ถาม - ตอบ อนุตตรธรรม
พระอาจารย์จี้กง ตอบ
45. หลักธรรมที่ว่า "รับก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญ" กับ "บำเพ็ญก่อนแล้วค่อยรับ" มีความหมายแตกต่างกันอย่างไร?.
พระพุทธจี้กง ตอบ
ความหมายของคำว่า "บำเพ็ญ" คือการแก้ไขข้อบกพร่องให้สมบูรณ์ ส่วนคำว่า "รับ" คือการได้รับ "การได้รับ" จึงเป็นจุดหมายที่สูงสุด เพื่อง่ายในการทำความเข้าใจ จึงนำการซื้อขายสินค้าบนโลกมนุษย์มาเปรียบเทียบให้เห็น สมมุติว่ามีคนคนหนึ่งต้องการซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง เจ้าของโรงงานที่ผลิตสินค้านั้น มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของตน มีคุณภาพและไม่กลัวการทดสอบ จึงได้ส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อเพื่อให้ทดลองใช้ก่อน แล้วค่อยชำระเงินเมื่อสิ้นเดือน หรืออนุญาตให้ยืดระยะเวลาชำระค่าสินค้าออกไป เช่นนี้ในอาณาจักรธรรมเรียกว่า "เป็นการรับก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญ"
สำหรับการบำเพ็ญก่อนแล้วค่อยรับนั้น คือ ผู้ซื้อต้องชำระเงินค่าสินค้าก่อน แล้วจึงได้รับสินค้า เป็นการให้ค่าตอบแทนที่พอควรก่อนจึงได้รับสินค้า แต่ในที่สุดก็ได้รับสินค้าเช่นกัน เปรียบเสมือนการซื้อขายสินค้า ที่บางแห่งต้องชำระเงินก่อนแล้วจึงมอบสินค้า บางแห่งส่งมอบสินค้าก่อนแล้วจึงชำระเงินภายหลัง ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่แตกต่างกันเลย
อีกตัวอย่างเช่น เวลาเราไปทานอาหารที่ร้านอาหาร ซึ่งบางร้านให้ลูกค้าทานอาหารก่อน แล้วจึงชำระค่าอาหาร แต่บางร้านต้องให้ลูกค้าชำระค่าอาหารก่อนถึงจะทานอาหารได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร เพราะนี่เป็นวิธีการดำเนินกิจการเฉพาะบุคคล
วิธีของการบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน วิธีการบำเพ็ญธรรมในธรรมกาลยุคแดงใช้ระบบ "ชำระค่าอาหารก่อนทานอาหาร" ก็คือ "การบำเพ็ญเพียรก่อนแล้วจึงได้รับธรรม" ส่วนธรรมกาลยุคขาวใช้ระบบ "ทานอาหารก่อนค่อยชำระค่าอาหาร" ก็คือ "การได้รับวิถีธรรมก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญเพียร" หากเข้าใจในหลักธรรมนี้ก็คงจะไม่มีข้อสงสัยใด ๆ อีก
เวไนยทั้งหลาย ! ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลาย ! และปราชญ์เมธีทั้งหลาย ! ขอให้มีความตั้งใจในการบำเพ็ญ ปฏิบัติ เพื่อการหลุดพ้นของตน จะหยุดบำเพ็ญธรรมไม่ได้ อย่าได้มุ่งเข้าไปในทางตัน อย่าได้กล่าวคำครหา นินทาผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ทั้งตนและผู้อื่นเสียหาย หาไม่แล้วต่อให้ระยะเวลานานนัปกัปก็ยากจะหลุดพ้น