะมีปัญญาธรรม  กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรมจะมีความหาญกล้า มีสามฐานะคุณธรรมเท่ากับดำเนินสามปกครองตน
       สามโลกก็คือสามศาสนา ศาสนาปราชญ์ (ขงจื้อ) เริ่มจากหยัดยืนสวรรค์สร้างชีวิต  ศาสนาเต๋า (เหลาจื้อ ) ธรรมศาสนาเริ่มจากฝึกฝนกายธาตุภายใน  ศาสนาพุทธเริ่มจากกล่อมเกลาจิตวิสัยในจิตญาณ
       จิตวิสัยในจิตญาณดำรงหลักธรรมฟ้า จะต้องอ่อนโยน  ใจดำรงหลักเหตุผลจะต้องราบเรียบสมาน  กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรมจะต้องอดออมน้อมรับ
       หมื่นศาสนา ทุกศาสนาเอาคนเป็นฐานของศาสนา  คนมีสามฐานคือฐานของจิตญาณ  ฐานของใจ  ฐานของกาย  เมื่อคนลืมฐานของตนจะไม่อาจหยัดยืนอยู่ได้ ดังคำที่ว่า""ฐานหยัดยืนนำ ธรรมตามก่อเกิด"" กายคือสิ่งสนองรับสนองตอบต่อสรรพสิ่ง มีอะไรที่ทำไม่เป็น ทำไม่ได้เช่นการงานจะต้องพากเพียรเรียนรู้  ใจดำรงหลักสรรพเหตุผล รู้เขารู้เรา  รู้รุกรู้ถอย  รอดผ่านไปได้ก็จะไม่ยาก  จิตญาณเป็นที่รวมภาวะวิเศษศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลไว้ จะต้องกระจ่างชัดต่อหลักธรรมฟ้า เข้าถึงกาลเวลาฟ้าเอาพระโองการฟ้าเป็นเจ้าเป็นหลักครองชีวิต  ดำเนินตามหลักฟ้า จึงจะนับว่าหยัดยืนอยู่ได้บนฐานของชีวิต
       จิตญาณ ใจ  กาย  สามโลกนี้ หากไม่ปกติสุขเป็นเพราะในสามโลกนั้นมีผู้ร้ายคือ ๑.จิตวิสัยโกรธ แค้น ขัดเคือง กิเลส  ๒.ใจมีตัณหา เห็นแก่ตัว  ๓.กายมีอบายมุข  อยากให้สามโลก (จิตญาณ ใจ กาย )เป็นปกติสุขจะต้องเอาหลักธรรมฟ้าจับผู้ร้ายในจิตญาณตน เอาหลักเหตุผลจับผู้ร้ายในใจตน  และเอาทำนองคลองธรรมจับผู้ร้ายในกายตน


Tags: