จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 9
ท่องด่านที่หก ของจิ่วหยังกวน
ด่านแต่งโฉม
(กู้หยงกวน)
วันที่ 4 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลงให้เห็น เป็นชั่วร้าย ให้อายตนะหก
จิตหมดจด ปลดอบาย ไปวิมุติ
ติดรูปลักษณ์ ชักนำไว้ ไปไมไ่หลุด
ทุกคำพูด ฉุดช่วยพร่ำ ย้ำบำเพ็ญ
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : กราบคารวะพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : เชิญอาวุโสทุกท่านตามสบายเถิด พระอาจารย์ขอรับ ทั้งสามคนนี้ตากฝนจนเปียกโชกหนาวสั่น พระอาจารย์จะโปรดเมตตา ให้พวกเขาได้อบอุ่นสักครู่ได้ไหมขอรับ
พระฯ จี้กง : ได้ เพื่อเห็นแก่การสร้างหนังสือ เอ้า, ดูบุญญฤทธิ์ของอาจารย์ โอม ... เสร็จแล้ว
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : ขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง ได้โปรดเมตตา เราทั้งสามรู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที ไม่หนาวอีกแล้ว
ฉงซิว : พระอาจารย์ขอรับ พัดในมือของพระองค์ ช่างวิเศษแท้ ถ้าต้องการเย็นก็เย็นทันที จะให้ร้อนก็อุ่นทันที พระบุญญาภินิหาริย์กว้างไกลแท้
พระฯ จี้กง : อย่ามัวแต่ชื่นชม สัมภาษณ์ได้แล้ว
ฉงซิว : ขอรับ เรียนถามอาจารย์ท่านนี้ เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ก. : ครั้งมีชีวิต ฉันบำเพ็ญทางหนทางตรง บำเพ็ญตนฉุดช่วยผู้คนไม่ย่อท้อ รวมความแล้วไม่มีอะไรบกพร่อง ฉันเป็นคนตรง งานบุญ งานเพื่อสาธารณชนไม่เคยรองจากใคร ด้านการบำเพ็ญยิ่งปฏิบัติจริงจัง แต่ด้วยจุดด่างเพียงนิดเดียว จึงถูกคุมขังอยู่ที่นี่
ฉงซิว : ท่านผู้อาวุโส มีข้อบกพร่องจุดเล็ก ๆ อย่างไรหรือ
ผู้บำเพ็ญ ก. : เมื่อครั้งมีชีวิต ไม่เห็นค่าของหนังสือที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้เขียนไว้ เวลาจะเช็ดโต๊ะก็เอามาใช้เช็ดแทนผ้าขี้ริ้ว ใช้รองหนุนสิ่งต่าง ๆ เหยียบย่ำทำลายกระดาษที่จารึกอักษร พอตายฉันก็ถูกพระกุมาร กุมารี รับลงไปถอนทะเบียนชื่อคนตายในนรก เดิมทีคิดว่าตนเองจะได้บรรลุแดนวิมุติ ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาที่ด่านแต่งโฉม พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันไม่เคารพหยาดเลือดจากแรงใจ (มันสมอง) ของอริยเมธี ใช้กระดาษที่จารึกอักษรอย่างต่ำช้า จึงถูกตัดสินให้สำนึกผิดอยู่ที่นี่ สี่สิบเก้าวัน ต้องนั่งตากฝนอยู่ในด่านทุกวันตลอดเวลา
บัดนี้ คิดได้แล้วว่า เมื่อก่อนเหลวไหล ไม่ควรเลย หวังว่าผู้บำเพ็ญในโลกจะได้เคารพรักในคุณค่าของกระดาษและอักษร และยิ่งจะต้องตักเตือนคนทั่าไปให้รู้สึกเสียดาย มิฉะนั้นวันข้างหน้า ก็จะต้องมารับโทษในด่านนี้เหมือนกัน ถึงเวลานั้นก็จะสายเสียแล้ว
ฉงซิว : ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ให้ความกระจ่าง เชื่อว่าเสียงจากใจของท่านจะทำให้ผู้บำเพ็ญรีบแก้ไขตัวเอง เรียนถามอาวุโสหญิงท่านนี้ เหตุใดขึงถูกขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ข. : เล่าไม่ถูก เมื่อครั้งมีชีวิต ฉันได้ถวายตัวเป็นพระบุตรีของพระแม่สระมรกต เอี่ยวตี๊กิมบ้อ หรือ เอี๋ยวฉือจินหมู่บื้องบน ฉันกราบไหว้ด้วยความศรัทธายิ่ง กล่อมเกลาผู้คนให้กลับคืนสู่พระแม่ ฯ อยู่ชั่วชีวิต ปฏิบัติธรรมตามสัมมาวิถีและตั้งใจศึกษาธรรมะ แต่ด้วยจิตใจฟุ้งเฟ้ออยู่นิดเดียว วันนี้จึงต้องตกลงมาอยู่ในด่านแต่งโฉมนี้ ไม่คุ้มกันเลย
ฉงซิว : ผู้อาวุโสหญิงผิดข้อไหนล่ะ
ผู้บำเพ็ญ ข. : จะว่าไป ฉันบำเพ็ญจริงจัง เพียงแต่ชอบแต่งตัวหรูหราสักหน่อย ทุกครั้งที่เห็นเสื้อผ้าสวยทัยสมัยจะพอใจจ่ายซื้อ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญด้วยกันชมว่า ฉันแต่งตัวสวย ตอนที่ตาย ฉันคิดว่าพระแม่สระมรกตจะส่งใครมารับฉันไป ไม่คิดว่าจะถูกนำตัวมาที่นี่ พระองค์นายด่านบอกว่า "ผู้บำเพ็ญพึงดำเนินชีวิตอย่างสมถะ เสื้อผ้าหรูหราล้วนเป็นของฟุ่มเฟือยฉาบฉวย คนที่รักความฉาบฉวยอย่างนี้ จะกลับไปเฝ้าพระแม่องค์ธรรมได้อย่างไร จึงได้ตัดสินให้ฉันสำนึกผิดอยู่ที่นี่สี่สิบเก้าวัน" บัดนี้กว่าจะสำนึกถึงความฟุ้งเฟ้อ ชอบหรูหรา ที่ผ่านมาก็สายเสียแล้ว หวังว่า พี่น้องผู้บำเพ็ญในโลกอย่าเอาอย่างฉันเป็นอันขาด เราแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยกันเท่านั้นก้พอแล้ว
ฉงซิว : ขอบพระคุณ เชื่อว่าคำเชิญชวนของท่านคงได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน เรียนถามอาวุโสท่านต่อไป เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ค. : ฉันเป็นนักบวชในนิกายไตรวิสุทธิ์ (ซันชิง) เมื่อมีอายุอยู่ได้บำเพ็ญโดยศรัทธา มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทุกวันอาทิตย์สานุศิษย์จะพากันมาฟังการบรรยายธรรมจากฉัน เมื่อมีศิษย์มาก สักการะลาภก็ยิ่งมาก มีทั้งข้าวสาร ของกิน ของใช้นำมาให้อุดมสมบูรณ์ ทำให้ฉันไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น บัดนี้ถูกขังอยู่ที่นี่กว่าจะสำนึกก็สายเสียแล้ว
ฉงซิว : ผู้อาวุโสทำผิดอย่างไรหรือ
ผู้บำเพ็ญ ค. : ด้วยเหตุที่ศิษย์สานุชนมากมายพากันนำข้าวสารมาถวาย เมื่อมาได้ง่ายก็กินทิ้งกินขว้างอย่างไม่รู้ตัว กินไ่ม่หมดก็เททิ้ง ค้างคืนก็เททิ้ง เมื่อมีศิษย์มาเชิญให้ไปฉันที่บ้านด้วยความศรัทธายิ่ง ฉันก็ไม่ได้พิจารณาถึงจิตใจเขา ถ้าถวายอาหารไม่ถูกปากก็จะไม่พอใจ ทำให้สานุศิษย์ที่อยากเชิญฉันไปที่บ้านต้องหาอาหารตระเตรียมกันวุ่นวาย ด้วยเกรงว่าจะไม่ถูกปากถูกใจฉัน ชั่วชีวิตก็ผ่านไปอย่างนี้ เนื่องจากได้ฉุดช่วยผู้คนให้ได้ปฏิบัติธรรมเป็นบุญ เมื่อตายพญายมจึงไม่อาจตัดสินความผิดของฉันได้จึงส่งให้ข้ามสะพานทองไป
ขณะนั้น ฉันกระหยิ่มใจว่าจะได้เสวยสุขแล้ว ไม่คิดว่่าจะถูกส่งมาที่นี่ พระองค์นายด่านว่า ฉันเป็นครูบาอาจารย์ไม่พิจารณาศรัทธาจิตของสานุศิษย์เอาแต่โลภลิ้นกินอร่อย ไม่รู้สัจธรรมที่ว่า "จิตสงบแท้แม้รากผักก็หอมหวาน" พระองค์จึงตักเตือนผู้บำเพ็ญให้กินอาหารอย่างไม่รู้รส ฉันถูกตัดสินให้เข้าสำนึกใน "ด่านแต่งโฉม" ครึ่งปี เพราะไม่เห็นค่าของอาหาร เสียใจจริง ๆ หวังว่า ผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะได้เห็นคุณค่าของธัญญาหาร ต้องสำนึกว่าข้าวแต่
ละเม็ดกว่าจะได้มาไม่ใช่ง่าย อย่าเห็นแก่กิน จะได้ไม่ต้องถูกส่งมาสำนึกผิดที่นี่ มิฉะนั้นจะเสียใจภายหลัง
ฉงซิว : ขอบพระคุณอาวุโสที่ได้อธิบายอย่างชัดเจน เสียงจากใจของท่านจะกระจายออกไปในหนังสือ ทำให้ผู้คนรู้สำนึกกัน
พระฯ ผู้คุม : ท่านทั้งสาม เล่าจบแล้วกราบลาพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิวได้
พระฯ จี้กง : คืนนี้ค่ำมากแล้ว ฉงซิว เรารีบกลับตำหนักกันเถอะ
พระฯ ผู้คุม : กราบส่งพระ ฯ จี้กง น้อมส่งนักบุญฉงซิว
พระฯ จี้กง : รบกวนท่านช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนอาตมาด้วย นกเผิงใหญ่มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นไป
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดเดินทางได้
พระฯ จี้กง : เอ้า หลับตา บินได้ ... ถึงฉงเซิงถัง วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม