สามหมอ : เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แปลก ในวันเดียวกันได้ไปเยี่ยมหมอถึงสามคน คนแรกคือหมอญาติกัน อยู่ขอนแก่น เรียกชื่อย่อว่าหมอ
ป. แล้วกัน หมอ ป. เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ทำงานที่โรงพบาบาลจังหวัดมาแล้วสามสิบกว่าปี ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เกิดน้ำตาลในโลหิตพุ่งกระฉูด ยาคุมไม่อยู่ ทั้ง ๆ ที่รักษาเบาหวานแก่ตนเองมานับสิบปี ครั้งนี้บังเอิญได้แผลที่เท้าทั้งสองข้าง นั่งรถเข็นมาแล้วหกปี กลับจากขอนแก่นผ่านปากช่อง ถือโอกาสเยี่ยมหมอ ก. ที่ชอบพอกันมานาน หมอ ก. ทำงานกับโรงพยาบาลประจำอำเภอมานานเกือบยี่สิบปี เมื่อปีที่อายุได้สี่สิบเก้า ความดันโลหิตขึ้นเฉียบพลัน เส้นโลหิตในสมองแตก เป็นอัมพาตมาเกือบยี่สิบปีแล้ว หมอหลิน หมอคนที่สามเป็นหมอจีนแผนโบราณอยู่กรุงเทพฯ เป็นทั้วครูเป็นทั้งเพื่อน อายุแปดสิบสี่ปี ยังสดชื่นแจ่มใสดี คณะของเราตระเวณเยี่ยมเพื่อนมีสามคน ทุกคนเป็นโรคอย่างเดียวกันหมดคือ "เห็นหมอเป็นต้องป่วย" อดไม่ได้ที่จะให้หมอตรวจดูสักหน่อย อะไรทำนองนั้น ก่อนลากลับ หมอให้ของขวัญล้ำค่าติดมือมา มีหนังสือคติธรรม กับแท่นฝนหมึกจีน แต่น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าเขียนพู่กันจีนไม่ได้เรื่องเลย หมอหลินผู้ให้คงผิดหวัง ผู้ร่วมทางคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า "ทำไมสามหมอจึงมีสภาพต่างกันอย่างนี้" ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ ว่า "ตามกรรม" แต่แล้วก็ต้องขยายความจนได้ว่า หมอ ป. เป็นหมอผ่าตัด เป็นหมอนักเรียนนอกผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรม ครั้งหนึ่ง ผู้ป่วยอุบัติเหตุศรีษะฟาดพื้นคนหนึ่งถูกส่งมาโรงพยาบาล หมอ ป. เรื่อนเฉื่อย ซึ่งอาจเห็นว่าเป็นชาวบ้านยากจน ชีวิตไร้ค่าหรืออย่างไรไม่ทราบ ผู้ป่วยรายนี้ตายโดยไม่ได้รับการผ่าตัดรักษา เหมือนไม่แยแส ต่อมา ผู้ป่วยอีกรายหลายที่ถึงโรงพยาบาล ถึงหมอผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็ยังไม่ได้รับความใส่ใจช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทันการ ทำให้ต้องเสียแขน เสียขา ทุพพลภาพ หรือตายไปอีก จนเคยมีญาติผู้ป่วยร้องไห้ตะโกนลั่นโรงพยาบาลแช่งด่าหมอ ป.ว่า "ให้มันขาด้วน ๆ" ส่วนหมอ ก. นั้น เป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล มนุษย์สัมพันธ์ดี ความรู้ดี ใส่ใจผู้ป่วยดี แต่ชอบมีส่วนกินนอกกินใน จะซื้อยา ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ไว้ใช้ในโรงพยาบาล หรืออะไรที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ผ่านมือหมอ ก.ละก็ เป็นต้องชักเปอร์เซ็นต์หรือเพิ่มราคา กินแม้กระทั่งเงินที่เกี่ยวกับการบริจาคโลหิต จนได้สมญาว่า "หมอโลหิต" ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป หมอ ก. เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเก้าปี ก็ซื้อที่ดินได้หลายผืน ตั้งโรงงานผลิตยาเอง ปีนั้นอายุสี่สิบแปด กำลังจัดพิธีเปิดป้ายโรงงานผลิตยาโรงที่สอง คงจะเหนื่อยหนักเกินไป เส้นโลหิตในสมองแตก หมดความรู้สึกไปสี่สิบเก้าวัน ฟื้นอีกทีก็ต้องอยู่ในสถาพที่กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เสียแล้ว ส่วนหมอหลิน ที่รู้จักกันมายี่สิบกว่าสามสิบปี เป็นหมอที่เรียกได้ว่า "หมอโพธิสัตว์" รักษาไปด้วย สอนกฏแห่งกรรมไปด้วยให้ธรรมะ ให้วิชาความรู้ ให้กำลังใจ ให้กายยภาพบำบัด จนผู้สูงอายุมากมายที่เริ่มเป็นโรคชรา กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด สำหรับตัวหมอหลินเอง ดูแลรักษากายใจด้วยธรรมะ ด้วยอาหารธรรมชาติ และรำมวยไท้เก๊กมาเกือบสี่สิบปีแล้ว บวกกับบุญทานที่สร้างอยู่เป็นประจำ จึงไม่น่าแปลกใจว่า บัดนี้อายุแปดสิบสี่ปีแล้ว ยังกระฉับกระเฉงอยู่