collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย 3  (อ่าน 31650 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   ตอนที่ 12

                      ปากทางตำหนักเจิ้นหยาง
                           สอบย้อนทางสุขสมใจ
                 แปดลม (อารมณ์) ไม่หวั่นไหว     
                           จึงผ่านได้เจดีย์ยุคขาว

@  ฟ้ากาลล่วงผ่าน        ถึงยุคเก็บงาน        อันสมบูรณ์ผล
ธรรมชาติประดน            พระองค์เบิกนำ       วาระความนัย
บรรพวิถี                     วันนี้สังขตะ            สัจจะสืบสาย
พุทธบุตรได้                 เสร็จสิ้นปณิธาน      กลับบ้านบวชใจ


(เทียนสือเฝิงจื้อโซวเอี๋ยนฉี        หยานเค่าสินเซิ่งเตี่ยนเอวี๋ยนจี
กู่เต้าจินฉวนเจินหลี่ก้วน            ฝอจื่อเหลี่ยวเอวี้ยนเจียกุยอี)
                                                                              เราคือ

บรรพพุทธา (ฟ้า) ธรรมชาติ   เทียนหยานกู่ฝอ

พระศาสดาโลกสากล           น้อมรับ
บัญชาฟ้า   เหินสู่ดินแดนบูรพา    ค่อยลงจากยอดเมฆา
น้อมเข้ามายังพุทธตำหนัก     ก่อนอื่นน้อมกราบ
พระแม่ฯเมตตา     จึงถามเหล่าเมถาสบายดี

        เทียนมิ่ง อนุตตรพระโงการฟ้า น่าคร้ามยำเกรง จะอยู่เย็นเป็นสุข หากน้อมรับทำตามพระฯบัญชา  บัดนี้ ฟ้าโปรดประทานฐานบัวทองให้ จงเพียรใจมุ่งหน้าต่างรับรู้สัจจา เปิดจักษุใส ได้เห็นแยบยล ทางธรรมสุดท้ายได้มาถึง หมื่นศาสตร์พากันฟูเฟื่อง ต่างเรืองฤทธิ์บุญญา นำพาเมธีคนดีกัน ยึดหลักสัจธรรมนำพาต้นราก ใจมิต้องวิบัติสับสน หากมุ่งศาสตร์บันดาลดล ทุกคนตาบอดจะไม่รอดลงเหวไป

@ จิตใสใจสว่าง เห็นญาณตน        เป็นต้นเดิม ที่มีอยู่
ด้วยจิตรู้ ธรรมชาติ                          ไม่เขียนวาด ดัดอาการ
คุมจิต  สำรวมนำ                            เรียกว่าธรรม ท่านกล่าวขาน
เทียนมิ่ง  โองการฟ้าฯ ประจุร่าง ญาณทวาร เปิดแยบยล


(หมิงซินเจี้ยนซิ่งซื่อเปิ่นไหล              อู๋โหย่วจั้วจั้วเทียนหยานไฮว๋
ไซว่ซิ่งเอวี้ยเต้าหนีซันอวี่                  เทียนมิ่งก้วนเซินเมี่ยวเสวียนไค)

@ พวกทางใน  ใช้เวทวิทย์          สื่อรู้จิต  ฤทธิ์นั้นร้าย
สำแดงตน ด้วยคุณไสยฯ                   สนองใจ คนต้องการ
จิตงามโรจน์ ญาณจากฟ้า                 ไม่ปรากฏ สำแดงหาญ
บำเพ็ญจน กายแหลกลาญ                เราเรียกขาน ว่าคน "เซ่อ"


(จูปันเสินทงไกว้ลี่ไฮ่                      ซู่หลิวต้งจิ้งอิ้งเหยินไฉ
เทียนเหลียงเปิ่นเจวี๋ยปู้เสี่ยนโล่ว         ซิวผ้อโย่วอีอี้หมิงไต

@ ทุกคนมี ญาณบรรพต              เรืองโรจน์อยู่ คู่ตนแท้
จะเดินยืน นั่งนอนแผ่                       ใครกันแน่ บงการเจ้า
เกิดถลำ ทำผิดไป                         สะท้านใจ กายสั่นเทา
ก็ตนเอง จิตญาณเรา                      ถูกรุกเร้า ด้วยบาปเวร


(เหยินเหยินโหย่วจั้วหลิงซันไถ          สิงจู้จั้วอั้วเสยจู๋ไจ่
เซาโหย่วซั่วซื่อจิงคุ่ยตัง                  เอวี๋ยนไหลจู่องโซ่วอวั้งไจ

@ ใจสบาย ไม่ผิดหลัก              ประจักษ์เห็น "เช่นนั้นเอง"
แสงญาณเปล่ง                            ขันธ์ห้าว่าง วางยึดหมาย
นำจิตอยู่ คู่ฟ้าดิน                          หว่างมรรคา ไม่ใกล้ไกล
ฟูมฟักถ้วน สรรพสิ่งได้                    ธาตุห้าไซร์ ลำดับงาม


(ซินอันหลี่เต๋อกวนจื้อไจ้                อู่อวิ้นเจ้าผ้ออู๋กว้าไอ้
โซวฟั่งจ้งเจี๋ยเฉียนคุนเจิ้ง              อวั้นอู้อวี้เอียนอู่สิงไผ)

@ กรุณามโนงาม จริยะ            ปัญญา สัตย์จริงนั่น
คุณสัมพันธ์ ระหว่างกัน                  บำเพ็ญมั่น เป็นสุขสม
ตาดู หูฟัง งามคารม                     อาการ ปัญญาคม
สำรวมสม สถานภาพ                    กำราบใจ ไม่กระเจิง


(เหยินอี่หลี่จื้ออวี่ซิ่นไจ                 เหยินหลุนซิวฉีเล่ออู๋อย๋า
ซื่อทิงเอี๋ยนต้งเหอหลี่จื้อ               อันเฟิ่นโสวจี่อวั้งซินไหม)

@ พร่ำสอนสั่ง ดั่งย่ายาย          ใจห่วงย้ำ กำชับว่า
หมื่นปัจจัย ปล่อยวางหนา             ฝุ่นโลกา อย่าพอกพูน
ชีวิตคน ทุกหนแห่ง                     ล้วนแหล่งธรรม
กระจ่างใส เห็นในธรรม                 แยบยลงาม ในตถตา


(ผอซินขูโข่วติงหนิงไจ้                อวั้นเแวี๋ยนฟั่งเซี่ยทัวเฉินไอ
เหยินเซิงซู่ซู่เจียโหย่วเต้า            อู้โท่วเมี่ยวเซี่ยงเจี้ยนหยูไหล)

        ยุคนี้ศาสตร์ลี้ลับ ดวงแก้ว แร่ธาตุอัศจรรย์ เสริมอายุวัฒนะ คงกระพันชาตรี เพิ่มพลังน้ำ - ไฟในตัว กำหนดลมปราณ...ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เหล่านี้ กำลังเป็นที่ชื่นชอบของคนมากมายในธรรมกาลยุคขาว สาเหตุก็คือ บ้างละทิ้งหลักธรรมตามปกติเพื่อใฝ่หาอภิญญา บ้างดูเบาไตรรัตน์ ใฝ่ใจสิ่งแปลกใหม่ จึงมีผู้สำแดงกันออกมา พาคนให้หลงตามไปไม่น้อย น่าเสียดายยิ่งนัก อาจารย์จึงอาศัยอริยสัมพันธ์จากการสร้างหนังสือฝากความหวังไปยังศิษย์เมธีผู้นำแบบอย่าง ให้อุ้มชูรักษาสัทธรรมเที่ยงแท้ ร่วมช่วยธรรมกาลนี้ ถึงแม้การทำสมาธิวิปัสสนา นั่งฌาน จะเป็นแนวทางหนึ่งในหมื่นวิธีของการปฏิบัติ ที่สุดของจุดหมายก็เพื่อให้คุมจิต ให้สำแดงการรู้แจ้งของจิตดีงาม ศิษย์จึงอย่าได้ยึดหมายลุ่มหลงการนั่งนิ่ง จึงจะเป็นการปฏิบัติบำเพ็ญกุศลจิตชีวิตจริง พระธรรมาจารย์สมัยที่สิบห้า ธรรมฉายา "ผู้เฒ่าทะเลเหนือ" (เป่ยไห่เหล่าเหยิน) ได้จารึกหลักการนี้ไว้ใน "ไขหลักจิต" (หลี่ซิ่งซื่ออี๋) เป็นการเฉพาะ มีผู้ถามว่า "ศาสตร์ลี้ลับ ดวงแก้ว แร่ธาตุอัศจรรย์ เสริมอายุวัฒนะ คงกระพันชาตรี เพิ่มพลังน้ำ - ไฟในตัว กำหนดลมปราณ...อีกมากมายเหล่านี้ ถูกต้องเป็นจริงหรือไม่ อย่างไร" ซึ่งได้ไขข้อข้องใจไปว่า "วิธีการข้างต้น ถูกต้องเป็นจริงกว่ามิจฉาศาสตร์อื่น ๆ แต่หากพิจารณากับสามศาสนามหาอริยะแล้ว ก็จะมีข้อปฏิเสธ พึงรู้ว่า ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีวันสูญหายไป นับประสาอะไรกับเนื้อกาย จะคงกระพันชาตรีไปถึงไหน..."

พระอาจารย์   : 
ถึงเวลาที่จะไปบันทึกท่องพุทธาลัยแล้ว รบกวนขุนพลพิทักษ์ฯ รักษาพระตำหนักฯด้วย  อู้เอวี๋ยนสงบใจ รีบขึ้นฐานบัว เราออกเดินทางชั่วขณะ ฐานบัวเหินข้ามพันลี้ ผ่านด่านจื่อหยาง กับ ด่านเหอหยาง ครู่เดียว มาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง ฐานบัวค่อย ๆ ลดลง เห็นเหล่าเทพกรเรียงรายต้อนรับอยู่สองฟาก เสียงกลองระฆังดังขึ้นพร้อมกัน...

เทพกร   :  ข้าพเจ้าทั้งหลาย น้อมรอคอยบรรพพุทธาท่านกับศิษย์อยู่นานแล้ว ทูลเชิญด้านใน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ตอนที่ 12

                      ปากทางตำหนักเจิ้นหยาง
                           สอบย้อนทางสุขสมใจ
                 แปดลม (อารมณ์) ไม่หวั่นไหว     
                           จึงผ่านได้เจดีย์ยุคขาว

พระอาจารย์   : 
ท่านเทพกรต่างเหนื่อยนักแล้ว ได้รับการต้อนรับเช่นนี้ ไม่กล้ารับจริง ๆ ท่านผู้นี้คือศิษย์อู้เอวี๋ยน ขอท่านได้โปรดชี้แนะให้มาก

อู้เอวี๋ยน   :  กราบคารวะเทพกรทุกท่าน... ...คารวะถ้วนทั่วแล้ว พากันดำเนินไปช้า ๆ ตรงเข้าประตูด้านใน เมื่อไปถึงก้ได้เห็น ทัศยภาพบริเวณด่านนี้กับด่านไหน ๆ ก็คล้ายกัน ข้างหน้ามีแผ่นป้ายใหญ่แขวนไว้เหนือประตู จารึกอักษร "จิ่วหยางกวน" สามตัว สีสันเรืองรอง ซ้ายขวามีกลอนคู่ ความว่า"ธรรมะกระจ่างดังนี้        ขั้นตอนดั่งนี้ทางผ่าน
หลงผิดให้ต้องเป็นนั้น              คร่ำด่านต้องให้เป็นไป
(เต้าหมิงหยูซื่อกั้วเฉิงหยูซื่อ     หลี่เม่ยสื่อหยานกวนตู้สื่อหยาน)

    เข้าประตูด่านแล้ว ตรงไปข้างหน้าไม่ถึงครึ่งลี้ มองเห็นปราสาทไกลออกไปหลังหนึ่ง สวยงสมเลิศหรู ดูน่าคร้ามเกรงยิ่งนัก เทพกรห้าหกท่านรอต้อนรับอยู่ที่นั่นแล้ว...

เทพกร   :  กราบคารวะบรรพจารย์ทรงอริยสำราญ องค์เจ้าตำหนักขอเชิญท่านกับศิษย์ ดังนั้นจึงพร้อมกันเข้าสู่ตำหนัก อู้เอวี๋ยนเหลียวซ้ายแลขวาเห็นอุทยานด้านใน ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มพื้นที่ สีสันตระการตา ส่วนสนามหญ้าก็งามนัก เขียวชอุ่มดูนุ่มเนียนดั่งพรม สดสวยสุดพรรณา หันกลับมาดูห้องโถงยิ่งงามสง่าน่าสบายน่าคร้าม สะอาดสะอ้านสวยใส กว้างใหญ่โอ่โถง มีแผ่นป้ายใหญ่อยู่บนขื่อกลาง จารึกอักษรว่า
"เก้าระดับ        แบ่งแยกชัด        เก้าผลบุญ
หนึ่งขั้นสูง            ขึ้นก้าวถึง           หนึ่งขั้นสูง"
(จิ๋วผิ่นเฟินชิงจิ๋วผิ่นกว๋อ           อี้เจียซั่งจิ้นอี้เจียเกา)

เมื่อทั้งหมดดำเนินต่อมา ก็ได้เห็นบรรพจารย์เทียนจู้ ออกมาต้อนรับ

พระบรรพจารย์   :  ยินดี ยินดี บรรพพุทธากับศิษย์สนองพระโองการฟ้า เหนื่อยยากเพื่อฉุดช่วยเศษขันธ์ เก็บหลักฐานข้อมูลยืนยัน ประพันธ์ปลุกคนหลับหลง คืนนี้เป็นเกียรติแก่ตำหนักนี้ มีโอกาสปฏิบัติเล็กน้อยเพื่องานแพร่ธรรม... ขอเชิญ...

พระอาจารย์   :  ท่านยุ่งกับงาน เรายังมาคารวะรบกวน ขอท่านได้โปรดอภัย

พระบรรพจารย์   :  ที่ไหนกัน บรรพจารย์ท่านกับศิษย์ไม่เกรงเหนื่อยยากเพื่อสร้างหนังสือ เป็นคุณธรรมน่าเคารพ จะว่ารบกวนได้อย่างไร

อู้เอวี๋ยน   :  ศิษย์ผู้น้อยกราบคารวะ ขอพระบรรพจารย์อริยสำราญ

พระบรรพจารย์   :  อู้เอวี๋ยน มิต้องมากจริยา ทานเหนื่อยยากมาก รีบยืนขึ้นเถิด  จากนั้น พระอาจารย์กับอู้เอวี๋ยน ก็ดำเนินตามพระบรรพจารย์เทียนจู้สู่ตำหนักใน เทพกรถวายน้ำชา ผลไม้เซียน ต่างประทับนั่งและนั่งตามลำดับ

พระอาจารย์   :  หวังวอนบรรพจารย์ท่านชี้แนะหน้าที่ของตำหนักท่าน เพื่อบันทึกข้อมูล 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ตอนที่ 12

                      ปากทางตำหนักเจิ้นหยาง
                           สอบย้อนทางสุขสมใจ
                 แปดลม (อารมณ์) ไม่หวั่นไหว     
                           จึงผ่านได้เจดีย์ยุคขาว

พระบรรพจารย์   :  ตำหนักนี้ชื่อว่า เจิ้นหยางเตี้ยน เป็นด่านแรกของจิ่วหยังกวน มีหน้าที่พิจารณาผลบุญ (กงกว๋อเจียวลุ่น)
มีห้องรื่นใจ      (ซุ่นซินซือ)
มีศิลาจาลึกใส   (โท่วหมิงเปย)
มีเจดีย์ยุคขาว    (ไป๋หยางถ่า)

     และอื่น ๆ  เพื่อพิจารณาผลบุญแท้ภายนอกภายในของผู้บำเพ็ญ  พิจารณาผลบุญ จุดประสงค์เพื่อให้ญาณผู้บำเพ็ญถ่องแท้ต่อหลัก "คุมจิตวิสัยได้คือธรรม" (ไซว่ซิ่งจือเอว้ยเต้า) ซึ่งผลบุญภายนอกภายใน เป็นสองด้านในองค์เดียวกันอันมิอาจแยกจาก การรักษาศีล ฝึกจิตใจ คุมใจ ดำรงรักษาจิตวิสัย รู้ชอบสำนึกแท้ ปัญญาวิจารณญาณแจ่มชัด เหล่านี้ล้วนเป็น ผลบุญภายใน ส่วนทรัพย์ วิทยาธรรม กับแรงกายเป็นทาน สามฐานนำ*  จตุธรรมดำรง* กับคุณธรรมแปด*  เชิดชูความดีต่าง ๆ นั้นคือ ผลบุญภายนอก ที่ศาสนาปราชญ์ว่า "ดีเฉพาะตน ดีแก่คนทั้งหลาย" (ตู๋ซั่นฉีเซิน เจียนซั่นเทียนเซี่ย) เป็นการพิจารณาผลบุญ ที่แสดงให้เห็นได้อย่างเหมาะสมนัก ส่วนปลงเห็นสรรพสิ่ง เข้าถึงสัจธรรม เจตนาศรัทธาแท้ใจเที่ยงตรง บำเพ็ญตน (เก๋ฮฮู้ จื้อจือ เฉิงอี้ เจิ้งซิน ซิวเซิน) นั้น อยู่ในขอบข่ายของผลบุญภายใน  สำหรับบ้าน (ครอบครัว) พร้อมสมบูรณ์ ปกครองบ้านเมืองเป็นระเบียบ โลกราบเรียบสงบสุข (ฉีเจีย ฉือกั๋ว ผิงเทียนเซี่ย) เป็นเป้าหมายของผลบุญภายนอก

พระอาจารย์   :  ขอบพระคุณบรรพจารย์ที่ได้โปรดชี้แจงหลักของงานในตำหนักนี้ คิดถึงรากฐานของคนในยุคสุดท้ายนี้ ปัญญาถูกเวรกรรมบดบัง ถ้ามิใช่ยึดหมายในผลบุญภายนอก โลภอยากลาภสักการะ ก็จะหลงอยู่ในผลบุญภายใน เอาแต่นั่งนิ่งภาวนา ขอบรรพจารย์ท่านอาศัยบุญโอกาสพิเศษนี้ บอกเล่าการจะผ่านด่านนี้ได้ควรเป็นเช่นไร ให้ผู้บำเพ็ญได้ส่องเห็นทำตามด้วยเถิด

หมายเหตุ *   : 
สามฐานนำ   (ซันกัง)  ระหว่างประมุขกับทวยราช บิดากับบุตร  สามีกับภรรยา
จตุธรรมดำรง  (ซื่อเอว๋ย) จริยะ  มโนธรรม  สุจริตธรรม  ละอายต่อบาป
คุณธรรมแปด  (ปาเต๋อ)  กตัญญู  พี่น้องปรองดอง  จงรัก  สัตย์จริง  จริยะ  มโนธรรม  สุจริต  ละอายต่อบาป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ตอนที่ 12

                      ปากทางตำหนักเจิ้นหยาง
                           สอบย้อนทางสุขสมใจ
                 แปดลม (อารมณ์) ไม่หวั่นไหว     
                           จึงผ่านได้เจดีย์ยุคขาว

พระบรรพจารย์  : 
เมื่อท่านต้องการ ข้าพเจ้าก็จะไม่คำนึงถึงความตื้นเขิล ขะขยายให้ฟังพอสังเขป เพิ่มสาระแก่หนังสือเป็นโคมส่องผู้บำเพ็ญ ที่กล่าวว่า
"ผลบุญภายในกลม ผลบุญภายนอกสมบูรณ์"
(เน่ยกว่อเอวี๋ยน ไอว้กงหมั่น)

"ทางโลกทางธรรมราบรื่น รู้แจ้ง ดำเนินจริง เพียบพร้อม"
(เซิ่งฝันหยูซิน เจวี๋ยสิงเอวี๋ยนหมั่น) นั้น จะบรรลุอรหันต์ ผ่านด่านนี้ได้แน่นอน แต่ช่วงปลายนี้ วิถียุคสุดท้าย คนราบรื่นไม่ฝืนขัดดั่งนี้มีน้อย ดังนั้น ด่านนี้จึงเอาผลบุญจากหลักธรรมของความเป็นคน การบำเพ็ญฝึกฝนมาเป็นจุดพิจารณา  ผู้บำ้เพ็ญหากรักษาทำตามระเบียบแบบแผนของศาสนาที่ตนร่วมอยู่ได้ไม่เสียหายทั้งทางโลกทางธรรม สร้างกุศลให้มากก็จะผ่านด่านนี้ไปสู่แดนวิสุทธิ์ของถ้ำเซียนต่าง ๆ รับการอบรมเพื่อประจักษ์พุทธวิสัยเดิมทีอันสง่างามในหมื่นคุณธรรม ในส่วนที่ว่า จะบำเพ็ญภายนอกภายในนั้น แต่ละศาสนาล้วนมีคำสอนชัดเจนกันอยู่แล้ว ศาสนาปราชญ์ ว่า"กระจ่างต่อคุณธรรมชีวิตสว่าง" (หมิงหมิงเต๋อ)  "ปลงเห็นสรรพสิ่ง เข้าถึงสัจธรรม" (เก้ออู้จื้อจือ) ศาสนาเต๋า ว่า "ใสสงบอยู่กับสภาวะธรรมชาติปกติ" (ซิงจิ้งฉังอิ้ง)ศาสนาคริสต์ ว่า "ความรักแผ่ไพศาล" (ป๋อไอ้) ศาสนาอิสลาม ว่า "ใสสะอาดจริงแท้" (ซิงเจิน) ล้วนเป็นประทีปของการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรธรรมจึงมีความปราณีตหลายชั้นคือ หนึ่ง  เอาชนะตน (เค่อจี่)  สอง  ปรับตน  (ไก่กั้ว)  สาม  พิจารณาตน (สิ่งฉา)  สี่  แผ่เมตตา  (ปู้ฉือ)เอาชนะตน จะต้องมีวินัยบัญญัติแน่นอน แต่ยังไม่แนบแน่น หากยังไม่เข้าใจลุ่มลึกต่อการปลงเห็นสรรพสิ่ง เข้าถึงสัจธรรม(ไม่ยึดหมาย จิตใจบริสุทธิ์อิสระ) ยังจะต้องไม่หลอกตน ไม่ยกโทษแก่ตน(ไม่เข้าข้างตน) เพราะถ้าหลอกตน จะอธิบายธรรมตามจริตตน ไม่ใช่ธรรมะก็จะเห็นว่าเป็นธรรมะ เช่นนี้ จะไม่อาจบำเพ็ญผลบุญภายในจิตตนได้ ท่านจอมปราชญ์ว่า "เอาชนะตนฟื้นฟูจริยธรรม ทั่วหล้าพากันคืนสู่กรุณาธรรม"(เค่อจี่ฟู่หลี่ เทียนเซี่ยกุยเหยิน) จึงรู้ว่าการเอาชนะตนจำเป็นต่อการบำเพ็ญผลบุญภายในจึงพึงศรัทธาจริงแท้  ศรัทธาจริงแท้จึงจะสว่าง (เฉิงเจ๋อหมิง) สว่างด้วยศรัทธาจริงแท้จากตน (จื้อเฉิงหมิง) ชีวิตจากฟ้า เรียกว่าจิตญาณ (จิตวิสัยฟ้า) (เทียนมิ่งจือเอว้ยซิ่ง) แน่นอน ศีลบัญญัติของพุทธะ อย่างน้อยจะต้องให้คนรักษาศีลห้าเคร่งครัด นั่นคือ ให้เอาชนะตน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/02/2556, 10:28 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ตอนที่ 12

                      ปากทางตำหนักเจิ้นหยาง
                           สอบย้อนทางสุขสมใจ
                 แปดลม (อารมณ์) ไม่หวั่นไหว     
                           จึงผ่านได้เจดีย์ยุคขาว

พระบรรพจารย์  : 
หากย้อนมองส่องเห็นความคิดตนทุกขณะ กำจัดอุปสรรคทีขัดขวางจิตเจริญธรรมได้ ก็คือ ส่องเห็นขันธ์ห้าล้วนว่างเปล่า ดังนี้ จิตดีงามก็จะสำแดงชัด เข้าถึงการบำเพ็ญภายใน เหตุจากความเคยชินในอดีตชาติย้อมเข้ม แม้จะรู้วินัยบัญญัติ แต่โรคเก่าก็ยังกำเริบใหม่ จึงต้องขอขมาสำนึกแก้ไขเสมอ ขอขมากรรมสำนึก ประหนึ่งมีดคมตัดบั่นความเคยชินนั้น ศาสนาปราชญ์ จึงมีคำว่า "สำรวจตน ฟ้องร้องตน" (สิ่งเซินจื่อซ่ง) ศาสนาพุทธ ว่า "ตื่นใจรู้ตัวทุกขณะ" (ฉังเจวี๋ย) ศาสนาเต๋า ว่า "ส่องเห็นตนทุกขณะ" (ฉังเจ้า) ล้วนเป็นพระโอวาทตัดฟุ้งซ่านหั่นนิวรณ์ ความเคยชินเดิมไม้กำจัด ปฏิกูลใหม่ไม่ชำระ จิตใจใสสว่างแต่เดิมจะยิ่งถูกบดบัง ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญผลบุยภายใน ใคร่ได้เมล็ดเนื้อในไว้เพาะพันธุ์บุญ จะต้องกำจัดของเก่า ไม่ให้สิ่งหนึ่งใดบดบัง แท้จริงสรรพสิ่งไม่อาจบดบังได้ ล้วนด้วยใจตนขาดพิจารณา ขาดการใส่ใจ จึงบดบังตน ดังนั้นทุกขณะจิตพึงพิจารณาใส่ใจตน ใจเหิมเกริมนั้น เป็นกันทั่ว ระหว่างบำเพ็ญจะเกิดความคิดลังเล สงสัย จะลำพองใจ เช่น ....แม้ข้าจะเทียบไม่ได้กับบรรพอริยะ แต่ก็ดีกว่าใคร ๆ ไม่มีสิ่งซึ่งพึงละอาย... นี่คือ ไม่สำรวมให้ลุ่มลึก คนประเภทนี้ เห็นผู้บำเพ็ญเคร่งครัดว่าคร่ำครึ เห็นผู้ปฏิบัติจริงจังว่าทรมานเกินเหตุ ไม่เหมาะกับยุคสมัยและสังคมปัจจุบัน เห็นว่าประพฤติตนเป็นคนดีก้พอแล้ว ทำไมจะต้องให้เหมือนบรมครูขงจื้อ อริยราชเจ้าเหลาจื้อ หรือเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่กล้าเคร่งครัดต่อตนเองเช่นนี้ เมื่อเห็นใครด้อยกว่าก็จะพอใจ ยิ่งกว่านั้น ยังปลงอนิจจังวิจารณ์เขาเสียอีกว่า "คนเหลวไหลในโลกมากมายแท้ เรานี่สิ ที่แน่กว่าเขา" ดังนั้น เมื่อมองดูผู้อื่น ก็จะกลายเป็นจับผิด มองดูตนเองก้จะซ่อนร้ายฉายความดี (อิ่นเอ้อหยางซั่น) คนที่รู้ไม่จริงประเภทนี้มีมาก บรมครูขงจื่อจึงว่า "คนที่ดูเหมือนใช่ แต่มิใช่" (ซื่อซื่อเอ๋อเฟยเจ่อ) "สำคัญตนว่ากระจ่าง แต่แท้จริงนั้นมืด" (จื้อหมิงเอ๋อสืออั้น) พุทธะว่า เป็นบุคคลประเภท "ไม่ถึงที่สุด" (ปู๋จิ้วจิ้ง) พระอริยเจ้าพร่ำสอน พระยูไลเหนื่อยยากเทศนา ก็คือเพื่อคนเหล่านี้ บรมครูจอมปราชญ์จึงว่า "หยุดลงตรงจิตวิสุทธิ์ " (จื่ออวี๋จื้อซั่น)  พระพุทธะว่า "รู้แจ้งถึงที่สุด" จิ้วจิ้งอี้) ล้วนเพื่อปรับเปลี่ยนความคิดผิดของคนเหล่านี้ อย่าละเลยตน อย่ากล่าวเท็จว่าล่วงรู้ บรมครูจอมปราชญ์กล่าวอีกว่า จง "รอบรู้ ซักถาม ตรึกคิด รู้ชัด ปฏิบัติจริง" (ป๋อเสวีย เสิ่นเวิ่น เซิ่นซือ หมิงเปื้อน ตู่สิง) ท่านจอมปราชย์เมิ่งจื่อว่า "ธัญพืชไม่สุกแก่ มิสู้เมล็ดหญ้า กรุณาธรรม ก็อยู่ที่ความสุกแก่เท่านั้น" (อู๋กู่ปู้โสว ปู้หยูถีไป้ ฝูเหยินอี้ไจ้ฮูโสวจือเอ๋ออี่)กล่าวอีกว่า "มีแก่ใจแต่ไม่ใช้ (คิดได้แต่ไม่ปฏิบัติ) จะได้แต่ทอดถอนใจ พิจารณาเสมอ จึงรู้เห็นเป็นจริงเสมอ" (โหย่วซินป๋อย้ง อิ่นเอว่ยทั่นสี) การบำเพ็ญภายนอกก็คือ "ดีต่อตน ดีแก่ท่าน" เอาใต้หล้าเป็นหน้าที่ตน โลกสุขจึงสุข  เช่นมหาปณิธานของพุทธะโพธิสัตว์ที่โปรดสงเคราะห์ฉุดช่วยด้วยเมตตา ถ้าจะพูดถึงโครงสร้างของสังคมยุคนี้ คือ การทำกุศล สวัสดิการสังคม ธำรงความเที่ยงธรรม เผยแพร่สัจธรรม ประกาศหลักธรรม เป็นต้น ศาสนาปราชญ์มีคำว่า "ความปรรถนาจงอย่ามีการบั่นทอนคุณความดี ถ้าเช่นนี้ มิจำต้องมีการสงเคราะห์" (เอวี้ยนอู๋ฟา ซั่นอู๋ซือเหลษ) ศาสนาพุทธ มีคำว่า "(ถ้าหากมี) มหากรุณาร่วมตัวตน มหาเมตตา (ก็จะ) มิพึงนำพาด้วยบุญสัมพันธ์ (ก็จะ) ให้ทานโดยไม่เจาะจง" (ถงถี่ต้าเปย อู๋เอวี้ยนต้าฉือ อู๋เซี่ยงปู้ซือ) ศาสนาเต๋ามีคำว่า "ทำความดีมิสำแดง สั่งสมคุณธรรมแฝงเสมอ" (เอว๋ยซั่นปู้จัง ฉังจีอินเต๋อ)ผู้บำเพ็ญสร้างผลบุญภายนอกด้วยทานทั้งสาม พึงจำ "อย่าเจาะจง อย่ายึดหมาย อย่าจำใจ อย่ามีตัวกู" (อู้อี้ อู้กู้ อู้ปี้ อู่หว่อ) จงเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยจิตวิสัยดีงามต่อบุญสัมพันธ์ ก็จะเข้าถึงมหากุศลพร้อมด้วยผลบุญคุณธรรม หากมิฉะนั้น บวกลบคูณหารต้องการสิ่งตอบสนอง สุดท้ายอานิสงส์จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ของการเวียนว่าย

พระอาจารย์  :  ขอบพระคุณมหาเมตตากรุณาจากบรรพจารย์ อธิบายคุณวิเศษวิถีจิตของศาสนาต่าง ๆ ยืนยันการสร้างผลบุญชัดเจนแท้จริง ชื้ให้เห็นทางสร้างผลบุญภายนอกภายในร่วมกัน บัดนี้ ล่วงเวลามาขอบรรพจารย์ท่านได้โปรดอนุญาตพาไปชมตัวอย่างจริง สถานที่จริง เพื่อการบันทึก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ตอนที่ 12

                      ปากทางตำหนักเจิ้นหยาง
                           สอบย้อนทางสุขสมใจ
                 แปดลม (อารมณ์) ไม่หวั่นไหว     
                           จึงผ่านได้เจดีย์ยุคขาว

พระบรรพจารย์  : 
ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเทพกรผู้ติดตาม นำพาไปชมแต่ละห้องเถิด พระอาจารย์กับอู้เอวี๋ยนคารวะกราบลาบรรพจารย์ ตืดตามเทพกรไป ครู่หนึ่งมาถึงกำแพงใหญ่ มีเสียงจ้อกแจ้กดังผ่านออกมา

อู้เอวี๋ยน  :  เรียนถามท่านเทพกร นี่คือที่ใด ไฉนมีเสียงอึงมี่เช่นนี้

เทพกร  :  ภายในกำแพง จัดห้องรื่นใจสิบกว่าแห่ง เสียงขรมเหล่านั้นคือญาณเดิมที่มาที่นี่ เป็นเสียงดื่มกินเสพสุขสนุกสนาน ญาณเดิมที่มาถึงด่านนี้ ล้วนมีผลบุญกันมามาก เป็นได้หรือไม่ว่า ข้อห้ามในศาสนาของเขาเหล่านี้ มิพึงรักษาต่อไปแล้ว จึงเสพสุขดื่มกินกันเต็มแปร้อย่างนี้ได้

เทพกร  :  หามิได้ ห้องรื่นใจ (ซุนซินซื่อ)นี้ มีไว้ทดสอบจิตมุ่งมั่นของญาณเดิม ด้วยใจคนผันแปร พลิกคว่ำพลิกหงายไม่แน่นอน ในเมื่อชำระกายเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว แต่พอมาถึง "ห้องรื่นใจ" ยังทนความยั่วยวนจากสุรานารี ยังระงับอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่นจากข้าวของเงินทองไม่ได้ ถ้าเข้าไม่ถึงภาวะ "รู้คิดตามธรรมชาติ โดยปราศจากมลทิน ถูกจูงใจแต่ไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจเป็นปกติอยู่อย่างนั้น" (ซือจือจื้อหยานอู๋เสีย อิ้วจือจื้อหยานอู่อวั้ง) ก็จะไม่อาจรู้ชัด ตัดหลง ไม่อาจเอาชนะตน ไม่อาจรักษาความเที่ยงตรงได้ ก้จะหลงเข้าค่ายกลโลกีย์ด่านี้มีศิลาจารึกใส (โทว่หมิงเปย)บันทึกความคิด การกระทำทุกอย่างเพื่อให้สำนึกผิด ถ้าไม่สำนึก จะต้องถูกคุมตัวไปรับโทษที่เจดีย์ยุคขาว(ไป๋หยางถ่า) เชิญเข้าไปดูเพื่อบันทึกไว้

อู้เอวี๋ยน  :  ข้างหน้ามี หอแดง มากมาย ภายนอกสวยงามสดุดตา แต่ละหอประดับธง มีชื่อหอบันเทิงเริงรมย์เหมือนชื่อสถานเริงรมย์ทางโลก มีเสียงหัวร่อ เสียงคะนองเพลงดังลอดออกมาไม่ขาด

เทพกร  :  อู้เอวี๋ยน เชิญท่านเดินดูได้ทุกห้อง อู้เอวี๋ยนดูห้องแรก เห็นโต๊ะเล่นพนันหลายโต๊ะ เครื่องเล่นพนันมีทุกอย่าง ญาณเดิมหลายคนลุ่มหลงในห้องนั้น หมกมุ่นอยู่กับการพนันหลายประเภท เครื่องมือการพนันบางอย่างที่ทางโลกยังไม่มี ในอากาศคลุ้งไปด้วยควันบุหรี่ ทุกคนใจจดใจจ่อ แต่ในห้องพนัน ก็ยังมีคนอีกพวกหนึ่งที่ทอดถอนใจ มองดูอย่างเฉยเมย ระอาใจ บ้างก้เข้ามาตักเตือนห้ามปรามคนเล่นพนัน ทันใด มีญาณเดิมคนหนึ่ง สีหน้าเต็มปลื้ม ถือธนบัตรปึกใหญ่เดินออกจากห้องในมาที่ประตู

อู้เอวี๋ยน  :  อาวุโสดุปลื้มมาก คงได้มาเยอะ รู้สึกอย่างไรบ้าง

อาวุโส  :  ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ มิเสียแรงที่ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลบำเพ็ญมา จึงได้สอบผ่านด่านนี้ พอผ่านการชำระกาย เปลี่ยนชุดสวมใส่ ก็ได้มาเจอสถานเริงรมย์ที่มีการพนันพร้อม เท่ากับได้ชดเชย ได้รับรางวัลที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติบำเพ็ญมา เมื่อกี้มือขึ้นได้มาไม่น้อย จะไปหาที่เล่นใหม่ ไม่เสียเวลาคุยกับท่านแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/02/2556, 11:58 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ตอนที่ 12

                      ปากทางตำหนักเจิ้นหยาง
                           สอบย้อนทางสุขสมใจ
                 แปดลม (อารมณ์) ไม่หวั่นไหว     
                           จึงผ่านได้เจดีย์ยุคขาว

อู้เอวี๋ยน  :  เฮ้อ
น่าเสียดาย บำเพ็ญมาหลายสิบปี พังทลายในวันเดียว น่าเสียดาย

ยี่สิบปีเพียรธรรมมารักษาศีลบัญญัติ
ถูกผิดรู้ชัดระมัดระวังทางตันล่อแหลม
แต่เข้าไม่ถึงซึ่งจิตตัวแท้จึงแพ้ตน
ทดสอบจึงเห็นเป็นจริงเท็จอยู่สู่สองฝั่งทาง

(เนี่ยนไจ้ซิวเต้าโส่วเจี้ยกุย        หลินเอวียนหลวี่ป๋อเปี้ยนซื่อเฟย
เอว้ยซื่อเปิ่นซินสิงเค่อจี่           อี้เจาเข่าเอี้ยนเฟินเจินเอว้ย)

เทพกร  :  สอบขัดฝืนผ่านได้ง่าย สอบราบรื่นผ่านได้ยาก คนเมื่อสมใจได้ปลื้ม จะลืมตัวตกต่ำได้ง่าย พวกเขากว่าจะผ่านด่านข้างหน้ามาได้ยากเย็น ต้องมาเสียรู้สิ่งยั่วยวนในห้องรื่นใจเสียนี่ ศิลาจารึกใส(โท่วหมิงเปย) คงเก็บภาพไว้หมดแล้ว จะออกจากด่านนี้ไปได้ยาก จึงกล่าวว่า "ผู้บำเพ็ญ การเอาชนะตนเอง เป็นสิ่งยากที่สุด" เมื่อจิตญาณยังไม่เข้าสู่ภาวะสมบูรณ์ ยังไม่ฟูฟื้นคืนภาวะเดิมที ความเคยชินไม่ดีเริงหลง ยังคงแฝงอยู่ภายใน ได้โอกาสเมื่อไร ก็จะสำแดงทันที จึงต้องรู้ "หยุด" จงอย่าได้ "พลาดเท้าไป แค้นใจชั่วกาล ันหลังอีกที ร้อยปีชีพกาย" (อี้ซือจู๋เฉิงเซียนกู่เฮิ่น   ไจ้ฮุยโถวอี๋ไป่เหนียนเซิน) ศาสนาพุทธ ว่า"ไม่กลัวความคิดเกิด กลัวแต่รู้ตัวช้า" (ปู้ฮ่วนเนี่ยนฉี่ เอว๋ยฮ่วนเจวี๋ยฉือ) ศาสนาเต๋า ว่า"อยู่กับธรรมชาติ สงบกับธรรมชาติ" (ตอบรับปกติ สงบปกติ) (ฉังอิ้งฉังจิ้ง) เป็นข้อเตือนใจของผู้บำเพ็ญ พระอาจารย์ว่า : "สามโลกสำคัญที่ใจ หมื่นธรรมสำคัญที่ญาณขันธ์" (ซันเจี้ยเอว๋ยซิน   อวั้นฝ่าเอว๋ยซื่อ) "หนึ่งความคิดเกิด ขุ่น - ใส  จม - ลอยเกิด"(อี๋เนี่ยนจือเจียน ซิงจั๋วเซิงเจี้ยง) จึงอย่าได้ไหลตามกระแส ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเผชิญเรื่องใด ไม่อาจระวังใจ ไม่ปลงละสรรพสิ่ง ไม่อาจเข้าถึงความเป็นจริง ก็มักจะไหลตามกระแสอย่างนี้

อู้เอวี๋ยน  :  เมื่อทัศนาห้องอื่น ๆ ต่อไปความอนาถใจก็เป็นเช่นกัน อย่างเช่นในหอนางโลม หญิงงามมากมายยั่วเย้าเอาใจให้ลุ่มหลงเคลิบเคลิ้มญาณเดิมที่เคยบำเพ็ญมา ใจไม่เข้มแข็งพอ จึงต่างเผยโฉมหน้าเดิม คลุกเคล้าอยู่ในหลุมพรางของสุรานารีกันเต็มที่อย่างมัวเมาไม่รู้ตัว แต่ก็มีบ้างที่นั่งสะกดใจจนเหงื่อท่วม บ้างก็อึกอัดฮึดฮัดต่อสภาพที่จำต้องเข้ามารับการทดสอบ

เทพกร  :  วิถีธรรมปรกโปรดยุคสุดท้าย โลกีย์วิสัยฝังลึก หากแรงไฟสุขุมของการบำเพ็ญไม่คงที่ จะวูบวาบไปตามสภาพดังนี้ คนอีกพวกหนึ่ง มุ่งมั่น ทุ่มเทบำเพ็ญ อยู่ ๆ บุญพาวาสนาช่วย ร่ำรวยก้องเกียรติ อย่างนี้ก็มี ที่หลงตนลืมตัว กลับไปมั่วโลกีย์ มั่วแสงสีจนต้องตกไปก็มี

อู้เอวี๋ยน  :  คิดว่าการ สอบฝืนทวน(นี่เข่า) ดีกว่า สอบราบรื่น(ซุ่นเข่า) เพราะทำให้เรารู้ตัวมากกว่า สอบฝืนทวน แม้จะต้องฝืนใจรับ แต่ได้เพิ่มความอดทน  เพิ่มประสบการณ์สร้างสรรค์ให้ สอบราบรื่น มีแต่จะทำให้หลงใหลได้ปลื้ม ลืมตัว กว่าจะตื่นใจก็สายเกินแก้เสียแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ตอนที่ 12

                      ปากทางตำหนักเจิ้นหยาง
                           สอบย้อนทางสุขสมใจ
                 แปดลม (อารมณ์) ไม่หวั่นไหว     
                           จึงผ่านได้เจดีย์ยุคขาว

พระอาจารย์  : 
บำเพ็ญอยู่ที่จิตสำนึกสงบ มั่นคง มีสติ มีสมาธิ ดังคำที่ว่า "ใจสงบสบาย ได้หลักธรรม" (ได้ทั้งหลักธรรม ได้ทั้งความสงบสบายใจ ไม่สะทกสะท้าน) (ซินอันหลี่เต๋อ) "ครองจิตวิสัยได้คือธรรม" (ไซว่ซิ่งจือเอว้ยเต้า) ครั้งกระโน้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเข่อ (เสินกวง) ขอให้พระโพธิธรรมโปรด"วาง" ใจให้ ผู้บำเพ็ญ หากไม่มีสิ่งอันละอายต่อฟ้าดิน ไม่ผิดต่อใคร ๆ ฟ้ากว้างทะเลไกล ใจเป็นอิสระเสรี ปราศจากหนี้เวรภัย เป็นไทอยู่กับความสุขที่มิพึงอาศัยสุรา นารี อบายใด ๆ ย้อมใจ จะได้ไม่ต้องตกเป็น "ทาส" สุขสมชมโลกีย์ มีความมืดอันเจ็บปวดรออยู่ปลายทาง จากนั้น ทั้งหมดพากันออกจากห้องรื่นใจ (ซุ่นซินซื่อ) มุ่งไปเจดีย์ขาว (ไป่หยางถ่า) เจดีย์องค์ใหญ่สูงหลายสิบวา ยอดเจดีย์ปักธงเหลือง ผืนธงปักอักษรสีทองตัวใหญ่ว่า"ปรกโปรดสามโลก" (ซันเฉาผู่ตู้) ธงโบกสะบัดอยู่สูงลิ่ว รอบเจดีย์มีประตูหลายช่อง กว้างช่องละวากว่า หน้าประตูมีเทวารักษาการ สวมใส่เป็นระเบียบ คาดดาบยาวอยู่กับเอว เดินยามไปมา มีป้ายแผ่นใหญ่เหนือช่องประตูว่า "เจดีย์ยุคขาว" (ไป่หยางถ่า) มีกลอนอยู่สองข้างประตู ความว่า"ปฏิรูปสามโลก บันทึกทะเบียนกรอบใหม่ เคารพอาจารย์ เทิดทูนธรรมะ เสมอต้นเสมอปลาย" (ฉงเจิ้งซันเฉาลิ่งจู้เก๋อผัน จุนซือจ้งเต้าสื่อจงหยูอี) เทวารักษาการน้อมคารวะพระอาจารย์ ทักทายอู้เอวี๋ยนแล้วพากันเข้าสู่มหาเจดีย์

อู้เอวี๋ยน  :  ภายในเจดีย์ พลังอินน่าสยองขวัญ ไม่มีแสงสว่าง มีเสียงครวญครางเบา ๆ ดังมาน่าขนพอง ภายในความมืดนั้น พอมองเห็นลาง ๆ ว่ากว้างหลายสิบวา กั้นเป็นกรงเหล็กมากมาย วิญญาณบาปที่ถูกขังอยู่ภายใน ผมเผ้ารุงรัง ฟุบหน้าคร่ำครวญ

เทพกร  :  ผู้ถูกคุมขังในนี้ ล้วนมีสถานภาพสูงส่งทางธรรมเมื่อครั้งมีชีวิต เริ่มแรกนั้นขยันอดทนต่องานธรรม สุดท้ายใฝ่ผลประโยชน์ ปิดกั้นคนดี คิด พูด ทำ ตามใจตน  หรือบ้างก็เสียหายไปกัยลาภยศ อิสตรี อวดดี ลำพอง ตั้งตัวเป็นใหญ่เฉพาะ เมื่อหักลบผลบุญผลบาปแล้ว บุญมากกว่า อีกทั้งเคยรู้แจ้งทางธรรม จึงได้ผ่านด่านต่าง ๆ ข้างหน้ามาได้ แต่มาถึงห้องรื่นใจสันดานเก่ากำเริบ จึงตกหลุมพรางการ "สอบราบรื่น"ถูกศิลาจารึกใสบันทึกไว้ อีกทั้งไม่เกิดจิตสำนึกทันที จึงถูกพระบรรพจารย์ตัดสินให้มารับทุกข์ในเจดีย์นี้  อย่างนี้ที่เรียกว่า สุขสุดยอด เศร้าสุดใจ(สุขสนุกถึงที่สุด จะเกิดโศกสลด) (เล่อจี๋เซิงเปย)

อู้เอวี๋ยน  :  เป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่ทราบว่า นักธรรมชั้นผู้นำเหล่านี้ เมื่อไรจะออกจากเจดีย์ เห็นเดือนตะวันได้

เทพกร  :  ครบกำหนดโทษก็จะให้ออก แล้วกลับเข้าทดสอบที่ห้องรื่นใจอีกครั้งหนึ่งเพื่อทดสอบอารมณ์ว่า "ไม่เกิดมิจฉาอารมณ์ความคิด ยั่วยวนจิตไม่ฟุ้งซ่าน" เมื่อกลับมาส่องที่ศิลาจารึกใสจะสว่างว่าง ปราศจากภาพน่าละอาย ดังนี้ ก็จะผ่านด่านไปได้

อู้เอวี๋ยน  :  ขอเรียนถาม ศิลาจารึกใส คืออย่างไร

เทพกร  :  หลักการก็เหมือนกระจกส่องเวรกรรม ในนรก (เนี่ยจิ้งไถ)มันไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ แต่เป็นพลังอินหยางของฟ้าดินรวมกัน จิตใจผู้บำเพ็ญมีจุดด่าง ล้วนยากจะรอดพ้นจากการบันทึก บันทึกได้ แม้กระทั่งความคิดจิตใจอันปราศจากรูปลักษณ์ร่องรอย

อู้เอวี๋ยน  :  มิน่าเล่า เสินซิ่ว (ธยานจารย์สมัยพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง)จึงกล่าวว่า
"กายคือต้นโพธิ        ใจดั่งบานกระจกใส
หมั่นเช็ดถูทุกเวลาไป   อย่าให้จับด้วยฝุ่นธุลี"

(เซินซุ่ผูถี่ซู่   ซินหยูหมิงจิ้งไถ
สือสือฉินฝูซื่อ อู้สื่อเหย่อเฉินไอ)

หวังว่าผู้บำเพ็ญทุกคน ไม่เพียงทำได้ดังนี้ ยิ่งจะต้องบรรลุความรู้แจ้งกระจ่างใส เข้าถึงภาวะที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง กล่าวไว้ว่า
"โพธิเดิมทีไม่มีต้น        ฝุ่นธุลีจะจับลงที่ตรงไหน"

(เปิ่นไหลอู๋อี๋อู้        เหอชู่เหย่อเฉินไอ)

พระอาจารย์  :  คืนนี้ ขอบคุณท่านเทพกรนำชม หมดเวลาแล้วมิอาจอยู่ยั้ง  ช่วยขอบพระคุณพระบรรพจารย์อย่างสูง เราขอลากลับ

เทพกร  :  มิกล้ารั้งท่าน น้อมส่ง...

อู้เอวี๋ยน  :  กราบลา ขอบพระคุณท่านเทพกร

พระอาจารย์  :  อู้เอวี๋ยน ขึ้นฐานบัว หลับตา ไป ถึงตำหนักพระ อู้เอวี๋ยนกลับเข้าร่าง เหนื่อยยากแก่ขุนพลพิทักษ์ธรรมคุ้มครองตำหนักพระเรากลับ 

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”