collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกกฏแห่งกรรมยุควิทยาศาสตร์ : คำนำ  (อ่าน 16525 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
            สามหมอ  :  เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แปลก ในวันเดียวกันได้ไปเยี่ยมหมอถึงสามคน คนแรกคือหมอญาติกัน อยู่ขอนแก่น เรียกชื่อย่อว่าหมอ

        ป. แล้วกัน หมอ ป.  เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ทำงานที่โรงพบาบาลจังหวัดมาแล้วสามสิบกว่าปี ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เกิดน้ำตาลในโลหิตพุ่งกระฉูด ยาคุมไม่อยู่ ทั้ง ๆ ที่รักษาเบาหวานแก่ตนเองมานับสิบปี ครั้งนี้บังเอิญได้แผลที่เท้าทั้งสองข้าง นั่งรถเข็นมาแล้วหกปี กลับจากขอนแก่นผ่านปากช่อง ถือโอกาสเยี่ยมหมอ ก.  ที่ชอบพอกันมานาน หมอ ก. ทำงานกับโรงพยาบาลประจำอำเภอมานานเกือบยี่สิบปี เมื่อปีที่อายุได้สี่สิบเก้า ความดันโลหิตขึ้นเฉียบพลัน เส้นโลหิตในสมองแตก เป็นอัมพาตมาเกือบยี่สิบปีแล้ว หมอหลิน หมอคนที่สามเป็นหมอจีนแผนโบราณอยู่กรุงเทพฯ เป็นทั้วครูเป็นทั้งเพื่อน อายุแปดสิบสี่ปี ยังสดชื่นแจ่มใสดี  คณะของเราตระเวณเยี่ยมเพื่อนมีสามคน ทุกคนเป็นโรคอย่างเดียวกันหมดคือ "เห็นหมอเป็นต้องป่วย" อดไม่ได้ที่จะให้หมอตรวจดูสักหน่อย อะไรทำนองนั้น ก่อนลากลับ หมอให้ของขวัญล้ำค่าติดมือมา มีหนังสือคติธรรม กับแท่นฝนหมึกจีน แต่น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าเขียนพู่กันจีนไม่ได้เรื่องเลย หมอหลินผู้ให้คงผิดหวัง ผู้ร่วมทางคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า "ทำไมสามหมอจึงมีสภาพต่างกันอย่างนี้" ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ ว่า "ตามกรรม" แต่แล้วก็ต้องขยายความจนได้ว่า หมอ ป. เป็นหมอผ่าตัด เป็นหมอนักเรียนนอกผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรม ครั้งหนึ่ง ผู้ป่วยอุบัติเหตุศรีษะฟาดพื้นคนหนึ่งถูกส่งมาโรงพยาบาล หมอ ป. เรื่อนเฉื่อย ซึ่งอาจเห็นว่าเป็นชาวบ้านยากจน ชีวิตไร้ค่าหรืออย่างไรไม่ทราบ ผู้ป่วยรายนี้ตายโดยไม่ได้รับการผ่าตัดรักษา เหมือนไม่แยแส ต่อมา ผู้ป่วยอีกรายหลายที่ถึงโรงพยาบาล ถึงหมอผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็ยังไม่ได้รับความใส่ใจช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทันการ ทำให้ต้องเสียแขน เสียขา ทุพพลภาพ หรือตายไปอีก จนเคยมีญาติผู้ป่วยร้องไห้ตะโกนลั่นโรงพยาบาลแช่งด่าหมอ ป.ว่า "ให้มันขาด้วน ๆ" ส่วนหมอ ก. นั้น เป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล มนุษย์สัมพันธ์ดี ความรู้ดี ใส่ใจผู้ป่วยดี แต่ชอบมีส่วนกินนอกกินใน จะซื้อยา ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ไว้ใช้ในโรงพยาบาล หรืออะไรที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ผ่านมือหมอ ก.ละก็ เป็นต้องชักเปอร์เซ็นต์หรือเพิ่มราคา กินแม้กระทั่งเงินที่เกี่ยวกับการบริจาคโลหิต จนได้สมญาว่า "หมอโลหิต" ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป หมอ ก. เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเก้าปี ก็ซื้อที่ดินได้หลายผืน ตั้งโรงงานผลิตยาเอง ปีนั้นอายุสี่สิบแปด กำลังจัดพิธีเปิดป้ายโรงงานผลิตยาโรงที่สอง คงจะเหนื่อยหนักเกินไป เส้นโลหิตในสมองแตก หมดความรู้สึกไปสี่สิบเก้าวัน ฟื้นอีกทีก็ต้องอยู่ในสถาพที่กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เสียแล้ว ส่วนหมอหลิน ที่รู้จักกันมายี่สิบกว่าสามสิบปี เป็นหมอที่เรียกได้ว่า "หมอโพธิสัตว์" รักษาไปด้วย สอนกฏแห่งกรรมไปด้วยให้ธรรมะ ให้วิชาความรู้ ให้กำลังใจ ให้กายยภาพบำบัด จนผู้สูงอายุมากมายที่เริ่มเป็นโรคชรา กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด สำหรับตัวหมอหลินเอง ดูแลรักษากายใจด้วยธรรมะ ด้วยอาหารธรรมชาติ และรำมวยไท้เก๊กมาเกือบสี่สิบปีแล้ว บวกกับบุญทานที่สร้างอยู่เป็นประจำ จึงไม่น่าแปลกใจว่า บัดนี้อายุแปดสิบสี่ปีแล้ว ยังกระฉับกระเฉงอยู่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คนขายปลาจีน   :  สิบสองปีมานี้ เจ๊ลั้งเข้าโรงพยาบาลติดต่อกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผ่าตัดใหญ่สามครั้ง ถูกควัก ถูกเจาะ ถูกตัดอวัยวะแล้วยังต้องใส่สายระยางบนตัว ให้เลือด ให้ออซิเจน ท่อ 

        ระบายปัสสาวะ ท่อดูดเสมหะ... ทุกข์ทรมานจริง ๆ สุดท้าย เจ๊ลั้งตายด้วยโรคพิษงูสวัดเข้าหัวใจ เมื่ออายุหกสิบสองปี เจ๊ลั้งมีหลานสาวบวชเป็นชี แม่ชีบอกว่า ไม่เคยเห็นใครเจ็บป่วยมาราธอนอย่างนี้เลย นี่เป็นเพราะอาชีพขายปลาเป็นบาปเวรแท้ ๆ แม่ชีขอให้เลิดอาชีพนี้ ถือศีลกินเจ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ปลาเหล่านั้น แต่เจ๊ลั้งยังเห็นแก่รายได้ และอ้างว่าลูกยังไม่โตพอที่จะวางลงได้่ เจ๊ลั้งมีลูกชายหญิงสองคน สามีถูกรถชนตายเมื่อเธออายุได้ยี่สิบแปดปี เธออดทนเลี้ยงดูลูกด้วยการขายปลาเมืองจีน ปลาเมืองจีนคือ พวกปลากะพงตัวใหญ่ ๆ ที่จีนเรียกว่า หลิ่งฮื้อ  ส่งฮื้อ  เฉาฮื้อ เหล่านี้ ปลาเหล่านี้เมื่อก่อนมาจากเมืองจีน ยังไม่ได้แพร่พันธุ์ในไทย จึงเรียกว่า ปลาเมืองจีน ปลาเมืองจีนเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมาก แต่ราคาแพง ตัวใหญ่ ครอบครัวเล็กกินไม่หมด จึงต้องสับขายครึ่งตัว บางครั้งเจ๊ลั้งเห็นขายไม่ดี ก็จับปลาเป็น ๆ ที่แช่น้ำอยู่ในถังขึ้นมา สับกลางลำตัวเป็นสองท่อน  ท่อนหางโยนลงถังไป ท่อนหัวแขวนตะขอเรียกลูกค้า เพราะปลายังไม่ตายจึงอ้าปากพะงาบ ๆ เลือดกับน้ำไหลหยด ลูกค้าก็ช่างใจดำอำมหิต คิดแต่จะกินของสด โดยเฉพาะค่านิยมผิด ๆ อย่างที่คนก่อนเก่าเชื่อกันว่า "คนใหญ่กินหัวปลา คนต่ำกว่ากินหาง" พอเห็นหัวปลาโดด ๆ ก็นึกถึงสถานภาพ นึกถึงฐานะตนขึ้นมาทันที นี่เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง  จึงต่างยินดีซื้อหัวปลาไปประกอบอาหาร เรียกว่าเอาแต่ได้ ไม่คำนึกถึงชีวิตจิตใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ปลาต้องได้รับอยู่ การค้าหัวปลาสด ๆ โดยอาศัยจิตวิทยาสรร้างค่านิยมอย่างนี้มีมานานแล้ว และบัดนี้ยิ่งแพร่หลาย เจ๊ลั้ง ค้าหัวปลาสดอย่างนี้มายี่สิบสามสิบปีแล้ว ฐานะความเป็นอยู่ร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติเพิ่มมากขึ้นทุกอย่างที่ต้องการ ลูก ๆ ก็ได้ใช้ชีวิตสมบูรณ์พูนสุขตามความพอใจ แม่ชีหลานสาวเตือนอาอยู่เรื่อยมาว่า ให้เลิกอาชีพนี้ แทนที่จะฟััง เจ๊ลั้งยังกลับจ้างลูกจ้างขยายอาชีพตัดท่อนลำตัวปลาเป็น ๆ ขายอีกด้วย สิบปีระยะใกล้มานี้ เจ๊ลั้งเจ็บป่วยเกือบตลอดเวลา ภายหลังยังได้พบเชื้อมะเร็งในกระเพาะลำไส้  จึงต้องตัดลำไส้ท่อนหนึ่งไป  อีกครั้งหนึ่ง ตับอักเสบเฉียบพลัน การรักษาแผลใหม่ในระยะแรกเริ่ม จะใช้วิธีเจาะหน้าท้อง ดูดเลือดหนองที่อักเสบออกมา ซึ้่งมีผลต่อการรักษาดีทีเดียว แต่สำหรับเจ๊ลั่ง วิธีนี้ไม่มีผล จึงต้องทนทรมานรับการผ่าตัดใหญ่ สุดท้ายยังต้องผ่าตัดเปลี่ยนไตอีก เจ๊ลั้งที่เคยว่องไวใจเด็ด เงื้อมีดฟันฉับลงบนปลาเป็น ๆ ตัวใหญ่วันละหลายสิบตัว บัดนี้ เจ๊ลั้งมีแต่ความทุกข์เศร้า และบอกกับลูกว่า อย่าทำอาชีพนี้อีกเลย ต้นปีที่แล้ว เจ๊ลั้งเป็นงูสวัดคาดรอบเอว แรกเริ่มคิดว่าเป็นโรคผิวหนังธรรมดา กิน - ทายาเป็นประจำ แต่แผลกลับลุกลาม  ปวดบวม จึงไปหาหมอ แผลดูอย่างกับไม่เลวร้ายลง แต่หารู้ไม่ว่า พิษกระจายเข้าเส้นเลือด  เข้าตับ  เจ๊ลั้งต้องรับโทษทัณฑ์จากกฏแห่งกรรมอยู่นานถึงสิบปี จึงลืมนัยน์ตาขุ่นมัวนิ่งงันเหมือนนัยน์ตาปลา มองดูหนทางเวิ้งไกลไร้จุดหมายอยู่ จนกระทั่งมีผู้มาพบว่า เจ๊ลั้งสิ้นใจไปแล้วหลายชั่วโมง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   กรรมพันธุ์   :  ในงานเลี้ยงวันนั้น ได้พบกับหลานชายของเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ เมื่อถามทุกข์สุขแล้ว ทำให้ต้องสะเทือนใจ ได้รู้ว่าเพื่อนเก่าอายุเจ็ดสิบปีเป็นอัมพาตครึ่งตัวอยู่ห้าปี ได้เสียชีวิตไปแล้ว

        ซึ่งลูกชายของเพื่อนเก่า ภายหลังเมื่ออายุได้หกสิบห้าปี ก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับพ่อ และบัดนี้ หลานสาวของเพื่อนเก่าอายุห้าสิบปี ก็กำลังเป็นอัมพาตครึ่งตัวนอนแซ่อยู่บนเตียงมาแล้วหนึ่งปี หลานชายคนนี้จึงถามข้าพเจ้าว่า โรคนี้มีกรรมพันธุ์หรือไม่ ถ้าไม่มี ทำไมปู่  พ่อ  พี่สาวของเขา  จึงเป็นไปตาม ๆ กัน หลานชายเคยได้ยินข่าวที่ข้าพเจ้าเผยแพร่อาหารไข่น้ำส้มยาวิเศษที่ใช้รักษาอาการนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ถึงห้าสิบโรค หลานชายเกรงว่า ตนเองจะต้องเรียงลำดับเข้าไปอีกคน ข้าพเจ้าตอบว่า "สรรพคุณที่ประกาศนั้นเป็นจริง เพราะขยายหลอดเลือดที่อุดตันได้ชะงัด ส่วนโรคนี้จะเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่ ยังไม่ชัดเจน แต่สำหรับนิสัยใจคอเป็นกรรมพันธุ์นั้นเห็นได้ เช่น ปู่ของเธอชอบดื่ม  พ่อของเธอก็ชอบดื่ม  แต่พี่สาวของเธอชอบดื่มหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ พฤติกรรมที่ทำตาม ๆ กันมาดังนี้ เรียกได้ว่า กรรมพันธุ์ แต่หลานชายไม่ดื่มเลย ก็คงจะไม่ข้องแวะกับกรรมพันธุ์ หลานชายยิ้มออกมาได้ เมื่อข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ เฮียหลี่ที่ร่วมโต๊ะ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงขอเล่าว่า ... เขาเองมีลูกสาวเป็นพยาบาล อยู่แผนกสูตินารีเวชที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ทำงานอยู่หลายปี นับเป็นพยาบาลชำนาญงานทีเดียว  วันหนึ่ง เธอรับคลอดเด็กเพศชายแข็งแรงคนหนึ่ง แต่ต้องจับหิ้วขาให้ทารกห้อยหัวลง ตบก้นให้ร้องจ้้่าเสียก่อนแล้วจึงอุ้มไปอาบน้ำชำระคราบไข เพราะทารกออกมาหน้าเขียวไม่ร้อง อาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อ ถุงมือ ถุงเท้าห่อผ้าอ้อมผ้าขนหนูเสร็จ ก็ส่งไปให้แม่ที่ลืมความเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อสักครู่เสียสิ้น กำลังทอดสายตาดูที่ประตูห้องว่าเมื่อไหร่พยาบาลจึงจะส่งลูกเข้ามาให้ พอได้กอดลูกไว้ในอ้อมอกเท่านั้น สิ่งใด ๆ ในโลกก็ไม่สำคัญเสียแล้วสำหรับแม่ แต่พยาบาลสิใจหายวาบ เมื่อสังเกตเห็นแหวนเพชรบนนิ้วนางหายไป หายไปได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่  เธอทบทวนความจำ ก่อนอาบน้ำเด็ก ยังอยู่... หรือร่วงหลุดไปกับความลื่นของสบู่ ถูกน้ำราดลงท่อระบายไปแล้ว... โธ่...มันเป็นแหวนที่เธออยากจะประกาศให้ก้องโลกว่ากว่าจะพิชิตจิตใจหมอคู่หมั้นมาได้ เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคจากผู้หญิงมากมายที่หมายปองหมอสุดหล่อสุดดีคนนี้... แต่ขณะนี้ แหวนหมั้นที่แสดงถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ หายไปจากนิ้วนางของเธอ เธอจึงสติแตกเหมือนแมลงวันหัวขาด รื้อค้น ชนหัว คุ้ยหาไปทั่ว เธอได้แต่ร้องไห้ เพราะหาอย่างไรก็ไม่พบ สุดท้าย เธอต้องตั้งสติ... จึงได้ความคิดว่า อาจจะหลุดอยู่ในผ้าห่อตัวเด็กก็เป็นได้ จึงถลันตรงไปที่ทารกนั้น รื้อผ้าที่ห่อตัว ดึงถุงมือถุงเท้าเด็กออก แต่ยังคงไม่พบ ขณะที่เธอกำลังสิ้นหวังอยู่ พลันนึกได้ว่า แม้ไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็ต้องทำ เธอแกะมือที่กำแน่นของทารกน้อยออกดู แล้วเธอก็ต้องตกตะลึง แหวนเพชรอยู่ในกำมือของเด็กทารกน้อย ด้วยความที่เป็นคนละเอียดรอบรู้ พยาบาลสืบประวัติพ่อแม่ของทารกน้อยจนถึงที่สุด ผลปรากฏว่า พ่อแม่ของทารกเคยถูกจับหลายครั้งด้วยข้อหาล้วงกระเป๋า เฮียหลี่ทิ้งท้ายว่า "นี่แหละกรรมพันธุ์" เล่นเอาพวกเราหัวเราะกันครืน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              อุดดัน   :  นายแดง ช่างรับเหมาก่อสร้าง รู้จักกับข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ครั้งนี้มารับเหมาสร้างบ้านให้ ฝีมือดี ค่าแรงถูก ประหยัดวัสดุ ไม่บานปลาย ใช้เวลาสั้นกว่าที่กำหนดไว้ นายช่างอย่างนี้จะหาได้

       ที่ไหน นายแดง เป็นคนอิสาน ขณะนี้อายุหกสิบปีแล้ว ไม่รับจ้างก่อสร้างที่ไหนอีก มีแต่ปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมวัดวาอาราม ได้ค่าแรงพอประทังชีวิตวันละหนึ่งร้อยกว่าบาท บางคราวหลวงพ่อเจ้าอาวาสขาดเงินไม่จ่ายค่าแรง นายแดงก็อยู่ทำต่อไปได้ไม่เรียกร้อง เพราะลูก ๆ ต่างมีงานการทำ ภรรยาอายุเท่ากันก็บวชเป็นชี นายแดงไม่มีภาระรับผิดชอบใครจึงไม่ต้องดิ้นรน นายแดงก่อสร้างมาหลายปี มีชื่อเสียงมากในวงการ ใคร ๆ ก็อยากได้ตัวไปร่วมงาน แต่เขาปฏิเสธหมด ครั้งนี้ ที่ขอให้มาสร้างบ้านได้ เพราะเจ้าอาวาสได้ช่วยคะยั้นคะยอ พอก่อสร้างเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าให้ซองแดงเป็นรางวัล และนัดเชิญล่วงหน้าให้มางานฉลองบ้านใหม่ วันทำบุญบ้าน นายแดงไม่ได้มา บ่ายจึงเห็นพี่ขาวผู้ช่วยของนายแดงมางาน พี่ขาวว่านายแดงฝากซองมาร่วมทำบุญ แต่ตัวเองต้องเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน คืนนั้น ข้าพเจ้าจับรถขึ้นอิสานพร้อมกับพี่ขาวเพื่อไปเยี่ยมนายแดง ลูกชายนายแดงซึ่งเฝ้าดูแลพ่ออยู่ที่โรงพยาบาลบอกว่า "พ่อปัสสาวะไม่ออก" กำลังอยู่ในห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าถามว่าเป็นนิ่วหรืออย่างไร ลูกชายว่าไม่ใช่ แต่อยู่ ๆ ท่อปัสสาวะก็จะอุดตันสักวันสองวัน เจ็บปวดทุกข์ทรมานสาหัสสากรรจ์มาสี่ครั้งแล้ว ขณะที่คุยกันอยู่ ท่านเจ้าอาวาสที่นายแดงอาศัยอยู่ด้วยก็มาเยี่ยม ข้าพเจ้าจึงคุยกับท่าน ได้รับข้อเท็จจริงเบื้องหลังการเจ็บป่วยของนายแดงมาว่า "ประมาณเมื่อสามสิบปีก่อน นายแดงกับภรรยายังอายุน้อยมีอาชีพทำหินขัด ปูกระเบื้อง เหมาช่วงงานจากบริษัทก่อสร้างอีกที ครั้งนั้นรับเหมางานสร้างโรงแรมระดับสามสี่ดาวร้อยกว่าห้อง เนื่องจากรับเหมาแข่งขันกันมาก จึงต่างกดราคาลง แน่นอนราคาต่ำ คุณภาพย่อมต่ำตามไปด้วย พอส่งงาน เจ้าของโครงการตรวจพบว่า งานหยาบเสียหายหลายแห่ง จ้างช่างไม่มีฝีมือ กระเบื้องที่ปู จึงบิดเบี้ยว ส่วนหินขัดก็สูงต่ำตะปุ่มตะป่ำ เจ้าของโครงการจึงไม่ยอมจ่ายค่าก่อสร้้างส่วนที่เหลือให้ นอกจากจะแก้ไขส่วนที่มีปัญหาเสียใหม่ ค่ารับเหมาซึ่งถูกมากอยู่แล้ว และยังจะต้องทุบทิ้งทำใหม่ ทำให้หนุ่มแดงเดือดดาล จึงจัดการแก้แค้นโดยแอบกรอกปูนซีเมนต์ลงไปในท่อระบายน้ำในห้องน้ำ เพื่อให้ท่อตีบเล็กระบายได้น้อย
ตอนที่ส่งมอบงาน แม้จะมีการทดสอบ แต่ไม่พบปัญหาเพราะจำนวนน้ำที่ต้องระบายไม่มาก วันเปิดฉลองโรงแรม เพื่อนฝูงแขกเหรื่อมาอวยพรกันคับคั่ง วิสัยของคนมักเอาเปรียบ ถ้าได้ฟรีจะยิ่งกิน ยิ่งใช้ กอบโกยให้เต็มที่ นอกจากดื่มกินกันจนหัวปักหัวปำแล้วยังหอบหิ้วกันเข้าไปใช้บริการห้องพัก เปิดแอร์เปิดทีวี ใช้โทรศัพท์ อาบน้ำ สระผม... ยังไม่ทันครึ่งคืน น้ำท่วมห้องล้นเข้าไปใต้เตียงนอน... ห้องพักหนึ่งร้อยสิบสองห้อง น้ำท่วมเสียแปดสิบแปดห้องโกลาหลไปทั้งโรงแรม เป็นเรื่องตลกที่เจ้าของโรงแรมเสียหายมากทั้งทรัพย์สินและชื่อเสียงจนต้องร้องไห้ อะไรกัน เพิ่งเปิดฉลองแต่ต้องประกาศปิดซ่อมสองเดือนในวันรุ่งขึ้น หลังจากตรวจสอบโดยละเอียด จึงได้พบว่าเหตุเกิดเพราะมีคนคิดร้ายกลั่นแกล้งดังกล่าว ผู้รับเหมาถูกแจ้งความต้องยอมรับความเสียหาย รื้อห้องน้ำสุขภัณฑ์ ท่อระบายน้ำทั้งแปดสิบแปดห้อง แก้ไขใหม่ทั้งหมด ทางโรงแรมยังเรียกร้องค่าเสียหายที่ต้องเปิดทำการล่าช้าไปสองเดือนอีกด้วย ผู้รับเหมาล้มป่วยตั้งแต่บัดนั้น อย่างกับไม่มีวันฟื้นตัวได้อีกเลย ส่วยนายแดงกับภรรยยา ที่ทำการเสียหายใหญ่หลวงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หลบไปทำนาที่บ้านอิสาน ภายหลัง ภรรยานายแดงผ่าตัดให้กำเนิดลูกชาย แต่แปลกแท้ที่ไม่มีรูทวารหนัก ต้องผ่าตัดเจาะรูทวาร ปีถัดไปต้องผ่าตัดให้กำเนิดลูกหญิงก็รูทวารใหญ่อุดตันอีก  คราวนี้ สองสามีภรรยาเริ่มรับรู้ถึงกฏแห่งกรรม... ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ครอบครัวนี้หาความราบรื่นไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็จะมีเหตุให้อุดตันอยู่ร่ำไป สุดท้าย นายแดงไปอยู่วัดช่วยซ่อมแซมวัด ภรรยาไปบวชชี รับใช้เก็บกวาดล้างท่อน้ำทิ้งมิให้อุดตันอยู่จนบัดนี้     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                ยาเบื่อ  :  หมอรุ่งเพชร มีชื่อเสียงมากทางไสยศาสตร์ หบังจากที่รักษาโรคประหลาดให้ทหารบกคนหนึ่งหาย โดยได้ถอนตะปูออกจากท้องสามตัวต่อหน้าต่อตาใคร ๆ แล้ว โรคที่รักษาไม่หาย

        ของนายทหารนั้น ก็หายอย่างกับปลิดทิ้ง จากนั้น เรือนไม้สองชั้น บ้านของหมอรุ่งเพชร ก็หัวบันไดไม่เคยแห้งสักวัน คืนหนึ่ง รถกระบะส่งผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่มีสภาพเหมือนตายแล้วมาหาหมอรุ่งเพชร ขณะนั้น แม้จะใกล้เที่ยงคืน แต่หมอยังคร่ำเคร่งรักษาคนไข้อยู่ ญาติที่พาผู้ป่วยชายมาส่ง ต่างคุกเข่าเล่าอาการให้หมอฟังว่า ผู้ป่วยชื่อนายทองใบ ป่วยมาเกือบสิบปี เข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง ใช้จ่ายค่ารักษาไปจนเกือบหมดตัวแล้ว ผู้ป่วยได้แต่ผอมเอา ๆ แน่นหน้าอกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาทับไว้ หายใจติดขัด ต้องอ้าปากหายใจ บางครั้งถึงกับใช้ออกซิเจนช่วย ฉีดยากินยาได้แต่บรรเทา สักพักเดียวก็กลับเป็นอีก บางครั้งเป็นวันละหลายครั้ง จะมีเว้นบ้างสองสามวัน ช่วงหลังกลายเป็นสะอึกไม่หยุด สะอึกครั้งละเกือบสองชั่วโมง ตัวสั่น น้ำมูกน้ำตาไหลพราก หายใจอึดอัดมาก ก่อนจะส่งมาที่นี่ สะอึกไปแล้วเกือบทั้งวัน ตอนบ่ายหยุดไปสามชั่วโมง พอตกเย็นก็เริ่มสะอึกอีก ญาติส่งไปฉีดยาระงับประสาทกล้ามเนื้อหนึ่งเข็ม ตกค่ำอาการรุนแรงยิ่งขึ้นจนหมอที่โรงพยาบาลบอกให้กลับบ้าน เพราะไม่อาจเยียวยา ญาติที่ไปส่งเห็นว่า ในเมื่อโรงพยบาบาลไม่อาจรักษาได้ ก็พามาหาหมอรุ่งเพชรดู ขณะนี้ ผู้ป่วยหยุดอาการรุนแรง มีแต่ลมหายใจขึ้นลงที่พอเห็นได้บนร่างของหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น หมอกดท้อง กดหน้าอก จับชีพจรแล้วบอกให้ญาติหาที่นอนกันเองบนเรือนหมอ รอพรุ่งนี้เช้าจึงจะรักษาให้ ญาติเหนื่อยกันมาก วันรุ่งขึ้นจึงตื่นเอาใกล้เที่ยง หมอลงมือจัดการกับผู้ป่วยที่เริ่มสะอึกอีกแล้ว หมอให้ญาติไปหอบฟางฟ่อนใหญ่หน้าลานบ้านมา จุดไฟให้เกิดควัน จากนั้นให้ญาติเอาถุงพลาสติกใบใหญ่เก็บควันขาว ๆ นั้นเข้าไป แล้วเอาถุงพลาสติกอีกใบหนึ่งคลุมตัวผู้ป่วยไว้ ผู้ป่วยซึ่งหายใจขัดมากอยู่แล้ว ยิ่งไอหนักจนดูอย่างกับจะขาดใจตาย ญาติมองหน้ากันเหมือนจะบอกว่า มารักษาให้หายหรือพามาให้เขาฆ่ากันแน่  แต่แปลก พอสูดควันถุงที่สามหมด ผู้ป่วยที่หมดแรงแล้ว กลับมีแรงไอต่อไป หมอบอกว่า ดีแล้ว ให้เขานอนหลับสักพัก หมอบอกแก่ทุกคนว่า เมื่อคืนตอนที่ผู้ป่วยมาถึง หมอเห็นวิญญาณปลาน้ำจืดฝูงใหญ่ตามมาล้อมบ้านหมอไว้ แต่เข้ามาบนบ้านไม่ได้ หมอนั่งทางในขอคุยกับหัวหน้าวิญญาณปลา ปลาดุกใหญ่มากตัวหนึ่งออกมาบอกว่า นายทองใบฆ่าล้างโคตรพวกเขา จะทรมานนายทองใบอย่างนี้หนึ่งปีแปดเดือนจึงจะทำให้ตาย ให้ได้รู้ว่า ที่ใช้ยาเบื่อจนพวกปลาไส้ขาดนั้น มันเจ็บปวดเพียงไร ปลาน้อยใหญ่ต้องอ้าปากพะงาบ ๆ หายใจดีดตัวดิ้นพรวด ๆ จนตาย ญาติรับว่าเป็นความจริง นายทองใบชอบใช้ยาเบื่อปลาเพราะทุ่นแรงทุ่นเวลา  และนายทองใบก็เคยเพ้อว่า "ปลาฝูงใหญ่มาแล้ว น่ากลัว...ช่วยด้วย" หลังจากเพ้อ นายทองใบก็จะเนื้อตัวเป็นจ้ำ ๆ ห้อเลือดบวมแดง เหมือนอะไรตอดกัด ได้ยินว่า นอกจากปลาแล้ว ยังมีกุ้ง ตะพาบน้ำ งูในน้ำก็มาช่วยกันแก้แค้น ผู้ป่วยสูดขวัญหญ้าฟางไปแล้ว หลับได้ทั้งวัน คืนนั้น หมอรุ่งเพชรทำพิธี จุดเทียนขาว 9 เล่ม เชิญวิญญาณหัวหน้าปลาดุกใหญ่มารอมชอมกันว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่วิญญาณพวกปลาไม่ยอม เพราะนายทองใบทำกับพวกเขาไว้มาก อำมหิตเหลือเกิน ทำพิธีรอมชอมหลายครั้ง แต่พวกปลาก็ยังไม่ยอมรับเงื่อนไขข้อเสนอ แสดงว่าการใช้ยาเบื่อคงทำให้พวกเขาเจ็บปวดสาหัสสากรรจ์ทีเดียวเป็นแน่ นอกจากจัดการกับนายทองใบแล้ว หมอรุ่งเพชรยังได้รับรู้ว่าลูกสาวนายทองใบอายุสิบเจ็ดปีถูกล่อลวงข่มขืน อับอายจนกินยาเบื่อตายไปเมื่อปีที่แล้ว นี่ก็เป็นผลจากแรงอาฆาตของพวกปลาด้วย  หมอรุ่งเพชรพยายามรักษาอยู่หลายวันจนนายทองใบทุเลาป่วย ไปทำบุญให้ทานเป็นการใหญ่ หวังจะได้ลบล้างบาปเวรบ้าง นายทองใบอยู่มาได้อีกหนึ่งปี วันหนึ่ง เขาเมาสุรา เดินตกลงไปในบ่อปลาที่น้ำตื้นไม่ถึงเข่า เขาจมน้ำตายอยู่ในบ่อปลา พระองค์กวนอริยมหาราชเจ้าโปรดว่า "๒แม้เราจะยิ่งด้วยบุญญฤทธิ์ อาจพิชิตมาร แต่มิอาจพิชิตเจ้ากรรมนายเวร"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
               ยาบ้า  :  สิงคโปร์  มาเลเซีย เป็นประเทศสีขาว ปลอดยาเสพติด มึนเมา  เพราะกฏหมายลงโทษหนัก วินัยเคร่งครัดไม่เห็นแก่หน้าใคร ทั้งผู้ซื้อ  ผู้ขาย  ผู้เสพ  ผู้มีไว้ในครอบครอง  ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

        หากตรวจพบไม่ว่าจะเป็นใคร  ชาติใด ไม่ยกเว้นทั้งสิ้น โทษสูงสุดคือประหารชีวิต...แขวนคอ ส่วนประเทสอื่น ๆ ดูอย่างกะหละหลวมไม่เอาจริง ยาเสพติดจึงระบาดเกลื่อนเมือง วัยรุ่น เยาวชน คนทุกเพศวัยติดยา ค้ายา...ในสายตาของผู้ปกครองที่มองการณ์ไกล เห็นว่าลูกหลานที่ศึกษาอยู่ในเมืองไทย มีโอกาสเสี่ยงมาก จึงมักจะส่งลูกหลานไปเรียนที่สิงคโปร์  มาเลเซีย  แม้เพียงแค่ช่วงปิดเทอมก็ยังดี ซึ่งผลก็ปรากฏว่า ลูกหลานได้ทั้งภาษา สุขอนามัย และความประพฤติดี แต่ที่จะเล่าให้ฟังนี้ เป็นรายหนึ่งในร้อยที่ผิดแผกไปเรื่องมีอยู่ว่า คุณกังห่งกี พ่อค้าคหบดีใหญ่ทางภาคใต้ ส่งลูกชายโทนคนเดียวไปเรียนที่สิงคโปร์ ความยิ่งใหญ่ของตระกูลนี้เริ่มมาจากก๋ง  คือ คุณกังกุ้ยซิม ผู้มีเครือข่ายการค้าข้ามประเทศ มีรถตู้แช่ขนาดใหญ่หลายสิบคันส่งอาหารทะเลสด ๆ ไปยังสิงคโปร์  มาเลเซีย  ความร่ำรวยมหาศาล มีความสำคัญต่อการได้รับสิทธิพิเศษ รถตู้แช่ทุกคันผ่านด่านประเทศได้ไม่ต้องตรวจตรา  พอมาถึงรุ่นลูกคือคุณกังห่งกี ได้ขยายธุรกิจออกเป็นคเ้าน้ำมันปาล์มกับยางพารา กิจการรุ่งเรือง ก๋งจึงค่อย ๆ ยุบกิจการทางทะเลลง จึงมีเวลาว่างเข้าร่วมงานกุศลสงเคราะห์ในท้องถิ่น ได้รับการยกย่องอย่างเต็มภาคภูมิว่า "คนบุญ"  ขณะที่กำลังเป็นคนบุญที่โด่งดัง คุณกังห่งกีลูกชายก็เป็นพ่อค้าคหบดีใหญ่อยู่นั้น วันหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์ข้ามประเทศจากโรงเรียนที่ลูกชายกังห่งกีเรียนอยู่ที่สิงคโปร์แจ้งมาว่า ทายาทคนที่สามคนเดียวของตระกูล ถูกตำรวจจับขังขณะเสพยาบ้าอยู่ในหอพัก กำลังรอศาลพิพากษาตัดสิน ดังฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มหันต์ เพราะมันคือกฏหมายสิงคโปร์ ไม่ใช่ในเมืองไทยเรื่องนี้จะบอกให้ก๋งหรือใครอื่นรู้ไม่ได้  แม่ของลูกชายเป็นลมล้มพับไปหลายครั้ง แต่ก็พยายามแข็งใจ นำเงินติดตัวไปห้าล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้านบาท) คุณกังห่งกี มีเพื่อนอิทธิพลในสิงคโปร์อยู่ไม่น้อย จึงขอให้ช่วยวิ่งเต้นเรื่องนี้ พร้อมกับมอบเงินห้าล้านเหรียญแก่ผู้วิ่งเต้นที่เป็นเพื่อนสนิท ที่ต้องทุ่มเงินทันทีมากมายอย่างนี้ เพราะรู้ดีว่า แม้จะมีอิทธิพลเพียงไร เงินกองใหญ่เท่าใดก็ยากที่จะเปลี่ยนรูปคดีได้ จึงขอให้เพื่อนวิ่งเต้นให้สำเร็จก่อนขึ้นศาล แม้จะต้องหมดเนื้อหมดตัวก็ยอม กังมั่งกวง ผู้ต้องหาอายุสิบแปดปี เรียนอยู่สิงคโปร์มาแล้วสามปี มารยาทไม่งดงามนัก แต่ความประพฤติพอใช้ ปีสุดท้ายของมัธยมปลาย เพื่อนนักเรียนชาวต่างชาติชักชวนให้สูบบุรี่ชนิดพิเศษมวนหนึ่ง เป็นของแปลกใหม่ที่น่าพอใจ ต่อมาเพื่อนชาวต่างชาติก็ส่งบุหรี่พิเศษนี้มาให้เสมอ กังมั่งกวงจึงติดยาบ้าไปโดยไม่รู้ตัว ครึ่งปีระยะหลังนี้ คุณกังห่งกีเห็นว่า ลูกใช้เงินมากผิดปกติเป็นเท่าตัว แต่ก็คิดว่าลูกอาจมีแฟน จึงต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ไม่คิดว่าลูกจะใช้ซื้อบุหรี่ยาบ้ามาสูบ กังมั่งกวงให้การว่า ยาบ้าจำนวนที่จับได้ในครอบครองเป็นของเพื่อนชาวต่างชาติมาฝากไว้ เจ้าหน้าที่ไม่รับฟัง เพราะหลักฐานมัดตัว เพื่อนสนิทชาวสิงคโปร์ช่วยวิ่งเต้นหาทางทั้งกลางวันกลางคืน แต่เจ้าหน้าที่ชาวสิงคโปร์ต่างรักษาหน้าที่ รักษากฏหมายเคร่งครัด ไม่ยอมแปดเปื้อน ฝากขังสามวันเท่านั้น ผู้ต้องหาก็ถูกนำขึ้นศาล ศาลชั้นต้นตัดสินว่า  หลักฐานเพียงพอให้ตัดสินแขวนคอภายในสามสิบวัน กังห่งกีวิ่งเต้นหาทางสุดชีวิต ตั้งรางวัลให้ทนายคนละหนึ่งล้านเหรียญอเมริกัน (ประมาณสี่สิบล้านบาท) ถ้าช่วยให้ลูกพ้นโทษประหารได้ แต่ใครก็ช่วยไม่ได้ ศาลชั้นต้น  สอง  สาม  ต่างลงความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน เรื่องใหญ่นี้ ไม่มีใครกล้าบอกก๋ง แต่เมื่อก๋งกลับจากท่องเที่ยวเมืองจีน ได้ยินเสียงเขาเล่าลือกัน ก๋งต้องถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลปั้มหัวใจฉุกเฉินทันที ส่วนคุณกังห่งกีผู้เป็นพ่อ ผมขาวโพลนทั้งศรีษะภายในเวลาไม่กี่วัน สำหรับแม่นั้น อยู่ในสภาพที่ไม่ต้องพูดถึงเลย วันประหารชีวิต พระสงฆ์ไทยจูงสายสิญจน์ รถศพบรรทุกโลงสีดำค่อย ๆ เคลื่อนออกมาจากประตูแดนประหาร ทุกคนที่ไปรอรับศพร้องไห้กันสุดเสียง จนฟ้าดินขณะนั้นพลันต้องโศกสลดไปด้วย ก๋งพาสังขารอันทรุดโทรมมารอรับหลาน นันย์ตาที่มองดูโลงศพบรรจุหลาน เหมือนมองดูสิ่งเลือนลาง ๆ ... แต่ทันใดนั้น ก๋งก็ถลาเข้าไป โหม่งศรีษะเข้ากับโลงศพ ร้องเสียงหลงว่า "มั่งกวงหลานรักของก๋ง ก๋งทำร้ายเจ้า ก๋งจะตายไปกับเจ้า..." ก๋งสลบลงตรงนั้น เสียงร้องไห้โฮดังยิ่งขึ้นกว่าเก่า ความโกลาหลเกิดขึ้น กังห่งกีไม่มีสติ เหมือนสมองหยุดสั่งงาน จนน้องสาวเข้ามาประคอง จึงเกิดความคิดวูบแรกว่า เตี่ยของฉัน (ก๋ง) แก่มากแล้วจะเป็นอันตราย จึงช่วยกันส่งก๋งเข้าโรงพยาบาล ก๋งค่อยฟื้นขึ้น เมื่อลืมตาเห็นกังห่งกีลูกชาย ก๋งน้ำตาไหลพราก บีบมือลูกชายไว้แน่น พูดพลางสะอื้นว่า "เตี่ยขอโทษลูก" แล้วหมดสติไปอีก ก๋งฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ เฝ้าแต่เรียกชื่อหลาน จะตามหลานไป ก๋งเพ้อเหมือนคนเสียสติ จัดงานศพของลูกเสร็จแล้ว กังห่งกีจึงกลับไปรับเตี่ยออกจากโรงพยาบาลสิงคโปร์มาไทย กลับบ้านปลอบขวัญแม่ของลูกที่ได้แต่เหม่อมองท้องฟ้า ไม่มีน้ำตาที่จะไหลได้อีก เก้าเดือนให้หลัง ก่อนที่ก๋งจะตาย ก๋งเพ้อว่า"ซ่อนยาบ้าไว้ในท้องปลา ซ่อนยาบ้าไว้ในท้องปลา ส่งต่างประเทศ... มั่งกวงหลานรักของก๋ง ก๋งทำร้ายเจ้า ก๋งจะตายไปกับเจ้า... ห่งกี ห่งกี เตี่ยขอโทษ เตี่ยขอโทษ"  

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              คนอิสาน   :  เมื่อสี่สิบปีก่อน บ้านผู้จัดการเจี่ยอยู่ในกรุงเทพฯใกล้สถานีรถไฟหัวลำโพง เคยถูกสามีภรรยาชาวอิสานที่มารับจ้างทำงานอยู่ในบ้าน หลอกลวงลักขโมย ยกเค้าเอาข้าวของเงินทองไปพะเรอ

        เกวียน ทำให้ผู้จัดการเจี่ยเจ็บใจและเสียใจมาก เพราะไว้วางใจว่าเป็นคนดี  คนซื่อ  ให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี แต่กลับเนรคุณเสียได้ จากนั้นเป็นต้นมา คุณเจี่ยจึงรังเกียจคนอิสานจับใจ ต่อให้การงานล้นมือเพียงไร ถ้าจ้างคนภาคอื่นไม่ได้ ก็ยินดีจะเหนื่อยเอง จะไม่จ้างคนอิสานไว้ให้สะดุ้งผวาอีก ต่อมาภายหลัง คุณเจี่ยย้ายไปค้าขายอยู่ทางภาคใต้ ลูกชายคนโตของคุณเจี่ย อายุสามสิบเจ็ดปี เป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีคนรักที่เป็นเพื่อนนักเรียนเก่า และปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทั้งสองรักชอบกันมาสิบห้าปี แต่ยังแต่งงานกันไม่ได้เพราะฝ่ายหญิงเป็นคนอิสานที่พ่อรังเกียจ แม้พ่อลูกจะไม่ได้พิพาทกันซึ่ง ๆ หน้า แต่เมื่อลูกเคารพรักพ่อจึงไม่อยากตอกย้ำความรังเกียจนั้น ครอบครัวคุณเจี่ยเป็นคนจีนที่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมไว้เคร่งครัด มีเรื่องหนึ่งคือ ถ้าหากลูกชายคนโตยังไม่มีครอบครัว น้องชายที่อายุสามสิบสี่ และน้องสาวที่อายุสามสิบเอ็ดปี ก็จะชิงแต่งงานก่อนไม่ได้ แม้ลึก ๆ คุณเจี่ยกับภรรยาจะห่วงใยที่ลูก ๆ ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาก็ตาม แต่ถ้าลูกชายคนโตยืนยันว่าจะแต่งกับสาวอิสานคนนี้ก็ไม่ต้องคุยกัน ระยะหลัง คุณเจี่ยดูจะเครียดกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย สังเกตจากที่เคยดื่มบรั่นดีขวดละเจ็ดวัน เดี๋ยวนี้เพิ่มเป็นขวดละสามวัน รุ่งเช้าวันจันทร์ คุณเจี่ยบ่นกับภรรยาว่า แน่นหน้าอก ภรรยาต้มซุปรังนกมาให้ แต่พอยกช้อนจะตักซุป มือสั่นจนช้อนตก ทรงตัวไม่อยู่ ภรรยารีบนำส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าเส้นเลือดตีบ ดีที่ยังไม่ขาด ให้พักที่โรงพยาบาลสักสามวันห้าวันรอดูอาการ หมอสั่งห้ามไม่ให้ดื่มเหล้าอีกเลย และให้ปล่อยว่างวางใจลง เพราะครั้งหน้าเส้นเลือดอาจจะขาดก็ได้ หมอเฉพาะทางผู้สูงอายุและคุ้นเคยกับท่านนี้ เป็นหมอปฏิบัติธรรม จึงแนะนำให้คุณเจี่ยอ่านข้อความพุทธวจนะของพระโพธิสัตว์กวนอิม (ข้อความเดิมยาวมาก ขอตัดตอนเฉพาะบางส่วน) ดังนี้ "จงปล่อยวางใจตน ปล่อยวางอคติตนลงเสีย ก็จะพบว่า ตนเองได้พลาดจากเหตุปัจจัยแห่งบุญไปไม่น้อย ความรู้เห็นในตัวเขา - เรา ไม่อาจวางลงได้อย่างแท้จริง คนที่ดีกว่านี้  สิ่งที่ดีกว่านี้ก็จะถูกขวางกั้นด้วยทัศนทิฐิของเจ้าเอง  ตนเองเห็นแก่ตัว จึงเห็นว่าผู้อื่นเห็นแก่ตัว  ตนเองระแวงแคลงใจ จึงสงสัยว่าผู้อื่นทำผิดต่อเรา นี่คือวิสัยที่ได้ปลูกฝังมาจากความยโส บำเพ็ญแต่หากยังละวางไม่ได้ ก็จะมีอัตตาตนเอง  มีอัตตาก็จะมีถูก - ผิด  มีเกิด - ดับ  มีการเวียนว่าย  สามีภรรยาไม่อาจละวางซึ่งกัน ก็จะหมางใจกัน  ก็จะคุมแค้นคัดเคืองกัน  เพื่อนพ้องไม่อาจละวางซึ่งกัน ก็จะกระทบกระทั่งกัน เสียดสีกัน ทำการใดไม่อาจละวาง ก็จะค้างใจไม่ยินดี  ไม่อาจละวางความทระนง ดึงดันความคิดเห็นของตนว่าถูกต้อง ก็จะไม่อาจปรับแปรเหตุปัจจัยแห่งบาปบุญทุกประการดังนี้ ผู้อื่นที่ไม่เหมาะกับเงื่อนไข  ความเคยชิน มาตรฐานของเจ้าก็จะโลดแล่นอยู่ในห้วงเหววัฏจักรของเจ้าเสมอ ละวางลง ยกก้อนหินในใจลง จะชดเชยความพร่องที่ค้างใจ แปรสลายแรงขัดเคืองที่จับตัวแข็งเป็นดานได้ วางลงเถิด วางห่อสัมภาระกับอนุสัยเก่าลงเสีย ทุกแห่งในโลกล้วนเป็นวิสุทธิแดนดิน เช่นนี้แล้ว เวลาใดหรือที่เราไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง..."คุณเจี่ยอ่านพระโอวาทวจนะซ้ำหลายสิบเที่ยว รุ่งขึ้นเพิ่งจะฟ้าสาง เขาสั่งภรรยาให้โทรศัพท์ทางไกลไปหาลูกชายคนโตที่กรุงเทพฯ บอกให้แต่งงานกับสาวอิสานคนนั้นได้เลย  วันรุ่งขึ้น ลูกชายคนโตพาคนรักมากราบพ่อแม่ ขออนุญาตแต่งงานวันอาทิตย์หน้า ไม่กี่วันต่อมา ลูกชายคนรองพาเด็กอายุเจ็ดปีเด็กหญิงอายุห้าปีกับแม่ของเด็กมากราบพ่อแม่ สามแม่ลูกพร้อมกันเรียก "อากง อาม่า" ลูกชายคนรองบอกพ่อแม่ว่านี่คือครอบครัวของลูก คุณเจี่ยถามลูกสะใภ้คนรองว่า เป็นคนภาคไหน เธอก้มหน้าตอบว่า "อิสานค่ะ" คุณเจี่ยชะงัก พูดอะไรไม่ออก ขณะที่งงงันอยู่นั้น ลูกสาวคนเดียวของคุณเจี่ยกับหนุ่มใหญ่บุคลิกดีคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ลูก ๆ อย่างกับนัดกันมา (ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป) อย่างนั้น หนุ่มใหญ่คือนายร้อยตำรวจคนรักของลูกสาว คุณเจี่ยโพล่งถามออกไปเหมือนคุมใจหวาดผวาไว้ไม่อยู่ว่า "คนภาคไหน" หนุ่มใหญ่ว่าที่ลูกเขยตอบนอบน้อมว่า "อิสานขอรับ" มีคำกล่าวว่า"เกลียดอะไรได้อย่างนั้น" คุณเจี่ยส่ายหน้าถอนใจกับชะตากรรม ทรัพย์สินเงินทองมากมายพะเรอเกวียน ถูกคนอิสานขโมยไปจนเกือบหมดเมื่อเริ่มตั้งตัวสร้างฐานะ บัดนี้สร้างฐานะเป็นปึกแผ่น สร้างลูก ๆ ให้สูงส่งถึงเพียงนี้ นับเป็นธนสารสมบัติมหาศาลในชีวิต แต่สุดท้าย ก็ยังหนีไม่พ้นเงื้อมมือคนอิสานไปได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ดูหนัง   :  บ่ายวันหนึ่ง เจ้าของบริษัทจวงจันทร์ภาพยนต์ในจังหวัดอุดรธานี ได้ต้อนรับลูกค้าชายวัยกลางคน สวมเสื้อกางเกงสีขาวทั้งชุด ซึ่งมีท่าทีสุภาพมากคนหนึ่ง มาติดต่อให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่

        หมู่บ้านวังทอง หมู่แปด ใกล้กับวัดขามชำนุ ตกลงราคา วันเวลา สถานที่กันเรียบร้อยแล้ว ชายในชุดขาวก็วางมัดจำให้หนึ่งพันบาทก่อนจากไป นี่เป็นเรื่องปกติประจำวันที่มีคนมาขอเช่าหนังกลางแปลงอย่างนี้ แต่ที่แปลกก็คือบนกระดานดำที่ลงรายการจะต้องไปฉายหนังยังที่ต่าง ๆ เต็มไปหมด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม เหลือว่างเฉพาะวันที่สามมีนาคมวันเดียว ที่เป็นวันจองของวัด ๆ หนึ่งซึ่งเพิ่งโทรศัพท์มาบอกยกเลิกเมื่อวานนี้ ชายในชุดขาวอย่างกับจะรู้หรืออย่างไร จึงเลือกเอาวันนี้พอดี บริษัทจวงจันทร์ภาพยนตร์ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไร เป็นบริษัทพ่อแม่ลูกช่วยกันทำ มีเครื่องฉายหนึ่งเครื่อง จอผ้าขาวหนึ่งจอ รถหกล้อเก่า ๆ หนึ่งคัน แค่นี้ก็เป็นโรงภาพยนตร์เคลื่อนที่ได้ ภาพยนตร์ที่ฉายส่วนใหญ่ไม่มีเสียงในฟิลม์ นายจวงจันทร์จะเป็นคนพากษ์เอง เขาเป็นนักพากษ์ชั้นเยี่ยม พากษ์ได้ทั้งบทรักบทร้าย ทั้งเสียงผู้ชายผู้หญิง คนแก่ทารก และแม้เสียงหมูหมากาไก่ ให้ความบันเทิงใจแก่ชาวบ้านชาวเมืองไว้มาก วันที่สามมีนาคม บริษัทจวงจันทร์มีพ่อแม่ลูกรวมสี่คนเตรียมทุกอย่างพร้อม ออกเดินทางจากอุดร แปดสิบกิโลเมตรจะไปถึงหมู่แปด หมู่บ้านวังทองที่นัดหมายกัน ตามที่นายปาชายในชุดขาวเขียนบอกไว้ ซึ่งน่าจะหาได้ไม่ยาก ที่ยากก็คือ กำหนดเวลาที่เข้าไปถึงบริเวณตั้งจอ ซึ่งดูนายปาจะย้ำนักหนาว่า จะต้องเข้าไปหลังบ่ายสี่โมงหรือสี่โมงเย็น และจะต้องกลับออกมาจากที่นั่นวันรุ่งขึ้นก่อนเวลาตีสี่ เหตุผลก็คือ บริเวณนั้นจะมีพิธีซ้อนกัน  ปกติการฉายหนังกลางแปลงตามวัด เขาจะขึงจอกันแต่วัน ตอนบ่ายจะกระจายเสียงเปิดเพลงเรียกร้องความสนใจ เป็นการโฆษณาประกาศให้ประชาชนรับรู้ว่า จะมีการฉายหนังกันตรงนี้ อีกทั้งตั้งจอแต่วันจะได้ไม่ต้องฉุกละหุก  นายจวงจันทร์กินข้าวเที่ยงแล้ว บ่ายจึงออกรถ แต่มาถึงหมู่บ้านวังทองก็เพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่ง แม้จะไม่เคยมาที่หมู่บ้านนี้แต่ก็หาได้ไม่ยาก พอเลยหมู่ที่เจ็ดก็จะต้องเข้าหมู่ที่แปดตามที่นายปาชุดขาวเขียนบอกไว้ แต่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา หาเท่าไรก็ไม่พบหมู่ที่แปด ถามชาวบ้านแถบนั้นดู ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่นี่ไม่มีหมู่ที่แปดและไม่มีคนชื่อนายปา ไม่มีใครรู้จัก เอาละสิ คงจะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่าง แต่... ไปหาอะไรกินหน้าอำเภอเสียก่อน ถึงเวลาจึงค่อยกลับมาใหม่ ในใจก็คั่งค้างอยู่แต่ว่า "น่าจะถูกหลอก ไม่ได้ค่าฉายหนังครั้งนี้แน่นอน หรือเราอาจจะเคยหลอกเขาไว้ หรือเราอาจจะสัญญาจะให้อะไรแก่ใครแล้วไม่ได้ให้จึงต้องมีเหตุให้ต้องมาชดใช้..." นายจวงจันทร์โอ้เอ้เตร่อยู่ที่ตลาดหน้าอำเภอจนถึงห้าโมงกว่า ค่อยกลับเข้าหมู่บ้านมาใหม่ ครั้งนี้ที่แปลกก็คือ ป้ายหมู่ที่แปดแผ่นใหญ่ปักอยู่ริมทางเห็นชัดเจนแต่ไกล ถนนเข้าหมู่บ้านก็ออกจะกว้างใหญ่ มาครั้งแรกทำไมไม่เห็น นายปายืนคอยอยู่ที่ปากทาง ถามเหมือนตำหนิว่า ทำไมเพิ่งมาถึง นายจวงจันทร์ไม่ตอบว่ากระไร รีบตอกหลักขึงจอตรงจุดที่นายปาชี้ให้ แล้วรีบจัดการฉายหนังทันทีเพราะค่ำแล้ว พ่อแม่ลูกทั้งสี่ ไม่มีเวลาชื่นชมกับทัศนียภาพหรือสัมผัสลมเย็น ไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำว่า บริเวณเงียบเชียบที่มีเพียงนายปาคนเดียว ชั่วพริบตา คนมาจากไหนแน่นขนัด มีทั้งผู้ชมภาพยนตร์นั่งกันเต็มพื้นบริเวณ มีทั้งพ่อค้าแม่ขายเหมือนงานวัดนัดสำคัญอย่างนั้น แต่แปลกที่ทุกคนนั่งดูกันอย่างสงบเงียบ หนังเรื่องนี้สนุกมาก คุณจวงจันทร์ตั้งใจพากษ์อย่างเต็มที่ พอถึงตอนที่ผู้ร้ายพ่ายแพ้ ผู้ชมที่เงียบกริบก็พากันปรบมือเกรียวกราวทำให้ผู้พากษ์คึกคักไปด้วย เดิมทีตกลงจะฉายให้ถึงตีสาม แต่เห็นผู้ชมหัวดำ ๆ ยังนั่งกันเต็มบริเวณไม่ลุกไปไหน จึงฉายแถมตำรวจจับผู้ร้ายให้อีกเรื่องหนึ่ง  ลูกเมียทั้งสามของนายจวงจันทร์หาที่หลับนอนไป หลังเที่ยงคืน จึงเหลือแต่นายจวงจันทร์ฉายด้วย พากษ์ไปด้วย ใจจดใจจ่ออยู่คนเดียว เวลาผ่านไป ผ่านไป... เสียงปรบมือเบาบางลงหัวดำ ๆ ตะคุ่ม ๆ บางตาลง เงยหน้ามองขอบฟ้า จึงรู้ว่าใกล้ฟ้าสางแล้ว หันกลับมาดูผู้ชม นายจวงจันทร์แทบจะหัวใจวาย หัวดำ ๆ ตะคุ่ม ๆ ที่เห็นก่อนหน้านี้ มันเป็นตอไม้กับหลุมฝังศพ บริเวณฉายหนังที่กว้างใหญ่ไม่มีร่องรอยของผู้คนเลย มันเป็นบริเวณสุสานทั้งหมด ที่แท้เมื่อคืนนี้ ผีมาดูหนัง !

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”