จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 4
ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายอารมณ์
(ฮว่าชี่กวน)
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
เบื้องบนโปรด เปิดอีกครั้ง ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง สัมมาสติ มิโง่หลง
พระแม่ฯ เมตตา ให้ตื่นจาก ฝันพะวง
รู้จักปลง ตื่นจากฝัน ผ่านจิ่วกวน
พระฯ ผู้คุม : ขัาพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาอยู่ออกมาสามคน ให้ฉงซิวถามรายละเอียดได้ ทั้งสามฟังนะ, สองท่านนี้คือ พระพุทธะจี้กง กับนักบุญฉงซิวมือทรงเอกของเทวสถานไถจงฉงเซิงแห่งโลกมนุษย์ รับพระโองการให้มาสร้างหนังสือ "บันทึกเหตุการณ์ของจิ่วหยังกวน" รีบเข้าไปคารวะเสียพร้อมทั้งเล่าเรื่องการบำเพ็ญของตัวเองขณะเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ว่าเหตุใดจึงต้องมารับการขัดเกลาอย่างนี้
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะท่านนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : ศิษย์เคยพบท่านนักธรรมอาวุโสมาก่อนแล้ว เรียนถามท่านแรกว่า ดูท่านอิ่มเอิบ ราศีเฉิดฉายเฉกเช่นผู้นำอันน่าเกรงขาม แต่เหตุใดจึงต้องถูกนำมาควบคุมในด่านมลายอารมณ์เช่นนี้
ผู้บำเพ็ญ ก. : เฮ้อ , ชั่วชีวิตฉันสำรวมตนเคร่งครัดเสมอมา ปฏิบัติงานธรรม เป็นปากเสียงแทนเบื้องบน ฉุดช่วยคนหลงทั่วไปอย่างอาจหาญ แต่เป็นเพราะฉันมีนิสัยมุทะลุ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใครแม้แต่น้อย ถือทิฏฐิในความคิดของตัวเองทุกเรื่องไป ใครขัดใจก็จะเป็นฟืนเป็นไฟ ในตำหนักพระ หากจับผิดใครได้ก็ยิ่งพลุ่งพล่านโกรธจัดบริภาษให้ เมื่อตายไป ด้วยบุญกุศลที่สร้างไว้ พญายมยกย่องให้ฉันได้ก้าวขึ้นสะพานทอง ฉันสำคัญว่าได้บรรลุแล้ว ไม่คิดว่ากลับถูกรับตัวมาที่จิ่วหยังกวน พูดถึงจิ่วหยังกวนนี้ เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ฉันไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ
พระองค์นายด่านบอกว่าจิตใจของฉันแข็งกระด้างเกินไป ความอ่อนโยนมีไม่พอ ยากที่จะบรรลุได้ ตัดสินให้ฉันสำนึกผิดที่นี่หกสิบวัน หมวกเหล็กกล้าใบนี้ไม่หนักนัก แต่อึดอัดมาก ทุกครั้งเมื่อนึกถึงตัวเองได้สร้างบุญไว้มากมายในโลกแต่กลับต้องถูกคุมขังอย่างนี้ เจ้าหมวกเหล็กนี้ก็จะบีบกดให้ฉันเจ็บปวด
ทุกทีเหมือนรับรู้ความคิดของฉัน แต่เมื่อใดที่ได้สำนึกผิดว่าไม่ควรพลุ่งพล่านเอาแต่ใจ หมวกเหล็กใบนี้ก็เบาลงมากทันที แต่พอคิดผิดก็หนักขึ้นอีก น่ากลัวจริง ๆ จึงขอเตือนผู้บำเพ็ญในโลก จะต้องบำเพ็ญตนจริงจัง ขจัดไฟอารมณ์ออกไป ขัดเกลานิสัยกร้าวแข็งออกไป จะได้ไม่ต้องมารับทุกข์ในด่านมลายอารมณ์เช่นนี้
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านนักธรมอาวุโส หวังว่าท่านจะมลายไฟอารมณ์ พ้นจากด่านนี้ได้ภายในเร็ววัน ขอเรียนถามพี่หญิงนักธรรมท่านต่อไป
ผู้บำเพ็ญ ข. : ละอายใจเหลือเกินที่ถูกจับส่งมาที่นี่ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ฉันเกิดในครอบครัวยากจน พ่อแม่รักดังดวงแก้ว เพื่อไม่ให้ใครดูถูกฉันในภายหน้าว่ามีฐานะยากจน พ่อแม่จึงทำงานอย่างไม่คิดชีวิต หาเงินให้ฉันได้อยู่ดีกินดี ได้เข้าเรียนมหาลัยจนจบ เพราะเหตุท่านรักและทนุถนอมเกินไป ฉันจึงหยาบคายไม่มีเหตุผลต่อท่านเลย ต่อมาฉันมีโอกาสได้เข้าศึกษาธรรมะที่สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
เนื่องด้วยเรียนมาสูง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดบัญชาให้ฉันเป็นอรรถาจารย์ ตอนนั้นฉันยุ่งอยู่กับงานธรรมขยันวิ่งเต้นอยู่บนหนทางแพร่ธรรมคำสอน แต่กลับดูถูกพ่อแม่ของตัวเองเห็นว่าท่านไม่รู้หนังสือ เป็นตาสีตาสาเต็มขั้น ทั้งยังขอร้องท่านอย่าได้มาปรากฏตัวที่ตำหนักพระเพื่อไม่ทำให้ฉันเสียหน้า ท่านทั้งสองก็เชื่อฟังด้วยความรักลูก
ต่อมา ฉันได้ตั้งตำหนักพระเป็นสาธารณกุศล มีสาธุชนร่วมบุญประจำถึงหลายร้อยคน ฉันทำหน้าที่อรรถาธรรมอยู่นานถึงสี่สิบปี สร้างบุญไว้ไม่น้อยพอตายก็ลงนรกไปถอนทะเบียนชื่อ พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทอง ตอนนั้นฉันสำคัญว่าตัวเองได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมายังด่านมลายอารมณ์นี่ พระองค์นายด่านว่าแม้ฉันจะมีบุญมากจากการฉุดช่วยผู้คนให้ขึ้นฝั่งธรรม แต่จิตใจหยิ่งผยองยังไม่ได้แก้ไข ยิ่งกว่านั้นยังดูถูกพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา แม้จะไม่ถึงขั้นอกตัญญูทีเดียว แต่เรื่องเอาหน้าเป็นข้อห้ามของผู้บำเพ็ญ พระองค์จึงตัดสินให้ฉันเข้าด่านมาสำนึกผิดห้าสิบวัน ตอนนี้ฉันเสียใจที่ไม่ควรเลย
ฉงซิว : ขอบคุณท่านนักธรรมหญิงผู้พี่ หวังว่าท่านจะได้พ้นจากด่านและบรรลุในเร็ววัน เรียนถามท่านอาวุโสท่านสุดท้าย ดูเครื่องแต่งกายของท่านเหมือนชุดศาสนาพิธีของเทวสถาน ท่านคงจะเป็นศิษย์ในเทวสถาน เหตุใดจึงถูกนำมากักกันในด่านมลายอารมณ์นี้ด้วย
ผู้บำเพ็ญ ค. : น่าอับอายเหลือเกิน สำหรับฉัน เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่มีฐานะเป็นรองเจ้าตำหนักพระหลวนถัง ฉันไม่เพียงตั้งใจศึกษาหลักธรรม ยังสร้างตำหนักพระเป็นบุญอีก ฉันกินเจตลอดชีวิต งานทุกอย่างในเทวสถานฉันทุ่มเททำจริง แต่เป็นเพราะไฟโทสะแรง มีเรื่องเป็นปากเสียงกับใคร ๆ เสมอ อีกทั้้งยังติดนิสัยปุถุชน วันนี้จึงต้องถูกขังอยู่ที่นี่
ฉงซิว : ท่านนักธรรมอาวุโส มีนิสัยปุถุชนอย่างไรหรือ ได้โปรดขยายให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนทั่วไปด้วย
ผู้บำเพ็ญ ค. : น่าละอายจริง ๆ ที่อุตส่าห์ได้เป็นศิษย์ของตำหนักพระ ด้วยความเคยชิน ทุกครั้งที่มีเรื่องถกเถียง ฉันจะต้องกล่าวคำหยาบใส่ฝ่ายตรงข้ามทุกครั้ง พอตายไปบุญกุศลที่ได้สร้างตำหนักฯ และปฏิบัติงานธรรม ทำให้พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทองไป ฉันคิดว่าจะได้เป็นอิสระในดินแดนพระอริยะ ไม่คิดว่ากลับถูกนำมาเข้าด่านมลายอารมณ์ พระองค์นายด่านบอกว่า การบำเพ็ญคือบำเพ็ญจิต กินเจแต่ใจไม่เจ แม้จะได้บุญกุศล แต่พระคัมภีร์หมิงเซิ่งจิง (คัมภีร์วิสุทธิอริยะ) อ่านน้อยไป คัมภีร์สามคำ (คำหยาบ) พ่นออกมามากไป เท่ากับลบหลู่บรรพจารย์ ควรจะบำเพ็ญจิตอยู่ที่นี่ให้มากเพื่อลดอารมณ์เสียสามเดือน ถึงตอนนี้ได้สำนึกก็สายเสียแล้ว ฉะนั้นจึงขอเตือนผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะต้องปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่กายอยู่ในพุทธะสถาน กินเจแต่ใจไม่เจ ถ้าเป็นอย่างนี้วันข้างหน้าก็หนีด่านมลายอารมณ์ไปไม่พ้น
พระฯ ผู้คุม : ผู้บำเพ็ญทั้งสามได้เล่าความเป็นมาจบแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กง และลาฉงซิวกลับคืนไปได้
พระฯ จี้กง : วันนี้ใช้เวลานานเกินไปมาก อาตมาจะไม่เข้าไปบอกลาพระองค์นายด่าน แต่ขอให้ท่านผู้คุมเรียนขอบพระคุณด้วย
พระ ฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าผู้น้อยน้อมรับ พร้อมทั้งคารวะส่งพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว
พระฯ จี้กง : ฉงซิว รีบกราบลาท่านผู้ควบคุมกลับตำหนักฯ กัน นกเผิงใหญ่มาถึงแล้วไปเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ, ขอบพระคุณพระฯ ผู้คุม ศิษย์ขออำลาพระอาจารย์ ศิษย์นั่งดีแล้ว
พระฯ จี้กง : เอาละ หลับตา บินได้ ฉงซิวกลับถึงตำหนักฯ วิญญาณคืนสู่ร่างดังเดิม