collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋  (อ่าน 29645 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 30/07/2010, 05:18 »
เข้าถึงความเป็นไปของยุคกาล   คือพลังอยาง   ธาตุไฟ
เชื่อกฏแห่งกรรม                   คือพลังอยาง   ธาตุดิน
หาความดี                           คือพลังอยาง   ธาตุทอง
ยอมรับผิด                           คือพลังอยาง   ธาตุน้ำ
อดทนอดกลั้นได้                   คือพลังอยาง   ธาตุไม้
แท้จริงนี่คือ ธาตุแท้ของธาตุทั้งห้า ความเป็นไปของยุคกาลปัจจุบัน วิสัยจิตใจของทุกคนล้วนมีไฟ วิสัยไฟคือ
โลภ ชอบชิงเหตุผล ชาวโลกจึงโลภอยากกันไม่รู้จักพอ ทำสงครามกันไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ชิงไม่โลภ คือ
พลังอยางธาตุไฟแท้จริง  พลังอยางธาตุไฟแท้จริงจึงจะเข้าถึงความเป็นไปของยุคกาล(จะไม่โลภ ไม่แย่งชิง)   
พูดธรรมะรักษาคนป่วย น้องสะใภ้เกี่ยวดองของฉันป่วยหนัก ทุกคนบอกว่าเข้าขั้นอันตรายมาก ฉันรู้ว่าเธอป่วยเพราะ
ไม่พอใจสามีและแม่ของเขา จึงไปตักเตือนว่า"แม่สามีกับสามีเป็นฟ้าของเธอ เธอไม่พอใจก็คือทำร้ายฟ้าของเธอเอง
ถึงแม้สามีจะจู้จี้วุ่นวาย แต่ก็ด้วยอยากให้เธอดี จะขุ่นเคืองได้ยังไง"พูดถึงตรงนี้เธอพยักหน้า ฉันรู้ว่าความคิดของเธอ
ถูกต้องกลับมาแล้วแต่รู้ว่าเธอยังอาจไม่หายป่วย ฉันเตือนน้องชายผู้เป็นสามีของเธอว่า ฉันรู้ว่าความคิดถูกต้อง
ของภรรยาเธอกลับมาแล้ว แต่ใจยังไม่กลับมา ใจของเํธออยู่กับลามะ (พระธิเบตที่รักษาป่วยไข้)น้องชายจงไปรับ
ท่านลามะมา ไม่ต้องกินยาก็หาย น้องชายไปทำตาม แล้วเธอก็หายป่วยจริง ๆ จึงเห็นได้ว่าขจัดใจหมกมุ่นไป
เหมือนได้กินยาวิเศษ
       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 2/08/2010, 01:08 »
ในใจคิดถึงแต่ความไม่ดีของคนอื่นคือ ใจป่วย โมโหบ่อยๆ คืออารมณ์ป่วย ใจป่วยจะทำให้อารมณ์ป่วยตาม
อารมณ์ป่วยจะทำให้กายป่วยกลับกันเสียป่วยก็จะหาย จากประสพการณ์ที่ฉันพูดแก้ป่วยพบว่าเกิดได้ป่วย
ในบ้านจะไม่หายถ้าไม่ได้ออกจากบ้าน เกิดได้ป่วยจากนอกบ้านจะไม่หายถ้าไม่ได้กลับเข้าบ้านเพราะ
ความป่วยฝังอยู่ในใจ ไม่จบสิ้นความในใจป่วยจะไม่หาย เจ็บป่วยเป็นความทุกข์หากเธอทำเหมือนมีความสุข
นานวันเข้าความสุขจริงๆก็เกิดขึ้น พลังอินอับเฉาในใจก็จะเหมือนควันกลุ่มหนึ่งลอยออกไป โรคภัยหายหมด
ดังคำพังเพยว่า"สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาชัดๆปีศาจก็หนีหาย" ความสุขคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอินคือปีศาจ พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ปรากฏชัด ปีศาจย่อมต้องลี้หายอยู่เอง คนที่เจ็บป่วยตายล้วนมีบาป คนที่ตายไปสู่โลกเบื้องสูงคือตายอย่างมีความสุข
จึงไม่ต้องร้องไห้แก่เขา ธรรมะไม่ห่างจากคน ฉันอรรถาธรรมทุกวันหากไม่แจกแจงคนจะมีธรรมะได้ที่ใหนศึกษาธรรม
ไม่มุ่งใจฟังหลายๆครั้งเข้ากลับจะรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรไม่เห็นความสำคัญของการเป็นคนไม่ค้นหาความไม่ดีของตน
เอาแต่ดูความผิดเขาอื่นลืมตนเองเสียสิ้น ตั้งแต่เล็กที่เราเป็นหลาน เป็นลูก จนเป็นพ่อแม่ที่มีลูกเป็นปู่ที่มีหลาน
ตลอดชีวิตที่เป็นมาเราเป็นไม่ถูกเลยสักฐานะเดียว ข้อธรรมหนึ่งเดียวก็เดินไปไม่ถูกเกิดมาวุ่นวายตายไปเสียเปล่า
คนจึงเหมือนถูกโยนทิ้งสูญสิ้นไปไร้ค่าโลกจึงต้องเสียหายไปจากเหตุที่เป็นเช่นนี้ ฉันเห็นชาวโลกช่างน่าขัน
ไม่ใช่ก้าวก่ายบงการเรื่องของลูก ก็ก้าวก่ายบงการเรื่องของภรรยาอีกทั้งพี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว ญาติ
เพื่อนฝูง เพียงแค่มีส่วนเกี่ยวข้องกันหน่อยก็ชอบที่จะไปจัดการก้าวก่ายแต่ไม่รู้จักที่จะจัดการกับตัวเอง
ดูเถิดชาวโลกโง่กันขนาดใหน คนที่อยู่ในกรอบคุณสัมพันธ์ห้ากับคุณธรรมห้าเบญจธรรม(อู่หลุน อู่ฉัง)จะเคารพรัก
ซึ่งกันและกันจะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมในตนเต็มที่ทุกอย่างเป็นไปโดยตนเองเป็นเองพูดง่ายๆคือธรรมะเป็นถึงความที่สุด
ไม่ใชเล่นหลอก พ่อแม่เมตตากรุณาถึงที่สุด ลูกกตัญญูถึงที่สุด พี่น้องปรองดองถึงที่สุด ล้วนเป็นด้วยตนเอง
จึงจะเรียกว่าถึงที่สุดของความเป็นธรรมะ ถึงที่สุดของธรรมะด้วยตนเองจึงจะเป็นกุศล ถ้าเล่นหลอกก็คือชั่วร้าย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 4/08/2010, 09:33 »
สมัยนี้ที่ครอบครัวแตกแยก ก็เพราะธรรมะเล่นหลอกกันมาก ธรรมะถึงที่สุดมีน้อย เหมือนคนถวงหนี้มีแยะคนที่จ่ายหนี้
มีน้อย อย่างนี้จะไม่ให้ทะเลาะกันได้อย่างไร สมัยนี้คนชอบเดินลงต่ำ คนแก่วิ่งเต้นทำมาหากินทั้งกลางวันกลางคืน
ลูกชายเที่ยวแตร่ไม่ทำงาน อะไรก็ทำไม่เป็น เป็นคนว่างเคว้งคว้าง ลูกสาวอาศัยพ่อแม่ โลภอยากแย่งชิงคับข้องใจ
จะมีเรือนไปก็จะเอาเงินทองของแต่ง เอาสินสมรสมาก ๆ ไม่พอก็เคืองพ่อแม่ เคืองสามี เคืองพ่อแม่สามี มีแต่แรง
ขัดเคืองเต็มอก อย่างนี้จะไม่กลายเป็น "นางขัดเคือง"ไปหรือ ต่อไปโลกจะแปรเป็นมหาเอกภาพ บ้านเมืองจะไม่มี
คนเคว้งคว้าง ในบ้านจะไม่มี "นางขัดเคืองระทมทุกข์" หญิงไม่อาศัยชาย ชายไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้หญิง ชายหญิง
ต่างยืนหยัดได้ด้วยตน เสมอภาคจริงแท้ ไม่มีชายนอกบ้าน ไม่มีหญิงหมกตัวอยู่แต่ในครัว เช่นประเพณีเก่าแก่อีก
ต่อไป จึงเรียกว่า "มหาเอกภาพ" ชาวโลกช่างไม่มีน้ำใจ เริ่มต้นชีวิตก็กินแม่ โตขึ้นหน่อยก็กินน้ำพักน้ำแรงพ่อ
พอมีกำลังความสามารถแล้ว ก็ทิ้งพ่อทิ้งแม่ไป เลี้ยงดูภรรยา ถ้าฐานะร่ำรวย ลูก ๆ ยิ่งทุ่มตัวพิงพ่อแม่เต็มที่ ทั้งกิน
อยู่ใช้จ่าย โดยยึดเป็นสิทธิพึงได้จนกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะถูกแบ่งถูกถลุงกันไปไม่เหลือจึงจะแยกย้ายกันไป
คนละทิศคนละทาง เหมือนเจ้าแมงมุมน้อยทั้งรังที่กินแมงมุมใหญ่จนหมดทั้งตัวแล้วจึงจะยอมจากไป
ครอบครัวสมัยก่อนเขาต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ชายพึ่งพาอาศัยหญิง หญิงพึ่งพาอาศัยชาย พ่อพึ่งพาอาศัยลูก
ลูกพึ่งพาอาศัยพ่อ อาศัยกันจนทนรำคาญใจไม่ไหวแล้ว ก็จะเกิดการตำหนิ ขัดเคือง เกี่ยงกัน ถึงกับทะเลาะ
ถกเถียงทำร้ายกัน อย่างนี้ถ้าไม่ปรับแปรระเบียบครอบครัว ไหนเลยจะมีความสุขได้  ธรรมะอยู่ตรงหน้าเรา อยู่ใน
ตัวเราคือหลัก หลักตั้งมั่น ความเป็นธรรมะก็แสดงออกเช่นพี่น้องกันให้ถามแต่ตัวเองว่า "ตัวเราใจกว้างหรือไม่
ไม่คำนึงว่าน้องเคารพเราไหม" คนที่เป็นสามีให้ถามแต่ตัวเองว่า"ตัวเรามีจิตสำนึกถูกต้องไหม ไม่คำนึงว่าภรรยา
จะโอนอ่อนหรือไม่" อย่างนี้จึงเป็น"ตั้งหลัก" หลักตั้งมั่นแล้วความเป็นธรรมะก็จะสำแดงออกมาได้เอง คนสมัยนี้
ชอบก้าวก่ายบงการเรื่องของคนอื่น แม้จะถึงตายก็ยอม อะไรจะโง่ปานนั้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 5/08/2010, 08:14 »
    คนมีชีวิตจิตญาณ ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด แต่ "นึกคิด" ต้องไม่ให้เกินฐานะความเป็นจริง เช่นคนเป็นพ่อ ก็ต้อง
นึกคิดธรรมะของความเป็นพ่อ  เป็นลูก ก็ต้องนึกคิดธรรมะของความเป็นลูก  เช่นนี้แล้วครอบครัวจะไม่อบอุ่น
ด้วยพ่อเมตตา ลูกกตัญญู หรือ ฉันพูดเสมอว่า "คนใกล้ตัวจะให้ห่างหน่อย คนไกลตัวให้เข้าใกล้หน่อย" เพราะ
คนใกล้ตัว ใกล้ตัวแล้วจะชอบรังแกกัน อีกทั้งดวงเธอดีร้ายก็ต้องยอมรับ จะเปลี่ยนแปลงดวงได้ก็ด้วยคุณธรรม
กล่อมเกลาเท่านั้น
     คนอยู่ใกล้ ดีก็พูดไม่ได้ ร้ายก็พูดไม่ได้ ห้ามคิดอีกด้วย เตือนได้ แต่ยุ่งเกี่ยวบงการเรื่องของเขาไม่ได้
เตือนก็ต้องคำนวนครั้ง เตือนภรรยาได้เพียงหนึ่งครั้ง เตือนลูกหญิงชายได้สามครั้ง เตือนพี่น้องกันสี่ครั้ง
เตือนเพื่อนฝูงห้าครั้ง เตือนพ่อแม่ไม่มีจำนวนครั้ง  คนใกล้ชิด ใกล้แล้วคือหัวใจ คนห่างไกล ใกล้แล้วคือ
ความตั้งใจ  สำหรับเทพเทวานั้นท่านใกล้ทุกสิ่งใกล้แต่ไกลห่าง พุทธะคือไกลกับทุกสิ่ง ไกลแต่อยู่ใกล้
เช่นทุกคนเคยไกลที่รู้สึกต่อฉันล้วนเป็นคนใกล้แล้วไม่ใช่หรือ
      รู้หยุด คือรู้คำนวน รู้จักพอดี ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำอะไร หากไม่รู้หยุดจะต้องงแย่ ชอบกินเนื้อสัตว์
กินมากไปทำร้ายร่างกาย ชอบเหล้าบุหรี่ทำให้เสพติดมึนเมามีภัย ชอบทำงานทำมากไปหน่อยถูกงาน
ผูกพันดิ้นไม่หลุด ถูกคนเกาะติดวางไม่ลง ถูกสรรพสิ่งเป็นภาระผูกพันแยกตัวไม่ออก ล้วนกลายเป็นคนหลง
คนไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อใครเพียงคนสองคน เป็นเจ้านายต้องคำนวนการรวย ก็ต้องคำนวนไปบ้านใคร ก็ต้อง
คำนวนการบ่อยครั้ง กตัญูต่อพ่อแม่ยังต้องคำนวนการ สร้างรากฐานเป็นปึกแผ่น ให้พ่อแม่ภูมิใจหายห่วง
ก็ถือว่ากตัญญูถึงจุดหมายแล้ว ฉันว่าคนที่ไม่รู้หยุดล้วนไม่รู้คำนวนการ
       ในคัมภีร์คุณธรรม (เต้าเต๋อจิงของท่านเหลาจื่่อ) จารึกไว้ว่า"รู้หยุดจะไม่หายนะ" แต่คนทั่วไปไม่ยอม
รู้หยุดต่อเรื่องราวจึงไม่ได้ธรรมะ มักเข้าใจว่า "หยุดคือเสียหาย" หารู้ไม่ "หยุดในความเป็นจริง" ไม่มีความ
เสียหายแน่แท้ หยุดด้วยเห็นสัจธรรม ไม่รู้หยุดจะเหมือนนั่งรถไฟ ทัศนียภาพผ่านสายตาไปเห็นได้ไม่ชัดจริง
        ลูกหญิงชายไม่ดีเพราะใจเธอไม่ดี ภรรยาไม่ดีเพราะชะตาชีวิตของเธอไม่ดี พี่น้องไม่ดีล้วนเป็นไปตาม
ชะตากรรมที่ทำไว้ คนสมัยนี้ ตัวเองไม่ดีหวังให้คนอื่นเขาดีเสียก่อน เกรงแต่ว่าผู้อื่นไม่ดี เห็นเขาไม่ดีก็ทุกข์
เศร้ากลัดกลุ้มถึงกับโกรธ ตบตี ช่างไม่รู้ชะตาชีวิตตนเลย
        ฉันเป็นชาวนา เห็นข้าวเกาเหลียงที่เติยโตในที่นา ที่สูงก็สูงเกิน ที่เตี้ยก็เตี้ยเกิน ก็จะเก็บเกี่ยวไม่ได้มาก
จะต้องให้เขาเติบโตเสมอกัน จึงจะเก็บเกี่ยวได้ข้าวเกาเหลียงจำนวนมาก ครอบครัวก็เช่นกันผู้มีความสามารถก็
จะสูงส่ง ไม่มีก็จะต่ำต้อย หากผู้สูงส่งก็สูงส่งของตนไป ต่ำต้อยก็ต่ำต้อยอยู่อย่างนั้น คนในบ้านก็จะเหลื่อมล้ำ
จะต้องอุ้มชูเสริมส่งกัน ครอบครัวจึงจะพร้อมพรัก
         ลูกชายเป็นหลักใหญ่อยู่ในบ้าน ให้รู้ว่าพ่อแก่ แม่แก่ เป็นชีวิตฟ้าบารมีคุ้มหัว พี่น้องเป็นชีวิตบุญเก่า
เคยอุ้มชูกันมา  ภรรยาคือชีวิตอิน อิน - หยางคู่กัน  คนสมัยนี้ใส่ใจแต่ชีวิตอิน(ภรรยา) ไม่ใส่ใจชีวิตฟ้า(พ่อแม่)
ชีวิตชาวโลกจึงตกต่ำ ชีวิตคือเกียรติคุณ  เกียรติคุณเที่ยงตรง ชีวิตก็จะเที่ยงตรง เมื่อชีวิตเที่ยงตรงจิตญาณ
ก็จะงดงาม สอนคนจึงสำคัญที่จิตญาณและชีวิต
          คนที่เป็นพ่อแม่ ครูอาจารย์ อบรมลูก อบรมศิษย์ จะต้องหยิบยกคุณความดีของบรรพชนบ่อย ๆ ไม่เอา
คุณความดีของท่านแต่ก่อนเก่ามาเล่าสอนคือเพิกห่างทางธรรม  ปัจจุบันโรงเรียนสอนแต่ความรู้วิชาการ อีกทั้ง
ว่าคนแก่คร่ำครึ เมื่อสร้างเหตุแห่งกรรมดังนี้ ลูกหลานยิ่งเรียนสูงจึงยิ่งดูถูกคนแก่เฒ่า ปลูกฝังให้ผิดต่อคุณธรรม
ความกตัญญู ปรองดอง จริยธรม คนกลัวต้องผจญกับวันเวลาอันต่ำต้อยเลวทราม ถ้าไม่รู้ชีวิตอย่างนี้
วันเวลามันจึงเลวทราม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      ทุกคนมีธรรมะอยู่กับตัว ไม่ต้องไปแสวงหาที่ใดจากภายนอก จะต้องเอาชนะตนเองเสียก่อน อย่าบงการ
จุ้นจ้านก้าวก่ายเรื่องของเขา ควบคุมคนอื่นจะไม่ถึงแก่นแท้ได้ ควบคุมตนเองต่างหากจึงจะถึงที่สุด ตัวเองไม่จริง
ถึงที่สุดผู้คนไม่ยอมรับนับถือทุกคนรู้จักพูดว่าเคารพฟ้าดิน กตัญญูต่อพ่อแม่ ฉันว่าจะเคารพฟ้า ก่อนอื่นต้องชำระ
จิตญาณตนไม่ชำระจิตญาณตนไม่อาจกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างแท้จริงได้
      จะเคารพดิน จะต้องทำใจให้หมดจดเสียก่อน จิตใจไม่หมดจดไม่อาจกตัญญูต่อพ่อแม่ได้ จิตใจจิตญาณ
ไม่ชำระให้หมดจดแล้วจะบอกว่ากตัญญู เท่ากับด่าคน วางตัวเป็นคนให้ถูกต้องไม่เป็น จะไม่นับว่ากตัญญู ผู้คน
ไม่ยอมรับนับถือ ไม่นับว่ากตัญญู เป็นคนให้ดี ทำการงานให้ดี ให้เขายอมรับนับถือจึงนับว่ากตัญญู
       ทำตัวเป็นคนได้ คือรวมหมื่นญาณศักดิ์สิทธิ์ไว้กับตัว ทำตัวเป็นคนไม่ได้ เท่ากับกระจายหมื่นญาณในตัว
ออกไป เห็นใครคนหนึ่งก็ให้ปลงเห็นสัจธรรมในความเป็นคนคนนั้น เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ปลงเห็นหลักของความ
เป็นจริงของสิ่งนั้น คุณสมบัติกับความไม่เที่ยงแท้ เรียกว่า "รวมหมื่นญาณ" ไว้ในตน เข้าในธรรมะของคนตรง
หน้าได้ (รู้เขารู้เรา) จึงจะได้ความเป็นคนอย่างแท้จริง
       ไม่เข้าใจธรรมะในตัวผู้ใด ก็ผิดต่อผู้นั้นต่อสรรพสิ่งก็เช่นกันไม่เข้าใจธรรมะของความเป็นพ่อความเป็นภรรยา
สามี ล้วนผิดต่อเขา หาความเป็นธรรมะได้หนึ่งด้าน คือเอาชนะตนเอง จะต้องรู้จักรับผิดไม่หาความผิดเขา อย่าว่า
พ่อแม่ไม่เมตตา ต้องถามว่าตนเองกตัญญูหรือไม่ อย่าถามว่า พี่น้องสำนึกดีต่อกันหรือไม่ ให้ถามตนเองว่า
ปรองดองไหม ไม่ฝักใฝ่ว่าใครดีไม่ดี จงถามตัวเองว่าจริงใจไหม มุ่งมั่นจริงใจซาบซึ้งถึงพุทธะ เจตนาจริงใจ
ซาบซึ้งถึงเทพยดา ความรู้สึกจริงใจ ซาบซึ้งถึงคน อาการจริงใจ ซาบซึ้งถึงสัตว์
        ใครเขาไม่พอใจ ก็เพราะเธอขาดความสามารถ   ใครเขาไม่สนับสนุนเธอ เพราะเธอใช้การไม่ได้
หากเธอดูถูกดูแคลนใคร คือเธอใจแคบ  จะกตัญญูต้องเริ่มจากจิตญาณ จิตใจ ร่างกาย  ไม่ปรับแปรจิตญาณ
ไม่อาจกตัญญูโดยจิตญาณ ใจไม่ศรัทธาแท้ใจไม่อาจกตัญญู  กายไม่บำเพ็ญกายไม่อาจกตัญญู
        จะกตัญญูให้ถึงที่สุดจริงแท้ จะต้องชำระสามโลก คือโลกของจิตญาณส่วนลึก  โลกของจิตใจส่วนรู้
โลกของร่างกายส่่วนเคยทำ คนที่อยู่กับโลกกายสังขารรู้จักแต่จะกิน จะแต่งตัว จึงเข้าใจว่าให้เสื้อผ้าอาหาร
แก่พ่อแม่เป็นความกตัญญูยิ่งแล้ว นี่คือ "กตัญญูกาย"  คนที่อยู่กับโลกของจิตใจรู้แต่ความรู้สึกเจตนาจึงตาม
ใจพ่อแม่โดยคิดว่าเป็นความกตัญญู นี่คือ "กตัญญูใจ"
         คนในโลก กายกับใจ ชอบที่จะคิดถึง ห่วงหาใคร ๆ จึงเข้าใจว่า คิดถึงห่วงหาพ่อแม่ เป็นความกตัญญู
ไม่รู้ว่าคิดถึงตัวของพ่อแม่ แต่ไม่คิกถึงธรรมะจะเป็นการเพิ่มโทษบาปให้พ่อแม่ ใจของเธอไม่สบาย ท่านจะ
สบายใจได้อย่างไร คนในโลกเจตนาดำริเอาความสุขเป็นหลัก เขาจึงเอาการทำให้พ่อแม่เป็นสุขเป็นความ
กตัญญูยิ่ง คนในโลกของจิตมุ่งมั่นจะไม่ถูกกำจัดอยู่กับรูปแบบ ในใจมีความมุ่งมั่นของพ่อแม่ทำให้ท่านวางใจ
ไม่ต้องกังวลห่วงใย กตัญญูมุ่งมั่นจึงจะเป็นกตัญญูแท้จริงจะต้องก่อฐานบรรลุธรรมแด่ท่าน คือส่งท่านให้ถึง
พุทธภูมิ จึงจะนับว่ากตัญญูถึงที่สุด
                 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 7/08/2010, 06:13 »
       คนใช้ใจคิดถึงห่วงหาพ่อแม่ เท่ากับฆ่าพ่อแม่ของเขา จะต้องตัดเยื่อใยสัมพันธ์(ไม่ให้พ่อแม่ห่วงหาอาวรณ์)
กตัญญูด้วยจิตมุ่งมั่น จึงจะเป็นลูกกตัญญูแห่งพุทธภูมิ  ใจเรียก ใจห่วงหาโดยไม่รู้ดีร้าย ความคิดถึงห่วงหาร้ายกาจ
ยิ่งกว่าด่าตีท่านเสียอีก ทำการใดไม่รับผิดชอบจริงจังต่องานนั้น คือผิดต่อฟ้า ก็คือไม่กตัญญู
       มีคนถามฉันบ่อย ๆ ว่า "ความกตัญญูทำอย่างไรจึงจะถึงที่สุด" ฉันว่า จะต้องเริ่มจากจุดที่พ่อแม่ขาดพร่อง
ที่ท่านมีความลำบาก ที่ท่านทุกข์ใจห่วงใย เธอไม่ช่วยจัดการก็ไม่นับว่ากตัญญูถึงที่สุด
       ถ้าพ่อแม่มีความผิดลูกต้องเติมเต็มให้  แม่ฉันเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ด้วยเกรงว่าคนในตระกูลจะรังเกียจรังแก
และทำให้ลูกหลานต้องพลอยลำบากไปด้วย แม่จึงไม่กล้ารับเอาคุณตาซึ่งเหลืออยู่เพียงลำพังท่านเดียวมาเลี้ยงดู
ภายหลังฉันได้รู้ถึงความผิดนี้จึงรีบไปรับคุณตามาเลี้ยงดูทันที ไม่เพียงไม่ต้องการที่ดินเป็นสินน้ำใจตอบแทน
การเลี้ยงดูจากคุณตา ซ้ำท่านยังมีหนี้สินติดตัวมาด้วย ซึ่งถึงอย่างไร ฉันก็จะเลี้ยงดู นี่คือการเติมเต็มหรือปะรูรั่ว
ให้แก่พ่อแม่ กายคือตัวของตน  ใจคือลูก  เจตนาดำริคือพ่แม่  ขวัญคือปู่ย่า
        อยากรู้ว่าลูกจะดีหรือเลว ให้ดูใจตนว่าเที่ยงตรงหรือไม่ คนถ้าไม่มีความสุข ชอบเหลวไหล เผลอไผล ก็คือ
เจตนาดำริไม่บริสุทธิ์ใจ ซึ่งพ่อแม่ของเขาไม่ดีแน่นอน ฉันจึงบอกว่าปกครอง (เยียวยา)โลกนี้ไม่พ้นจากตัวของตน
ใครคนหนึ่งถามฉันว่า "เตี่ยฉันชอบเที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน เสียทรัพย์ เสียสุขภาพ ฉันจะทำอย่างไรดี"
ฉันบอกเขาว่า เธอทำได้แค่วิธีสะท้อนกล่อมเกลาให้เตี่ยซาบซึ้งเท่านั้น
        ฉันมีอาในสกุลคนหนึ่งเมื่อก่อนก็ทำอย่างนี้ น้องชายคือลูกของอาคนนี้ ก็ถามว่าจะทำอย่างไรดี ฉันบอกว่า
"ให้พูดต่อใคร ๆ ว่าเตี่ยเป็นคนดี มีคุณธรรม มีน้ำใจ ยอมเสียเปรียบ และระบือความดีอื่น ๆ ของท่านนานวันเข้า
ร่ำลือไปถึงหูเตี่ย รอเวลาที่เตี่ยมีความยินดีในวาระอะไร ให้จัดเหล้ายาอาหารมาให้เตี่ยกิน ขณะกินจนเปรมใจ
ก็บอกเตี่ยว่าคนข้างนอกเขาว่าเตี่ยไม่ทำการงาน ผมเป็นลูกของเตี่ยจะมุ่งมั่นดำเนินธรรมฟื้นฟูชื่อเสียงของเตี่ยให้ได้"
        น้องชายคนนั้นทำตามฉันบอก ไม่นานเตี่ยของเขาก็กลับตัวกลับใจ อีกทั้งขยันการทำงานซื้อที่นาได้อีก
หลายผืน ฉันจึงว่า ต่อพ่อแม่ใช้วิธีสะท้อนให้ซาบซึ้งกล่อมเกลาอย่างนี้เป็นดีที่สุด
        เป็นคนได้ไม่ดีเพราะไม่รู้ชีวิตเรียกว่า"ทิ้งขว้างชีวิต "  การทำงานได้ไม่ดีเพราะไม่รู้ธรรมะเรียกว่าทิ้งขว้างธรรมะ
ล้วนเป็นอกตัญญู อยากฉุดช่วยพ่อแม่ให้หลุดพ้น ตัวเองจะต้องแข้มแข็งกว่าพ่อแม่ ทำได้เหนือกว่าท่าน จึงจะนับว่า
ฉุดช่วยท่าน คนถ้าเอาเงินทองของพ่อแม่เองซื้อเสื้อผ้าอาหารการกินเลี้ยงดูท่าน ดูอย่างกับกตัญญูแท้จริงไม่อาจ
นับได้ คนแก่มีทรัพย์สมบัติ แต่ลูกยังต้องทุกข์ยากไปหาเงิน ทำให้ท่านห่วงใยก็ไม่นับว่ากตัญญู ความหมาย
ของฉันก็คือ คนแก่ถ้ามีเงินเหลือเฟือลูกก็อาจใช้เงินทองของท่าน (ตามสมควร)ได้ แต่หากไม่มีเงิน ลูกจะต้องหาเงิน
ให้ท่านเป็นหลักเป็นฐาน ไม่ให้ท่านเกิดความโลภอยาก เพื่อให้ท่านรักษาคุณธรรมไว้ได้จึงจะเป็นกตัญญูจริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      รักเขา เออออไปกับเขาคือให้ร้ายเขา รังแกเขา พ่อแม่ล้วนให้ร้ายลูก เอาอกเอาใจ รักไม่ลืมหูลืมตาจนทำ
ให้ลูกไม่เอาการงาน  ที่บ้านมีลูกเสเพลหนึ่งคน ลูกยิ่งถลุงเงินพ่อแม่ ลูกก็ยิ่งงกเงินจึงเหมือนกำลังผลักลูกลงนรก
ยังกลับไปโทษลูกว่าไม่รักดี กลัวลูกจะตกทุกข์ได้ยากจึงหาเงินทุกวิถีทางเพื่อสะสมสมบัติไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งมัน
จะต่างอะไรกับสะสมยาพิษไว้ให้
      พ่อแม่เองสร้างบาปเวร ลูกหลานรับบาปไปกรรมสนองเอง พ่อแม่เกรงว่าลูกจะตกระกำลำบาก ซื้อที่ทางบ้าน
ช่องเก็บสังหาริมทรัพย์นับคณา เผื่อไว้ให้ลูกหลานพอใช้ตลอดไป
      พ่อแม่อย่างนี้ไม่ใช่เมตตารักใคร่ลูกหลาน แต่กำลังรังแกลูกหลาน เพราะคิดว่าลูกหลานจะไม่อาจทำมาหากินได้
ไม่มีแรงหาข้าวกิน จึงเตรียมให้เต็มที่
      ต่อผู้อื่นขูดรีด คิดเล็กคิดน้อย เพื่อพอกพูนไว้ให้ลูกหลาน ลูกหลานไม่เคยต้องเคี่ยวกรำต่อประสบกานณ์ทำงาน
รู้แต่ดื่มกินเที่ยวเล่นสูขสบาย สุดท้ายจึงไม่มีแรงหาข้าวกินเองจริง ๆ พ่อแม่อย่างนี้น่าหัวเราะไหม ลูกหลานอย่างนี้
น่าสงสารไหม ในบ้านเมืองพุทธทุกคนเห็นหน้ากันก็ผูกบุญสัมพันธ์บ้านเมืองบนสวรรค์ทุกคนเห็นหน้ากันก็มีความสุข
ทุกคนในทะเลทุกข์ เห็นหน้ากันก็เจ็บซ้ำรำคาญกัน ทุกคนในนรก เห็นหน้ากันก็เคียดแค้นชิงชังกัน
      ทุกคนที่ประจันหน้าเข้ามา ไม่ว่าจะมีบุญสัมพันธ์หรือเจ้ากรรมนายเวร ล้วนเป็นไปตามกระแสกรรมที่ทำร่วมกันมา
จะไม่รู้ไม่ได้ พึงรู้ว่าเวรกรรมเราทำมาเอง บุญสัมพันธ์เราก็สมานมาเอง
      พ่อสร้างสมสมบัติ ลูกผลาญสมบัติ เป็นเหตุต้นผลตามมาประจันหน้า หากสั่งสมต่อไปเท่ากับผลักลูกลงนรก
คนที่ต้องรองรับอารมณ์ รองรับความทุกข์รับไปแล้วหนึ่งส่วนก็จบสิ้นไปหนึ่งส่วน เอาความตายเป็นส่วนรับเท่ากับ
จบสิ้นกันไป  ขุ่นข้องขัดเคืองคือผูกเวร สมองโดนพิษร้าย คนทั่วไปพอลูกไม่ดีก็ขัดเคือง ไม่รู้ว่าที่ลูกไม่ดีเพราะดวง
ของเราไม่ดี เรียกให้บำเพ็ญชีวิตไม่บำเพ็ญ กลับคุมแค้นลูก ๆ เหมือนไม่รักชีวิตเสียจริง ๆ
      ลูก ๆ ทำความผิด พ่อแม่จะต้องผ่อนปรน ชี้แนะนำพา จะต้องตำหนิตน ทำตัวให้เที่ยงตรงนานวันเข้าลูก
ก็จะสำนึกแก้ไข นี่เรียกว่ามโนธรรมสำนึกรู้ถูกผิดม่ายเช่นนั้น โทษกัน เกลียดชังกัน นานวันกลับกลายเป็นความแค้น
ลูกเต้าเป็นผู้สืบสานคุณธรรมของบรรพชน เคืองแค้นเขาคือ ข่มแหงน้ำใจบรรพชน
     ลูก ๆ ที่กตัญญู ได้มาจากคุณธรรมของต้นตระกูล  ล้างผลาญได้มาจากบาปเวรของต้นตระกูล ใคร่รู้ว่าลูกจะสำเร็จ
หรือล้มเหลว ให้ดูความประพฤติของตนเองว่าเป็นคุณธรรมหรือบาปเวร
     ชาวโลกชอบว่าเขา"ขาดคุณธรรม" ผู้ถูกว่าก็จะโกรธ แต่คนที่ว่าไม่รู้จักย้อนมองส่องตน ฉันเห็นว่าการได้ บุตร
 ภรรยา พี่น้องที่ไม่เจริณก้าวหน้า ไม่รู้จักละอายก็เพราะเหตุที่เราเองขาดคุณธรรม เราจึงจะต้องพยายามสร้าง
คุณธรรมมาเติมเต็ม พอนานวันเข้า ใจไม่เปลี่ยนไปจากคุณธรรม เขาเหล่านั้นก็จะปรับเปลี่ยนได้ ถ้าไม่เติมเต็ม
ด้วยคุณธรรมจากเรา เอาแต่เคืองแค้นตบตีด่าว่า เขาก็จะยังใช้การไม่ได้
    เมื่อก่อนมีหญิงคนหนึ่งอุ้มลูกมาถามฉันว่า "ท่านช่วยดูซิ ลูกคนนี้ของฉันจะเป็นอย่างไร" ฉันว่า "น่าขันแป้งสาลี
ที่เธอนวดเอง ไส้เกี๊ยวที่เธอปรุงเอง ห่อเป็นลูกเกี๊ยวออกมาแล้ว ไม่รู้เป็นแป้งอะไร ไส้อะไร กลับจะต้องมาถามฉัน
นี่เป็นหลักเดียวกันกับทำนา ตัวเองลงพืชพันธ์อะไร ก็เก็บผลพืชพันธ์นั้นซิ
     ลูกชายฉันชื่อ "กั๋วฮว๋า" ถามฉันว่า พ่ออรรถาธรรมให้หญิงชายมากมายฟัง บอกว่าสร้างคุณธรรม คุณธรรม
ที่ไหนหรือ ฉันตอบว่า เมื่อครั้งรับจ้างทำนา ปีหนึ่งพ่อได่ค่าแรงเจ็ดสิบพวง(สตางค์) แต่ตอนนี้เธอได้หนึ่งร้อยเหรียญ
เธอเก่งกว่าพ่อ นี่เพราะพ่อมีคุณธรรม วันข้างหน้าถ้าลูกเธอเก่งกว่าเธอ ก็คือเธอมีคุณธรรม วันนั้นถ้าลูกถามฉันอีกว่า
ลูกของเขาจะเก่งกว่าเขาได้อย่างไร ฉันก็จะบอกเขาว่า "จงเอาเงินที่หาได้หกในสิบส่วน (60%) ออกมาสร้าง
บุญทานสงเคราะห์ อีกสี่ส่วน (40%) ใช้จ่ายในครอบครัว ทำอย่างนี้ลูกของเธอจะต้องเก่งกว่าเธอแน่นอน
     ครอบครัวสมัยเก่า ประมุขของบ้านชอบทำตัวเป็นผีตื่นเช้าขึ้นมา ถ้าไม่ว่ากล่าวคนโน้นตวาดคนนี้ ถึงกับด่าคน
ตีคน โกรธขึ้นมาคือผี  ส่วนฉันชอบทำตัวเป็นเทพ เห็นใครทำไม่ถูกฉันก็หัวเราะ อารมณ์ดีคือเทพ เทพเข้า
ประทับร่าง จะไม่ทำร้ายใครขณะนั้นจะไม่ว่ากล่าว สองสามวันผ่านไปอารมณ์ดีแล้วหรือเขาถามฉันหรือฉันถามเขา
พูดว่าเหตุผลกันให้เข้าใจ เขาก็สำนึกผิดแก้ไข แม้แต่เด็กดื้อก็พูดให้หายดื้อ ขี้แยก็ชมว่าไม่ขี้แย นานวันเข้า
ก็ปรับเปลี่ยนไปได้ คนมีนิสัยใจคอของคน สัตว์มีนิสัยใจคอของสัตว์ รู้นิสัยใจคอของคน ก็จะฉุดนำเขาสู่เส้น
ทางธรรมได้ รู้นิสัยใจคนของสัตว์ จึงจะใช้งานเขาได้ ออกห่างจากธรรมะของสัตว์ จะไม่มีวาสนาได้ใช้ประโยชน์
จากสัตว์ ออกห่างจากธรรมะของคนก็จะไม่มีวาสนาไดใช้ประโยชน์จากคน ถ้าก้าวก่ายบงการเขา เขาจะไม่ยอมรับ
แน่นอน จะต้องรู้จักนำพาคนชมข้อดีของเขา หยิบยกด้านสว่างของเขา เขาจึงยินดีทำตาม
     ส่วนของสัตว์นั้นจะต้องให้เขาอุ่นใจ ไม่ควรด่าตี  คนกับสัตว์มีหลักเดียวกัน คือเข้าถึงจิตใจ แต่คนมักชอบ
เคี่ยวเข็ญ บงการทารุณสัตว์ เท่ากับผลักไสเขาลงนรก
     พ่อแม่จะต้องรู้ความดีของลูก ซึ่งแม้ตำหนิเขาก็ยินดีจึงกล่าวว่า"หาความดี คือเปิดหนทางสวรรค์" ธรรมะเป็นวิถี
สู่ฟ้า ทุกคนล้วนมีอยู่ ไม่ได้หายหากไปจากคน เพราะคนกำเนิดจากฟ้า วิถีสู่ฟ้า (ธรรมะ) เราวอนขอเมื่อไรฟ้าตอบ
สนองเมื่อนั้น จะใช้เมื่อไรได้ใช้เมื่อนั้น ฟ้าเบื้องบนไม่เคยลืมคน
     อย่างคนที่เป็นพ่อแม่ ถ้าทุกวันเฝ้าถามว่าฉันจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้อย่างไร ร้อยวันผ่านไป ได้ชีวิตทางธรรมแน่นอน
มีข้อธรรมใดที่ไม่เป็น ถ้าถามให้จริงจัง วันหนึ่งจะต้องเข้าใจได้ แต่ถ้าหากทำอะไรไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่บุพการี ก็เท่ากับลืมฟ้าเบื้องบนเสียสิ้น ฟ้าก็จะไม่สนใจเรา
     มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะเป็นคน ก็จะเป็นคนได้จริง มั่นคงอย่างนี้ได้ก็คือพุทธะ ใจเป็นพุทธะเทพยดาก็จะมา
คุ้มครองรักษา เอาความมุ่งหมายเป็นหลักก็ก่อเกิดสุขได้ เกิดสุขก็คือเทพ
     หลังจากที่ฉันเข้าใจธรรมะแล้ว ภรรยาว่าร้ายทำลายฉัน ลูกก็ใส่ไคล้ เพื่อนตัดสัมพันธ์ เขาแบ่งแยกแต่ฉัน
ไม่โกรธพวกเขา  ปีนั้น( ปีหมินกั๋วที่สิบ พ.ศ.2464) ฉันประชุมอยู่ที่สกุลฟั่น ลูกชายของฉันขึ้นแท่นบรรยายคัดค้านฉัน
ขับต้อนฉัน สีหน้าท่าทางน้ำเสียงเกรี้ยวกรวดเอาไม้ที่ชี้กระดานดำฟาดจนแตกละเอียด ทุกคนในที่นั้นไม่พอใจ จะสั่ง
สอนลูกชายแทนฉัน ฉันบอกว่า "ไม่ได้ ลูกชายกลัว่วาฉันจะทำเสียเรื่องนะ จึงเดินทางไกลมาขัดขวางฉัน" ฉันไม่ได้
สะเทือนใจเลย นับว่าฉันมีฐานะเป็นพ่อได้ ถ้าหากฉันเกิดโทสะด่าตีเขา ฉันก็ไม่มีธรรมะ
     ลูกหญิงชายเป็นสมบัติของโลก มีปัญญาความสามารถควรบริการรับใช้โลกนี้ ถ้าคนที่เป็นพ่อแม่เก็บลูกไว้ใช้งาน
บ้านตน อาศัยประโยชน์จากความกตัญญูของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จะนับว่า พ่อแม่ขาดความเมตตา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10/08/2010, 09:45 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
    ช่วงเวลาที่ฉันเฝ้าสุสาน (รัสสมัยชิงกวางสูปีที่27-30) ฉันรู้ว่าคนที่ทุกข์ยากลำบากที่สุดในโลกคือ""แม่""ผู้หญิง
ฉันจึงเกิดความมุ่งมั่นจะก่อตั้งโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์สตรี ให้เธอมีความรู้ความสามารถกัน
    จะก่อตั้งชมรมคุณธรรม สอนผู้หญิงให้ศึกษาธรรม ให้เธอแจ้งใจในหลักธรรม ยืนหยัดใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ไม่ต้อง
เหนื่อยยากแก่ผู้ชาย นี่คือยกระดับฐานะของผู้หญิง ช่วยผู้หญิงให้พ้นทุกข์ได้สุข คนโบราณว่า ผู้หญิงไม่มีความรู้ก็จะ
ต้องให้มีคุณธรรม คำพูดนี้ไม่ยุติธรรม ผู้หญิงถ้าไม่ได้ร่ำเรียนไม่มีความรู้จะแจ้งใจในหลักธรรมได้อย่างไร
    สมัยราชวงศ์โจว มีอริยมารดาสามท่านจึงได้ให้กำเนิดกษัตริย์สองสมัยคือ อริยกษัตริย์โจวเหวินหวัง - โจวอู่อ๋วง
อีกท่านหนึ่งคือมารดาของท่านเมิ่งจื่อ "อริยปราชญ์ฟื้นฟูจรรโลงธรรม" เพื่อการพัฒนาสร้างสรรค์คุณภาพเผ่าพันธ์
มนุษย์ให้ดี จะต้องเริ่มจากให้การศึกษาแก่เพศแม่ ภายหน้าเข้าถึงยุคโลกเอกภาพผูหญิงเป็นข้าราชการปกครอง
บ้านเมือง หน้าที่ที่ผู้ชายทำได้ หญิงก็ทำได้ ไม่ใช่เอาแต่อิงอาศัยอย่างนี้ก็จะไม่ถูกผู้ชายกดขี่รังแก จึงจะพ้นทุกข์
ได้สุขจริง คนโบราณไม่ให้ผู้หญิงร่ำเรียนช่งนั้นฉันก่อตั้งโรงเรียนสตรี แต่ทางการล้มล้างเสียทุกทีเขาล้มล้างที่นี่
ฉันก็ไปตั้งที่อื่นต่อ ภายหลังบ้านเมืองเองก็ก่อตั้งโรงเรียนสตรี ความมุ่งมาดปรารถนาของฉันเป็นอันบรรลุผล
     ฉันก่อตั้งชมรมคุณธรรมอีก เพื่อให้ผู้หญิงแจ้งใจในหลักธรรม กล่อมเกลาชาวโลก นี่ก็เป็นเรื่องเบิกฟ้า
บรรพกาลที่ไม่เคยมีมาก่อน ลูกชายวิพากษ์ฉันว่า"ทำอะไรแปลก ๆ "ลูกไม่รู้ว่าที่ฉันสอนผู้หญิงนั่นคือกำลัง
พลิกโลกขึ้นมา
     อริยปราชญ์โบราณมุ่งสอนแต่ผู้ศึกษาชาย เรียกว่า"เบิกฟ้า" เป็นอันดับแรก บัดนี้ฉันสอนผู้ศึกษาหญิง เรียกว่า "
"แผ้วแผ่นดิน"จากนี้สิ้นภัยได้เจริญ
     ผู้หญิงล้วนแจ้งใจในธรรมได้ แปรเปลี่ยนอนุสัยกล่อมเกลาฟูมฟักจิตญาณจากฟ้า รู้รักศรัทธาจริงใจไม่วุ่นวาย
สับสนกังวลใจ ผู้หญิงมีจิตใจอย่างไร ก็จะให้กำเนิดลูกที่มีจิตใจอย่างนั้น ไม่ผิดเลย
     ผู้ชายปรับแปรกล่อมเกลาจิตญาณเรียกว่า"ฟ้าใส" หญิงปรับแปรกล่อมเกลาจิตญาณเรียกว่า "แผ่นดินสงบ"
ฟ้าใส แผ่นดินสงบ จึงจะได้ลูกดุจกุมารเทพ
     เรามีชีวิตอยู่ในโลก ข้อหนึ่ง อย่าหลง ทุกคนเคารพยกย่องฉัน ศรัทธาเชื่อถือฉันว่าฉันมีธรรมะนี่ก็คือหลง
ธรรมะทุกคนต่างมีอยู่กับตัว มั่นคงในไว้ในสถานภาพตนได้ ดำเนินชีวิตก็จะสอดคล้องกับธรรมะแล้ว
     สมมุติว่า ผู้หญิงอยากจะเอาอย่างท่านจอมมารดาของอริยปราชญ์เมิ่งจื่อ ท่านจอมมารดาเมิ่งยืนหยัดได้
ด้วยตัวของท่านเอง อบรมบุตรให้ล้ำเลิศได้ ท่านจึงเป็น"จอมมารดาอาจารย์"แก่ผู้หญิงตลอดนิรันดร์กาล
ผู้หญิงทั้งหลายสามารถตั้งความมุ่งมั้นเจริญรอยเยี่ยงท่าน จะไม่ใช่จอมมารดาอาจารย์เมิ่งคนที่สองหรือ
ธรรมะในจอมมารดาอาจารย์เมิ่ง จะไม่ใช่ธรรมะอย่างเดียวกันในตัวของพวกเธอหรือ
     ผู้หญิงมีทุกข์มากเพราะไม่รู้ความเพียงพอ อีกทั้งไม่รู้จักความพอดี เห็นใครมีอะไร ก็อยากได้บ้าง ไม่รู้ว่า
บุญวาสนาของตัวเองกับเขานั้นต่างกัน ค่านิยมจึงเสียหายสามีจะลำบากใจ เธอไม่คำนึง สนใจแต่ว่าจะต้องมี
เครื่องประดับสวมใส่ให้ได้ มองดูคนอย่างบางเบา มองดูวัตถุหนาหนักสำคัญ คิดว่าสามีเหนื่อยยากลงแรงเป็น
การสมควรจึงเฉยเมย บ้างเจ้ากี้เจ้าการควบคุมบงการ เบาหน่อยก็เผด็จการพาสามีทิ้งพ่อแม่ของเขาออกไป
ใช้ชีวิตตามลำพัง หนักหน่อยก็ทำให้สามีถึงแก่ความตายเพราะ"ดวงร้าย"ของเธอทำตามอารมณ์พอใจ
อย่างนี้ทำไมจะไม่มีโทษบาป ถ้ามีลูกก็ยากที่จะได้ลูกดีมีศักดิ์ศรี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       ธรรมะอยู่เบื้องล่างไม่ใช่เบื้องสูง เบื้องสูงมีอันตราย เบื้องล่างจึงจะมีธรรมะ คนหากสูงส่งแล้วโน้มลง
จึงจะสูงส่ง  อุ้มชูคนโง่ได้ จึงจะเป็นปราชญ์เมธี เช่นคุณครู หลิวจิ้งอี เดิมทีเป็นผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์ อยู่กับบ้าน
เธอสำนึกรู้แจ้งธรรมะของความเป็นหญิง ยอมตัวใช้ชีวิตคู่อยู่กับนายหลี่หย่งเฉิง ทั้งที่โง่ทั้งทึ่ม เป็นผู้ชายที่
แค่เอื้อมมือก็ได้มา ไม่ต้องลงแรง
       ธรรมะ พอย่อตัวลงก็เกิดสิ่งสูงส่ง พอยืดตัวขึ้นก็เกิดความโลภไม่พอ พอหดตัวให้เล็กลงก็เกิดความ
แน่นหนา แต่พอแผ่ (อวดตัว)ให้ใหญ่มันก็จะพองทันที
       คนอื่นเหนือกว่าเธอ เธอจะไม่เกิดความสูงส่ง คุณครูผู้หญิงไม่รังเกียจที่หลี่หย่งเฉิงโง่ทึ่ม เธอจึงเป็น
เมธากัลยาณี ชาวโลกทั่วไปล้วนรู้แต่รุกไม่รู้ถอย เหมือนการสู้รบบุกเข้าค่ายแล้วไม่อาจทะลายค่าย จะไม่ถูก
ทำร้ายได้อย่างไร ก็เหมือนคนเป็นสะใภ้ ยังไม่ออกเรือนไป ไม่รู้ธรรมะของบ้านสามีในอนาคต สู่เรือนเขาแต่
ไม่รู้ความดีของทุกคนในเรือนเขา  นี่คือรู้รุกไม่รู้รับ จึงห่างทางธรรม
      ห่างธรรมแต่หวังให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง หวังให้ลูกหลานก้าวหน้าอย่างนี้มิใช่ ""ขึ้นต้นไม้หาปลา""--
หาปลาบนต้นไม้""ดอกหรือ
      ไม่มี""เหตุต้นผลตาม""จะไม่ก่อเกิดสหาโลก  ไม่มีโทษบาป ไม่เกิดกายเป็นหญิง เมื่อเกิดเป็นคน ก็ควรจะ
ดำเนินทางธรรม มนุษยธรรมสมบูรณ์ เข้าึถึงโลกุตรธรรมเบื้องบน เสียดายที่คนล้วนไม่เข้าใจคิดแต่จะเสพสุช
วาสนา ไม่รู้จักดำเนินธรรมให้สมบูรณ์  บ้างกลัวรับทุกข์จากการให้กำเนิดเลี้ยงดูลูก ถือพรหมจรรย์ไปบวชเสีย
นี่คือวิ่งสวนทางกับธรรมะ
      ข้างบนไม่อาจฉุดช่วยวิญญาณบรรพชน ข้างล่างไม่อาจปรกคุณแก่ลูกหลาน ก็คือไม่กตัญญู เกิดมากินอยู่
แต่งตัวเพื่อรอวันตาย ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ชาวโลก เรียกว่าปล่อยชีวิตให้เสียเปล่า
      ลำพังพลังอินไม่อาจสร้างสรรค์ก่อเกิด อย่างนี้เรียกว่าละทิ้งตนเอง  คนเกิดได้จาก อิน + หยาง ธรรมะอยู่
ท่ามอินกับหยาง เจนจบธรรมชาติได้ไม่ทุกข์ กลัวทุกข์โดยไม่ทำความถึงซึ่งธรรมะ คือฝืนครรลองฟ้า จะบรรลุ
ธรรมได้อย่างไร  ในโลกนี้ทุกข์ที่สุดคือ หญิงม่าย โบราณเมื่อสามีตาย รักษาความเป็นม่าย คือประเสริฐศรี
นั่นก็ไม่ถูกต้องทั้งหมดต่อธรรมะ ไม่ใช่สภาพของหญิงม่ายทุกคนจะต้องรักษาไว้อย่างเดียวกัน
      หากพ่อปู่แม่ย่าชราวัย ไม่มีใครรับใช้ดูแลรักษา ลูกเต้าเยาว์วัยไม่มีใครเลี้ยงดูอุ้มชู หรือตนเองเป็นคนรักสงบ
อย่างนี้ครองม่ายไว้  ถ้าห่วงใยความร่ำรวย (กลังแมงดา) เรียกว่า"ครองทรัพย์ " ถ้ากลัวแต่งใหม่ จะได้รับทุกข์ยาก
นั่นเรียกว่า "ครองกาย" แต่ถ้าหากครองม่ายแล้วมีแต่กลัดกลุ้มป่วยไข้นั่นเรียกว่า "ครองทุกข์" จะต้องดำเนินธรรม
จึงจะเรียกว่า"ครองศุจิธรรม ความจงรักบริสุทธิ์"
      ผู้ชายทิ้งพ่อแม่ ตัวเองตายไปก็เท่ากับ "พร่องกตัญญู" ภรรยาม่ายจะต้องทำหน้าที่กตัญญูแทนสามี จึงจะถูกต้อง
ตามทำนองคลองธรรมฉะนั้นผู้ครองม่ายภาระจะยิ่งหนักยังจะโอหังรังแกใครได้อีกหรือจะไม่ท้อใจไม่ทะยานอยู่ได้หรือ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      หญิงสาว อารมณ์ จิตใจ จะต้องเหมือนปุยฝ้าย มีความมุ่งมันใฝ่ดีเป็นรากฐาน จิตใจใฝ่แฝงความดีของใคร ๆ
ร่างกายแข็งแรง เอาการเอางาน เชิดชูครอบครัวให้สมบูรณ์เป็นหน้าที่ตน เป็นดวงดาวศรีสง่าอันมีค่าของครอบครัว
      สะใภ้ จิตใจจะต้องเย็นเรียบเหมือนน้ำ เจตนารมณ์จะต้องสุขุมเป็นรากฐาน สังขารจะต้องว่องไวขันแข็ง จะต้อง
สำนึกคุณของครอบครัว เอาการเชิดชูของครอบครัวให้สมบูรณ์งามเป็นหน้าที่ตน เป็นดวงดาวปิติยินดีอันมีค่าของครอบครัว
      แม่เฒ่า อารมณ์จิตใจจะต้องเหมือนเถ้าถ่าน มีความมุ่งหมายใฝ่คุณธรรมเป็นรากฐาน กายจะต้องมั่นคง ใจใฝ่
ธรรมะของมวลเวไนย์ ฯ เอาการโอบอ้อมครอบครัวให้สมบูรณ์เป็นหน้าที่เป็นดวงดาววาสนาของครอบครัว นี่คือ ธรรมะ
แท้ของสตรี
      อย่าเห็นว่าคำพูดเหล่านี้ ธรรมดาสามัญ ใครเข้าถึงก็เท่ากับเข้าถึงบุญวาสนา อย่าให้เป็นเพียงคำขวัญ ท่องเอา
จะต้องปฏิบัติให้ได้จึงจะนับว่าได้ธรรมะความมุ่งหมายเป็นรากฐาน คือ จะไม่โลภ (รากฐานธรรม คือไม่โลภ โกรธ หลง)
     จิตใจเหมือนปุยฝ้าย (เบาสบาย) คือ ไม่ชิง ใช้ฝ้ายปั่นด้าย ด้ายยาวไม่ขาดสาย 
     ดำริดีของหญิงสาว ก็จะต้องยาวเหมือนเส้นด้ายเช่นกัน  เป็นหญิงสาวในครอบครัว ร่างกายมีพลังเสริมสร้าง
ลบล้างพลังอินอับเฉาไปในตัว ประสานพลังกับพุทธภาวะได้ (ด้วยกาย ใจ ยังบริสุทธิ์)
     ใจใฝ่แฝงความดีของใคร ๆ คือประสานบุญสัมพันธ์เป็นหนทางสู่ความเป็นทิพย์ จิตใจเหมือนปุยฝ้าย เมื่อเกิด
เจตนาดำริจึงเป็นรากฐานของเทพ จิตมุ่งมั่นยืนหยัดอยู่ในความดี จึงจะเป็นรากฐานของการบรรลุพุทธะ
     หญิงสาวเป็นต้นน้ำของโลก ถ้าต้นน้ำไม่ขุ่น สายน้ำย่อมสะอาดใส  หากหญิงสาวเป็นความถดถอย ไม่ยอมทำ
ความปราณีตต่อความเป็นธรรมะของหญิงสาว เธอก็จะเหมือนตะเกียงที่ไม่มีแสงไฟ
     สะใภ้ จิตใจจะต้องเหมือนน้ำ โอบอ้อม อ่อนโยน สายน้ำไหลเชี่ยวลดซอกซอนไป ไม่แน่ว่าจะต้องไหลไปกี่พันลี้
ที่สุดจึงจะลงสู่ทะเล
     เจตนาดำริของสะใภ้ ก็จะต้องยาวไกลเช่นกัน ให้เหมือนสายน้ำทูนเทิดเชิดชูทุกคนในบ้านขึ้นมา ( จีนให้ความ
สำคัญต่อสะใภ้ในสถานะแม่ของตระกูล ) เหมือนน้ำที่ช่วยพยุงให้สรรพสิ่งลอยตัวได้
    คนที่เป็นสะใภ้ จะได้ลูกสูงศักดิ์ศรีมีวาสนา ดูน้ำซิ ชุบเลี้ยงสรรพชีวิต โดยไม่แย่งชิง อยู่ในระดับต่ำสุด สิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็อยู่ได้ เ้ข้าได้กับทุกสิ่ง สมานได้กับทุกรส โดยที่คุณสมบัติความเป็นน้ำมิได้เปลี่ยนไป
     เป็นสะใภ้ถ้าจิตใจเหมือนน้ำ มีหรือที่จะไม่ถูกต้องตรงต่อหลักธรรม รวยก็อยู่ได้ จนก็อยู่ได้ สูงก็ได้ ต่ำก็ได้
คุณสมบัติไม่เปลี่ยน  คนหากเป็นเช่นนี้ได้ก็คือได้ธรรมะไว้ นี่คือ """ธรรมะของสะใภ้"""

Tags: