collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: จิ่วหยังกวน สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ  (อ่าน 29315 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 7 

                    ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านมลายโลกีย์

                             (เหลี่ยวฝันกวน)

                 วันที่  2  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        หฤทัย ฯ คัมภีร์     ที่ทูลอ่าน        สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว              เป็นเรื่องง่าย    ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร                     รู้แจ้งตาม        คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก                  สามศาสนา      ว่านัยเดียว

พระฯ ผู้คุม   :  ในด่านมลายโลกีย์มีด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านขนาดของตัวแมลงไ่ม่เท่ากัน บางตัวเหมือนยุง  บางตัวใหญ่เท่านกกระจอก  บางตัวใหญ่เท่านกอินทรีทีเดียว ด่านนี้เป็นด่านเล็กที่สุด แมลงตัวเล็กหน่อย ผู้มีอารมณ์ทางโลกเบาหน่อยก็จะถูกส่งมาให้แมลงที่นี่ชำระโลกีย์วิสัย ตามกฏเกณฑ์ผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาจะตบตีหรือไล่แมลงไม่ได้ จึงเห็นว่าเขาต้องปล่อยให้กัดต่อยอย่างนั้น

ฉงซิว   :  ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ มีโลกีย์วิสัยอย่างไรหรือขอรับ จึงต้องถูกขังที่นี่

พระ ฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าจะเรียกมาให้ถามสักสองสามคน ท่านก็จะเข้าใจ  สามคนนั่น รีบมากราบพระพุทธะจี้กงและคารวะต่อนักบุญฉงซิวแห่งเทวสถานไถจงฉงเซิงของโลกมนุษย์ ให้เล่ารายละเอียดในการบำเพ็ญ และเหตุใดจึงถูกนำมาขังในด่านนี้ นักบุญฉงซิวสนองพระบัญชาพระเบื้องบนมาเก็บข้อมูลสร้างหนังสือบุญกล่อมเกลาชาวโลก

ผู้บำเพญ ก. ข. ค.   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง คารวะนักบุญฉงซิว พระอาจารย์จี้กงช่วยด้วย ผู้น้อยล้วนเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ทั้งนั้น

พระ ฯ จี้กง   :  เวรกรรมของใครต่างรับกันเอง โดยเฉพาะการจะบรรลุธรรมยิ่งจะต้องอาศัยภาวะพุทธจิตอันกลมกลืนของตนพาให้พ้นด่านต่อไป อาจารย์จะช่วยพวกเจ้าได้อย่างไร

พระ ฯ ผู้คุม   :  รีบเล่าความเป็นจริงได้แล้ว

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ครั้งมีชีวิตสร้างสถานบูชาพระพุทธะจี้กงไว้ให้ผู้คนกราบไหว้ เข้าใจว่าพระอาจารย์ดื่มเหล้า จึงคิดว่าศิษย์เอาบ้างคงไม่เป็นไร จึงดื่มทุกวันแต่ส่วนงานธรรมะ ศิษย์ก็ทำจริง ฉุดช่วยคนไว้ไม่น้อย ไม่คิดว่าพอตายแล้วไม่ได้เป็นเซียนทันที กลับถูกรับมาที่นี่ ถูกยุงดูดเลือดตามหน้าตามตัวทุกวัน เจ็บปวดเหลือเกิน พระอาจารย์จี้กงได้โปรดฯ ศิษย์ผิดเพราะเลียนแบบพระอาจารย์นะ

พระ ฯ จี้กง   :  โธ่  ที่ดีไ่ม่เลียนกลับเลียนที่ไม่ดี อาจารย์ฉุดช่วยผู้คนตามจริตและบุญกรรมของเขา ไ่ม่ใช่ดื่มเพราะอยาก  ในครั้งนั้นอาจารย์แสดงบุญญาภินิหาร์ย์ เพื่อเตือนชาวโลกให้รู้ว่า "ใจเจสำคัญกว่าปากเจ"  อย่าได้เข้าใจเจตนาของอาจารย์ผิดไป ถ้าเจ้าเผลอดื่มไปเล็กน้อยยังไม่น่าเกลียด ถ้าดื่มทุกวันจะไม่เป็นศิษย์ของผีเหล้าไปหรือ เป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงได้ยังไง

ฉงซิว   :  นอกจากดื่มเหล้าแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างที่ต้องมาสำนึกผิดให้กายบริสุทธิ์ ในด่านมลายโลกีย์นี้

พระฯ ผู้คุม   :  ไม่เพียงดื่มเหล้าเท่านั้น  บุหรี่  หมากพลู ฯลฯ  ล้วนเป็นข้อห้ามของผู้บำเพ็ญ  ผู้บรรลุจริงอย่างสมบูรณ์ จะต้องตัดสิ่งเสพติดทั้งนั้นให้หมดไปจึงจะเพียบพร้อม

ฉงซิว   :  โชคดีที่ศิษย์ไม่แตะต้อง ทั้งเหล้า  หมากพลู  บุหรี่  ม่ายงั้นก็เสร็จละซิ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 7 

                    ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านมลายโลกีย์

                             (เหลี่ยวฝันกวน)

                 วันที่  2  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        หฤทัย ฯ คัมภีร์     ที่ทูลอ่าน        สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว              เป็นเรื่องง่าย    ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร                     รู้แจ้งตาม        คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก                  สามศาสนา      ว่านัยเดียว

        เรียนอาวุโสท่านนี้ ดูท่านหน้าตาใจดี เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่ด้วย

ผู็บำเพ็ญ ข.   :  ฉันเป็นพุทธมามกะที่ศรัทธามากคนหนึ่ง ได้ศึกษาหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง และได้ไปอรรถาธรรมตามที่ต่าง ๆ เสมอ ฉันบำเพ็ญมาสามสิบกว่าปี แต่พะวงลูกหลานมาก ห่วงคนโน้น  ทุกข์คนนี้  คิดถึงคนนั้นอยู่ตลอดเวลา  แม้ใกล้ตายก็ยังวางใจไม่ลง เขาว่ากันไว้ไม่ผิดว่า "วางอะไรก็วางได้ แต่ลูกหลานเท่านั้นที่วางไม่ลง"  พอตายไปพญายมตรวจสอบเห็นว่าฉันมีผลบุญจากการบรรยายธรรม จึงส่งฉันข้ามสะพานทอง คิดว่าจะได้ขึ้นสู่สุขาวดีแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่นี่  ครั้งมีชีวิต  ฉันพลิกคัมภีร์เท่าไร ก็ไม่เคยเห็นคำว่า  "จิ่วหยังกวน"  เพิ่งจะมาพบที่นี่  บัดนี้ฉันได้สำนึกแล้วว่า ลูกหลานคือผู้เกี่ยวกรรมกันมา ฉันกำลังทรมานอยู่ที่นี่ ลูกหลานก็แทนตัวไ่ม่ได้ ขัดเคืองใจจริง ๆ  พระองค์นายด่านบอกฉันว่าฉันมีอุปสรรค เพราะอารมณ์ผูกพันจึงตัดสินให้เข้าสำนึกในด่านสามเดือน  บัดนี้ ฉันเข้าใจแล้ว แมลงวันใหญ่เหล่านั้นก็ได้เลิกกัดต่อยฉันแล้วก่อนหน้านี้

ฉงซิว   :  โอ  ยินดีด้วย  แต่กำหนดโทษยังไม่หมดไม่ใช่หรือ  ทำไมแมลงใหญ่จึงไม่กัดต่อยอีก

พระฯ ผู้คุม   :  แแมลงใหญ่เหล่านั้น เป็นนิมิตที่เกิดจากควันธูปของพระุพุทธเจ้า เขามีญาณรู้ทุกอย่าง เื่มื่อผู้บำเพ็ญปลงตกในโลกีย์วิสัย หนี้เวรหมดไป แมลงก็รู้ได้ จะไม่รังควานอีก ข้าพเจ้าก็รู้ได้เช่นกัน ก็จะถวายรายงานแก่พระองค์นายด่านให้ส่งตัวผ่านด่านไป

ฉงซิว   :  เป็นเช่นนี้เอง  เรียนถามท่านอาจารย์ต่อไป ดูท่านก็เป็นผู้ได้รับวิถีธรรม เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  อมิตาพุทธ  พูดแล้วน่าละอาย เมื่อมีชีวิตอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ปกครองวัดอย่างเป็นธรรม พุทธานุภาพได้บันดาลให้อุบาสก  อุบาสิกา  ศรัทธาขึ้นกับวัดคับคั่ง  ตั้งแต่อาตมาได้ฌาน สาธุชนพากันมารับศีลมากมาย ลาภสักการะจากสานุศิษย์ก็มากขึ้นทุกวัน วันนี้นิมนต์ไปฉันที่โน้น วันนี้ที่นั่น ฯ  เป็นบุญปากเหลือเกิน สานุศิษย์ก็ถือเป็นเกียรติที่นิมนต์อาตมาไปเป็นแขกพิเศษได้ จึงมีผู้นิมนต์กันไม่ขาดสาย จนกระทั่งมรณภาพ อาตมาลงนรกไปลบชื่อบัญชีผู้ตาย พญายมส่งอาตมาขึ้นสะพานทอง คิดว่าจะได้อยู่ร่วมกับพระพุทธะแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่จิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านมลายโลกีย์บอกว่า  อาตมาโลภเรื่องปากท้อง ยินดีในลาภสักการะ  ความคิดนี้จะต้องกำจัดเสีย จึงตัดสินให้รับโทษอยู่สามเดือน  เมื่อนึกถึงความเลวต่าง ๆ ครั้งมีชีวิต ซึ่งชอบที่จะรับการต้อนรับขับสู้จากผู้อื่น ทำให้ละอายใจนัก  หวังว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จะไม่เอาเยี่ยงอย่างอาตมา เพื่อจะได้ไม่ต้องยังไม่ทันถึงเบื้องพระพุทธบาท แต่กลับมาถึงด่านมลายโลกีย์เสียก่อน

พระฯ ผู้คุม   :  ทั้งสามก็ได้เล่าเรื่องของตนจบลงแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กงและลานักบุญฉงซิวเสีย

พระฯ จี้กง   :  ค่ำแล้ว เรากลับพระตำหนักกกันเถิด รบกวนท่านผู้คุมช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนอาตมาด้วย ฉงซิวรีบขึ้นนกเผิงใหญ่ เรากลับกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณผู้อาวุโสทุกท่าน ศิษย์กับพระอาจารย์จี้กงขอลากลับตำหนัก

พระฯ ผู้คุม   :  กราบส่งพระพุทธะจี้กง และน้อมส่งนักบุญฉงซิว

ฉงซิว   :  ศิษย์นั่งได้ที่แล้วขอรับ

พระ ฯ จี้กง   :  ดี  หลับตา ... บินได้  มาถึงตำหนักพระฉงเซิง  วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 8 

                        ดูเหตุการณ์เมื่อชาวโลก

                            ทิ้งกายสังขาร

                  วันที่  3  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ชาวโลกอย่าพูดว่า        ฟ้าไม่มีนัยน์ตา
ครบถ้วนบุญญา                   พาขึ้นอาสน์บัว
เตือนเจ้าเฝ้าบำเพ็ญ              ละเว้นความชั่ว
จะได้บัวเสียบัว                    อย่ามัวเสียโอกาสบุญ 

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว  เตรียมตัวไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ขอรับ ศิษย์เพิ่งจะบึ่งมาจากเมืองใต้ไถหนัน ขับรถเองอีกด้วย ยังเมื่อยล้าอยู่เลย

พระฯ จี้กง   :  อืม์ เหนื่อยนะ  อาจารย์ก็บอกได้เหมือนกันว่า "ฉงซิวเอ๊ย เพื่อที่จะมาสร้างหนังสือ เมื่อกี้อาจารย์ก็เพิ่งบึ่งมาจากประเทศทางเอเซียอาคเนย์"  ถ้าอย่างนี้เราจะเลิกสร้างหนังสือได้ไหม ?.

ฉงซิว   :  ใช่  พระอาจารย์เป็นวัชรสังขารที่ไม่มีบุบสลาย แล้วศิษย์จะเปรียบกับพระอาจารย์ได้ยังไง อย่าว่าแต่กายเนื้อเลย แม้ทิพย์ญาณก็จะสู้ไม่ไหวแล้ว

พระฯ จี้กง   :  เอาละ เอาละ อย่าร้องทุกข์กันเลย อาจารย์เอาพัดโบก ๆ ให้หน่อยก็ไปไหวแล้ว หนึ่ง สอง สาม เป็นไง

ฉงซิว   :  โฮ้ย สบายจังเลย พระอาจารย์โบกอีกหน่อยได้ไหมขอรับ

พระฯ จี้กง   :  ฮึ อย่าโลภไม่รู้จักพอซิ โบกอีกจะเกินแรงอัด ค่ำแล้ว ไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์นั่งเหมาะแล้ว คืนนี้เราจะไปท่องด่านไหนหรือขอรับพระอาจารย์

พระฯ จี้กง   :  คืนนี้เราจะไปท่องจิ่วหยังกวน อาจารย์จะนำเจ้าไปดูเหตุการณ์ของคนที่กำลังจะทิ้งกายสังขาร หลับตา เตรียมตัว บินได้ ... ถึงแล้ว

ฉงซิว   :  เอ๊ะ นี่มันโรงพยาบาลไม่ใช่หรือขอรับ ทำไมเราจึงมาที่นี่กัน

พระฯ จี้กง   :  ไม่ต้องพูดมาก เข้าไปข้างในก็รู้เอง

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ขอรับ เราล่วงล้ำเข้าไปในห้องคนไข้อย่างนี้จะถูกเขาไล่ออกมาหรือเปล่า

พระฯ จี้กง   :  เจ้าลืมไปแล้วละซิ ขณะนี้เรากำลังท่องไปด้วยวิญญาณทิพย์ ชาวโลกไม่เห็นเราหรอก

ฉงซิว   :  อ๋อ ใช่แล้ว  เอ๊ะ แปลก องค์เจ้าที่ใหญ่  แป๊ะกง และนายทหารเอกทั้งสองของยมบาลประจำเมืองมาที่นี่ทำไม

พระฯ จี้กง   :  เดี๋ยวเจ้าก็รู้  เราเข้าไปดูกัน

เจ้าที่ใหญ่   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง  เอ้อ ... คนนี้เป็นใคร

พระฯ จี้กง   :  เขาคือ มือทรงเอกของเทวสถานไถจงฉงเซิง สังกัดเบื้องบนทักษิณาลัย  ฉงซิวคารวะท่านเจ้าที่ใหญ่เสีย

ฉงซิว   :  ศิษย์ฉงซิวคารวะท่านผู้เฒ่าเจ้าที่ใหญ่

เจ้าที่ใหญ่   :  อย่าได้เกรงใจ  ว่าแต่ว่า คืนนี้นพระพุทธะจี้กงนำฉงซิวมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด

พระฯ จี้กง   :  ขณะเทวสถานไถจงฉงเซิง กำลังรับสนองพระบัญชาสร้างนักสือบุญ อาตมาพาฉงซิวมาคืนนี้เพื่อดูเหตุการณ์ที่ท่านนำวิญญาณคนไปสู่ยมโลก จะได้เรียบเรียงไว้ในบทสำคัญ

เจ้าที่ใหญ่   :  อ้อ เช่นนี้นั่นเอง

ฉงซิว   :  เรียนถามท่านผู้เฒ่า ฯ  สมุดที่ท่านถืออยู่มีประโยชน์อย่างไรหรือ

เจ้าที่ใหญ่   :  เป็นสมุดบันทึก วัน เดือน ปีตายของชาวโลก เราผู้เฒ่าจะต้องมาตรวจสอบความถูกต้อง อีกทั้งนำวิญญาณของเขาไปรายงานตัวยังศาลยมบาลประจำเมือง

ฉงซิว   :  ถ้าเช่นนั้น บันทึกวัน  เดือน  ปีตายของทุกคนก็อยู่ในมือท่านผู้เฒ่าน่ะซิ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยหรือ

เจ้าที่ใหญ่   :  เวลาตายที่เราผู้เฒ่าควบคุมอยู่ ล้วนบันทึกอยู่ในสมุดนี้  น้อยนักที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่ใช่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป

ฉงซิว   :  เอ๊ะ  คนเช่นไรจึงจะเปลี่ยนแปลงเวลาตายได้ขอรับ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 8 

                        ดูเหตุการณ์เมื่อชาวโลก

                            ทิ้งกายสังขาร

                  วันที่  3  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ชาวโลกอย่าพูดว่า        ฟ้าไม่มีนัยน์ตา
ครบถ้วนบุญญา                   พาขึ้นอาสน์บัว
เตือนเจ้าเฝ้าบำเพ็ญ              ละเว้นความชั่ว
จะได้บัวเสียบัว                    อย่ามัวเสียโอกาสบุญ 

เจ้าที่ใหญ่   :  1.  คนบำเพ็ญที่สร้างบุญกุศลจนเกินกว่าหนี้เวรกรรมของตนในชาติก่อน กำหนดวันตายของคนเช่นนี้จะไม่มีอยู่ในมือของเรา
2.  คนที่สร้างบุญด้วยเหตุบังเอิญ ซึ่งมิได้จงใจมาก่อน กำหนดวันตายของผู้นั้นก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นรางวัลส่งเสริมความดีงามจากเบื้องบน
3.  คนที่ชั่วชีวิตประกอบแต่กรรมดี เช่นปล่อยชีวิตสัตว์ ช่วยเหลือคนยากจน ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ ช่วยคนที่ประสบเคราะห์กรรม  บริจาคโลงศพ ฯลฯ  เมื่อบุญกุศลบริบูรณ์ ก็จะยืดอายุได้
4.  ขณะเจ็บป่วย คนในครอบครัว หรือตนเองยอมขอขมากรรม สำนึกในความผิดที่แล้วมาอีกทั้งตั้งปณิธานใหญ่ต่อไป หากอธิษฐาน ภาวนาโดยศรัทธา ส่วนมากจะได้รับความเมตตาประทานอนุญาตจากเบื้องบน ได้เปลี่ยนกำหนดวันตาย เพิ่มอายุต่อไป

ฉงซิว   :  เป็นอย่างนี้เอง ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าเจ้าที่ใหญ่ ได้โปรดอธิบายรายละเอียด

เจ้าที่ใหญ่   :  โอ  มีคนต้องการให้เราผู้เฒ่านำทางแล้ว ลาก่อนละ

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว เรารีบตามเข้าไปดูกัน

ฉงซิว   :  ใช่แล้ว  ในห้องผู้ป่วยมีคนใกล้จะตายคนหนึ่ง ท่านเจ้าที่ใหญ่ยืนรออยู่ข้างตัวเขา  ในห้องมีคนสี่คน คงจะเป็นลูกสาวของผู้ป่วย ทุกคนในบ้านหม่นหมอง หมอคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าชุดสีขาว กำลังกดฝ่ามือลงบนอกของเขา คงจะช่วยกระตุ้นหัวใจ  แปลกแท้  ท่านเจ้าที่ใหญ่เพียงแต่ตบไหล่ผู้ป่วยคนนั้นเบา ๆ วิญญาณของเขาก็ลุกขึ้นจากร่างเดินตามออกไป หมอส่ายหน้าเหมือนบอกว่า "ช่วยไม่ได้" 

เจ้าที่ใหญ่   :  กราบลาพระพุทธะจี้กง ผู้น้อยจะต้องรีบนำวิญญาณของคนนี้ไปรายงานตัวที่ศาลยมบาลประจำเมือง

พระฯ จี้กง   :  ไปเถอะ  เชิญท่านทำงานของท่านไป ฉงซิวเราขึ้นไปดูชั้นบนอีกชั้น

ฉงซิว   :  เบื้องหน้ามีขุนพลฟั่นกับขุนพลเซี่ย ท่านมาทำอะไรที่นี่ 

ขุนพลฟั่น   :  คารวะพระพุทธะจี้กง

ขุนพลเซี่ย   :  นักบุญฉงซิว ท่านก็มาด้วยหรือ คืนนี้มากับพระฯ จี้กง  คงจะมาทำงานสร้างหนังสือบุญกระมัง

ฉงซิว   :  แปลก ท่านขุนพลทั้งสองรู้จักศิษย์ได้ยังไง ดูเหมือนยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน

ขุนพลฟั่น   :  นักบุญฉงซิว ช่างลืมง่ายจริง เจ้ามาที่ศาลเดือนละครั้งไม่ใช่หรือ ทำไมว่าไม่เคยพบหน้ากัน

ฉงซิว   :  อ้อ  ท่านหมายถึงอย่างนั้น แต่ทิพย์ญาณพบทิพย์ญาณอย่างนี้เพิ่งจะเป็นครั้งแรก

ขุนพลเซี่ย   :  ทูลถามพระฯ จี้กง คืนนี้มาที่นี่เพื่อการใดหรือ มาเพื่อสร้างหนังสือหรืออย่างไร

พระฯ จี้กง   :  เป็นเพราะทางเทวสถานไถจงฉงเซิงรับสนองพระโองการให้สร้างหนังสือบันทึกท่องด่านจิ่วหยัง คืนนี้อาตมาจึงตั้งใจนำฉงซิวมาดูเหตุการณ์ที่ท่านมาคร่าวิญญาณคนที่นี่ เพื่อเรียบเรียงไว้เป็นบทสำคัญ

ขุนพลเซี่ย   :  ถ้าเช่นนั้นก็ทูลเชิญพระฯ จี้กง ขอเชิญนักบุญฉงซิว ตามข้าพเจ้าทั้งสองมา ผู้ป่วยในห้องนี้ใกล้จะถึงเวลาตายแล้ว

ฉงซิว   :  ผู้ป่วยบนเตียงเป็นหญิง ข้าง ๆ ก็มีคนสามคน คงจะเป็นลูกหลาน โอ  ขุนพลฟั่นเอาโซ่เหล็กคล้องลงไปบนคอของผู้หญิงคนนั้น  วิญญาณของนางถูกคล้องออกจากร่างตามขุนพลทั้งสองไปทันที ร่างบนเตียงขาดใจตายในเวลาเดียวกัน ลูกหลานที่เฝ้าอยู่ร้องไห้เหมือนใจจะขาด ทำให้สงสารจับใจ

ขุนพลทั้งสอง   :  กราบลาพระพุทธะจี้กง ลานักบุญฉงซิว ผู้น้อยมีภาระ ไม่อาจอยู่นาน จะนำวิญญาณของหญิงผู้นี้กลับไปรายงานตัว ณ ศาลยมบาลประจำเมือง

พระฯ จี้กง   :  ไปเถอะ ฉงซิว เราก็รีบไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ทำไมพระอาจารย์ต้องรีบร้อนอย่างนี้

พระฯ จี้กง   :  คืนนี้เราจะต้องทำเวลาท่องถึงสามด่านเชียว นกเผิงใหญ่มาถึงแล้วขึ้นไปนั่งเร็ว

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว ... ลงมา

ฉงซิว   :  อืม์  บ้านนี้คงเป็นบ้านเศรษฐี  แอ๊ะ  แปลกทำไมมีเกี้ยว (เสลี่ยง)  สีแดงหลังใหญ่อยู่ที่นี่ ยังมีวงมโหรีดีดสีตีเป่าอย่างคนโบราณ มีเทพธิดา เทพบุตรองค์น้อยถือธง (แถบตรง) นำขบวนอีกด้วย

พระฯ จี้กง   :  เขาเตรียมมารับวิญญาณ คนบุญมีคุณธรรมคนหนึ่ง

ยมทูต   :  กราบเฝ้าพระพุทธะจี้กง  และท่านผู้นี้ ...

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                 จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 8 

                        ดูเหตุการณ์เมื่อชาวโลก

                            ทิ้งกายสังขาร

                  วันที่  3  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ชาวโลกอย่าพูดว่า        ฟ้าไม่มีนัยน์ตา
ครบถ้วนบุญญา                   พาขึ้นอาสน์บัว
เตือนเจ้าเฝ้าบำเพ็ญ              ละเว้นความชั่ว
จะได้บัวเสียบัว                    อย่ามัวเสียโอกาสบุญ 

พระฯ จี้กง   :  เขาคือ  มือทรงเอกเทวสถานไถจงฉงเซิง ได้รับสนองพระโองการสร้างหนังสือบันทึกท่องจิ่วหยังกวน คืนนี้อาตมาตั้งใจนำเขามาชมการนำวิญญาณคนไปของพวกท่าน

ยมทูต   :  อย่างนี้นั่นเอง  คารวะท่านนักบุญฉงซิว

ฉงซิว   :  มิกล้า  เรียนถามท่านยมทูตทำไมจึงมีวงปี่โบราณอยู่ที่นี่ด้วย

ยมทูต   :  คนบุญของบ้านนี้ใกล้จะตาย ข้าพเจ้าจึงเตรียมการมาต้อนรับเขาไปรายงานตัวที่ศาลยมบาลประจำเมือง  ได้เวลาแล้ว ทูลเชิญพระฯ จี้กงเชิญนักบุญฉงซิวตามข้าพเจ้ามา

ฉงซิว   :  ในห้องนี้มีคนอยู่เต็ม ดูเหมือนกำลังสวดมนต์กันอยู่  บรรยายกาศน่ายำเกรง คนที่นอนอยู่บนเตียงมีสีหน้าสงบ พวกที่ยืนอยู่ข้างเตียงคงจะเป็นลูกหลาน แม้จะโศกเศร้าอาลัย แต่ก็ฝืนใจช่วยสวดมนต์ เห็นยมทูตและตัวคนบนเตียงเบา ๆ วิญญาณเขาผู้นั้นก็ออกจากร่างยืนขึ้นทักทายกับยมทูตแล้วเดินตามไป ยมทูตเตรียมเชิญให้เขานั่งเกี้ยว (เสลี่ยง) ร่างที่นอนบนเตียงมีอาการขาดใจไปในเวลาเดียวกัน ไปมือเปล่าไม่ได้เอาอะไรติดมือไปเลย เสียงสวดมนต์ในห้องดังยิ่งขึ้น น่าประทับใจมาก เสียงปี่นำขบวนข้างนอกดังขึ้นแล้ว  พระอาจารย์ขอรับ ทำนองเพลงที่ปี่บรรเลงนั้น (ปี่นั้นมีเสียงแปดระดับ) ในโลกไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

พระฯ จี้กง   :  ชาวโลกไม่มีภาวะจิตเป็นทิพย์ จึงไม่ได้ยิน แต่สำหรับคนที่ได้อภิญญาหูทิพย์บางครั้ง เช่นกับเมื่อกี้เขาก็ได้ยินได้เห็นเหมือนกัน  ฉงซิว คืนนี้เห็นเหตุการณ์คนตายแล้วคิดยังไงบ้าง

ฉงซิว   :  ศิษย์ก้กำลังสงสัย อยากจะขอให้พระอาจารย์โปรดอธิบายอยู่พอดีว่า คนที่หนึ่งตาย ทำไมท่านผู้เฒ่าเจ้าที่ใหญ่มานำวิญญาณ   คนที่สองทำไมจึงเป็นท่านขุนพลทั้งสองใช้โซ่เหล็กมาคล้องคอฉุดไป  และเมื่อกี้ กลับมีพระกุมาร กุมารี อีกทั้งวงมโหรีมารับตัวไป

พระฯ จี้กง   :  นี่คือ จุดประสงค์ที่อาจารย์พาเจ้ามาดูในคืนนี้

        คนแรกที่ เจ้าที่ใหญ่มานำพาเป็นคนสำรวมตนดี ไม่มีบาป แต่ก็ไม่มีบุญ ท่านเจ้าที่ผู้ปกครองโดยตรงของเขาจึงมารับตัวไป
        คนที่สองผู้หญิง  เมื่อมีชีวิตไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใจบาปหยาบช้าเสมอ ทั้งยังจงใจล้มแชร์เขาหลายคน เงินทองที่เขาสะสมมาด้วยหยาดเหงื่อถูกหลอกลวงหมด สุดท้ายตัวเองก็ไม่พ้นความตาย และต้องถูกลากคอไปด้วยโซ่เหล็ก และยังต้องรับทุกข์หนักอีก
        คนที่สาม  เป็นนักบุญคนดี ชอบทำบุญให้ทาน ทั้งแรงงานแรงเงิน ไม่ว่าสาธารณประโยชน์อะไร อีกทั้งรับภาระเป็นกรรมการของศาลเจ้าแห่งหนึ่งเงินที่ทำบุญไปล้วนเกิดจากความศรัทธาจริงใจ ไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับใคร เดินตามทางพระอริยอย่างมั่นคง เมื่อตายจึงได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษอย่างนั้น

ฉงซิว   :  เป็นอย่างนี้นั่นเอง เฮ้อ  สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริง ๆ  อ้อ  พระอาจารย์ขอรับ คนเหล่านี้ทำไมจึงถูกพาไปศาลยมบาลประจำเมือง

พระฯ จี้กง   :  ที่ศาลมีทะเบียนบ้านของคนทั้งหลายอยู่ พอตายลงจึงต้องนำไปที่นั่น  เพื่อขอถอนชื่อในบัญชีคนเป็นในโลก เมื่อตรวจสอบถูกต้องแ้ล้ว จึงนำไปถออนชื่อคนตายในยมโลก สุดท้ายก็จะส่งไปรับตัดสินความจากพญายมตามบุญกรรมของตน

ฉงซิว   :  แปลกแท้ ๆ ดูแล้วการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของคนในโลกไม่พ้นสายตาของฟ้าเบื้องบนได้เลยใช่ไหมขอรับ

พระฯ จี้กง   :  ใช่  จึงขอเตือนชาวโลกอย่าคิดว่าอาจจะโชคดีไม่มีอะไร  ใครบำเพ็ญ ใครก็ได้  หวังว่าผู้บำเพ็ญยิ่งจะต้องฉวยโอกาสดีนี้ให้มั่น จิ่วหยังกวนไม่น่ากลัว เพียงแต่พยายามเดินตามพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดีก็จะบรรลุได้  คืนนี้ค่ำมากแล้ว ฉงซิวเรากลับตำหนักพระกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์ได้โปรดออกเดินทางได้

พระฯ จี้กง   :  เอาละ หลับตา ... นกเผิงใหญ่ ... บินได้ ... ถึงฉงเซิงถังแล้ว วิญญาณของฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 9 

                     ท่องด่านที่หก  ของจิ่วหยังกวน   

                             ด่านแต่งโฉม

                             (กู้หยงกวน)           

                  วันที่  4  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     ปลงให้เห็น     เป็นชั่วร้าย     ให้อายตนะหก
จิตหมดจด           ปลดอบาย     ไปวิมุติ
ติดรูปลักษณ์        ชักนำไว้        ไปไมไ่หลุด
ทุกคำพูด            ฉุดช่วยพร่ำ      ย้ำบำเพ็ญ

พระฯ จี้กง   :  เวลาท่องด่านจิ่วหยังสำหรับคืนนี้มาถึงแล้ว ฉงซิวเตรียมตัวไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ  คืนนี้เราจะไปท่องที่ไหนกันหรือขอรับพระอาจารย์

พระฯ จี้กง   :  คืนนี้เราจะไป "ด่านแต่งโฉม"  ด่านที่หกของจิ่วหยังกวน

ฉงซิว   :  "ด่านแต่งโฉม"  ชื่อแปลกไม่รู้หมายความว่าอะไร

พระฯ จี้กง   :  อีกประเดี๋ยวก็รู้ รีบนั่งให้ดีเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์นั่งดีแล้ว เชิญพระอาจารย์ได้

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว  เบื้องหน้าเป็นด่านที่หกของจิ่วหยังกวน นายด่านกับผู้ติดตามยืนรอเราอยู่ที่นั่นแล้ว

พระฯ ยายด่าน   :  กราบคารวะพระฯ จี้กง  ขอต้อนรับนักบุญฉงซิวมาเยือน

ฉงซิว   :  ศิษย์ฉงซิวกราบคารวะพระองค์นายด่าน พร้อมทั้งเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ เพื่อหาข้อมูลสร้างหนังสือ ขอได้โปรดชี้แนะ

พระฯ นายด่าน   :  ฉงซิวเกรงใจเกินไป เจ้ากับพระพุทธจี้กงมาตามพระโองการฯ  เราจะต้องช่วยเหลือเต็มที่ ทูลเชิญพระอาจารย์ เชิญฉงซิวเข้าพักผ่อนข้างในสักครู่

ฉงซิว   :  ขอรับ  ขอบพระทัยพระองค์นายด่าน   สองข้างประตูพระตำหนักมีกลอนคู่ ความว่า   

                  "เตือนเจ้าเหล่าชายหญิง   เร็วไว   แก้ไขผิดพลาด
                    อย่าได้ประมาท   เราคาดโทษ    หรือโปรดชม"

พระฯ นายด่าน   :  ทูลเชิญพระพุทธะจี้กงและเชิญฉงซิวโปรดนั่ง   พนักงานข้างใน ถวายถ้วยน้ำชา

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว  เจ้ามีปัญหาอะไร ฉวยโอกาสทูลถามพระองค์นายด่านเสีย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 9 

                     ท่องด่านที่หก  ของจิ่วหยังกวน   

                             ด่านแต่งโฉม

                             (กู้หยงกวน)           

                  วันที่  4  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     ปลงให้เห็น     เป็นชั่วร้าย     ให้อายตนะหก
จิตหมดจด           ปลดอบาย     ไปวิมุติ
ติดรูปลักษณ์        ชักนำไว้        ไปไมไ่หลุด
ทุกคำพูด            ฉุดช่วยพร่ำ      ย้ำบำเพ็ญ

ฉงซิว   :  ขอรับ  ทูลถามพระองค์ว่า เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า  "แต่งโฉม"   

พระฯ นายด่าน   :  ผู้บำเพ็ญเมื่อมีชีวิตอยู่ หากปฏิบัติธรรมชอบเอาหน้า หรือไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน  ไม่เห็นค่าพืชพันธ์ธัญญาหาร   หรือชอบแต่งตัวเฉิดฉาย ยิ่งกว่านั้นคือ  ไม่เคารพปราชญ์เมธี  ทิ้งขว้างเหยียบย่ำข้อเขียนของท่าน  ด่านนี้ก็จะจัดการแต่งโฉมให้โดยไม่คิดค่าป่วยการ

ฉงซิว   :  "ด่านแต่งโฉม"  จะทำให้ผู้บำเพ็ญสำนึกแก้ไขได้อย่างไรขอรับ

พระฯ นายด่าน   :  ภายในด่านของเรา ยังมีอีกเก้าด่านย่อย แต่ละด่านีวิธีการต่างระดับกัน

ด่านที่ 1 -2 - 3   ให้ฝนพรำลงร่างผู้บำเพ็ญ
ด่านที่ 4 - 5 -6    ให้ฝนกระหน่ำใหญ่
ด่านที่ 7 - 8 - 9   ให้น้ำโคลนรดราด

        นี่เป็นระดับการแต่งโฉมของด่านจิ่วหยัง  ตัวอย่าง เช่น  ผู้บำเพ็ญที่ชอบสุรุ่ยสุร่าย  ชอบแต่งหน้าฉูดฉาด  เลือกกินอาหารชั้นสูง  รังเกียจอาหารไม่มีระดับ  หรือก่อนไหว้พระไม่ล้างหน้า  หวีผม  จะต้องเอามาแต่งโฉมใหม่ที่ด่านนี้ทั้งนั้น

ฉงซิว   :  โอ้โฮ  ผู้บำเพ็ญจะต้องรอบคอบ ระมัดระวังทุกเรื่องเชียว ม่ายงั้นพลาดนิดเดียวมีหวังได้ชิมลางทุกด่านเลย

พระฯ จี้กง   :  ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำไปหาข้อมูลในสถานที่จริงด้วย

พระฯ นายด่าน   :  น้อมรับ  ให้นายทหารนำพระพุทธะจี้กงกับฉงซิวไปยังด่านย่อยด่านแรกของด่านนี้

นายทะเบียน   :  ผู้น้อยน้อมรับ  ทูลเชิญพระฯ จี้กง  และขอเชิญนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยมา

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ขอรับ เรามาหาข้อมูล ทำไมไม่ไปดูทุกด่านย่อยล่ะ ดูแต่ด่านย่อยด่านเดียวของด่านใหญ่ไม่น้อยไปหรือขอรับ

พระฯ จี้กง   :  อันที่จริง  จิ่วหยังกวน ก็ิมิให้เปิดเผยแก่ชาวโลกง่าย ๆ อยู่แล้ว หากมิใช่เบื้องบนเมตตา แม้แต่ด่านย่อยด่านเดียวก็ไม่มีทางได้เห็น  การสร้างหนังสือเล่มนี้ก็มิใช่จะนำเอาเรื่องราวของผู้บำเพ็ญที่ถูกลงโทษอยู่ในแต่ละด่านมาเปิดเผยแก่ชาวโลก หลักใหญ่เพียงต้องการให้ผู้บำเพ็ญรู้ว่ามีจิ่วหยังกวนอยู่ ณ ที่นี้  และเพื่อให้ผู้บำเพ็ญเข้าใจว่า การจะบรรลุจริงจะต้องลบล้างอุปนิสัยความเคยชิน ไม่ดี  ของปุถุชนให้หมด  ผู้บำเพ็ญทั้งนั้นล้วนมีรากฐานบุญมาก่อน ท่องด่านย่อยเพียงด่านเดียวก็จะรู้ระดับธรรมแล้ว  ถ้าท่องทุกด่านย่อย หลายปีก็ท่องไม่ทั่ว ที่เราท่องกันอยู่นี้ เลือกเฉพาะที่เป็นตัวอย่างของทุกด่านเท่านั้น

ฉงซิว   :  อย่างนี้นั่นเอง ศิษย์เข้าใจแล้ว

นายทะเบียน   :  ถึงแล้ว เบื้องหน้าก็คือ ด่านย่อยของด่านแต่งโฉม

พระฯ ผู้คุม   :  ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว ผู้น้อยเฝ้ารับอยู่ที่นี่นานแล้ว

พระฯ จี้กง   :  ไม่ต้องคารวะหรอก รีบพาเราเข้าไปชมเถิด

พระฯ ผู้คุม   :  น้อมรับพระบัญชา  ได้โปรดตามข้าพเจ้ามา

ฉงซิว   :  โอ้โฮ  ผู้บำเพ็ญเยอะแยะ  นั่งอยู่กับพื้น  เหนือศรีษะพวกเขาไม่รู้ฝนพรำลงมาจากไหนไม่ขาดสาย ตากฝนนาน ๆ กันอย่างนี้ ไม่เป็นหวัดแย่หรือขอรับ

พระฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าจะเรียกมาให้คำตอบสักสองสามคน  สามคนนั่นรีบมากราบพระพุทธะจี้กง และคารวะท่านนักบุญฉงซิว มือทรงเอกของเทวสถานไถจงฉงเซิงเสีย  ทั้งสองท่านรับสนองพระโองการให้มาหาข้อมูลสร้างหนังือบุญ รีบเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งบำเพ็ญอยู่ในโลกว่าเหตุใด จึงต้องถูกขังอยู่ที่นี่โดยละเอียดด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 9 

                     ท่องด่านที่หก  ของจิ่วหยังกวน   

                             ด่านแต่งโฉม

                             (กู้หยงกวน)           

                  วันที่  4  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     ปลงให้เห็น     เป็นชั่วร้าย     ให้อายตนะหก
จิตหมดจด           ปลดอบาย     ไปวิมุติ
ติดรูปลักษณ์        ชักนำไว้        ไปไมไ่หลุด
ทุกคำพูด            ฉุดช่วยพร่ำ      ย้ำบำเพ็ญ

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิว

ฉงซิว   :  เชิญอาวุโสทุกท่านตามสบายเถิด  พระอาจารย์ขอรับ  ทั้งสามคนนี้ตากฝนจนเปียกโชกหนาวสั่น พระอาจารย์จะโปรดเมตตา ให้พวกเขาได้อบอุ่นสักครู่ได้ไหมขอรับ

พระฯ จี้กง   :  ได้ เพื่อเห็นแก่การสร้างหนังสือ  เอ้า,  ดูบุญญฤทธิ์ของอาจารย์  โอม ... เสร็จแล้ว

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.   :  ขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง ได้โปรดเมตตา เราทั้งสามรู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที ไม่หนาวอีกแล้ว

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ขอรับ พัดในมือของพระองค์ ช่างวิเศษแท้ ถ้าต้องการเย็นก็เย็นทันที จะให้ร้อนก็อุ่นทันที พระบุญญาภินิหาริย์กว้างไกลแท้

พระฯ จี้กง   :  อย่ามัวแต่ชื่นชม สัมภาษณ์ได้แล้ว

ฉงซิว   :  ขอรับ  เรียนถามอาจารย์ท่านนี้ เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ครั้งมีชีวิต ฉันบำเพ็ญทางหนทางตรง บำเพ็ญตนฉุดช่วยผู้คนไม่ย่อท้อ รวมความแล้วไม่มีอะไรบกพร่อง  ฉันเป็นคนตรง งานบุญ งานเพื่อสาธารณชนไม่เคยรองจากใคร ด้านการบำเพ็ญยิ่งปฏิบัติจริงจัง แต่ด้วยจุดด่างเพียงนิดเดียว จึงถูกคุมขังอยู่ที่นี่

ฉงซิว   :  ท่านผู้อาวุโส มีข้อบกพร่องจุดเล็ก ๆ อย่างไรหรือ

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  เมื่อครั้งมีชีวิต ไม่เห็นค่าของหนังสือที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้เขียนไว้ เวลาจะเช็ดโต๊ะก็เอามาใช้เช็ดแทนผ้าขี้ริ้ว  ใช้รองหนุนสิ่งต่าง ๆ เหยียบย่ำทำลายกระดาษที่จารึกอักษร พอตายฉันก็ถูกพระกุมาร กุมารี รับลงไปถอนทะเบียนชื่อคนตายในนรก  เดิมทีคิดว่าตนเองจะได้บรรลุแดนวิมุติ ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาที่ด่านแต่งโฉม พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันไม่เคารพหยาดเลือดจากแรงใจ (มันสมอง) ของอริยเมธี ใช้กระดาษที่จารึกอักษรอย่างต่ำช้า จึงถูกตัดสินให้สำนึกผิดอยู่ที่นี่ สี่สิบเก้าวัน ต้องนั่งตากฝนอยู่ในด่านทุกวันตลอดเวลา
        บัดนี้ คิดได้แล้วว่า เมื่อก่อนเหลวไหล ไม่ควรเลย หวังว่าผู้บำเพ็ญในโลกจะได้เคารพรักในคุณค่าของกระดาษและอักษร และยิ่งจะต้องตักเตือนคนทั่าไปให้รู้สึกเสียดาย  มิฉะนั้นวันข้างหน้า ก็จะต้องมารับโทษในด่านนี้เหมือนกัน ถึงเวลานั้นก็จะสายเสียแล้ว

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ให้ความกระจ่าง เชื่อว่าเสียงจากใจของท่านจะทำให้ผู้บำเพ็ญรีบแก้ไขตัวเอง  เรียนถามอาวุโสหญิงท่านนี้ เหตุใดขึงถูกขังอยู่ที่นี่

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  เล่าไม่ถูก  เมื่อครั้งมีชีวิต ฉันได้ถวายตัวเป็นพระบุตรีของพระแม่สระมรกต เอี่ยวตี๊กิมบ้อ หรือ เอี๋ยวฉือจินหมู่บื้องบน ฉันกราบไหว้ด้วยความศรัทธายิ่ง กล่อมเกลาผู้คนให้กลับคืนสู่พระแม่ ฯ  อยู่ชั่วชีวิต ปฏิบัติธรรมตามสัมมาวิถีและตั้งใจศึกษาธรรมะ แต่ด้วยจิตใจฟุ้งเฟ้ออยู่นิดเดียว วันนี้จึงต้องตกลงมาอยู่ในด่านแต่งโฉมนี้ ไม่คุ้มกันเลย 

ฉงซิว   :  ผู้อาวุโสหญิงผิดข้อไหนล่ะ

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  จะว่าไป ฉันบำเพ็ญจริงจัง เพียงแต่ชอบแต่งตัวหรูหราสักหน่อย ทุกครั้งที่เห็นเสื้อผ้าสวยทัยสมัยจะพอใจจ่ายซื้อ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญด้วยกันชมว่า ฉันแต่งตัวสวย  ตอนที่ตาย ฉันคิดว่าพระแม่สระมรกตจะส่งใครมารับฉันไป ไม่คิดว่าจะถูกนำตัวมาที่นี่ พระองค์นายด่านบอกว่า  "ผู้บำเพ็ญพึงดำเนินชีวิตอย่างสมถะ เสื้อผ้าหรูหราล้วนเป็นของฟุ่มเฟือยฉาบฉวย คนที่รักความฉาบฉวยอย่างนี้ จะกลับไปเฝ้าพระแม่องค์ธรรมได้อย่างไร จึงได้ตัดสินให้ฉันสำนึกผิดอยู่ที่นี่สี่สิบเก้าวัน"  บัดนี้กว่าจะสำนึกถึงความฟุ้งเฟ้อ ชอบหรูหรา ที่ผ่านมาก็สายเสียแล้ว หวังว่า พี่น้องผู้บำเพ็ญในโลกอย่าเอาอย่างฉันเป็นอันขาด เราแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยกันเท่านั้นก้พอแล้ว

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณ เชื่อว่าคำเชิญชวนของท่านคงได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน เรียนถามอาวุโสท่านต่อไป เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  ฉันเป็นนักบวชในนิกายไตรวิสุทธิ์ (ซันชิง)  เมื่อมีอายุอยู่ได้บำเพ็ญโดยศรัทธา  มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทุกวันอาทิตย์สานุศิษย์จะพากันมาฟังการบรรยายธรรมจากฉัน เมื่อมีศิษย์มาก สักการะลาภก็ยิ่งมาก มีทั้งข้าวสาร ของกิน ของใช้นำมาให้อุดมสมบูรณ์ ทำให้ฉันไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น  บัดนี้ถูกขังอยู่ที่นี่กว่าจะสำนึกก็สายเสียแล้ว

ฉงซิว   :  ผู้อาวุโสทำผิดอย่างไรหรือ

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  ด้วยเหตุที่ศิษย์สานุชนมากมายพากันนำข้าวสารมาถวาย เมื่อมาได้ง่ายก็กินทิ้งกินขว้างอย่างไม่รู้ตัว  กินไ่ม่หมดก็เททิ้ง  ค้างคืนก็เททิ้ง เมื่อมีศิษย์มาเชิญให้ไปฉันที่บ้านด้วยความศรัทธายิ่ง ฉันก็ไม่ได้พิจารณาถึงจิตใจเขา ถ้าถวายอาหารไม่ถูกปากก็จะไม่พอใจ ทำให้สานุศิษย์ที่อยากเชิญฉันไปที่บ้านต้องหาอาหารตระเตรียมกันวุ่นวาย ด้วยเกรงว่าจะไม่ถูกปากถูกใจฉัน ชั่วชีวิตก็ผ่านไปอย่างนี้  เนื่องจากได้ฉุดช่วยผู้คนให้ได้ปฏิบัติธรรมเป็นบุญ เมื่อตายพญายมจึงไม่อาจตัดสินความผิดของฉันได้จึงส่งให้ข้ามสะพานทองไป
        ขณะนั้น ฉันกระหยิ่มใจว่าจะได้เสวยสุขแล้ว ไม่คิดว่่าจะถูกส่งมาที่นี่ พระองค์นายด่านว่า  ฉันเป็นครูบาอาจารย์ไม่พิจารณาศรัทธาจิตของสานุศิษย์เอาแต่โลภลิ้นกินอร่อย ไม่รู้สัจธรรมที่ว่า  "จิตสงบแท้แม้รากผักก็หอมหวาน"  พระองค์จึงตักเตือนผู้บำเพ็ญให้กินอาหารอย่างไม่รู้รส  ฉันถูกตัดสินให้เข้าสำนึกใน "ด่านแต่งโฉม"  ครึ่งปี  เพราะไม่เห็นค่าของอาหาร เสียใจจริง ๆ  หวังว่า ผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะได้เห็นคุณค่าของธัญญาหาร ต้องสำนึกว่าข้าวแต่
ละเม็ดกว่าจะได้มาไม่ใช่ง่าย อย่าเห็นแก่กิน จะได้ไม่ต้องถูกส่งมาสำนึกผิดที่นี่ มิฉะนั้นจะเสียใจภายหลัง

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณอาวุโสที่ได้อธิบายอย่างชัดเจน เสียงจากใจของท่านจะกระจายออกไปในหนังสือ ทำให้ผู้คนรู้สำนึกกัน

พระฯ ผู้คุม   :  ท่านทั้งสาม เล่าจบแล้วกราบลาพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิวได้

พระฯ จี้กง   :  คืนนี้ค่ำมากแล้ว ฉงซิว เรารีบกลับตำหนักกันเถอะ

พระฯ ผู้คุม   :  กราบส่งพระ ฯ จี้กง น้อมส่งนักบุญฉงซิว 

พระฯ จี้กง   :  รบกวนท่านช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนอาตมาด้วย  นกเผิงใหญ่มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นไป

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดเดินทางได้

พระฯ จี้กง   :  เอ้า  หลับตา บินได้ ... ถึงฉงเซิงถัง วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 10 

                     ท่องด่านที่เจ็ด  ของจิ่วหยังกวน   

                             ด่านศรัทธาเคารพ

                             (เฉิงจิ้งกวน)           

                  วันที่  5  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     จงพิจารณา        ในกระถางธูป        รูปโป๊ยก้วย
จะเห็นด้วย              อนุตตร               ภาวะสงบ
ปารมิตา                 แก้วเจ็ดสี            มีอยู่ครบ
สามเล่มเกวียน          ขนไม่หมด          เจนจบโสดา ฯ

พระฯ จี้กง   :  ผู้ศึกษาธรรม พึงคำนึงถึงพระมหาเมตตาของพระเบื้องบน  เจ้าอาวาสผู้นำของวัดวาอาราม ยิ่งจะต้องทำตนเป็นแบบอย่าง จะต้องตักเตือนผู้น้อยด้วยหลักธรรมให้พ้นความชั่วสู่ความดี ส่งเสริมเขา อย่าได้ทำบาปใด ๆ ให้สร้างบุญในทุกสถาน อุตสาหะปฏิบัติอย่างนี้จะบรรลุได้ไม่ยาก  ฉงซิว ถึงเวลาท่องจิ่วหยังกวนสำหรับคืนนี้แล้ว รีบขึ้นนกเผิงใหญ่ออกเดินทางกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์พร้อมแล้ว พระอาจารย์โปรดเดินทางได้

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว  เบื้องหน้าคือด่านที่เจ็ดของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านพร้อมพระบริวารอยู่ที่นั้นนานแล้ว  ฉงซิวเรารีบเข้าไปเถอะ

พระฯ นายด่าน   :  กราบเฝ้าพระ ฯ จี้กง  ยินดีต้อนรับนักบุญฉงซิวจากเทวสถายฉงเซิงถังมาเยือน

ฉงซิว   :  ศิษย์กราบคารวะพระองค์นายด่านและเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ คืนนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวนที่ด่านนี้ ขอได้โปรดชี้แนะ

พระฯ นายด่าน   :  ฉงซิว  อย่าได้นอบน้อมไปเลย ทางด่านของเราได้รับพระโองการก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่าทางตำหนักฯ ของท่านได้รับสนองภาระใหญ่จากเบื้องบนท่องจิ่วหยัง เพื่อหาข้อมูลตักเตือนผู้บำเพ็ญ เราจะช่วยเต็มที่ พระพุทธะจี้กงและฉงซิวได้โปรดเข้านั่งพักข้างในสักครู่

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิวเข้าไป  เร็ว

ฉงซิว   :  กลอนคู่ที่เขียนไว้สองข้างประตูพระตำหนัก มีความว่า 
             ละเมิดบัญญัติ         ขัดระเบียบ
             อย่ากล่าวอ้าง         แต่อย่างใด
             มรรคผลอาศัย     กุศลผลบุญ   คุณธรรมกตัญญู

พระฯ นายด่าน   :  พระพุทธะจี้กงและฉงซิวได้โปรดนั่ง พนักงานข้างในถวายน้ำชา

พระฯ จี้กง   :  เรื่องสร้างหนังสือสำคัญกว่า ท่านนายด่าน ฯ อย่าได้เกรงใจไปเลย  ฉงซิวมีปัญหาอะไรทูลถามเถอะ

ฉงซิว   :  ทูลถามพระองค์นายด่านว่า ด่านนี้เหตุใดจึงได้ชื่อว่า  "ศรัทธาเคารพ (เฉิงจิ้งกวน)  คงหมายถึงให้ผู้บำเพ็ญรู้จักเคารพผู้มีคุณธรรมบารมี และผู้อาวุโส  ใช่ไหมขอรับ

พระฯ นายด่าน   :  ถูกต้อง  ผู้บำเพ็ญทุกคนหากไม่บำเพ็ญตามทางตรง ชอบพูดถึงสิ่งลี้ลับโคมลอย ทำให้น่าพิศวงให้ผู้คนหลงใหล  ไม่ศรัทธาจริง  ยกตนสูงส่ง  ขัดเคืองกล่าวโทษเบื้องบนและผู้อื่น  ด่าลมตวาดฝน ฯ นิสัยเหล่านี้ล้วนอยู่ในความควบคุมของด่านนี้ เนื่องด้วยเวลาไม่อำนวย จึงไม่อาจให้ท่องดูทุกด่าน ได้แต่ให้สอบถามความผิดที่ผู้บำเพ็ญเคยผิดกันมากที่สุดในขณะนี้เป็นข้อมูล เพื่อเป็นข้อเตือนใจผู้บำเพ็ญทั้งหลาย

พระฯ จี้กง   :  ค่ำแล้ว  ขอรบกวนนายด่านท่านโปรดบัญชา ให้ใครนำทางท่องด่านด้วย

พระฯ นายด่าน   :  น้อมรับ  ให้นายทะเบียนนำพระพุทธะจี้กงกับฉงซิวไปชมด่านย่อยที่หนึ่งของด่าน "ศรัทธาเคารพ" 

นายทะเบียน   :  ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา ทูลเชิญพระ ฯ จี้กง และเชิญนักบุญฉงซิว โปรดตามข้าพเจ้ามา ...ถึงแล้ว ... เบื้องหน้าคือด่านย่อย "เคารพศรัทธา" 

พระฯ ผู้คุม   :  กราบรับพระบาทพระฯ จี้กง  ยินดีต้อนรับนักบุญฉงซิว ผู้น้อยน้อมรับอยู่ที่นี่นานแล้ว

พระฯ จี้กง   :  อย่าต้องมากจรรยาเลย รีบพาเราไปเถิด

พระฯ ผู้คุม   :  น้อมรับ โปรดตามข้าพเจ้ามา

ฉงซิว   :  โอ  คนมากมายคุกเข่าอยู่บนพื้น มีอาการเจ็บปวด  อ้อ  ที่หัวเข่าของเขามีของแข็งติดอยู่ น่าสงสารจัง

พระฯ ผู้คุม   :  ของแข็งนั้น จะเกิดขึ้นเองเมื่อคุกเข่าลงไปและแกะไม่ออก

ฉงซิว   :  อ้าว  แล้วจะเอาออกได้ยังไงขอรับ

พระฯ ผู้คุม   :  จะหลุดออกได้เมื่อครบกำหนดโทษ หรือเขาผู้นั้นเกิดสำนึกแล้วอย่างแท้จริง

ฉงซิว   :  มีอะไรแปลก ๆ อย่างนี้ด้วย มันคืออะไรขอรับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30/05/2012, 06:04 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 10 

                     ท่องด่านที่เจ็ด  ของจิ่วหยังกวน   

                             ด่านศรัทธาเคารพ

                             (เฉิงจิ้งกวน)           

                  วันที่  5  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     จงพิจารณา        ในกระถางธูป        รูปโป๊ยก้วย
จะเห็นด้วย              อนุตตร               ภาวะสงบ
ปารมิตา                 แก้วเจ็ดสี            มีอยู่ครบ
สามเล่มเกวียน          ขนไม่หมด          เจนจบโสดา ฯ

พระฯ ผู้คุม   :  มันเป็นเหล็กเหนียวธรรมชาติ จะเกิดขึ้นตามแรงกรรมของผู้นั้น  เมื่อไม่หมดกรรมจะถอนออกไม่ได้

ฉงซิว   :  แปลกจริง ๆ เขามีโทษผิดอะไรหรือ จึงต้องมารับทุกข์อย่างนี้

พระฯ ผู้คุม   :  จะเรียกมาให้สอบถามให้เข้าใจสักสามคน  สามคนนั่นรีบมากราบพระฯ จี้กง และนักบุญฉงซิว มือทรงเอกแห่งตำหนักพระฯ ไถจงฉงเซิง ทั้งสองท่านรับสนองพระโองการฯ มาเก็บข้อมูลตามด่านจิ่วหยัง เพื่อสร้างหนังสือบุญเตือนใจชาวโลก เจ้าทั้งสามจงเล่าเรื่องราวการบำเพ็ญ และเหตุที่ต้องถูกขังให้ละเอียดเพื่อรวบรวมไว้ในบทสำคัญ เพื่อมิให้ชาวโลกผิดซ้ำตามอย่าง

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.   :  กราบพระบาทพระพุทธะจี้กง สวัสดีนักบุญฉงซิว พบกันในสภาพนี้น่าอายเหลือเกิน

ฉงซิว   :  สวัสดีผู้อาวุโสทุกท่าน  พระอาจารย์ขอรับ หัวเข่าของพวกเขามีของแข็ง ติดอยู่ยืนไม่ขึ้น พระอาจารย์ได้โปรดช่วยเขาสักครู่เถิด

พระฯ จี้กง   :  ได้ซิ  ดูอาจารย์ให้ดี นโม ... เพี้ยง ... เสร็จแล้ว 

ฉงซิว   :  พัดของพระอาจารย์นี่ทำได้ทุกอย่าง วับเดียวของแข็งบนหัวเข่าก็หายไป  เรียนถามอาวุโสท่านนี้ว่า เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่ ดูหน้าตาท่านก็เป็นผู้บำเพ็ญดี

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ฉันเป็นผู้บำเพ็ญในครัวเรือน แต่ไม่ได้ตั้งตำหนักพระอย่างแท้จริง ฉันตั้งใจบำเพ็ญจึงได้อภิญญาบางอย่าง เดิมทีฉันบำเพ็ญเงียบ ๆ ไม่มีใครรู้ พอมีเวลาก็ไปช่วยงานตามตำหนักพระ หรือศาลเจ้าบ้าง  วันหนึ่งหญิงสาวเสียสติคนหนึ่ง ถูกพ่อแม่นำตัวมาที่ศาลเจ้าพ่อกวนอู ขอให้พระองค์ได้โปรดรักษา คงเป็นคราวที่ฉันจะเลื่องชื่อ เพราะเป็นเวลาเดียวกับที่ฉันไปถวายธูป  เมื่อเห็นสภาพนั้น ฉันก็อดสงสารไม่ได้  ขณะที่จิดตกำลังรำพึง ถึงความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อแม่อยู่นั้น  ทันใดกระแสญาณของพระองค์กวนอูก็ผ่านเข้ามากระทบจิตของฉันทันทีว่า ให้จัดการเรื่องนี้ ฉันจึงส่งแสงญาณช่วยจิตของหญิงสาวคนนั้น ทำให้เธอหายเป็นปกติโดยฉับพลัน พ่อแม่ของเธอดีใจเป็นที่สุด กราบขอบคุณฉันครั้งแล้วครั้งเล่า
        เรื่องนี้ถูกเล่าลือต่อไป จากหนึ่งถึงสิบถึงร้อย ทำให้ฉันมีชื่อเสียงขึ้นมาทันที ภายในเวลาวันเดียว ทุกคนพากันเรียกฉันว่าอาจารย์ ทุกวันจะมีคนมาพบฉันเต็มบ้าน บางคนให้ดูโรคภัย บางคนให้ดูโชคลาภ  อนาคต  ฯลฯ  จากนั้น ชีวิตสงบสุขของฉันก็เปลี่ยนเป็นวุ่นวายไป เจตนาของเบื้องบนต้องการให้ฉันใช้โอกาสนี้ ประกาศสัจธรรมสืบทอดหลักพงศาธรรมกล่อมเกลาชาวโลก แต่ทุกวันจะมีแต่ผู้ชื่นชมในอภินิหาริย์ของฉัน หากไม่ใช้อภินิหาริย์บ้างก็ไม่อาจทำให้เขาพอใจได้  ฉันจึงต้องแสดงทุกวันเพื่อให้เกิดความเชื่อถือ ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่พูดก็ล้วนเป็นเรื่องของโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นกัน  ไม่ได้พูดถึงสัจธรรมทางหลุดพ้น เพื่อเตือนใจให้เขาสำรวมบำเพ็ญแม้แต่น้อย
        วันหนึ่ง อยู่ ๆ อภิญญาที่ฉันได้ก็หายไป สาธุชนที่เคยศรัทธาเข้าออกที่บ้านก็หายไป ฉันจึงได้สำนึกเสียใจที่ไม่ได้ใช้โอกาส สร้างอาณาจักรธรรมกล่อมเกลาผู้คนให้สำรวมบำเพ็ญธรรม เบื้องบนเรียกอภิญญาของฉันคืนไป ฉันจึงได้เข้าใจว่า  "เบื้องบนจะอาศัยกายสังขารของคนดำเนินงานธรรมะ"  มิใช่คนจะสำแดงเดชได้ตามใจ จากนั้นฉันก็ยิ่งบำเพ็ญเพียร แต่วาระสุดท้ายก็มาถึง  ฉันถูกนำตัวไปลบชื่อออกจากบัญชีคนตายในยมโลกแล้วถูกนำมาที่ด่านจิ่วหยังกวนนี้ พระองค์นายด่านว่าฉันบำเพ็ญเสียเปล่า ไม่รู้จักฉุดช่วยจิตใจชาวโลกชอบแสดงอภินิหาริย์ ไม่สอนให้คนรู้จักใช้หลักสัจธรรมในการบำเพ็ญ เอาอภินิหาริย์มาทำให้คนหลงผิด  เบื้องบนโปรดประทานอภิญญาให้ ก็เพื่อได้อาศัยเป็นสือในบางโอกาสไม่ใช่ให้มาแสดง จึงตัดสินใก้สำนึกอยู่ในด่านนี้สี่สิบเก้าวัน ครบกำหนดแล้วจึงให้พ้นไป

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณผู้อาวุโส ที่โปรดให้รายละเอียด เชื่อว่าผู้บำเพ็ญที่ติดอภิญญาปาฏิหาริย์ในโลก เมื่อได้ยินเสียงจากใจของท่านแล้วคงสำนึกได้  จะต้องเข้าใจว่า        สิ่งศักดิ์สิทธิ์แพร่ธรรมคำสอน         มิใช่ให้มุ่งเห็นสิ่งลี้ลับ
                       แต่สอนคนด้วยหลักธรรม             นำด้วยหลักของชีวิต
        ขอบพระคุณท่าน  ขอเรียนถามอาวุโสหญิงท่านนี้ เหตุใดจึงถูกนำมาขังไว้

Tags: