collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: จิ่วหยังกวน สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ  (อ่าน 28620 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 4 

                    ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

                           ด่านมลายอารมณ์

                             (ฮว่าชี่กวน)

                 วันที่  30  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เบื้องบนโปรด     เปิดอีกครั้ง        ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง            สัมมาสติ          มิโง่หลง
พระแม่ฯ  เมตตา        ให้ตื่นจาก        ฝันพะวง
รู้จักปลง                 ตื่นจากฝัน        ผ่านจิ่วกวน

พระฯ จี้กง   :  เนื่องจากผู้บำเพ็ญแม้จะได้สร้างบุญ แต่อารมณ์ปุถุชนยังแก้ไม่หมด ทำให้ไม่อาจบรรลุจริง  การบำเพ็ญธรรมในโลก หากหวังแต่ชื่อและติดรูปแบบ ไม่วิริยะศึกษาจริง กุศลจาการเอาชนะตนเองไม่มีเลย แต่กลับทำตามความพอใจของตัวต่อไป อารมณ์ปุุถุชนไม่อาจถอนรากถอนโคนเช่นนี้ หรือหากว่าเบื้องบนได้โปรดประทานอริยะฐานะให้ตำแหน่งหนึ่ง ก็ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับไว้ได้  ด้วยพระมหาเมตตาของเบื้องบนหวังให้ชำระอารมณ์ปุถุชนให้หมดสิ้น  จึงได้โปรดสร้างด่าน  "มลายอารมณ์"   หนึ่งในจำนวนด่านจิ่วหยัง เพื่อแก้ไขอารมณ์กระด้างทางโลกของผู้บำเพ็ญ
        วันนี้ เลาที่จะไปเยือนด่านจิ่วหยังมาถึงแล้ว  ฉงซิวขึ้นหลังนกเผิงใหญ่ เราไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว เชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้

พระฯ จี้กง   :  ดีแล้ว หลับตานะ บินได้ ... ถึงแล้ว  ประตูเมืองที่เห็นอยู่ข้างหน้า เป็นประตูด่านที่ 2 ของจิ่วหยังกวน คือด่าน  "มลายอารมณ์"  พระองค์นายด่านได้นำผู้คุมในสังกัดของพระองค์มาคอยต้อนรับเราอยู่แล้ว ฉงซิวรีบเข้าไปกราบคารวะเสีย

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ฉงซิวขอกราบคารวะพระองค์นายด่าน "มลายอารมณ์"  วันนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมาถึงด่านของพระองค์ เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงภายในด่านโดยตรง หวังว่าพระองค์จะได้โปรดชี้แนะ

พระฯ นายด่าน   :  ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงและฉงซิว มาเยือนด่านของเรา เชิญลุกขี้นเถิด มิต้องเคร่งจริยะ เชิบเข้าไปนั่งพักภายในกันสักครู่

ฉงซิง   :  ขอรับ ขอบพระคุณพระองค์  ตำหนักนี้กว้างใหญ่โอ่โถงเหลือเกิน สองข้างมีกลอนคู่เขียนไว้ว่า
       "ดูเราปกครองสองด่าน
บุญผ่านบาปขังไม่เคยปล่อยใคร
แม้เจ้ากินเจชั่วชีวืตวัย
ปากซื่อคดใจยากผ่านด่านนี้"

พระฯ นายด่าน   :  เชิญพระฯ จี้กงกับฉงซิวโปรดนั่ง  พนักงานข้างใน นำน้ำชาออกมาถวาย

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว  เจ้ามีปัญหาอะไรกราบเรียนถามพระองค์นายด่านได้ 

ฉงซิว   :  ขอรับ  ทูลถามว่า เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า  "ด่านมลายอารมณ์" 

พระฯ นายด่าน   :  ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้บำเพ็ญจะมีกุศลผลบุญ แต่อารมณ์โทสะทางโลกยังไม่หมดไป บางคนอาจจะมีเหตุผล แต่ลุแก่อำนาจมากเกินไปไม่อะลุ้มอล่วย  ไม่เปลี่ยนแปลงอารมณ์ในระหว่างบำเพ็ญ  จิตใจแข็งกร้าว  ไม่ลดละ  แต่ได้สร้างกุศลปฏิบัติบำเพ็ญมา โทษทัณฑ์ในยมโลกไม่อาจลดลงได้เพื่อจะแก้ไขอารมณ์เหล่านั้น เบื้องบนจึงได้จัดตั้งด่านมลายอารมณ์เพื่อกวาดล้างความแข็งกร้าว ให้เขาได้บรรลุจริงกัน   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 4 

                    ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

                           ด่านมลายอารมณ์

                             (ฮว่าชี่กวน)

                 วันที่  30  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เบื้องบนโปรด     เปิดอีกครั้ง        ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง            สัมมาสติ          มิโง่หลง
พระแม่ฯ  เมตตา        ให้ตื่นจาก        ฝันพะวง
รู้จักปลง                 ตื่นจากฝัน        ผ่านจิ่วกวน

ฉงซิว   :  จะทราบได้อย่างไรขอรับ ว่าความแข็งกร้าวของผู้นั้นได้กวาดล้างไปหมดแล้ว สภาพในด่านไม่ทราบว่าเป็นเช่นไร

พระฯ นายด่าน   :  ภายในด่านแบ่งเป็นด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านมีผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบ ผู้ถูกเคี่ยวกรำหากแข็งกร้าวมาก เหนือศรีษะจะมีพลังโทสะพลุงพล่านขึ้น จะต้องขัดเกลาจนพลังนั้นหมดสิ้นไป ก็จะรู้ได้ว่า ก็จะรู้ได้ว่าอกุศลจิตได้ละลายไปหมดสิ้นแล้ว ก็จะส่งต่อไปตรวจสอบนิสัยทรามในด่านที่สามต่อไป

ฉงซิว   :  เหตุใดจึงต้องสร้างด่านย่อยอีกเก้าด่าน การลงโทษต่างกันอย่างนั้นหรือขอรับ

พระฯ นายด่าน   :  ใช่  การขัดเกลาของผู้บำเพ็ญในแต่ละด่าน ให้เป็นไปตามขนาดของความกร้าว กำหนดเวลาลงโทษก็ต่างกัน  การขัดเกลาต้องการให้ผู้นั้นสำนึกผิด เปลี่ยนแปลงความกร้าว ฉะนั้นเมื่อเจ้าไปเยือนด่านย่อยด่านหนึ่งก็เท่ากับได้รู้เห็นความเป็นไปทุกด่านแล้ว

ฉงซิว   :  ขอรับ

พระฯ จี้กง   :  เนื่องจากเวลามีจำกัด ถ้าจะกรุณาให้นำฉงซิวไปดูเหตุการณ์จริงยิ่งจะชัดเจนขึ้น

พระฯ นายด่าน   :  ขอน้อมรับ ให้นายทะเบียนนำฉงซิวกับพระฯ จี้กงไปด่านมลายอารมณ์ ข้าพเจ้ามีคดีที่จะต้องพิจารณาอีกไม่อาจร่วมทาง หวังว่าพระฯ จี้กงได้โปรดให้อภัย

พระฯ จี้กง   :  พระองค์นายด่านช่างเกรงใจ เรามิกล้าอยู่ช้าให้ท่านเสียเวลา จะเดินทางไปหาข้อมูลบัดนี้

นายทะเบียน   :  ทูลเชิญพระฯ จี้กง กับเชิญฉงซิว โปรดตามข้าพเจ้าผู้น้อยไป เบื้องหน้า ที่เห็นคือ  "ด่านมลายอารมณ์"  เป็นด่านย่อย ผู้ควบคุมด่านคอยอยู่ที่นั่นแล้ว

พระฯ ผู้คุม   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะคุณฉงซิว ที่ได้โปรดมาเยื่อมเยือนด่านนี้  ข้าพเจ้าผู้น้อยคอยน้อมรับอยู่นานแล้ว

ฉงซิว   :  กราบคารวะพระฯ ผู้คุม  ศิษย์ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวน หวังว่าท่านได้โปรดให้ความกระจ่างเกี่ยวกับด่านของท่านบ้าง

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้ที่ถูกขัดเกลาในด่านนี้ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญฯ ข้าพเจ้าเพียงแต่จัดการขัดเกลา แต่ไม่สอบสวนคุณธรรของผู้บำเพ็ญ เมื่อเห็นเงาดื้อเหนือศรีษะผู้นั้นมลายไปสิ้นแล้ว ก็นำความกราบทูลพระองค์นายด่านปล่อยให้นักโทษผ่านด่านไปได้

ฉงซิว   :  การบรรลุจริงดูยากเหลือเกิน ชักทำให้กลัวเสียแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 4 

                    ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

                           ด่านมลายอารมณ์

                             (ฮว่าชี่กวน)

                 วันที่  30  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เบื้องบนโปรด     เปิดอีกครั้ง        ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง            สัมมาสติ          มิโง่หลง
พระแม่ฯ  เมตตา        ให้ตื่นจาก        ฝันพะวง
รู้จักปลง                 ตื่นจากฝัน        ผ่านจิ่วกวน

พระฯ ผู้คุม   :  แท้จริงไม่ยาก อยู่ที่ว่าผู้บำเพ็ญจะรู้จักดำเนินตามหลักธรรมหรือไม่ เอาชนะจิตใจตัวเองได้หรือไม่ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า เป็นเพราะเบื้องบนไม่อนุญาตให้คนที่ยังมีอารมณ์ปุถุชนบรรลุเป็นพระอริยะได้ จึงได้จัดตั้งจิ่วหยังกวนขึ้น

พระฯ จี้กง   :  ขอรบกวนท่านผู้คุม ให้เราเข้าไปดูสภาพความเป็นจริงในนั้นสักหน่อยเพื่อให้ฉงซิวได้เก็บข้อมูล

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา เชิญเข้าชมได้

ฉงซิว   :  เอ๊ะ   ทำไมเหนือศรีษะผู้บำเพ็ญดูมีอะไรสวมอยู่หนักอึ้งกันทุกคน

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้ถูกเคี่ยวกำเหล่านนี้มีความกร้าวมาก เบื้องบนจึงได้สร้างหมวกเหล็กขึ้นเฉพาะให้สวมใส่เพื่อลดโทสะและระงับยับยั้งอารมณ์

ฉงซิว   :  ในกรณีที่ถูกลงโทษตัดสิน 20 วันหากเขาเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ในวันที่ 17 - 18 จะเป็นอย่างไรขอรับ

พระฯ ผู้คุม   :  คำถามนี้ดีมาก ฉงซิว  มีคำกล่าวว่า "ผลกรรมเกิดจากใจ"  สนามแม่เหล็กของฟ้าดินวิเศษแยบยลยิ่งนัก 

        "กระจกส่องกรรม"  ในนรกก็เช่นกัน ความผิดบาปของวิญญาณทุกคนจะปรากฏชัดออกมาทันที เมื่อไปยืนส่องอยู่ตรงหน้า เป็นกระจกบานใหญ่ของฟ้าดินที่เก็บเหตุการณ์ชั่วชีวิตของทุกคนไว้หมด ทันทีที่วิญญาณขึ้นไปยืนอยู่ต่อหน้ากระจกส่องกรรม กระแสชีวิตของตนก็สื่อตรงกับจนาดคลื่นของกระจก ภาพก็ปรากฏขึ้น แต่คนดีจะไม่มีภาพ เพราะปราศจากความชั่วร้าย นี่เป็นความวิเศษแยบยลของสนามแม่เหล็กของฟ้าดิน
        หมวกเหล็กที่ทางด่านได้สร้างขึ้นเฉพาะ ก็ทำจากแม่เหล็ก เจาะจงใช้กำราบอารมณ์ที่กร้าวแข็ง  เมื่อใดอารมณ์นี้ของผู้บำเพ็ญหมดไป หมายถึง จิตของผู้นั้นได้สำนึกแล้ว หมวกเหล็กกล้าก็จะพ้นไปจากศรีษะได้เอง

ฉงซิว   :  เป็นเช่นนี้นั่นเอง เมื่อก่อนศิษย์ได้แต่คิดว่าโลกออกกว้างใหญ่ไพศาลอย่างนี้ งานของสวรรค์นรกอาจผิดตกบกพร่องหรือตัดสินคุมขังผิดคนไปก็เป็นได้ เมื่อดูตามนี้แล้วคงจะไม่ผิดพลาด

พระฯ ผู้คุม   :  ใช่แล้ว  ความวิเศษแยบยลก็อยู่ตรงนี้เอง  หากผู้นั้นไม่มีเหตุแห่งกรรมนั้น ไม่ว่าสวรรค์หรือนรกส่งเข้ารับโทษอย่างไรก็ไร้ผล เช่นนี้จึงไม่เกิดการตัดสินผิดพลาดขึ้นได้ ฉะนั้น คนดีจึงไม่มีภาพปรากฏบนกระจกส่องกรรม เพราะผู้นั้นไม่มีผลแห่งกรรมที่จะตอบสนองนั่นเอง

ฉงซิว   :  ศิษย์เข้าใจแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 4 

                    ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

                           ด่านมลายอารมณ์

                             (ฮว่าชี่กวน)

                 วันที่  30  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เบื้องบนโปรด     เปิดอีกครั้ง        ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง            สัมมาสติ          มิโง่หลง
พระแม่ฯ  เมตตา        ให้ตื่นจาก        ฝันพะวง
รู้จักปลง                 ตื่นจากฝัน        ผ่านจิ่วกวน

พระฯ ผู้คุม   :  ขัาพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาอยู่ออกมาสามคน ให้ฉงซิวถามรายละเอียดได้  ทั้งสามฟังนะ, สองท่านนี้คือ พระพุทธะจี้กง กับนักบุญฉงซิวมือทรงเอกของเทวสถานไถจงฉงเซิงแห่งโลกมนุษย์ รับพระโองการให้มาสร้างหนังสือ "บันทึกเหตุการณ์ของจิ่วหยังกวน"  รีบเข้าไปคารวะเสียพร้อมทั้งเล่าเรื่องการบำเพ็ญของตัวเองขณะเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ว่าเหตุใดจึงต้องมารับการขัดเกลาอย่างนี้ 

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.    :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะท่านนักบุญฉงซิว

ฉงซิว   :  ศิษย์เคยพบท่านนักธรรมอาวุโสมาก่อนแล้ว เรียนถามท่านแรกว่า ดูท่านอิ่มเอิบ ราศีเฉิดฉายเฉกเช่นผู้นำอันน่าเกรงขาม แต่เหตุใดจึงต้องถูกนำมาควบคุมในด่านมลายอารมณ์เช่นนี้

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  เฮ้อ ,  ชั่วชีวิตฉันสำรวมตนเคร่งครัดเสมอมา ปฏิบัติงานธรรม เป็นปากเสียงแทนเบื้องบน ฉุดช่วยคนหลงทั่วไปอย่างอาจหาญ แต่เป็นเพราะฉันมีนิสัยมุทะลุ  ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใครแม้แต่น้อย ถือทิฏฐิในความคิดของตัวเองทุกเรื่องไป ใครขัดใจก็จะเป็นฟืนเป็นไฟ ในตำหนักพระ หากจับผิดใครได้ก็ยิ่งพลุ่งพล่านโกรธจัดบริภาษให้ เมื่อตายไป ด้วยบุญกุศลที่สร้างไว้ พญายมยกย่องให้ฉันได้ก้าวขึ้นสะพานทอง ฉันสำคัญว่าได้บรรลุแล้ว ไม่คิดว่ากลับถูกรับตัวมาที่จิ่วหยังกวน พูดถึงจิ่วหยังกวนนี้ เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ฉันไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ
        พระองค์นายด่านบอกว่าจิตใจของฉันแข็งกระด้างเกินไป ความอ่อนโยนมีไม่พอ ยากที่จะบรรลุได้ ตัดสินให้ฉันสำนึกผิดที่นี่หกสิบวัน หมวกเหล็กกล้าใบนี้ไม่หนักนัก แต่อึดอัดมาก  ทุกครั้งเมื่อนึกถึงตัวเองได้สร้างบุญไว้มากมายในโลกแต่กลับต้องถูกคุมขังอย่างนี้ เจ้าหมวกเหล็กนี้ก็จะบีบกดให้ฉันเจ็บปวด
ทุกทีเหมือนรับรู้ความคิดของฉัน แต่เมื่อใดที่ได้สำนึกผิดว่าไม่ควรพลุ่งพล่านเอาแต่ใจ หมวกเหล็กใบนี้ก็เบาลงมากทันที แต่พอคิดผิดก็หนักขึ้นอีก น่ากลัวจริง ๆ จึงขอเตือนผู้บำเพ็ญในโลก จะต้องบำเพ็ญตนจริงจัง ขจัดไฟอารมณ์ออกไป  ขัดเกลานิสัยกร้าวแข็งออกไป  จะได้ไม่ต้องมารับทุกข์ในด่านมลายอารมณ์เช่นนี้

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านนักธรมอาวุโส หวังว่าท่านจะมลายไฟอารมณ์ พ้นจากด่านนี้ได้ภายในเร็ววัน ขอเรียนถามพี่หญิงนักธรรมท่านต่อไป

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  ละอายใจเหลือเกินที่ถูกจับส่งมาที่นี่ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ฉันเกิดในครอบครัวยากจน พ่อแม่รักดังดวงแก้ว เพื่อไม่ให้ใครดูถูกฉันในภายหน้าว่ามีฐานะยากจน พ่อแม่จึงทำงานอย่างไม่คิดชีวิต หาเงินให้ฉันได้อยู่ดีกินดี ได้เข้าเรียนมหาลัยจนจบ เพราะเหตุท่านรักและทนุถนอมเกินไป ฉันจึงหยาบคายไม่มีเหตุผลต่อท่านเลย  ต่อมาฉันมีโอกาสได้เข้าศึกษาธรรมะที่สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
        เนื่องด้วยเรียนมาสูง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดบัญชาให้ฉันเป็นอรรถาจารย์ ตอนนั้นฉันยุ่งอยู่กับงานธรรมขยันวิ่งเต้นอยู่บนหนทางแพร่ธรรมคำสอน แต่กลับดูถูกพ่อแม่ของตัวเองเห็นว่าท่านไม่รู้หนังสือ เป็นตาสีตาสาเต็มขั้น ทั้งยังขอร้องท่านอย่าได้มาปรากฏตัวที่ตำหนักพระเพื่อไม่ทำให้ฉันเสียหน้า ท่านทั้งสองก็เชื่อฟังด้วยความรักลูก
        ต่อมา ฉันได้ตั้งตำหนักพระเป็นสาธารณกุศล มีสาธุชนร่วมบุญประจำถึงหลายร้อยคน ฉันทำหน้าที่อรรถาธรรมอยู่นานถึงสี่สิบปี สร้างบุญไว้ไม่น้อยพอตายก็ลงนรกไปถอนทะเบียนชื่อ พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทอง ตอนนั้นฉันสำคัญว่าตัวเองได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมายังด่านมลายอารมณ์นี่  พระองค์นายด่านว่าแม้ฉันจะมีบุญมากจากการฉุดช่วยผู้คนให้ขึ้นฝั่งธรรม แต่จิตใจหยิ่งผยองยังไม่ได้แก้ไข  ยิ่งกว่านั้นยังดูถูกพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา แม้จะไม่ถึงขั้นอกตัญญูทีเดียว แต่เรื่องเอาหน้าเป็นข้อห้ามของผู้บำเพ็ญ  พระองค์จึงตัดสินให้ฉันเข้าด่านมาสำนึกผิดห้าสิบวัน ตอนนี้ฉันเสียใจที่ไม่ควรเลย

ฉงซิว   :  ขอบคุณท่านนักธรรมหญิงผู้พี่ หวังว่าท่านจะได้พ้นจากด่านและบรรลุในเร็ววัน  เรียนถามท่านอาวุโสท่านสุดท้าย ดูเครื่องแต่งกายของท่านเหมือนชุดศาสนาพิธีของเทวสถาน ท่านคงจะเป็นศิษย์ในเทวสถาน เหตุใดจึงถูกนำมากักกันในด่านมลายอารมณ์นี้ด้วย

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  น่าอับอายเหลือเกิน สำหรับฉัน เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่มีฐานะเป็นรองเจ้าตำหนักพระหลวนถัง ฉันไม่เพียงตั้งใจศึกษาหลักธรรม ยังสร้างตำหนักพระเป็นบุญอีก ฉันกินเจตลอดชีวิต งานทุกอย่างในเทวสถานฉันทุ่มเททำจริง แต่เป็นเพราะไฟโทสะแรง มีเรื่องเป็นปากเสียงกับใคร ๆ เสมอ อีกทั้้งยังติดนิสัยปุถุชน วันนี้จึงต้องถูกขังอยู่ที่นี่

ฉงซิว   :  ท่านนักธรรมอาวุโส มีนิสัยปุถุชนอย่างไรหรือ ได้โปรดขยายให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนทั่วไปด้วย

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  น่าละอายจริง ๆ ที่อุตส่าห์ได้เป็นศิษย์ของตำหนักพระ  ด้วยความเคยชิน ทุกครั้งที่มีเรื่องถกเถียง ฉันจะต้องกล่าวคำหยาบใส่ฝ่ายตรงข้ามทุกครั้ง พอตายไปบุญกุศลที่ได้สร้างตำหนักฯ และปฏิบัติงานธรรม ทำให้พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทองไป ฉันคิดว่าจะได้เป็นอิสระในดินแดนพระอริยะ ไม่คิดว่ากลับถูกนำมาเข้าด่านมลายอารมณ์  พระองค์นายด่านบอกว่า การบำเพ็ญคือบำเพ็ญจิต  กินเจแต่ใจไม่เจ  แม้จะได้บุญกุศล แต่พระคัมภีร์หมิงเซิ่งจิง (คัมภีร์วิสุทธิอริยะ)  อ่านน้อยไป  คัมภีร์สามคำ (คำหยาบ) พ่นออกมามากไป เท่ากับลบหลู่บรรพจารย์ ควรจะบำเพ็ญจิตอยู่ที่นี่ให้มากเพื่อลดอารมณ์เสียสามเดือน  ถึงตอนนี้ได้สำนึกก็สายเสียแล้ว ฉะนั้นจึงขอเตือนผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะต้องปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่กายอยู่ในพุทธะสถาน  กินเจแต่ใจไม่เจ  ถ้าเป็นอย่างนี้วันข้างหน้าก็หนีด่านมลายอารมณ์ไปไม่พ้น

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้บำเพ็ญทั้งสามได้เล่าความเป็นมาจบแล้ว  กราบลาพระพุทธะจี้กง และลาฉงซิวกลับคืนไปได้

พระฯ จี้กง   :  วันนี้ใช้เวลานานเกินไปมาก  อาตมาจะไม่เข้าไปบอกลาพระองค์นายด่าน แต่ขอให้ท่านผู้คุมเรียนขอบพระคุณด้วย

พระ ฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าผู้น้อยน้อมรับ พร้อมทั้งคารวะส่งพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว  รีบกราบลาท่านผู้ควบคุมกลับตำหนักฯ กัน นกเผิงใหญ่มาถึงแล้วไปเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ, ขอบพระคุณพระฯ ผู้คุม ศิษย์ขออำลาพระอาจารย์ ศิษย์นั่งดีแล้ว

พระฯ จี้กง   :  เอาละ หลับตา บินได้ ฉงซิวกลับถึงตำหนักฯ วิญญาณคืนสู่ร่างดังเดิม   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 5 

                    ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระหนาว

                             (หันฉือกวน)

                 วันที่  31  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ด้วยรักชีวิตเขา     จึงเฝ้าพร่ำ        คำเมตตา
สู่สัมมา                      สัมพุทธัง         อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา              ทุกโอกาส        คาดจำนง
ด้วยประสงค์               ถ่ายทอดให้      ได้บรรลุจริง

พระฯ จี้กง   :  บารมีธรรมระดับพระพุทธะอริยะเสมอด้วยฟ้าดิน ผู้บำเพ็ญจะยังไม่สมบูรณ์และบรรลุจริง หากไม่ผ่านจิ่วหยังกวน ฉะนั้น การที่เบื้องบนจัดตั้งจิ่วหยังกวนจึงมิใช่โหดร้าย แต่เพื่อส่งเสริมผู้บำเพ็ญ ให้ขัดเกลารัศมีญาณจนบรรลุจริงโดยสมบูรณ์ หากไม่ทำการทดสอบอย่างนี้ จะรู้ความเป็นจริงของการบำเพ็ญได้อย่างไร   ถึงเวลาท่องจิ่วหยังกวนสำหรับวันนี้แล้ว ฉงซิวรีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่ เราเตรียมออกเดินทางกันเถอะ

ฉงซิว   :  ศิษย์น้อมรับพระบัญชา  ขอทูลถามพระอาจารย์ว่าเราได้ไปมาจิ่วหยังกวนหลายครั้งแล้ว แต่จิ่วหยังกวนตั้งอยู่ที่ไหน และผู้บำเพ็ญจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร ขอรับ

พระฯ จี้กง   :  เมื่อผู้บำเพ็ญดับขันธ์ลง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นั้นได้ถวายตัวเป็นศิษย์ก็จะมานำไปถอนบัญชีชื่อผู้ตายในยมโลก ตรวจสอบบาปบุญ หากบุญมากบาปน้อยก็จะถูกส่งขึ้นไปข้ามสะพานทองไม่ต้องรับโทษในนรก ที่สะพานทองจะมีเทวทูตที่ส่งไปประจำ คอยรับตัวแล้วนำส่งไปขัดเกลาที่จิ่วหยังกวน  จิ่วหยังกวนตั้งอยู่ในดินแดนตะวันตก ตรงทางแพร่งระหว่างสวรรค์กับนรกนั่นเอง

ฉงซิว   :  เทวทูตที่ประจำอยู่ที่สะพานทอง เบื้องบนได้จัดส่งลงมาอย่างนั้นหรือขอรับ   

พระฯ จี้กง   :  ไม่ใช่  จัดส่งมาจากตำหนักอนุโมทนาบุญ (เล่อซั่นถัง) 

ฉงซิว   :  ตำหนักอนุโมทนาบุญ ศิษย์คิดว่ามีแต่จิ่วหยังกวนเท่านั้น ไม่มีส่วนอื่น ๆ อีก

พระฯ จี้กง   :  ไม่เฉพาะเล่อซั่นถังเท่านั้น  ยังมีตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" (เจียซิวถัง)  อีกรวมสองตำหนัก

ฉงซิว   :  ทั้งสองตำหนักนี้รับผิดชอบภาระอะไรในจิ่วหยังกวนหรือขอรับ  วันหน้าเราจะไปเยี่ยมเยือนด้วยไหม

พระฯ จี้กง   :  ตำหนักอนุโมทนาบุญ ทำหน้าที่รายงานและนำส่งผู้บำเพ็ญที่ "ประจักษ์ธรรม" แล้ว และรอรับพุทธบุตรเดิมผู้บำเพ็ญไปรายงานตัว ณ ด่านจิ่วหยัง  ส่วนตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" เห็นชื่อก็รู้ความหมายว่า เป็นสถานที่ให้ผู้บำเพ็ญได้รับการอบรมอีก ต่อไปอาจารย์ก็จะต้องพาเจ้าไปที่นั่น รายละเอียดเจ้าจะรู้ได้เมื่อถึงเวลานั้น เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว เราไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว  ฉงซิวรีบลงมา  ข้างหน้าคือด่านที่สามของจิ่วหยังกวน มีชื่อว่า "ด่านสระหนาว"  พระองค์นายด่านกับบริวารคอยต้อนรับเราอยู่แล้วรีบเข้าไปคารวะเสีย

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ฉงซิวคารวะพระองค์นายด่านและท่านผู้คุมด่านสระหนาวทุกพระองค์  คืนนี้ ศิษย์ได้รับสนองพระโองการฯ ติดตามพระอาจารย์จี้กง
มาหาขัอมูลที่ด่านของพระองค์เพื่อสร้างหนังสือเตือนใจผู้บำเพ็ญ หวังว่าพระองค์ผู้อาวุโสได้โปรดแนะนำ

หมายเหตุ  :  ประจักษ์ธรรม  คือ ผู้บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรม เมื่อทิ้งกายสังขารไปได้ประจักษ์ในหนทางแห่งการบรรลุฯ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 5 

                    ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระหนาว

                             (หันฉือกวน)

                 วันที่  31  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ด้วยรักชีวิตเขา     จึงเฝ้าพร่ำ        คำเมตตา
สู่สัมมา                      สัมพุทธัง         อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา              ทุกโอกาส        คาดจำนง
ด้วยประสงค์               ถ่ายทอดให้      ได้บรรลุจริง

พระฯ นายด่าน   :  ฉงซิวลุกขึ้นเถิด  ด่านของเราได้รับพระโองการจากพระองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่าตำหนักฉงเซิงถังจะต้องรับสนองพระโองการมาหาข้อมูลที่จิ่วหยังกวน เพื่อสร้างหนังสือ ทางด่านของเราเฝ้ารอรับอยู่นานแล้ว พระพุทธะจี้กงและฉงซิว โปรดเข้านั่งพักในตำหนักสักครู่เถิด

พระฯ จี้กง   :  รบกวนแท้ ๆ อาตมาท่องเกือบทั่วแล้วทั้งสามโลก (เทวโลก  โลกมนุษย์  และยมโลก)   แต่ด่านจิ่วหยังนี้เพิ่งมาเป็นครั้งแรก ฉงซิวเรารีบเข้าไปเถิด

ฉงซิว   :  ขอรับ  สองข้างประตูพระตำหนักมีกลอนคู่อยู่บทหนึ่งว่า
        "เมื่อชีพยัง     ไม่ชั่งใจ     ในอัตตา
         ชีพอำลา       ไม่อาจผ่าน    ด่านสระหนาว" 

พระฯ นายด่าน   :  เชิญพระพุทธะจี้กงและฉงซิวได้โปรดนั่ง เมื่อกี้ พระฯจี้กงบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มาด่านนี้ฟังดูขัด ๆ  ครั้งที่พระองค์ประจักษ์ธรรมก็ได้ผ่านการขัดเกลาจากจิ่วหยังกวนมาแล้วมิใช่หรือ จึงได้บรรลุมรรคผล

พระฯ จี้กง   :  ฮะ  ฮะ  ฮะ จะว่าไปก็ใช่ แต่ที่อาตมาว่าเป็นครั้งแรกนั้นหมายถึงครั้งแรกที่มาเก็บข้อมูล เกือบจะทุกแห่งในสามโลกนี้ อาตมาเคยพามือทรงเอกของพระตำหนักต่าง ๆ ในโลกมาท่องจนเกือบทั่วแล้ว มีแต่จิ่วหยังกวนเท่านั้นที่ไม่เคยมา

พระฯ นายด่าน   :  พระองค์พูดถูก หากมิใช่วาระที่โลกเป็นไปเช่นนี้ มีหรือที่เบื้องบนจะโปรดเปิดเผยให้รู้เห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้โดยสิ้นเชิง

พระฯ จี้กง   :  สมควรแก่เวลาแล้ว ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำฉงซิวไแหาข้อมูลในสถานที่จริง เพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้บำเพ็ญเถิด

พระฯ นายด่าน   :  ขอน้อมรับ  บัญชาให้นายทะเบียนรีบนำพระฯ จี้กง พร้อมด้วยฉงซิวไปเยือนด่านย่อยของด่านสระหนาวทันที

นายทะเบียน   :  ผู้น้อยขอน้อมรับ ทูลเชิญพระพุทธะจี้กง เชิญนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยไป ... ถึงแล้ว ที่นี่คือด่านย่อยของด่านสระหนาว ผู้คุมด่านรอรับอยู่ที่นั่นแล้ว 

พระฯ ผู้คุม   :  ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว มาเยือนสระของเรา

ฉงซิว   :  ที่นี่ไอเย็นแรงมาก มิน่าเล่าจึงได้ชื่อว่า "ด่านสระหนาว"  โอ้โฮ ในสระมีผู้คนมากมายถูกแช่แข็งอยู่ บางคนหนาวสั่นสะท้านน่าสงสาร บางคนหนาวจนหน้าเขียวแล้ว  เรียนถามพระฯ ผู้คุม ที่นี่มิใช่นรก ในสระล้วนแต่ผู้บำเพ็ญวิถีธรรมจริงทั้งนั้นมิใช่หรือ แต่เหตุใดจึงได้รับโทษหนักอย่างนี้

พระฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าจะเรียกให้มาสอบถามเองสักสองสามรายก็จะเข้าใจ  สามคนนั่นมานี่ รีบกราบรับพระบาทพระพุทธะจี้กง และคารวะต่อนักบุญฉงซิวมือทรงเอกจากพระตำหนักไถจงฉงเซิงแห่งโลกมนุษย์เสีย  เสร็จแล้วให้เล่าความผิดของตนในระหว่างบำเพ็ญเพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือบุญ เป็นข้อเตือนใจผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ว่าอย่าได้ทำผิดซ้ำรอยเช่นนี้ด้วย

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.   :  รับบัญชา  น้อมกราบพระบาทพระพุทธะจี้กงและคารวะท่านนักบุญฉงซิว

ฉงซิว   :  มิกล้ารับคารวะ  ข้าพเจ้าผู้น้อยเป็นมือทรงเอกแห่งพระตำหนักไถจงฉงเซิงในโลกมนุษย์ รับพระบัญชาให้มาหาข้อมูลที่นี่ ดูท่านทั้งหลายล้วนเป็นผู้บำเพ็ญดี เหตุใดจึงถูกกักขังให้รับทุกข์อยู่ในด่านสระหนาวนี้เล่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 5 

                    ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระหนาว

                             (หันฉือกวน)

                 วันที่  31  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ด้วยรักชีวิตเขา     จึงเฝ้าพร่ำ        คำเมตตา
สู่สัมมา                      สัมพุทธัง         อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา              ทุกโอกาส        คาดจำนง
ด้วยประสงค์               ถ่ายทอดให้      ได้บรรลุจริง

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  น่าละอายใจจริง ๆ ฉันเป็นถึงเจ้าตำหนักพระหลวนถัง ก่อนหน้านั้นได้สร้างตำหนักภายในบ้านไว้ให้ผู้คนมากราบไหว้บูชา ต่อมาผู้มีศรัทธามากขึ้นทุกวัน สถานที่ในบ้านเล็กเกินไป จึงเสนอให้ซื้อที่สร้างตำหนักใหม่ ด้วยเหตุที่ฉันมีความจริงใจ ไม่นานต่อมาเทวสถานใหญ่ก็ก่อตั้งได้สำเร็จ จากนั้น เหลาเทวทายาทหญิง ชาย (หลวนเซิง) ก็เห็นว่าควรจะอารธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรง ทุกคนจึงพร้อมใจกันกราบทูลความประสงค์ต่อเบื้องบนทักษิณาลัย ขอให้มีการประทับทรงเพื่อฉุดจูงเวไนยสัตว์ ไม่นานต่อมา เบื้องบนทักษิณาลัยก็ประทานอนุญาต การประทับทรงก็ได้เริ่มขึ้นอย่างราบรื่นและเฟื่องฟูยิ่งขึ้นทุกวัน เหตุนี้ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกทะนงตน ฉันปั้นสีหน้าเคร่งขรึมต่อเทวทายาททุกคนที่เข้ามาในตำหนักฯ ทำให้ผู้คนเกรงขามไม่กล้าเข้าใกล้ แต่หากเทวทายาทคนใดฐานะดี ฉันก็สนิทชิดชอบด้วย จิตใจที่แบ่งแยกระหว่างคนร่ำรวยสูงศักดิ์กับคนจนต่ำต้อย ก็เริ่มขึ้นนับแต่นั้น ฉันได้สร้างบุญไว้มาก เมื่อตายไปกระจกส่องกรรมจึงส่องไม่เห็น พญายมส่งให้ฉันขึ้นสะพานทอง ฉันเข้าใจว่าจากนี้ไปหมดทุกข์แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกนำมาที่สระหนาวของจิ่วหยังกวนนี่ พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันรังเกียจคนจน รักคนรวย ผู้บำเพ็ญที่มีจิตใจอย่างนี้จะต้องนำมาสำนึกผิดด้วยการแช่น้ำแข็ง
         ฉันจึงถูกตัดสินให้ลงสระหนึ่งปี มันทุกข์ทรมานจนบอกไม่ถูก ฉันพยายามเรียกร้องต่อพระองค์นายด่านว่า  ฉันมีบุญมาก น่าจะหักลบกับความผิดได้ พระองค์ว่าจิตใจของฉันไม่เรียบเสมอกัน จิตปุถุชนยังไม่หมดไป ยากที่จะให้เข้าสู่ดินแดนพระอริยะได้ พระองค์สอบสวนแต่ความผิดแต่ไม่พิจารณาความชอบ เพียงแต่ให้ปรับใจกลับตัวใหม่ ก็จะบรรลุดินแดนสุขาวดีได้ตามบุญกุศลที่ได้สร้างมา ถึงตอนนี้สำนึกเสียใจก็สายเสียแล้ว

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ให้ความกระจ่าง เชื่อว่าประสบการณ์ของท่านจะเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับผู้บำเพ็ญรุ่นหลังต่อไป  เรียนถามอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ดูท่าทางของท่านเหมือนพระเณรผู้ใหญ่ เหตุใดจึงได้รับโทษทนทุกข์ในด่านสระหนวนี้ด้วย

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  อาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง เป็นเพราะมีทิฏฐิมากไม่สำนึกรู้ในความเป็นจริงว่า ศาสนาใหญ่ทั้งสามล้วนกำเนิดเดียวกัน ทุกครั้งที่มีใครพูดถึงศาสนาอื่น อาตมาก็จะดูแคลนว่าเป็นมิจฉาศาสตร์ หากใครเล่าว่าตำหนักพระที่ไหนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรงประทานพระโอวาทได้ลึกซึ้งก็จะปรามาสว่าเป็นพวกติดรูปลักษณ์เข้าพวกมาร โดยที่ตนเองก็ไม่เคยศึกษาพระโอวาทในหนังสือบุญเหล่านั้น ตั้งหน้าแต่จะกีดกันศิษยานุศิษย์ไม่ให้เลื่อมใส เมื่อมีชีวิตอยู่อาตมาเป็นพระผู้ใหญ่ ด้วยเหตุที่ยึดมั่นในตัวอักษรของคัมภีร์วัชรญาณฯ (จินกังจิง) ตีความผิดว่ารูปธรรมทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งสมมุติ โดยไม่รู้ว่าที่ว่าสมมุตินั้นหมายถึงสรรพรูปนามทั้งหลายที่มีอยู่ในสากล แต่มิใช่หมายถึงสัจธรรมคำสอนของศาสนา
        เมื่อทิ้งกายสังขาร ก็ได้ท่องเที่ยวไปทั่วแดนนรก พอพญายมส่งข้ามสะพานทอง อาตมาก็กระหยิ่มใจคิดว่า ได้บรรลุสู่พุทธเกษตรแน่แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาด่านสระหนาวเช่นนี้  พระองค์นายด่านบอกว่า อาตมาได้รับการอุปถัมภ์จากสาธุชนมาชั่วชีวิต แต่มิได้สำนึกรู้อย่างแท้จริงว่า ศาสนาก็คือสิ่งที่เบื้องบนได้อาศัยรูปนามต่าง ๆ เป็นสมมุติฐานเพื่อกล่อมเกลาฉุดช่วยชาวโลก  อาตมามีทิฏฐิเป็นอารมณ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังให้ผู้บำเพ็ญอาศัยรูปนามสมมุติบำเพ็ญวิถีธรรมจริงแต่มิใช่ให้ยึดถือเป็นอารมณ์
        ทุกศาสนาล้วนแต่ได้รับสนองพระโองการฯ ลงมาฉุดช่วยชาวโลกตามกาลกำหนดทั้งนั้น อาตมาเองแม้จะมีกุศลผลบุญอยู่ แต่กรรมปากไม่เคยลดน้อยเลย อารมณ์อย่างนี้ก็ยากจะบรรลุได้ จึงต้องมาสำนึกผิดอยู่ที่นี่ บัดนี้ได้รู้แล้วว่า ที่เคยคิดนั้นผิด แต่ก็สายเสียแล้ว พระองค์นายด่านตัดสินให้อาตมาสำนึกผิดอยู่ที่นี่หนึ่งปี ให้หนาวจนเข้ากระดูกอยู่ในสระนี้ทุกวัน มันทรมานจนบอกไม่ถูก ถ้าพะวงอยู่กับความหนาวจนลืมสำนึกผิดก็จะยิ่งหนาวจัด แต่ถ้าหากสำนึกได้แม้แต่น้อยความหนาวก็ลดลง แปลกแท้ ๆ  จึงขอเตือนสงฆ์สาวกทั้งหลาย ขอให้ร่วมมือร่วมใจกับศาสนาอื่นกล่อมเกลาชาวโลก อย่ามีทิฏฐิแบ่งเขาแบ่งเรา วันข้างหน้าจะได้ไม่ซ้ำรอยอาตมา

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความกระจ่าง สำหรับสาวกของศาสนาพุทธที่รังเกียจเดียดฉันท์ศาสนาอื่น ๆ ศิษย์ก็เคยประสบมาทำให้ไม่ใคร่อยากไปวัด หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะเตือนใจสงฆ์สาวกได้บ้าง  เรียนถามท่านอาวุโสท่านที่สาม ท่านห่มผ้าอย่างนี้เห็นทีจะเป็นแม่ภิกษุณี

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  ท่านคิดไม่ผิด โอ้ย หนาวเหลือเกิน ขอบคุณท่านและพระพุทธะจี้กงได้โปรดมาเยือน ทำให้ฉันพ้นออกมาจากสระน้ำแข็งได้ชั่วขณะ

ฉงซิว   :  ขอได้โปรดเล่าการบำเพ็ญเมื่อครั้งมีชีวิต เพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือเตือนใจชาวโลกและผู้ที่กำลังบำเพ็ญอยู่ในขณะนี้

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  ฉันปฏิบัติบำเพ็ญในเพศฆราวาส ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่วัด ๆ หนึ่งด้วยความศรัทธายิ่ง อาจารย์บอกว่าพระพุทธองค์ของเราใหญ่ยิ่งที่สุดแล้ว ไม่ควรไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ อีก มิฉะนั้นจะถูกคนหัวเราะเยาะ ฉันจึงเข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นอยู่ในระดับต่ำ เห็นว่าพระองค์เหล่านั้นไม่ได้บรรลุจริง มีแต่พระพุทธองค์เท่านั้น ที่เป็นพระศาสดาสูงสุดพระองค์เดียว เคราะห์ดีที่จิตใจของฉันมีเพียงจุดนี้เท่านั้นที่ยังยึดมั่นอยู่ ด้วยความศรัทธาในการบำเพ็ญ เมื่อตายลงจึงได้ไปลบชื่อออกจากบัญชียมโลก พญายมส่งฉันข้ามสะพานทอง ฉันสำคัญญว่าตนเองได้บรรลุแล้ว ไม่คิดว่ากลับถูกส่งมาที่ด่านสระหนาวของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า จิตของฉันไม่สำนึกจริง ชาวโลกชอบก่อเหตุแห่งกรรม พระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้นล้วนเมตตาไม่แบ่งชั้น แต่คนในโลกกลับจัดการแบ่งให้สูงต่ำเช่นนี้ ฉันจึงถูกตัดสินให้เข้าสำนึกผิดในด่านสระหนาวสามเดือน  บัดนี้เสียใจก็สายเสียแล้ว หวังว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะได้เปิดใจ อย่ามีทิฏฐิยึดมั่น วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องรับทุกข์อย่างนี้

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณที่ท่านได้โปรดให้ความกระจ่าง หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะได้รับการสะท้อนตอบในเร็ววัน

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้บำเพ็ญทั้งสามจบคำให้การแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กง อำลาท่านนักบุญฉงซิว แล้วกลับเข้าสำนึกผิดในสระต่อไป

พระฯ จี้กง   :  ขอบพระคุณท่านผู้คุม ที่เหนื่อยเพื่อเราในวันนี้ หมดเวลาแล้วเราขออำลา  ช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนเราด้วย ฉงซิวรีบออกจากด่านขึ้นหลังนกเผิงใหญ่

พระฯ ผู้คุม   :  กราบส่งพระฯ จี้กง น้อมส่งนักบุญฉงซิวกลับพระตำหนัก

ฉงซิว   :  ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดนำกลับ

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงตำหนักฉงเซิง วิญญาณของฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                 จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ขอรับ ศิษย์เห็นพระองค์ต้องไปอรรถาธรรมทุกหนแห่ง เหนื่อยยากนักหนา ล้วนทำเพื่อเวไนยสัตว์ พวกเราเป็นหนี้พระองค์มากมายเหลือเกิน

พระ ฯ จี้กง   :  เฮ้ย ฉงซิวพูดเรื่องนี้ทำไม ก็ใครใช้ให้คนหลงงมงายกันอย่างนี้ล่ะ อาจารย์ทนดูเหล่าพุทธะ ทนทุกข์ตกต่ำ เวียนว่ายอยู่ในโลกีย์วิสัยไม่ได้จึงต้องมาเคี่ยวกันหน่อย

ฉงซิว   :  กำหนดกาลนี้พระอาจารย์รับสนองพระโองการ ศิษย์ทั้งหลายจึงโชคดีได้รับการฉุดช่วยจากพระอาจารย์ ในขณะที่พระองค์กำลังอรรถาธรรมอยู่ที่นี่ พร้อมกันนั้น พระองค์จะโปรดสัตว์ในที่อีกแห่งหนึ่งก็ได้ใช่ไหมขอรับ

พระฯ จี้กง   :  ใช่แล้ว  "ในแม่น้ำพันสายมีจันทณ์ฉายอยู่พร้อมกัน"  ขณะนี้แม้อาจารย์จะกำลังนำเจ้าไปหาข้อมูลในจิ่วหยังกวน แต่ก็สามารถประทับทรงให้โอวาทในที่ต่าง ๆ ได้พร้อมกัน

ฉงซิว   :  พระอาจารย์สูงด้วยพระบุญญาธิการจริง ๆ  มิน่าเล่าชาวโลกจึงยกย่องพระองค์ว่า  "พระพุทธะเดินดิน" 

พระฯ จี้กง   :  ชาวโลกยัดเยียดสมญานี้ให้ จนอาจารย์อยู่นิ่งไม่ได้ต้องออกวิ่งเต้นโปรดสัตว์ไปทั่ว

ฉงซิว   :  พระอาจารย์มีบุญญาธิการและอิทธิปาฏิหาริย์ยิ่งนัก จนชาวโลกต้องถวายสมญาแด่พระองค์อย่างนี้ต่างหาก

พระฯ จี้กง   :  ค่ำแล้วเราไปกันเถอะ รีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว เชิญพระอาจารย์

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว ฉงซิวรีบลงมา ข้างหน้าคือด่านสระร้อน ด่านที่สี่ของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านคอยเราอยู่ที่นั้นแล้ว เข้าไปกราบคารวะเสีย

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ฉงซิวกราบเฝ้าพระองค์นายด่านสระร้อน และเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ คืนนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวนที่ด่านของพระองค์ขอได้โปรดอภัย

พระฯ นายด่าน   :  ฉงซิวไม่ต้องคารวะ ลุกขึ้นเถิด  พูดว่ารบกวนไปใย เจ้ารับสนองพระโองการสร้างหนังสือบุญ เราทั้งหลายจะต้องร่วมมือจึงจะถูก นิมนต์พระฯ จี้กง กับฉงซิวเข้าไปพักผ่อนในตำหนักสักครู่ก่อน

พระฯ จี้กง   :  ดี เข้าไปนั่งข้างใน ฉงซิวรีบเข้าไปด้วยกัน

ฉงซิว   :  ขอรับ สองข้างประตูตำหนัก มีกลอนคู่เขียนไว้ว่า 
             บรรลุเซียนพุทธะใครจะไม่ผ่านทางนี้
             พระวิสุทธีอริยปราชญ์ไม่คลาดผ่านทวารนี้

พระฯ นายด่าน   :  นิมนต์พระพุทธะจี้กง กับฉงซิวโปรดนั่ง  พนักงานข้างในยกน้ำชามาถวาย

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”