collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: จิ่วหยังกวน สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ  (อ่าน 29304 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           จิ่วหยังกวน

                    สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                           ตอนที่ 1

                    ลงนรกขอยืมดวงแก้ว

               วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2525 

พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เพื่อฉุดช่วย        เวไนยสัตว์        กลับสรวงสวรรค์
ไม่ย่อยั่น                ดั้นด้นไป          ในสามโลก
อรรถาธรรม             ความลับฟ้า       เที่ยวปรกโปรด   
เป็นโฆษก              ท่องทั่วยัง        จิ่วหยังกวน

พระ ฯ กษิติฯ   :  พระฯ จี้กง เกรงใจมากไป ในขณะที่วิถีธรรมกับมหันตภัยเกิดขึ้นพร้อมกันในโลก พระองค์ต้องแบกรับหน้าที่ที่เป็นพระอาจารย์หลักเวไนยสัตว์ในโลก เป็นหนี้พระคุณพระองค์มากเหลือเกินจริง ๆ

พระฯ จี้กง   :  ที่ไหนได้ ปณิธานใหญ่ของพระองค์ต่างหากที่น่าเคารพยกย่อง แต่น่าเสียดายที่เวไนยสัตว์ล้วนลุ่มหลงอยู่ใน "โลกมายา" ผู้บำเพ็ญแม้จะอุทิศตนอยู่ในประตูอริยะ แต่นิสัยอารมณ์ของปุถุชนกลับแก้ไม่หมด ดังนั้นเบื้องบนจึงได้สร้างจิ่วหยังกวนขึ้นทดสอบพวกเขา ขณะนี้กาลเวลาของโลกคับขันเบื้องบนจึงได้นำเอาสถานที่แห่งนี้มาเปิดเผย  วันนี้เราจึงได้ท่องจิ่วหยังกวน

พระ ฯ  กษิติฯ   :  ถูกต้อง  แต่ ... หวังว่าชาวโลกจะเข้าใจในพระเมตตาของเบื้องบน  นี่พระฯ จี้กงก็จะต้องวิ่งวุ่นกลับสามโลกอีกแล้ว  ฉงซิวเจ้าต้องทุ่มเทเต็มกำลัง ทำหน้าที่เป็นปากเสียงแทนเบื้องบน ซึ่งไม่ใช่คนทั่วไปจะทำได้

ฉงซิว   :  ศิษย์เข้าใจขอรับ 

พระฯ กษิติฯ   :  ดวงแก้วหนึ่งดวงอยู่ในกล่องนี้ ฉงซิวเจ้าจงรับเอาไป

พระฯ จี้กง   :  ขอขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธบรรพจารย์กษิติครรภ์ อาตมาขอขอบพระคุณพระองค์แทนเวไนยสัตว์ทั้งหลายล่วงหน้าด้วย เมื่อใช้เสร็จแล้วจะนำมาถวายคืน

พระ ฯ กษิติฯ   :  มิกล้ารับคำยกย่อง

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิวรับกราบลาพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์เถิด เรากลับพระตำหนักได้แล้ว

ฉงซิว   :  ขอรับ   ศิษย์ขอกราบลา

พระฯ กษิติฯ   :  ขอน้อมส่งพระฯ จี้กงกับฉงซิวกลับพระตำหนัก

พระฯ จี้กง   :  มิบังอาจรับได้  ฉงซิว ขึ้นหลังนกเผิงใหญ่ เตรียมกลับพระตำหนัก

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว

พระฯ จี้กง   :  เอาละ  หลับตา  บินได้ ..... มาถึงฉงเซิงถังแล้ว ฉงซิวลงจากหลังนก วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              จิ่วหยังกวน

                        สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 2 

                    ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน

                      ด่านขัดเกลาธาตุแท้

                           (หมอเจินกวน)

                 วันที่  28  ตุลาคม  พ.ศ. 2525 

พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        พลีชีพสังขาร        ทำงานช่วยโลก        ใสสดสว่าง
ท่องด่านจิ่วหยัง            แต่ละชั้นไป             ได้ด้วยจิตญาณ
วาระวิเศษ                   แต่ก่อนแต่ไร            ไม่เคยเล่าขาน
ตั้งแต่โบราณ              "ฉงซิว" นับว่า           มาเป็นหนึ่งนำ

พระ ฯ จี้กง   :  ในยุคที่  "ธรรมคู่กับภัย"  ในครั้งนี้ โลกมนุษย์กับเทวโลก ต้องตกทุกข์ได้ยากจริง ๆ ศาสนานับหมื่นในโลกล้วนรับเคราะห์สอบหนัก การจะบรรลุมรรคผลแท้จริงไม่ยาก แต่น่าเสียดายที่ผู้บำเพ็ญมักจะละเลย ต่อการบำเพ็ญมนุษยธรรม คิดว่าตนบำเพ็ญถึงจุดสุดยอดแล้ว จิตอหังการ์ก็แสดงออกชัดเจน บางคนใหญ่คับฟ้าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา พึงรู้ไว้ว่า  "ตัวกูอยู่เหนือกว่าใคร"  เป็นความคิดพิฆาตผู้บำเพ็ญเอง
        ฉงซิว  วันนี้เราจะท่องจิ่วหยังกวนกันจริง ๆ จะได้พบเห็นเหตุการณ์จริง หวังว่าเจ้าจะเป็นสะพานระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนให้ดี  นกเผิงใหญ่รออยู่ที่นั่นแล้ว  รีบขึ้นนั่งแล้วออกเดินทางกันเถิด

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว รู้สึกตื่นเต้นหน่อย ๆ

พระฯ จี้กง   :  อีกสักครู่จะต้องระวังเรื่องจริยะระเบียบหละหลวมมไม่ได้ เอาละ หลับตา  ไปได้  ... ถึงแล้ว  ลงมา

ฉงซิว   :  มีประตูเมืองอยู่เบื้องหน้า มีทหารกองหนึ่งอยู่ที่นั่น เหมือนกำลังคอยเราอยู่

พระฯ จี้กง   :  ใช่  นั่คือพระองค์นายด่าน ด่านแรก นำผู้คุมด่านใต้การปกครองมาต้อนรับเรา  ฉงซิวรีบเข้าไปกราบคารวะเสีย 

ฉงซิว   :  คารวะพระองค์นายด่านจิ่วหยังและพระผู้คุมทุกพระองค์ ศิษย์ฉงซิวเป็นมือทรงเอกของพระตำหนักฯ ไถจงฉงเซิง โชคดีได้สนองพระบัญชาติดตามพระอาจารย์จี้กงมาหาข้อมูลในด่าน เพื่อสร้างหนังสือเตือนใจคนเดิมผู้บำเพ็ญ ขอความกรุณาจากทุกพระองค์ได้โปรดชีแนะศิษย์ผู้น้อยด้วย

พระฯ นายด่าน   :  ยินดีต้อนรับพระฯ จี้กงกับฉงซิวที่มาเยือนจิ่วหยังกวน ลุกขึ้นเถิดมิต้องคารวะ   เราได้รับหมายพระโองการฯ ก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่าพระฯ จีกงจะนำฉงซิวมาหาข้อมูล การขัดเกลาผู้บำเพ็ญในด่านนี้ เราได้เตรียมการไว้แล้ว เชิญเข้าสู่พระตำหนักใน นั่งพักสักครู่เถิด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             จิ่วหยังกวน

                        สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 2 

                    ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน

                      ด่านขัดเกลาธาตุแท้

                           (หมอเจินกวน)

                 วันที่  28  ตุลาคม  พ.ศ. 2525 

พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        พลีชีพสังขาร        ทำงานช่วยโลก        ใสสดสว่าง
ท่องด่านจิ่วหยัง            แต่ละชั้นไป             ได้ด้วยจิตญาณ
วาระวิเศษ                   แต่ก่อนแต่ไร            ไม่เคยเล่าขาน
ตั้งแต่โบราณ              "ฉงซิว" นับว่า           มาเป็นหนึ่งนำ

พระฯ จี้กง   :  ลำบากแก่ท่านนายด่าน   ฉงซิว  วันนี้เจ้าจะได้เข้าด่านไปกราบเรียนถามสถานการณ์ของด่านก่อนใคร ๆ

ฉงซิว   :  ศิษย์น้อมรับพระบัญชา  สองข้างประตูพระตำหนักในมีกลอนคู่อยู่สองบทว่า
             
            หากย่างก้าวเข้าถิ่นเราไม่กลัว     บรรลุแท้
            ผ่านด่านปราศจากอุปสรรคแล้      กัลยาณชน

พระฯ นายด่าน   :  เชิญพระฯ จี้กงกับฉงซิวโปรดนั่ง พนักงานข้างในยกน้ำชามาถวาย 

ฉงซิว   :  ศิษย์มิกล้าบังอาจ ขอยืนอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้ดีกว่า

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าสนองพระบัญชามาที่นี่ นั่งเถิด จะได้เรียนถามเรื่องราวบางอย่างในจิ่วหยังกวนด้วย

ฉงซิว   :  ขอรับ ถ้าเช่นนั้นศิษย์ขอย่ามใจนั่งลง  กราบทูลถามว่า ด่านแรกภายใต้การควบคุมของพระองค์ เหตุใดจึงได้ชื่อว่า  ด่านขัดเกลาธาตุแท้  และมีสภาพเป็นอย่างไร ?.

พระฯ นายด่าน   :  "ขัดเกลาธาตุแท้"  ก็คือขัดเกลาให้เป็นผู้บรรลุจริง  ด่านนี้นับเป็นด่านใหญ่ด่านหนึ่ง ทำหน้าที่สอบถามผู้บำเพ็ญที่มาถึง แต่ไม่ทำหน้าที่ขัดเกลา ส่วนด่านย่อยอีกเก้าด่านทำหน้าที่ขัดเกลา แต่ไม่สอบถาม  ฉะนั้น  แต่ละด่านของจิ่วหยังกวนแม้จะมีสิบแดนแต่มีเก้าด่านเท่านั้นที่เคี่ยวกรำคำโบราณจึงกล่าวไว้ว่า  "สิบด่านขัดเกลา เก้าแดนลำบาก พ้นผ่านไป ได้บรรลุ"  ก็หมายถึงอย่างนี้

ฉงซิว   :  ทูลถามพระองค์ฯ ว่า ภายในด่านแต่ละด่านจะตัดสินอย่างไรว่าผู้บำเพ็ญผู้ใดจะต้องรับการขัดเกลาจากด่านใดและถึงขั้นผ่านด่านไปได้

พระฯ นายด่าน   :  ผู้บำเพ็ญที่ถูกส่งมาที่นี่ เราจะตรวจสอบซักถามให้รู้ชัดว่าวิสัยปุถุชนหลงเหลือหรือไม่  ควรส่งเข้าขัดเกลาที่ด่านใด  จะเข้าสู่แดนอริยะบรรลุจริง จะต้องขัดเกลาจนนิสัยอารมณ์ทางโลกหมดสิ้นเสียก่อน จึงจะให้ผ่านด่านนี้ออกไป

ฉงซิว   :  จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ได้รับการขัดเกลาได้สำนึก แก้ไขหรือไม่                   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             จิ่วหยังกวน

                        สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 2 

                    ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน

                      ด่านขัดเกลาธาตุแท้

                           (หมอเจินกวน)

                 วันที่  28  ตุลาคม  พ.ศ. 2525 

พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        พลีชีพสังขาร        ทำงานช่วยโลก        ใสสดสว่าง
ท่องด่านจิ่วหยัง            แต่ละชั้นไป             ได้ด้วยจิตญาณ
วาระวิเศษ                   แต่ก่อนแต่ไร            ไม่เคยเล่าขาน
ตั้งแต่โบราณ              "ฉงซิว" นับว่า           มาเป็นหนึ่งนำ

พระฯ นายด่าน   :  จะเห็นได้จากรัศมีญาณเหนือศรีษะของผู้นั้นว่าเปลี่ยนไปหรือไม่  ผู้ที่ถูกส่งมาขัดเกลามักจะบอกว่า เมื่อตนมีชีวิตอยู่ได้สร้างบุญกุศลอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นิสัยทางโลกไม่ได้แก้ไข เหตุนี้ เบื้องบนจึงได้โปรดจัดตั้งด่านจิ่วหยังนี้เพื่อช่วยให้ผู้บำเพ็ญบรรลุจริง ผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาอยู่ในด่านย่อยต่าง ๆ หากรัศมีญาณเหนือศรีษะเปลี่ยนแปลงดีขึ้น พระผู้คุมด่านย่อยจะรายงานให้เราทราบ เมื่อสอบสวนเป็นจริงแล้วก็จะส่งต่อไปยังด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

ฉงซิว   :  หากผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาไม่สำนึกตนจะเป็นเช่นไรขอรับ

พระฯ นายด่าน   :  หากถูกขัดเกลาในด่านย่อยจนครบกำหนดแล้วยังไม่มีจิตสำนึกแก้ไข ก็จะเพิ่มเวลาและโทษหนักยิ่งขึ้น หากครบกำหนดสามครั้งแล้วยังไม่เปลี่ยนแปลงดีขึ้น เราก็จะมอบให้ทางนรกส่งไปให้เกิดเป็นคนต่อไป

ฉงซิว   :  เป็นเช่นนี้เอง ขอบพระคุณที่พระองค์ได้โปรดชี้แจงให้ทราบอย่างละเอียด

พระฯ จี้กง   :  ค่ำมากแล้ว เราควรกลับกันเสียที พรุ่งนี้เราจะไปเยี่ยมสถานที่จริงกัน  ฉงซิว  กราบลาพระองค์นายด่านฯ  แล้วกลับตำหนักกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ขอกราบลาพระองค์นายด่านและเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ พรุ่งนี้จะมาขอรบกวนใหม่

พระฯ นายด่าน   :  " พนักงานออกมาเรียงรายกราบส่งพระบาทฯ " "ขอน้อมส่งพระฯ จี้กงและฉงซิวกลับคืนตำหนักพระ" 

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว  รีบขึ้นนกเผิงใหญ่ หลับตา ไปได้ ... ถึงตำหนักฉงเซิงแล้ว ญาณของฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             จิ่วหยังกวน

                        สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 3 

                    ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน

                   ท่องด่านขัดเกลาธาตุแท้อีกครั้ง

                 พร้อมทั้งเยือนด่านย่อย  "ด่านลมมืด"

                           (เฮยเฟิงต้ง)

                 วันที่  29  ตุลาคม  พ.ศ. 2525 

พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        แต่โบราณ        เพิ่งเผยสาส์น        อันวิเศษ
พระฯ  ปรกเกศ           อนุตตรฯ              พาให้เห็น
เตือนญาณแท้            แก้ความเลว         ที่เคยเป็น
พ้นทุกข์เข็ญ              ไม่ต้องผ่าน          จิ่วหยังกวน

พระฯ จี้กง   :  เวลาท่องด่านจิ่วหยังวันนี้มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่เราจะได้ออกเดินทางกัน

ฉงซิว   :  รับพระบัญชาขอรับ  พระอาจารย์ขอรับ นกตัวนี้มาคอยที่นี่ตรงเวลาทุกครั้ง เขาทราบได้อย่างไรว่าเราจะไปท่องจิ่วหยังกวน

พระฯ จี้กง   :  นกเผิงใหญ่ตัวนี้มิใช่นกธรรมดา แต่เป็นนกที่พระบรรพจารย์หงจินโปรดปราณ เขาเองก็มีญาณวิเศษ โดยเฉพาะเขาได้รับพระบัญชาจากพระฯ หงจินให้ทำหน้าที่นี้ แน่นอน เขาเคยมีความเป็นมากับฉงซิวเจ้ามาก่อน คิดว่าเจ้าคงเข้าใจ

ฉงซิว   :  เข้าใจขอรับ ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์โปรดออกเดินทางได้

พระฯ จี้กง   :  ดีละ หลับตา  บินได้ ... ถึงแล้ว  ฉงซิวรีบลงมา พระองค์นายด่านรออยู่ที่นั่นแล้ว รีบเข้าไปกราบเสีย

ฉงซิว   :  ศิษย์ฉงซิวกราบคารวะพระองค์นายด่านอีกครั้ง วันนี้มารบกวนพระองค์อีกแล้ว

พระฯ นายด่าน   :  ยินดีต้อนรับ อย่าได้เกรงใจ เชิญข้างใน

พระฯ จี้กง   :  วันนี้ไม่ต้องนั่งแล้ว ให้ฉงซิวไปดูเหตุการณ์จริง ถามไถ่รายละเอียดจะได้เขียนหนังสือไว้เตือนใจผู้บำเพ็ญได้

พระฯ นายด่าน   :  ถ้าเช่นนั้น บัญชาให้ทหารนำพระฯ จี้กงกับฉงซิวไปยัง  "ด่านลมมืด ในด่านขัดเกลาธาตุแท้" ได้

นายทหาร   :   รับพระบัญชา  ทูลเชิญพระฯ จี้กง ขอเชิญฉงซิวตามข้าพเจ้ามา ... ถึงแล้ว ผู้อยู่เบื้องหน้าคือพระผู้คุมด่านย่อย

พระฯ ผู้คุม   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะนักบุญฉงซิว ยินดีต้อนรับชมด่าน

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิวเจ้าเรียนถามท่านผู้ควบคุมได้ตามใจ เพื่อรวบรวมข้อมูล

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านผู้ควบคุม  กราบเรียนถามว่าเหตุใดจึงเรียกด่านนี้ว่า  "ลมมืด"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              จิ่วหยังกวน

                        สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 3 

                    ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน

                   ท่องด่านขัดเกลาธาตุแท้อีกครั้ง

                 พร้อมทั้งเยือนด่านย่อย  "ด่านลมมืด"

                           (เฮยเฟิงต้ง)

                 วันที่  29  ตุลาคม  พ.ศ. 2525 

พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        แต่โบราณ        เพิ่งเผยสาส์น        อันวิเศษ
พระฯ  ปรกเกศ           อนุตตรฯ              พาให้เห็น
เตือนญาณแท้            แก้ความเลว         ที่เคยเป็น
พ้นทุกข์เข็ญ              ไม่ต้องผ่าน          จิ่วหยังกวน

พระฯ ผู้คุม   :  ด่านนี้อยู่ในสังกัดควบคุมของด่านขัดเกลาธาตุแท้อีกขั้นหนึ่ง มีหน้าที่ขัดเกลาแต่ไม่สอบสวน ผู้บำเพ็ญที่ถูกนำมาที่นี่ จะถูกคุมขังทั้งหมด ภายในที่คุมขังลมหนาวจัดจนเจาะกระดูก มืดมิดไม่มีจุดสว่างแม้แต่น้อย จึงเรียกว่า  "ด่านลมมืด"

ฉงซิว   :  อ้อ เป็นเช่นนี้เอง ผู้ต้องขังในนี้ทำผิดอะไรหรือขอรับ จะขอเข้าไปดูได้หรือไม่

พระฯ ผู้คุม   :  ฉงซิว ท่านสนองรับพระโองการจากเบื้องบนมา  จิ่วหยังกวนด่านรวมใหญ่ ได้รับพระบัญชาจากพระองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ก่อนหน้านี้แล้วเป็นหน้าที่ ที่จะต้องให้ความร่วมมือสร้างหนังสือเล่มนี้อย่างเต็มที่ จึงอนุญาตให้เข้าชมได้อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะเปิดประตูให้

ฉงซิว   :  โอย เย็นเฉียบเลย มืดไปหมดไม่เห็นอะไรเลย

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว ใช้ดวงแก้งที่พระกษิติฯ ให้ยืมมาได้แล้ว เปิดกล่องซิ

ฉงซิว   :  ขอรับ เปิดแล้ว โอ้โฮ รัศมีพวงพุ่งสว่างจ้าขึ้นมาทันที  โอ  ผู้บำเพ็ญมากมายนั่งขดตัวกันอยู่บนพื้น พอแสงสว่างของเราส่องไปถึงเขาพากันตื่นใจ มองดูเราด้วยสายตาฉงนสงสัย

พระฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าได้เรียกผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาอยู่ออกมาสามคนแล้ว ฉงซิวท่านสัมภาษณ์ได้เลย

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านผู้ควบคุม  เรียนถามท่านผู้อาวุโส ดูท่านบำเพ็ญได้ไม่เลวเลย เหตุใดจึงยังต้องถูกคุมขังอยู่ที่นี่

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  พูดแล้วน่าละอาย เมื่อมีชีวิตอยู่ฉันศรัทธาต่อธรรมะมาก แต่เป็นเพราะ  เข้าใจว่าตนเองบำเพ็ญได้ดี ไม่รับฟังความคิดเห็นของใคร ไม่ยอมรับในคำสอนของศาสนาอื่น   เพราะถือดีในแนวทางบำเพ็ญของตน  เคราะห์ดีที่ฉันไม่เคยให้ร้ายศาสนาอื่น  เมื่อมีชีวิตอยู่ฉันปฏิบัติบำเพ็ญมีบุญกุศล กระจกส่องกรรมในนรกจึงส่องไม่เห็นความผิดของฉัน พญายมจึงบัญชาให้ส่งฉันขึ้นสะพานทอง ฉันสำคัญว่าจะได้ก้าวขึ้นดินแดนพระอริยะโดยตรงได้ คิดไม่ถึงว่าเบื้องบนต้องการพระอริยะที่สมบูรณ์พร้อมจริง ๆ และได้ก่อตั้งจิ่วหยังกวนขึ้นเพื่อขัดเกลาผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะเช่นนี้
        เมื่อมาถึงจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันปฏิบัติบำเพ็ญในโลกได้กุศลผลบุญจริง แต่ถือทิฏฐิ ไม่สำนึกว่าศาสนาใหญ่ทั้งห้าล้วนเป็นหลักเดียวกัน  จะต้องลงโทษให้สำนึกในด่านลมมืดสามสิบวัน  ฉันต้องถูกขังอยู่ในด่าน กรำลมหนาวเจาะหัวใจอยู่ทุกวันเพื่อพิจารณาความผิดของตัวเอง
        หวังว่าเพื่อนผู้บำเพ็ญทั้งหลายอย่าได้ถือดีมีทิฏฐิอย่างฉัน  แม้โทษทัณฑ์ในนรกจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่ด่านจิ่วหยังกวนนี้หนีไม่พ้นแน่ ๆ

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ตำหนักพระของกระผมได้รับพระบัญชาให้สร้างหนังสือ  "บันทึกท่องจิ่วหยังกวน"  ก็คือให้มาบันทึกเหตุการณ์จริงเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้บำเพ็ญ ความในใจของท่านคงเป็นที่น่าสนใจของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย  เรียนถามอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ชุดที่ท่านสวมใส่อยู่ เหตุใดจึงไม่เหมือนพระสงฆ์

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  ถูกต้อง เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ฉันเป็นเจ้าตำหนักเทวสถาน (หลวนถัง)

ฉงซิว   :  โอ ถ้าเช่นนั้นเราก็สายเดียวกันน่ะซิ เหตุใดท่านจึงถูกขังอยู่ในนี้ล่ะ

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  เฮ้อ !  เรื่องมันยาว  พูดถึงการปฏิบัติบำเพ็ญเมื่ออยู่ในโลกฉันจริงจังมาก ไม่ว่างานน้อยใหญ่ในเทวสถานฉันทุ่มเททำจริงทุกอย่าง แต่เดิมตำหนักพระเป็นห้องแถวเล็ก ๆ  ต่อมาเมื่อฉุดช่วยนำพาสาธุชนมาก ๆ เข้าก็ขยายเป็นเทวสถานใหญ่  ยิ่งเจริญรุ่งเรืองเท่าไหร่ ฉันก็ถือดีขึ้นเท่านั้น สำคัญว่างานที่ฉันสร้างคุณไว้มากกว่าใคร  ภาระหน้าที่เป็นปากเสียงแทนเบื้องบนฉันทำอย่างจริงจังและทำได้ครบถ้วน โทสะของฉันจึงนับวันจะรุนแรงขึ้น แม้จะทำงานธรรมะอย่างจริงจัง แต่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกัน ตายแล้วพญายมบอกว่าฉันมีบุญมากบาปน้อย อีกทั้งเป็นผู้ปฏิบัติธรรม โทษทัณฑ์ในนรกมีไว้กำราบคนชั่วช้าทั่วไป จึงส่งฉันให้ข้ามสะพานทอง
        ฉันคิดว่าคงผ่านพ้นมาได้แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่จิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนเบื้องบน แต่กลับยกตนไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี จะบรรลุได้อย่างไร จึงตัดสินความให้ฉันเข้าไปสำนึกผิดในด่านลมดำสามเดือน กว่าจะได้คิดมันก็สายเสียแล้วอย่างนี้
        หวังว่า ผู้ปฏิบัติงานในเทวสถานวัดวาอารามทุกคนอย่างได้เอาเยี่ยงอย่างฉัน แม้ฉันจะปฏิบัติธรรมได้ผลบุญ แต่จิตใจที่ถือดีเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้นก็ทำให้ฉันต้องมารับการเคี่ยวกรำที่นี่อย่างนี้

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านอาจารย์ เชื่อว่าเรื่องจากใจของท่านจะต้องมีผู้สนองตอบในเร็ววัน  ขอเรียนถามอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ท่านก็มีรัศมีกายสีทองเหตุใดจึงถูกขังในนี้ด้วย ทำไมไม่อาจขึ้นสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  เมื่อมีชีวิตอยู่ ฉันมีฐานะเป็นเตี่ยนฉวนซือ (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมในวิถีอนุตตรธรรม)  ฉันได้ฉุดช่วยผู้คนมากมายให้มุ่งบำเพ็ญ ได้สร้างบุญใหญ่เอาไว้มาก อีกทั้งไปอรรถาแพร่ธรรมในที่ต่าง ๆ เสมอ  ฉันสำคัญว่าตัวเป็นผู้ได้รับวิถีธรรม จึงดูแคลนผู้บำเพ็ญที่ไม่ได้รับ อีกทั้งลบหลู่เขาว่าไม่ได้หนทางรอด จิตใจที่ยึดมั่นอย่างนี้มีเป็นประจำ เพราะผลบุญที่ฉุดช่วยคนเอาไว้มาก เมื่อตายไปทางยมโลกจึงตรวจสอบความผิดของฉันไม่พบ จึงส่งฉันขึ้นสะพานทอง คิดไม่ถึงว่าเมื่อถูกรับตัวไปด่านที่หนึ่งของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันเป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิ  ไม่รู้ว่าการ "เตี่ยนเต้า"  (ถ่ายทอดจุดญาณทวาร) เป็นเพียงพิธีการ  ความสำคัญอยู่ที่การบำเพ็ญ
        เพราะมีบุญกุศลจากการฉุดช่วยคน พระองค์จึงตัดสินให้ฉันเข้าไปสำนึกผิดในด่านลมมืดยี่สิบวัน ถึงตรงนี้ ฉันจึงได้เข้าใจว่าไม่ว่าศาสนาลัทธิกายใด ๆ พิธีถวายตัวล้วนเป็นเพียงรูปแบบ  การบวชในศาสนาพุทธ  การเข้าเป็นเทวบุตรในเทวตำหนหัก  การรับศีลจุ่มในศาสนาคริสต์ฯ  ล้วนเป็นรูปแบบทั้งนั้น
        ที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องชี้นำคนรุ่นหลังให้บำเพ็ญจริงโดยศรัทธาเป็นสำคัญ ขอให้ญาติธรรมจงเข้าใจ อย่าได้เดินตามรอยฉัน เร่งเปลี่ยนแปลงจิตใจตน จะได้ไม่ต้องมารับโทษที่นี่ มิฉะนั้นจะสายไป

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ได้โปรดชี้แนะ เมื่อหนังสือเล่มนี้เผยแพร่ออกไปคงทำให้ญาติธรรมทั้งหลายตื่นใจกันได้

พระฯ ผู้คุม   :  เล่าจบแล้วทั้งสามให้กราบลาพระฯ จี้กง ลาฉงซิวกลับคืนที่สำนึกผิดดังเดิม  เมื่อใดที่แสงญาณของท่านดีขึ้นก็จะส่งไปยังด่านที่สองของจิ่วหยังกวนต่อไป

พระฯ จี้กง   :  ค่ำมากแล้ว ฉงซิวรีบกลับพระตำหนักกันเถิด ท่านผู้คุมได้โปรดขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนอาตมาด้วย  นกเผิงใหญ่มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นไปเถอะ

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณ พระฯ ผู้คุม ศิษย์ขอกราบลาพระตำหนัก

พระฯ ผู้คุม   :  น้อมส่งพระฯ จี้กงกับฉงซิวกลับพระตำหนัก

พระฯ จี้กง   :  รีบหลับตา  บินได้ ... มาถึงพระตำหนัก วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 4 

                    ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

                           ด่านมลายอารมณ์

                             (ฮว่าชี่กวน)

                 วันที่  30  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เบื้องบนโปรด     เปิดอีกครั้ง        ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง            สัมมาสติ          มิโง่หลง
พระแม่ฯ  เมตตา        ให้ตื่นจาก        ฝันพะวง
รู้จักปลง                 ตื่นจากฝัน        ผ่านจิ่วกวน

พระฯ จี้กง   :  เนื่องจากผู้บำเพ็ญแม้จะได้สร้างบุญ แต่อารมณ์ปุถุชนยังแก้ไม่หมด ทำให้ไม่อาจบรรลุจริง  การบำเพ็ญธรรมในโลก หากหวังแต่ชื่อและติดรูปแบบ ไม่วิริยะศึกษาจริง กุศลจาการเอาชนะตนเองไม่มีเลย แต่กลับทำตามความพอใจของตัวต่อไป อารมณ์ปุุถุชนไม่อาจถอนรากถอนโคนเช่นนี้ หรือหากว่าเบื้องบนได้โปรดประทานอริยะฐานะให้ตำแหน่งหนึ่ง ก็ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับไว้ได้  ด้วยพระมหาเมตตาของเบื้องบนหวังให้ชำระอารมณ์ปุถุชนให้หมดสิ้น  จึงได้โปรดสร้างด่าน  "มลายอารมณ์"   หนึ่งในจำนวนด่านจิ่วหยัง เพื่อแก้ไขอารมณ์กระด้างทางโลกของผู้บำเพ็ญ
        วันนี้ เลาที่จะไปเยือนด่านจิ่วหยังมาถึงแล้ว  ฉงซิวขึ้นหลังนกเผิงใหญ่ เราไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว เชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้

พระฯ จี้กง   :  ดีแล้ว หลับตานะ บินได้ ... ถึงแล้ว  ประตูเมืองที่เห็นอยู่ข้างหน้า เป็นประตูด่านที่ 2 ของจิ่วหยังกวน คือด่าน  "มลายอารมณ์"  พระองค์นายด่านได้นำผู้คุมในสังกัดของพระองค์มาคอยต้อนรับเราอยู่แล้ว ฉงซิวรีบเข้าไปกราบคารวะเสีย

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ฉงซิวขอกราบคารวะพระองค์นายด่าน "มลายอารมณ์"  วันนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมาถึงด่านของพระองค์ เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงภายในด่านโดยตรง หวังว่าพระองค์จะได้โปรดชี้แนะ

พระฯ นายด่าน   :  ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงและฉงซิว มาเยือนด่านของเรา เชิญลุกขี้นเถิด มิต้องเคร่งจริยะ เชิบเข้าไปนั่งพักภายในกันสักครู่

ฉงซิง   :  ขอรับ ขอบพระคุณพระองค์  ตำหนักนี้กว้างใหญ่โอ่โถงเหลือเกิน สองข้างมีกลอนคู่เขียนไว้ว่า
       "ดูเราปกครองสองด่าน
บุญผ่านบาปขังไม่เคยปล่อยใคร
แม้เจ้ากินเจชั่วชีวืตวัย
ปากซื่อคดใจยากผ่านด่านนี้"

พระฯ นายด่าน   :  เชิญพระฯ จี้กงกับฉงซิวโปรดนั่ง  พนักงานข้างใน นำน้ำชาออกมาถวาย

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว  เจ้ามีปัญหาอะไรกราบเรียนถามพระองค์นายด่านได้ 

ฉงซิว   :  ขอรับ  ทูลถามว่า เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า  "ด่านมลายอารมณ์" 

พระฯ นายด่าน   :  ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้บำเพ็ญจะมีกุศลผลบุญ แต่อารมณ์โทสะทางโลกยังไม่หมดไป บางคนอาจจะมีเหตุผล แต่ลุแก่อำนาจมากเกินไปไม่อะลุ้มอล่วย  ไม่เปลี่ยนแปลงอารมณ์ในระหว่างบำเพ็ญ  จิตใจแข็งกร้าว  ไม่ลดละ  แต่ได้สร้างกุศลปฏิบัติบำเพ็ญมา โทษทัณฑ์ในยมโลกไม่อาจลดลงได้เพื่อจะแก้ไขอารมณ์เหล่านั้น เบื้องบนจึงได้จัดตั้งด่านมลายอารมณ์เพื่อกวาดล้างความแข็งกร้าว ให้เขาได้บรรลุจริงกัน   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 4 

                    ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

                           ด่านมลายอารมณ์

                             (ฮว่าชี่กวน)

                 วันที่  30  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เบื้องบนโปรด     เปิดอีกครั้ง        ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง            สัมมาสติ          มิโง่หลง
พระแม่ฯ  เมตตา        ให้ตื่นจาก        ฝันพะวง
รู้จักปลง                 ตื่นจากฝัน        ผ่านจิ่วกวน

ฉงซิว   :  จะทราบได้อย่างไรขอรับ ว่าความแข็งกร้าวของผู้นั้นได้กวาดล้างไปหมดแล้ว สภาพในด่านไม่ทราบว่าเป็นเช่นไร

พระฯ นายด่าน   :  ภายในด่านแบ่งเป็นด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านมีผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบ ผู้ถูกเคี่ยวกรำหากแข็งกร้าวมาก เหนือศรีษะจะมีพลังโทสะพลุงพล่านขึ้น จะต้องขัดเกลาจนพลังนั้นหมดสิ้นไป ก็จะรู้ได้ว่า ก็จะรู้ได้ว่าอกุศลจิตได้ละลายไปหมดสิ้นแล้ว ก็จะส่งต่อไปตรวจสอบนิสัยทรามในด่านที่สามต่อไป

ฉงซิว   :  เหตุใดจึงต้องสร้างด่านย่อยอีกเก้าด่าน การลงโทษต่างกันอย่างนั้นหรือขอรับ

พระฯ นายด่าน   :  ใช่  การขัดเกลาของผู้บำเพ็ญในแต่ละด่าน ให้เป็นไปตามขนาดของความกร้าว กำหนดเวลาลงโทษก็ต่างกัน  การขัดเกลาต้องการให้ผู้นั้นสำนึกผิด เปลี่ยนแปลงความกร้าว ฉะนั้นเมื่อเจ้าไปเยือนด่านย่อยด่านหนึ่งก็เท่ากับได้รู้เห็นความเป็นไปทุกด่านแล้ว

ฉงซิว   :  ขอรับ

พระฯ จี้กง   :  เนื่องจากเวลามีจำกัด ถ้าจะกรุณาให้นำฉงซิวไปดูเหตุการณ์จริงยิ่งจะชัดเจนขึ้น

พระฯ นายด่าน   :  ขอน้อมรับ ให้นายทะเบียนนำฉงซิวกับพระฯ จี้กงไปด่านมลายอารมณ์ ข้าพเจ้ามีคดีที่จะต้องพิจารณาอีกไม่อาจร่วมทาง หวังว่าพระฯ จี้กงได้โปรดให้อภัย

พระฯ จี้กง   :  พระองค์นายด่านช่างเกรงใจ เรามิกล้าอยู่ช้าให้ท่านเสียเวลา จะเดินทางไปหาข้อมูลบัดนี้

นายทะเบียน   :  ทูลเชิญพระฯ จี้กง กับเชิญฉงซิว โปรดตามข้าพเจ้าผู้น้อยไป เบื้องหน้า ที่เห็นคือ  "ด่านมลายอารมณ์"  เป็นด่านย่อย ผู้ควบคุมด่านคอยอยู่ที่นั่นแล้ว

พระฯ ผู้คุม   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะคุณฉงซิว ที่ได้โปรดมาเยื่อมเยือนด่านนี้  ข้าพเจ้าผู้น้อยคอยน้อมรับอยู่นานแล้ว

ฉงซิว   :  กราบคารวะพระฯ ผู้คุม  ศิษย์ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวน หวังว่าท่านได้โปรดให้ความกระจ่างเกี่ยวกับด่านของท่านบ้าง

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้ที่ถูกขัดเกลาในด่านนี้ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญฯ ข้าพเจ้าเพียงแต่จัดการขัดเกลา แต่ไม่สอบสวนคุณธรรของผู้บำเพ็ญ เมื่อเห็นเงาดื้อเหนือศรีษะผู้นั้นมลายไปสิ้นแล้ว ก็นำความกราบทูลพระองค์นายด่านปล่อยให้นักโทษผ่านด่านไปได้

ฉงซิว   :  การบรรลุจริงดูยากเหลือเกิน ชักทำให้กลัวเสียแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 4 

                    ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

                           ด่านมลายอารมณ์

                             (ฮว่าชี่กวน)

                 วันที่  30  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เบื้องบนโปรด     เปิดอีกครั้ง        ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง            สัมมาสติ          มิโง่หลง
พระแม่ฯ  เมตตา        ให้ตื่นจาก        ฝันพะวง
รู้จักปลง                 ตื่นจากฝัน        ผ่านจิ่วกวน

พระฯ ผู้คุม   :  แท้จริงไม่ยาก อยู่ที่ว่าผู้บำเพ็ญจะรู้จักดำเนินตามหลักธรรมหรือไม่ เอาชนะจิตใจตัวเองได้หรือไม่ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า เป็นเพราะเบื้องบนไม่อนุญาตให้คนที่ยังมีอารมณ์ปุถุชนบรรลุเป็นพระอริยะได้ จึงได้จัดตั้งจิ่วหยังกวนขึ้น

พระฯ จี้กง   :  ขอรบกวนท่านผู้คุม ให้เราเข้าไปดูสภาพความเป็นจริงในนั้นสักหน่อยเพื่อให้ฉงซิวได้เก็บข้อมูล

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา เชิญเข้าชมได้

ฉงซิว   :  เอ๊ะ   ทำไมเหนือศรีษะผู้บำเพ็ญดูมีอะไรสวมอยู่หนักอึ้งกันทุกคน

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้ถูกเคี่ยวกำเหล่านนี้มีความกร้าวมาก เบื้องบนจึงได้สร้างหมวกเหล็กขึ้นเฉพาะให้สวมใส่เพื่อลดโทสะและระงับยับยั้งอารมณ์

ฉงซิว   :  ในกรณีที่ถูกลงโทษตัดสิน 20 วันหากเขาเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ในวันที่ 17 - 18 จะเป็นอย่างไรขอรับ

พระฯ ผู้คุม   :  คำถามนี้ดีมาก ฉงซิว  มีคำกล่าวว่า "ผลกรรมเกิดจากใจ"  สนามแม่เหล็กของฟ้าดินวิเศษแยบยลยิ่งนัก 

        "กระจกส่องกรรม"  ในนรกก็เช่นกัน ความผิดบาปของวิญญาณทุกคนจะปรากฏชัดออกมาทันที เมื่อไปยืนส่องอยู่ตรงหน้า เป็นกระจกบานใหญ่ของฟ้าดินที่เก็บเหตุการณ์ชั่วชีวิตของทุกคนไว้หมด ทันทีที่วิญญาณขึ้นไปยืนอยู่ต่อหน้ากระจกส่องกรรม กระแสชีวิตของตนก็สื่อตรงกับจนาดคลื่นของกระจก ภาพก็ปรากฏขึ้น แต่คนดีจะไม่มีภาพ เพราะปราศจากความชั่วร้าย นี่เป็นความวิเศษแยบยลของสนามแม่เหล็กของฟ้าดิน
        หมวกเหล็กที่ทางด่านได้สร้างขึ้นเฉพาะ ก็ทำจากแม่เหล็ก เจาะจงใช้กำราบอารมณ์ที่กร้าวแข็ง  เมื่อใดอารมณ์นี้ของผู้บำเพ็ญหมดไป หมายถึง จิตของผู้นั้นได้สำนึกแล้ว หมวกเหล็กกล้าก็จะพ้นไปจากศรีษะได้เอง

ฉงซิว   :  เป็นเช่นนี้นั่นเอง เมื่อก่อนศิษย์ได้แต่คิดว่าโลกออกกว้างใหญ่ไพศาลอย่างนี้ งานของสวรรค์นรกอาจผิดตกบกพร่องหรือตัดสินคุมขังผิดคนไปก็เป็นได้ เมื่อดูตามนี้แล้วคงจะไม่ผิดพลาด

พระฯ ผู้คุม   :  ใช่แล้ว  ความวิเศษแยบยลก็อยู่ตรงนี้เอง  หากผู้นั้นไม่มีเหตุแห่งกรรมนั้น ไม่ว่าสวรรค์หรือนรกส่งเข้ารับโทษอย่างไรก็ไร้ผล เช่นนี้จึงไม่เกิดการตัดสินผิดพลาดขึ้นได้ ฉะนั้น คนดีจึงไม่มีภาพปรากฏบนกระจกส่องกรรม เพราะผู้นั้นไม่มีผลแห่งกรรมที่จะตอบสนองนั่นเอง

ฉงซิว   :  ศิษย์เข้าใจแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 4 

                    ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน

                           ด่านมลายอารมณ์

                             (ฮว่าชี่กวน)

                 วันที่  30  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

     เบื้องบนโปรด     เปิดอีกครั้ง        ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง            สัมมาสติ          มิโง่หลง
พระแม่ฯ  เมตตา        ให้ตื่นจาก        ฝันพะวง
รู้จักปลง                 ตื่นจากฝัน        ผ่านจิ่วกวน

พระฯ ผู้คุม   :  ขัาพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาอยู่ออกมาสามคน ให้ฉงซิวถามรายละเอียดได้  ทั้งสามฟังนะ, สองท่านนี้คือ พระพุทธะจี้กง กับนักบุญฉงซิวมือทรงเอกของเทวสถานไถจงฉงเซิงแห่งโลกมนุษย์ รับพระโองการให้มาสร้างหนังสือ "บันทึกเหตุการณ์ของจิ่วหยังกวน"  รีบเข้าไปคารวะเสียพร้อมทั้งเล่าเรื่องการบำเพ็ญของตัวเองขณะเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ว่าเหตุใดจึงต้องมารับการขัดเกลาอย่างนี้ 

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.    :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะท่านนักบุญฉงซิว

ฉงซิว   :  ศิษย์เคยพบท่านนักธรรมอาวุโสมาก่อนแล้ว เรียนถามท่านแรกว่า ดูท่านอิ่มเอิบ ราศีเฉิดฉายเฉกเช่นผู้นำอันน่าเกรงขาม แต่เหตุใดจึงต้องถูกนำมาควบคุมในด่านมลายอารมณ์เช่นนี้

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  เฮ้อ ,  ชั่วชีวิตฉันสำรวมตนเคร่งครัดเสมอมา ปฏิบัติงานธรรม เป็นปากเสียงแทนเบื้องบน ฉุดช่วยคนหลงทั่วไปอย่างอาจหาญ แต่เป็นเพราะฉันมีนิสัยมุทะลุ  ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใครแม้แต่น้อย ถือทิฏฐิในความคิดของตัวเองทุกเรื่องไป ใครขัดใจก็จะเป็นฟืนเป็นไฟ ในตำหนักพระ หากจับผิดใครได้ก็ยิ่งพลุ่งพล่านโกรธจัดบริภาษให้ เมื่อตายไป ด้วยบุญกุศลที่สร้างไว้ พญายมยกย่องให้ฉันได้ก้าวขึ้นสะพานทอง ฉันสำคัญว่าได้บรรลุแล้ว ไม่คิดว่ากลับถูกรับตัวมาที่จิ่วหยังกวน พูดถึงจิ่วหยังกวนนี้ เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ฉันไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ
        พระองค์นายด่านบอกว่าจิตใจของฉันแข็งกระด้างเกินไป ความอ่อนโยนมีไม่พอ ยากที่จะบรรลุได้ ตัดสินให้ฉันสำนึกผิดที่นี่หกสิบวัน หมวกเหล็กกล้าใบนี้ไม่หนักนัก แต่อึดอัดมาก  ทุกครั้งเมื่อนึกถึงตัวเองได้สร้างบุญไว้มากมายในโลกแต่กลับต้องถูกคุมขังอย่างนี้ เจ้าหมวกเหล็กนี้ก็จะบีบกดให้ฉันเจ็บปวด
ทุกทีเหมือนรับรู้ความคิดของฉัน แต่เมื่อใดที่ได้สำนึกผิดว่าไม่ควรพลุ่งพล่านเอาแต่ใจ หมวกเหล็กใบนี้ก็เบาลงมากทันที แต่พอคิดผิดก็หนักขึ้นอีก น่ากลัวจริง ๆ จึงขอเตือนผู้บำเพ็ญในโลก จะต้องบำเพ็ญตนจริงจัง ขจัดไฟอารมณ์ออกไป  ขัดเกลานิสัยกร้าวแข็งออกไป  จะได้ไม่ต้องมารับทุกข์ในด่านมลายอารมณ์เช่นนี้

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านนักธรมอาวุโส หวังว่าท่านจะมลายไฟอารมณ์ พ้นจากด่านนี้ได้ภายในเร็ววัน ขอเรียนถามพี่หญิงนักธรรมท่านต่อไป

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  ละอายใจเหลือเกินที่ถูกจับส่งมาที่นี่ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ฉันเกิดในครอบครัวยากจน พ่อแม่รักดังดวงแก้ว เพื่อไม่ให้ใครดูถูกฉันในภายหน้าว่ามีฐานะยากจน พ่อแม่จึงทำงานอย่างไม่คิดชีวิต หาเงินให้ฉันได้อยู่ดีกินดี ได้เข้าเรียนมหาลัยจนจบ เพราะเหตุท่านรักและทนุถนอมเกินไป ฉันจึงหยาบคายไม่มีเหตุผลต่อท่านเลย  ต่อมาฉันมีโอกาสได้เข้าศึกษาธรรมะที่สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
        เนื่องด้วยเรียนมาสูง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดบัญชาให้ฉันเป็นอรรถาจารย์ ตอนนั้นฉันยุ่งอยู่กับงานธรรมขยันวิ่งเต้นอยู่บนหนทางแพร่ธรรมคำสอน แต่กลับดูถูกพ่อแม่ของตัวเองเห็นว่าท่านไม่รู้หนังสือ เป็นตาสีตาสาเต็มขั้น ทั้งยังขอร้องท่านอย่าได้มาปรากฏตัวที่ตำหนักพระเพื่อไม่ทำให้ฉันเสียหน้า ท่านทั้งสองก็เชื่อฟังด้วยความรักลูก
        ต่อมา ฉันได้ตั้งตำหนักพระเป็นสาธารณกุศล มีสาธุชนร่วมบุญประจำถึงหลายร้อยคน ฉันทำหน้าที่อรรถาธรรมอยู่นานถึงสี่สิบปี สร้างบุญไว้ไม่น้อยพอตายก็ลงนรกไปถอนทะเบียนชื่อ พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทอง ตอนนั้นฉันสำคัญว่าตัวเองได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมายังด่านมลายอารมณ์นี่  พระองค์นายด่านว่าแม้ฉันจะมีบุญมากจากการฉุดช่วยผู้คนให้ขึ้นฝั่งธรรม แต่จิตใจหยิ่งผยองยังไม่ได้แก้ไข  ยิ่งกว่านั้นยังดูถูกพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา แม้จะไม่ถึงขั้นอกตัญญูทีเดียว แต่เรื่องเอาหน้าเป็นข้อห้ามของผู้บำเพ็ญ  พระองค์จึงตัดสินให้ฉันเข้าด่านมาสำนึกผิดห้าสิบวัน ตอนนี้ฉันเสียใจที่ไม่ควรเลย

ฉงซิว   :  ขอบคุณท่านนักธรรมหญิงผู้พี่ หวังว่าท่านจะได้พ้นจากด่านและบรรลุในเร็ววัน  เรียนถามท่านอาวุโสท่านสุดท้าย ดูเครื่องแต่งกายของท่านเหมือนชุดศาสนาพิธีของเทวสถาน ท่านคงจะเป็นศิษย์ในเทวสถาน เหตุใดจึงถูกนำมากักกันในด่านมลายอารมณ์นี้ด้วย

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  น่าอับอายเหลือเกิน สำหรับฉัน เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่มีฐานะเป็นรองเจ้าตำหนักพระหลวนถัง ฉันไม่เพียงตั้งใจศึกษาหลักธรรม ยังสร้างตำหนักพระเป็นบุญอีก ฉันกินเจตลอดชีวิต งานทุกอย่างในเทวสถานฉันทุ่มเททำจริง แต่เป็นเพราะไฟโทสะแรง มีเรื่องเป็นปากเสียงกับใคร ๆ เสมอ อีกทั้้งยังติดนิสัยปุถุชน วันนี้จึงต้องถูกขังอยู่ที่นี่

ฉงซิว   :  ท่านนักธรรมอาวุโส มีนิสัยปุถุชนอย่างไรหรือ ได้โปรดขยายให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนทั่วไปด้วย

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  น่าละอายจริง ๆ ที่อุตส่าห์ได้เป็นศิษย์ของตำหนักพระ  ด้วยความเคยชิน ทุกครั้งที่มีเรื่องถกเถียง ฉันจะต้องกล่าวคำหยาบใส่ฝ่ายตรงข้ามทุกครั้ง พอตายไปบุญกุศลที่ได้สร้างตำหนักฯ และปฏิบัติงานธรรม ทำให้พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทองไป ฉันคิดว่าจะได้เป็นอิสระในดินแดนพระอริยะ ไม่คิดว่ากลับถูกนำมาเข้าด่านมลายอารมณ์  พระองค์นายด่านบอกว่า การบำเพ็ญคือบำเพ็ญจิต  กินเจแต่ใจไม่เจ  แม้จะได้บุญกุศล แต่พระคัมภีร์หมิงเซิ่งจิง (คัมภีร์วิสุทธิอริยะ)  อ่านน้อยไป  คัมภีร์สามคำ (คำหยาบ) พ่นออกมามากไป เท่ากับลบหลู่บรรพจารย์ ควรจะบำเพ็ญจิตอยู่ที่นี่ให้มากเพื่อลดอารมณ์เสียสามเดือน  ถึงตอนนี้ได้สำนึกก็สายเสียแล้ว ฉะนั้นจึงขอเตือนผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะต้องปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่กายอยู่ในพุทธะสถาน  กินเจแต่ใจไม่เจ  ถ้าเป็นอย่างนี้วันข้างหน้าก็หนีด่านมลายอารมณ์ไปไม่พ้น

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้บำเพ็ญทั้งสามได้เล่าความเป็นมาจบแล้ว  กราบลาพระพุทธะจี้กง และลาฉงซิวกลับคืนไปได้

พระฯ จี้กง   :  วันนี้ใช้เวลานานเกินไปมาก  อาตมาจะไม่เข้าไปบอกลาพระองค์นายด่าน แต่ขอให้ท่านผู้คุมเรียนขอบพระคุณด้วย

พระ ฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าผู้น้อยน้อมรับ พร้อมทั้งคารวะส่งพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว

พระฯ จี้กง   :  ฉงซิว  รีบกราบลาท่านผู้ควบคุมกลับตำหนักฯ กัน นกเผิงใหญ่มาถึงแล้วไปเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ, ขอบพระคุณพระฯ ผู้คุม ศิษย์ขออำลาพระอาจารย์ ศิษย์นั่งดีแล้ว

พระฯ จี้กง   :  เอาละ หลับตา บินได้ ฉงซิวกลับถึงตำหนักฯ วิญญาณคืนสู่ร่างดังเดิม   

Tags: