collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์  (อ่าน 36509 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

                                 สูตร  จิตพิศดารเพ่งมั่น

        อันว่าจะบำเพ็ญธรรม ต้องสามารถละจากภารกิจ
อธิบาย  :  เมื่อจะเจริญภาวนา ได้ชื่อว่า บำเพ็ญธรรม ต้องไม่เกี่วข้องกับทุกอย่าง  จึงได้ชื่อว่า ละจากภารกิจ

        เรื่องภายนอกตัดให้มากอย่าขวางอยู่ในใจ     
อธิบาย  :  อายตนะภายนอก เรื่องภายนอก ต้องหลีกให้ห่างไกล  อายตนะภายนอกได้แก่ รูป  กลิ่น  เสียง  รส  โผฏฐัพพะ (สัมผัส)  ธรรมารมณ์ (มโนภาพ) หากไม่ได้สัมผัส จึงได้ชื่อว่า ตัดให้มาก จิตและภาพละว่างได้ก็จะปราศจากความกังวล จึงได้ชื่อว่า อย่าขวางในใจ

        ภายหลังนั่งสมาธิ  จิตเริ่มเพ่งภายใน
อธิบาย  :  เมื่อความกังวลละได้แล้ว ให้นั่งตัวตรง หากมี (ความคิด) อะไรแวบเข้ามาให้รีบปัดออกไปเสีย จงทำให้สงบเงียบ จิตเริ่มมีปัณหาให้เพ่งภายในเรียกว่า เพ่งภายใน  หากยังขจัดความคิดไม่หมด เรียกว่า จิตฟุ้ง  กล่าวคือ ความคิดอันแรกมีขึ้นฉับพลัน ความคิดอันหลังจึงตามมา หากจิตหลับลง ความรู้สึกผ่องใสก็ดับไปด้วย จึงต้องขจัดออกไป เมื่อจิตไม่ฟุ้ง คือจิตสงบลงแล้ว รู้สึกดวงจิตไม่กระสับกระส่าย กล่าวคือ สงบ หมายถึง สงบราบเรียบ

        ถัดมา  เรื่องความโลภ  ล่องลอยเที่ยวแตร่  คิดสับสน  ต้องขจัดให้หมด
อธิบาย  :  ความคิดต่าง ๆ ไม่ผุดขึ้น ความคิดสับสนลืมสิ้น เมื่อความคิดสับสนไม่ผุดขึ้น จะมีความโลภได้อย่างไร จึงเรียกว่าขจัดให้หมดสิ้น

        เพียรตลอดวัน  ไม่ผ่อนคลาย
อธิบาย  :  กลางวันเรียกว่าสะอาด  กลางคืนเรียกว่าสกปรก ให้ลืมทั้งสะอาดและสกปรกเสีย ให้เพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีเวลาผ่อนคลาย จึงเรียกว่า ไม่ผ่อนคลาย

        คอยระมัดจิตฟุ้ง  ไม่ต้องระวังจิตเพ่ง
อธิบาย  :  แยกความคิดกังวล ได้ชื่อว่า จิตฟุ้ง เอาจิตเพ่งไปกำหนดเรียกว่า ขจัด ปัญญาผ่องใสตลอดเวลาไม่ขาดตอน ได้ชื่อว่า ไม่ต้องระวังเพ่งจิต

        ผนึกจิตว่าง ไม่ผนึกจิตที่คงอยู่
อธิบาย  :  การมุ่งมั่น เรียกว่า ผนึกจิต จิตทั้งหลายไม่ฟุ้งซ่าน ได้ชื่อว่า จิตว่างไม่ยึดติดใด ๆ ได้ชื่อว่า ไม่ผนึกจิตที่คงอยู่

        ไม่ทำตามวิธีเดียว แล้วจิตจะอยู่ประจำ
อธิบาย  :  หากใช้วิธีอันเดียว ได้ชื่อว่าติดรูป  จิตไม่เลือกวิธี ได้ชื่อว่า ไม่ทำตามวิธี ปัจจุบันก็จะสงบ ได้ชื่อว่า จิตประจำ

        สามัญจิตจะคึกคักเร่งร้อน ผู้ฝึกใหม่ทำจิตให้สงบยาก หรือสงบลงไม่ได้ พักชั่วครู่ก็กลับสูญ
อธิบาย  :  กล่าวกันว่า นิสัยที่กังวลสามารถจะปราบลงได้ ผู้ฝึกใหม่พลังสติไม่สมบูรณ์ จึงปราบลงได้ยาก หากยังพักชั่วครู่ (พักความเพียร) ก็จะสูญเปล่า

        ไปกับอยู่ต่อสู้กัน ร้อยร่างไหลวน
อธิบาย  :  จิตฟุ้งสัมผัสภาพ ภาพก็จะดึงจิตไป จิตและภาพจะสัมผัสกัน ความอยากกับธรรมะแยกกันยาก ได้ชื่อว่า ต่อสู้กัน ความคิดที่สับสนไม่ดับสูญลง ความไม่ถูกต้องทั้งหลายจะเกิดขึ้น ได้ชื่อว่า ร้อยร่างไหลวน

        เพ่งพิจารณานานาน จึงจะคล่องแคล่ว อย่าคิดว่ายังไม่บรรลุ เลยทิ้งภารกิจพันชาติ
อธิบาย  :  จิตมีสติไม่ฟุ้งซ่าน ก็จะรับรู้ตามความเป็นจริง ความคิดชั่วแล่นไม่ละธรรมกิจ ที่ได้ทำมาเป็นพัน ๆ ชาติ ก็จะละลายสูญไป การบำเพ็ญเพียรก็เหมือนการปรุงอาหาร เมื่อความร้อนยังไม่เพียงพอ และยังไม่ใส่เครื่องชูรส รสชาติก็ยังไม่ดี จำต้องรอให้สุกงอมเสียก่อน จึงจะได้รสชาติที่อร่อย มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นการทอดนิ้วตัวเอง ธรรมกิจที่ทำมาตั้งพันชาติก็จะสูญสลาย

        มักน้อย จะได้ความสงบ
อธิบาย  :  เริ่มแรกฝึกหัด จะได้รับความสงบสบายสะอาด ปัญญายังไม่เกิด อันนี้เรียกว่า ได้รับผลน้อย ก็แต่เพียงความสงบ

        ปฏิบัติในอริยาบถทั้งสี่
อธิบาย  :  ให้ปฏิบัติ ในท่า  เดิน  ยืน  นั่ง  และนอน ให้มีความสง่างามทั้งสี่อริยาบถ

        ที่ที่ทำงาน  และที่ที่อึกทึก
อธิบาย  :  พบเห็นรูปต่าง ๆ ในแหล่งธุรกิจ  ที่ที่ทำงาน จิตทุกชนิดที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบ ได้ชื่อว่า ที่ที่อึกทึก

        ล้วนทำให้ความคิดสับสน
อธิบาย  :  ความวุ่นวายสงบลง กลับคืนสู่ความสงบเงียบ ได้ชื่อว่านำความคิดอยู่ที่ ๆ สงบ ได้ชื่อว่า สงบ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

                                 สูตร  จิตพิศดารเพ่งมั่น

        มีหรือไม่มีธุระ เหมือนไม่ใส่ใจ ที่เงียบที่อึกทึก ตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง
อธิบาย  :  มีหรือไม่มีให้ปล่อยคลาย  ความเงียบหรือการใช้ ต้องละ (ลืม) นานานศาสตร์ไม่มีความแตกต่าง ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่ง

        เร่งรัดจิตจนเกินไป ร่างกายจะเจ็บป่วย สติฟั่นเฟือน ค่อยเป็นค่อยไป
อธิบาย  :  ใจเร่งร้อน ยึดเอาแต่ความเงียบ ได้ชื่อว่า เร่งรัดจิต จิตเกิดเห็นรูปภายนอก อันนี้คือ สติฟั่นเฟือน ที่พูดว่าบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจิต ไม่อาจร้อนเร่งรัด มิฉะนั้น ก็จะเกิดเจ็บป่วยได้

        เมื่อจิตไม่ฟุ้ง ต้องปล่อยเลย ช้าหรือเร็วก็ถึงที่
อธิบาย  :  เมื่อสติตั้งมั่น ดวงปัญญาจะเกิด ได้ชื่อว่า ปล่อยเลย สติ ปัญญาจะสมดุลกัน ได้ชื่อว่า ถึงที่ มรรควิธีการบำเพ็ญเพียร ควรจะรีบ และปล่อยได้ตามต้องการ

        ปรับให้เข้ากันโดยธรรมชาติ
อธิบาย  :  ระวังแต่สติเกินไป ก็ไม่เกิดปัญญา ถ้าใช้ปัญญาเกินไปก็จะเกิดความวิปลาศ ดังนั้น ต้องมีทั้งสติปัญญาควบคู่กันไป จึงได้ชื่อว่า ปรับให้เข้ากันโดยธรรมชาติ

        บังคับไม่อยู่ ปล่อยไม่ฟุ้งซ่าน อยู่ที่อึกทึกไม่เคือง ทำธุระหัวไม่เสีย อันนี้เป็น ความมีสติที่แท้จริง
อธิบาย  :  ยามเงียบสงบก็เพ่งจิตอยู่เสมอ   เมื่อเพ่งเสมอก็จะเงียบสงบ แม้จิตว่างก็ทำธุระได้ ขณะทำธุระก็ยังว่างอยู่ เป็นการบรรลุถึงต้นตอแห่งความสงบ นั่นคือ ความมีสติที่แท้จริง

        ไม่ใช่ทำธุระหัวไม่เสีย เลยทำงานมากขึ้น ไม่ใช่อยู่ที่อึกทึกไม่เคือง ก็เลยจมปลักอยู่ในที่อึกทึก
อธิบาย  :  นิสัยที่ชอบทำงานหามรุ่งหามค่ำ ควรระงับห้ามปรามเสมอ ๆ อย่าปล่อยให้มันเตลิดไป มิฉะนั้นจะเป็นการหาทุกข์มาใส่ตัวเอง

        การปราศจากธุระเป็นที่พำนักจริง เมื่อมีธุระก็ทำตามธุระ
อธิบาย  :  เมื่อพบว่า จิต สงบเงียบว่าง ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีความกังวล นั่นคือ ที่พักอาศัยของจิตจริง ปัญญาจึงใช้ได้ไม่หมด เมื่อมีปัญหาก็สามารถแก้ได้ ดังนั้น เมื่อมีธุระก็ทำตามธุระ

        ใช้ผิวน้ำต่างกระจกส่องดู เมื่อตามดูจะพบรูป
อธิบาย  :  พื้นจิตสะอาดใส เหมือนผิวน้ำ ส่องดูได้โดยไม่มีสิ่งขัดขวาง สรรพสิ่งจึงปรากฏให้เห็น จึงเรียกว่าพบรูป

        กุศลจิตมีอิสระ สามารถเข้าสมาธิได้ง่าย
อธิบาย  :  อุปนิสัยของจิต ย่อมว่าง ความสงบเงียบไม่มีที่ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงสามารถเข้าสมาธิได้ง่าย

        ดวงปัญญาจะเกิดเร็วหรือช้า คนกำหนดไม่ได้ อย่าเพียรเร่งให้เกิดปัญญา ในขณะมีสมาธิความเร่งร้อนจะเป็นอันตรายต่อจิต เมื่อจิตได้รับอันตรายก็จะไม่เกิดปัญญา
อธิบาย  :  จิตเร่งรัดอยากให้รู้ให้เห็น ยิ่งทำให้สมาธิสูญสลาย ก็โลภในรูป ทำอันตรายต่อจิต  ได้ชื่อว่า ไร้ปัญญา ให้ใช้วิธีธรรมชาติในการปฏิบัติธรรม ธรรมนั้นจะเกิดขึ้นเอง

        เมื่อได้สมาธิแต่พึงได้ปัญญา ปัญญาจะเกิดเอง เรียก สัจจปัญญา
อธิบาย  :  พื้นจิตสงบเงียบ จะใช้ได้อย่างพิศดาร ที่เกิดขึ้นคือสัจจปัญญา

        ปัญญาหากไม่ใช้ ที่แท้คือผู้โง่
อธิบาย  :  เมื่อไม่มีการแยกแยะออกจากกันเลย ได้ชื่อว่า ไม่ได้ใช้ปัญญา  การซ่อนเร้นปิดบังไม่ให้ผู้อื่นรู้  ได้ชื่อว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ได้มรรคผล มักจะมีลักษณะคล้ายคนเบาปัญญา  จะนับได้ว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

        ประโยชน์เพิ่มพูนแก่สมาธิปัญญาจะงดงามอย่างไร้ขอบเขต
อธิบาย  :  ความสงบเงียบ และการเพ่งพินิจสมดุลกัน การเคลื่อนไหวและความเงียบเป็นไปอย่างธรรมชาติ จึงได้ชื่อว่างดงามอย่างไร้ขอบเขต

        หากมีความคิดในสมาธิ จะมีผลต่อสิ่งอกุศล ภูติผีปีศาจร้อยแปดจะผุดขึ้นมาให้เห็นตามที่ใจนั้นนึกคิดไว้
อธิบาย  :  หากใจได้รูป รูปต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นสนองตอบ บรรดามารทั้งหลายจะแย่งกันมารบกวน

        การได้พบเห็นเทพเทวดา และ พระอรหันต์ เป็นนิมิตดี
อธิบาย  :  หากได้พบเพ็น เทพ เทวดา หรือพระอรหันต์ แม้จะเป็นนิมิตดี แต่ไม่สามารถจะสัมผัสได้

        เบื้องบนของสมาธิจิต ไม่มีอะไรบดบัง เบื้องใต้ของสมาธิจิต ก็ไม่มีพื้น
อธิบาย  :  ความนึกคิดเบื้องก่อนไม่เกิด ได้ชื่อว่า ไม่มีอะไรบดบัง ความนึกคิดภายหลังไม่เกิด ได้ชื่อว่าไม่มีพื้น

        กิจเก่าหมดไปทุกวัน กิจใหม่ไม่สร้าง
อธิบาย  :  อุปนิสัยเก่า ๆ ค่อย ๆ หมดไป ได้ชื่อว่า กิจเก่าหมดไปทุกวัน จิตยิ่งไม่ฟุ้ง ดังนั้น จึงได้ชื่อว่า กิจใหม่ไม่สร้าง

        ไม่มีอะไรห่วง หลุดพ้นจากกิเลส
อธิบาย  :  ไม่ข้องเกี่ยวกับเหตุหารณ์ต่าง ๆ ได้ชื่อว่า ไม่มีอะไรห่วง หลุดพ้นจากสิ่งผูกพัน จึงได้ชื่อว่า หลุดพ้นจากกิเลส

        ปฏิบัติไปสม่ำเสมอ ย่อมบรรลุเองโดยธรรมชาติ
อธิบาย  :  ปัญญาเกิดขึ้นไม่หยุด ได้ชื่อว่า ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ สมเหตุผลเป็นไปตามความเป็นจริง จึงได้ชื่อว่า บรรลุธรรม

        ผู้บรรลุธรรม ย่อมได้ 7 ประการ
อธิบาย  :  ผู้บรรลุธรรมจะมีลักษณธ 7 ประการ
        1.  จิตเป็นสมาธิ รู้สึกกิเลสต่าง ๆ โดยง่าย
อธิบาย  :  เมื่อ จิต สว่าง สงบ เงียบ ก็สามารถรับรู้กิเลสต่าง ๆ โดยง่าย
        2.  โรคเก่าหดหาย ร่างกายและจิตใจเบาสบาย
อธิบาย  :  ธาตุที่สะอาดเหมาะกับการหายใจ โรคที่เป็นมานานก็ค่อย ๆ หายไป  ร่างกายและธรรม จะผสมผสานเข้ากันได้อย่างแท้จริง ร่างกายจึงเบาสบาย
        3.  เสริมสร้างสิ่งที่สูญหายไป ทำให้อายุยืนคืนชีพได้
อธิบาย  :  กระดูกเข้มแข็งเต็มตึง ได้ชื่อว่า เสริมสร้างสิ่งที่สูญหายไป สีหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ได้ชื่อว่าอายุยืนคืนชีพได้
        4.  อายุยืนถึงหมื่นปี ได้ชื่อว่า เทวดา
อธิบาย  :  เมื่อมีอายุยืนยาวไม่ตาย จนนับได้ถึงหมื่นปี ได้บันทึกชื่อไว้ใน บัญชีสวรรค์ จึงได้ชื่อว่า เทวดา
        5.  ฝึกรูปเป็นธาตุ ได้ชื่อว่า ผู้สำเร็จ
อธิบาย  :  การที่สามารถรับธาตุเดิมได้ ได้ชื่อว่า ฝึกรูปเป็นธาตุ จิตเดิมไม่แปลกปลอม จึงได้ชื่อว่า ผู้สำเร็จ
        6.  ฝึกธาตุเป็นเทพเจ้า ได้ชื่อว่า เทพเจ้า
อธิบาย  :  วิสุทธิธาตุ เชื่อมโยงถึง เทพเจ้า อิม - เอี้ยง ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ได้ชื่อว่า เทพเจ้า
        7.  ฝึกจิตแท้รวมกับธรรม ได้ชื่อว่า ผู้วิเศษ
อธิบาย  :  จิตแท้เมื่อรวมกับธรรม ได้ชื่อว่า ผู้วิเศษ หรือ เทพทองคำ อรหันต์ หรือ พระพุทธเจ้า

        พลังเพ่ง จะโชติช่วงตลอดเวลา
อธิบาย  :  พลังเพ่ง เพ่งอยู่ตลอดเวลาไม่มีการหยุดนิ่ง ยิ่งโชติช่วง ก็จะสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา พลังสัทธรรมยิ่งสูง พลังไฟยิ่งแจ่มแจ้งขึ้น

        เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ปัญญาจะสมบูรณ์กลมกลืน
อธิบาย  :  หากได้ละนิสัยเดิมแล้ว เมื่อได้มรรค - ผล เป็นผู้สำเร็จ ปัญญาจะสมบูรณ์กลมกลืน ทุก ๆ ศาสตร์จะมีพร้อม

        หากฝึกสมาธิจิตมานาน แต่ไม่ได้คุณสักอย่าง กิเลสจะพอกพูน ชีวิตจะสั้น  รูปจะเสื่อมสลาย ผู้ที่ยกตนว่ามีปัญญาสูง บรรลุธรรม แสวงหาเหตุแห่งธรรมจะเป็นการไม่ถูกต้อง
อธิบาย  :  เมื่อจิตเชื่อมโยงรวมกับธรรมได้แล้ว ธรรมที่ได้จะจริงแท้ หากจิตหลงจนตัวตาย ก็ไม่สามารถหลีกจาก เกิด - ตาย ในพระสูตร อรุณตะวันตกกล่าวว่า "เป็นเพราะสูญเสียต้นตอแห่งการเกิด แล้วจะรู้สึกต้นตออย่างไรกัน"  ดังนั้น ผู้บำเพ็ญธรรมไปนาน ๆ แล้ว ยังไม่ได้คุณอะไรสักอย่าง แสดงว่าบารมียังไปไม่ถึง วันเดือนผ่านไป อายุก็เพิ่มขึ้น ร่างกายเสื่อมทราม ยกตนว่าสำเร็จมรรค - ผล ล้วนไม่เป็นความจริงเลย ดังนั้น จึงฉวยโอกาสอันดีงามนี้ ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ

                            กลอนสรรเสริญ
        ความรู้เกิดแต่สภาวะ
ไฟจะเกิดต้องมีเหตุแน่
แต่ละชนิดต้องมีนิสัยจริงแท้
เนื่องจากการไหลนั่นแลจึงสูญต้นตอแห่งธรรม
จิตทะยานอยากจึงหยุดความรู้
เมื่อจิตรู้จึงเกิดความทุกข์
เมื่อหมดรู้ความว่างจึงบุก
ความรู้บุกทุกประตูย่อมพิศดาร

หยางเซิง  :  กราบขอบพระคุณ ที่ท่านเทพได้ประทานคัมภีร์อันมีค่า โสตสัมผัสสูตรแท้ หากแทงทะลุ จิตวิญญาณย่อมสะอาด ใต้หล้านี้ชาวโลกก็มีพระคัมภีร์แท้อีกเล่มหนึ่ง เป็นที่พึ่งพาได้

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ  :  หวังว่า ชาวโลกที่ปฏิบัติธรรม จะฝึกหัดพระสูตรสติเพ่งพินิจ สำหรับผู้ที่ฝึกสติให้สงบเงียบนั้น ควรจะท่องจำให้ได้ ก็สามารถจะเข้าสมาธิจนบรรลุธรรมได้ จะมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมหัศจรรย์ จงอย่าดูแคลน ข้าฯ จะพาหยางเซิงไปชมพระที่นั่ง "จิตบำเพ็ญ" เพื่อฟังท่านผู้สำเร็จได้อธิบายให้ฟังบ้าง

หยางเซิง  :  ดีซิครับ ขอบพระคุณที่ท่านเทพชักนำ พระที่นั่งจิตบำเพ็ญ ภายในกว้างขวางผิดธรรมดา เหล่าวิสุทธิเทพมากมาย รอบพระวรกายก็มีรัศมีเปล่งออกมาพระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความเมตตา กราบเรียนถามท่านวิสุทธิเทพองค์นี้ว่า มิทราบว่าท่านได้บำเพ็ญเพียรอย่างไรจนกระทั่งได้มรรค - ผล ในวันนี้?.         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

สุวรรณเทพ   :  เจริญพร !  อาตมาสำเร็จมรรคผลมานานกว่าร้อยปีแล้ว  เดิมทีอาตมาเป็นคนในเมืองเสฉวนประเทศจีน ตอนเยาว์วัยกำพร้าบิดามารดา ยากจนมาก จึงออกขอทานไปทุกสารทิศ แต่ใจอาตมาไม่ละโมบ มีกินเพียงอิ่มเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ก็จะหยุด มีอยู่วันหนึ่ง อาตมาได้พักอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง ท่านมหาครูเซี่ยเต็ก ได้กรุณารับอาตมาไว้เป็นศิษย์ของท่าน ท่านได้ถ่ายทอดวิชาความรู้แก่อาตมา  ได้ขยันหมั่นเพียรในการฝึกอบรมมาเป็นเวลานับสิบปีได้รับการทดสอบจากเหล่ามารมากมายอย่างไม่ย่อท้อ จึงได้รับมรรค - ผล ในวันนี้

หยางเซิง   :  จะกรุณาเล่ารายละเอียดต่าง ๆ ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรให้ฟังด้วยจะได้ไหม ?. เพื่อให้ผู้คนชาวโลกจะได้ศึกษาเป็นตัวอย่าง

สุวรรณเทพ   :  เรื่องขอโลกมนุษย์ อาตมาไม่คิดจะถามหา ไม่คิดที่จะพูดมาก

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  เพื่อเป็นการโปรดผู้คน ขอให้ท่านพูดให้กระจ่างเถอะ ! 

สุวรรณเทพ   :  ก็ได้ !  มิใช่ว่าอาตมาจะไม่เมตตานะ อันที่จริงแล้วชาวโลกนี้ยากที่จะโปรดจริง ๆ   คิดถึงครั้งเมื่ออาตมาบำเพ็ญเพียรอยู่ หนทางขรุขระผ่านความทุกข์ลำบากนานัปการ กินก็แต่น้ำใส ๆ นอนก็เป็นเตียงไม้ มีบางครั้งทำสมาธิฝึกธรรมวิทยา เพ่งจิตเข้าฌานนานนับเป็นเดือน  มีอยู่ครั้งหนึ่ง เกิดเป็นโรคฝีหนองเต็มไปหมดทั้งตัว ไม่หาย ถูกอาจารย์ไล่ออกนอกวัด หายใจแขม่ว ๆ ปางตาย แต่จิตยึดมั่นในสัทธรรมไม่เสื่อมคลาย ภายหลังอาจารย์จึงให้ยาวิเศษมารับประทาน ทำให้โรคภัยหายไป จนเป็นปกติเหมือนเดิม  มีอยู่คราวหนึ่ง ได้ใช้พลังเทพรักษาโรคให้ชาวบ้าน  เลยทำให้ชาวบ้านแห่กันมารักษาโรคนับเป็นพันคน ทางการเขากล่าวหาว่าหลอกลวงประชาชนเลยจับเข้าคุก  อาตมาก็เลยทำสมาธิเข้าฌาน จึงรู้ว่า เหตุที่เกิดก็เนื่องจากกรรมเก่าที่สะสมเอาไว้แต่ปางก่อน และเป็นการทดแทนการติดคุกในแดนนรก จำเป็นต้องอาศัยโซ่ตรวนแห่งมนุษยโลกเป็นการสะสางหนี้กรรม เลยไม่มีการโกรธแค้นหรือผูกใจเจ็บแต่อย่างไร ได้แต่สำนึกถึงกรรมเก่าที่ได้กระทำมาอยู่ภายในคุกและเป็นการฝึกพลังภายในไปด้วย ติดคุกอยู่ครึ่งปีภายหลังสอบสวนแล้วไม่มีความผิดจึงถูกปล่อยตัวออกมา   มีอยู่วันหนึ่งขณะพลบค่ำกำลังเดินทางกลับวัดได้พบหญิงสาวสวยงามผู้หนึ่งระหว่างทาง ต้องการที่จะเข้ามาคำนับอาตมาถวายตนเป็นศิษย์ และพูดจาหว่านล้อมให้อาตมาเสพสวาท บอกว่าให้บำเพ็ญธรรมพร้อมกับเสพโลกียธรรมไปด้วย นางมีรูปโฉมโนมพรรณที่ชวนให้ลุ่มหลงยิ่งนัก วาจาก็หวานซึ้งฉอเลาะชวนหลงใหล แต่อาตมาบอกปัดด้วยวาจาเฉียบขาด ไม่ให้ความสนใจ ถึงแม้จะถูกตื้อหนักสักเพียงใดก็ตาม จิตของอาตมาก็ยังแน่วแน่ในสัทธรรม และแล้วในที่สุดนางจึงต้องจำจากไป ต่อมาภายหลังจึงทราบว่า เป็นการทดสอบของนางมารทางโลกีย์ นับว่าโชคดีมากที่ไม่ลุ่มหลง ตกลงไปสู่ทะเลรักทะเลใคร่ ท่านผู้บำเพ็ญธรรมโปรดระมัดระวังให้จงหนัก !  หากได้พบกับเหตุการเช่นว่านี้ ให้พยายามคิดว่า นั่นคือตัวหลอน ที่ตกแต่งด้วยสีขาว ๆ เขียว ๆ สวยงามหยาดเยิ้ม  ล้วนจะทำให้หูตาผู้คนหลงใหล เป็นอาวุธที่ฆ่าคนอันคมกริบ มีคำขวัญอยู่ว่า  "การบำเพ็ญเพียรควรยึดถือคติที่ว่า รูปและนามล้วนสูญเปล่าจะโลภไปไย สี่มหาภูตรูป (ธาตุ) อันจอมปลอมไม่มีที่สิ้นสุด ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่จะพ้นโลกไป"  จะไม่น่ากลัวหรือ !  สำหรับผู้บำเพ็ญธรรมต้องได้รับความลำบากมากมาย ไหนจะให้หมดเวรกรรมในชาติปางก่อน ๆ แล้ว ยังต้องยินดีเผชิญกับการทดสอบของมารต่าง ๆ อีกด้วย ขอเตือนผู้บำเพ็ญเพียร หากได้พบกับมารความทุกข์ยาก การเจ็บป่วยต่าง ๆ หรือฐานะของตนเกิดการเปลี่ยนแปลง  จิตใจจงอย่าได้ท้อถอยเป็นอันขาด หากเกิดท้อถอยหมดกำลังใจ ก็จะเป็นชัยชนะของมาร  และเป็นการพ่ายแพ้ธรรมะ อาตมาได้บำเพ็ญเพียรจนกระทั่งเวรกรรมหมดลง  จนปรากฏวิญญาณเดิมแล้วละร่าง ลอยขึ้นสู่สวรรค์ชั้นนิพพาน  (มหาไพศาลภูมิ)  ได้รับความสุขชั่วนิรันดร์ ในขณะนี้ได้สนทนาธรรมกับเหล่าสุวรรณเทพองค์อื่น ๆ ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  เนื่องจากเวลาหมดลงแล้ว เราศิษย์อาจารย์จำต้องลากลับสำนัก ขอบคุณท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ และเหล่าสุวรรณเทพที่ได้สนทนาธรรม

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ขอส่งท่านทั้งสอง

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ และท่านสุวรรณเทพ ขอกราบลาก่อน

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

อรหันต์จี้กง   :  ชาวโลกอยากกระโดดลงสู่ทะเลทุกข์ เพียงขยับก็ดิ่งลง หากจะลอยขึ้นสู่สวรรค์ กระโดดได้เพียงไม่กี่ฟุตก็จะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมาดังนั้นชาวโลกผู้บำเพ็ญธรรมที่ต้องการหลุดออกจากวัฏสงสาร ก่อนอื่นจิตต้องละโลภ  หลง  จากสิ่งของรูปลักษณ์บนโลกเสียก่อน หากมนุษย์ลุ่มหลงต่อสิ่งต่าง ๆ แล้วไซร์ จิตใจก็จะถูกครอบงำด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ความขุ่นของธาตุจะเกาะกุมกันจมดิ่งสู่ดิน ใต้ดินจึงก่อกำเนิดเป็นธาร  ทะเล  แห่งทุกข์ทั้งปวงเราศิษย์อาจารย์ที่จะไปในวันนีก็คือ สวรรค์ที่สะอาด  เบาสบาย  หยางเซิง รีบปล่อยว่างทุกสิ่งทุกอย่าง จึงจะสามารถลอยขึ้นสู่แดนศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตได้

หยางเซิง   :  ปล่อยวางอะไรมิทราบท่านอาจารย์ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ปล่อยวางที่เจ้าแบกไว้บนหลัง และความกังวลในจิตใจไงเล่า ?. อย่าไปคิดหลงมันเลยแม้แต่น้อย ! โยนตนเองไว้ในอวกาศ ไม่ให้นำสิ่งใดติดขึ้นไป ดังนั้นจึงจะรู้สึกว่าตัวจะเบาหวิว จึงสามารถลอยขึ้นสู่ฟ้าได้

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์พูดถูกต้อง !  แต่เหตุไฉนชาวโลกจึงไม่สามารถละสัมภาระ และความห่วงกังวลเล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  ตาเห็นแต่ไม่จำ หูได้ยินแต่ไม่บันทึก ก็คือ จิตใจ จะตรงไม่งอเป็นเข็มเบ็ด สัมภาระก็จะเกี่ยวไม่ติด สรรพกิจไม่มีอุปสรรค แล้วเลือด (จิต) ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นธรรม (+) เหมือนมนุษย์มีปีกสองข้าง เหมือนธนูยิงขึ้นไปในอากาศ หากจิตเหมือนเข็มเบ็ดตกปลา หย่อนลงในทะเลทุกข์ก็จะเกี่ยวเอาพวกไม้และสวะ กรรมเวรนั้นติดตามมา  ถึงแม้จะมีพระเจ้าคอยฉุดลากก็มิอาจลากขึ้นมาได้

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยตีซ้อมให้ละทิ้งใจที่สามัญ แปรเปลี่ยนเป็นใจที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องติดตามอาจารย์บินขึ้นสู่สวรรค์แน่นอน เพื่อไปเยี่ยมคำนับเหล่าวิสุทธิเทพ !

อรหันต์จี้กง    : ฮาฮ้า !  ได้กลับใจจริง ๆ แล้ว เฝ้าตาม (+) ตรงไปยังสวรรค์ รีบ ๆ ขึ้นบนดอกบัว เราศิษย์อาจารย์ท่องชมทิวทัศน์สวรรค์ด้วยกัน เพื่อคลายอารมณ์ ! 

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม !  กระผมได้นั่งเรียบร้อยแล้วขอเชิญอาจารย์ออกเดินทางได้ ! 

อรหันต์จี้กง   :  พาศิษย์ผู้ปราดเปรื่องขึ้นนั่งบนดอกบัวทะยานขึ้นสู่แดนนิพพาน ยิ่งขึ้นสูงเท่าไรก็ยิ่งรู้สุกว่าจิตใจลอยละลิ่วเท่านั้น สิ่งหนักอึ้งทั้งหลายปล่อยวางไว้เบื้องหลัง ไม่ต้องไปสนใจมัน เมื่อจิตไม่พะวง จิตก็จะดิ่งขึ้นสู่สวรรค์เบื้องแรก  วันนี้เราจะไปยังวรสุญญตวิสุทธิปราสาท เยี่ยมคารวะท่าน พระบุพวิสุทธิเทพ..... อ้อ ถึงแล้ว เจ้าหยางเซิงลงจากดอกบัวได้

หยางเซิง   :  เห็นแต่แสงรัศมี แปลบปลาบไปหมด ตาทั้งสองข้างสู้ไม่ค่อยไหว ลืมไม่ขึ้นแล้วอาจารย์ !     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

อรหันต์จี้กง   :  วรสูญตวิสุทธิแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากผู้คนบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เป็นพระวิสุทธิเทพเท่านั้นที่จะเข้ามายังที่นี่ได้ เทพ  เทวดา ชั้นกลาง  และต่ำลงมาไม่อาจจะเข้ามาได้  อันสืบเนื่องจากแดนวิสุทธิ์นี้ ต้นเป็นกำเนิดธารแห่งมหาสัทธรรม ดังนั้นพลังแห่งสัทธรรมจึงแรงฤทธิ์หาที่สิ้นสุดและไร้ขอบเขต  ฤทธิ์เดชจึงไร้เทียมทาน เจ้าน่ะเป็นปุถุชนถึงแม้จะมีพลังธรรมก็จริง แต่พลังไฟยังไม่สดใส ดังนั้นจะมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตนี้ ย่อมเป็นอุปสรรค ข้าฯจะให้ยาวิเศษเจ้าสักเม็ด รีบ ๆ กินเข้าไปเพื่อช่วยพลังของเจ้า

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านอาจารย์ พอกระผมรับประทานลงไปเท่านั้นพลังจิตก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อย ๆ เท่า ฉับพลันนั้นเองรอบ ๆ กายก็ปรากฏมีรัศมีเปล่งออกมาด้วย แสงที่แผดกล้าเมื่อครู่ที่มาถึง รู้สึกว่ากำลังจะอ่อนลงเป็นแสงนุ่มนวล

อรหันต์จี้กง   :  อันนี้เข้าลักษณะรัศมีประสานรัศมี เหมือนหลักพลังจิตประสานพลังจิต หากมนุษย์สามารถบำเพ็ญเพียร จนสามารถเปล่งรัศมีออกมาได้นั้น ก็หมายความว่า  ก็มีธรรมะเพียงพอที่จะประสานกับธรรมะของพระพุทธเจ้า หรือ พระวิสุทธิเทพได้แล้ว

หยางเซิง   :  ด้านหน้ามีปราสาทหลังใหญ่หลังหนึ่ง ข้างบนมีอักษรว่า  "วรสุญญตวิสุทธิปราสาท"  มีรัศมีเปล่งประกายแสบตา ตัวปราสาทกว้างใหญ่ รอบ ๆ มีเมฆสีต่าง ๆ ลอยผ่านรู้สึกมีไอแห่งศิริมงคล มิทราบว่าปราสาทหลังนี้จะเป็นที่พำนักของท่านพระบุพวิสุทธิเทพหรือไม่

อรหันต์จี้กง   :  วรสุญญตวิสุทธิปราสาทก็มีอีกนามหนึ่งว่า  "วรวิสุทธิปราสาท"  เป็นที่พำนักของท่านพระบุพวิสุทธิเทพ  เรารีบเข้าไปกราบนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพกันเถอะ จะได้ไม่เสียมารยาท

หยางเซิง   :  นมัสการเข้าพบท่านพระบุพวิสุทธิเทพ กระผมเป็นคนทรงชื่อหยางเซิง  ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ วันนี้ก็ได้ติดตามพระอาจารย์มายังวรสุญญตวิสุทธิปราสาทเพื่อนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพ กระผมได้ยินกิิศัพท์ อันศักดิ์สิทธิ์ของท่านพระบุพวิสุทธิเทพ มานานแล้ว วันนี้นับว่ามีบุญวาสนาได้เห็นพระพักตร์อันศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเป็นบุญมหันต์ ขอเชิญท่านพระบุพวิสุทธิเทพได้โปรดประทานพระวรพจน์ เพื่อช่วยชักนำผู้ลุ่มหลงด้วยเถิด ขอรับ

บุพวิสุทธิเทพ   :  เจริญพร !  สัทธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เผยแพร่ไปจากข้าฯ จนได้รับความสำเร็จรุ่งไพศาลติดต่อกันไปจนถึงทุกวันนี้ ข้าฯก็รู้สึกเจริญใจ สัทธรรมที่มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่สามารถที่จะพูดให้จบในประโยคเดียวได้ ข้าฯจะไม่พูดละ เจ้าจงดูนิ้วมือที่ชี้ตรงหน้าเจ้าก็แล้วกัน

หยางเซิง   :  กระผมโง่มาก ไม่ทราบความหมายมันเลย

บุพวิสุทธิเทพ   :  "ข้างหน้ามีถนนสายหนึ่ง ตรงไปยังบ้านเก่าของเจ้า"  มือศักดิ์สิทธิ์ชี้ไปยังตัวเจ้า เจ้าเห็นกระจ่างแล้วหรือยัง?. "เข้าใจ"  แลัวหรือยัง

หยางเซิง   :  เข้าใจแล้วขอรับ !  "เข้าใจ" แล้ว ! 

บุพวิสุทธิเทพ   :  ข้าฯชี้ให้เจ้าดูหน้าตาที่แท้จริงของเจ้า สัทธรรมก็อยู่ในนั้น ผู้ค้นพบก็จะบรรลุ ผู้ที่หลงแม้จะมีโคมไฟส่องทางก็ยังมีจิตที่กระสับกระส่ายเหมือนลิง กระโจนไปทางซ้ายทีขวาที ตกลงสู่คลองอันมืดคลึ้ม !  พระมหาสัทธรรมแห่งพระบุพนภากาศ ทำไมจึงมีความหมายเพียง  "น้อยนิด"  ก็เพราะปัญญาอันน้อยนิดนี้ได้เกี่ยวเอาหัวของชาวโลกให้มึนงงมาแล้ว ที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร?. น่าสงสาร !  น่าสงสารจริง ๆ

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านเทพที่ชี้แนะให้จดจำ !   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 8/02/2012, 01:12 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
 จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

บุพวิสุทธิเทพ   :  เอกธาตุเริ่มแรก ที่ไร้ขอบเขต ก็เป็นต้นกำเนิด (หน้าตา) ของวิญญาณ จิตเดินเก้าพันหกร้อยล้านดวง แต่ชาวโลกยังหลงใหลไม่รู้สำนึกไม่กลับหลังกลับแสงส่องตนเพ่งพิจารณาตนเองให้ั่ถ้วนทั่ว กลับสนใจแต่รูปงามของผีเปรตในแต่ละวัน จิตใจเพ่งอยู่ภายนอก ดังนั้น จึงถอยห่างจากมหาสัทธรรมทุกที  วันนี้ข้าฯต้องการให้เจ้าหยางเซิงจดจำ  ต้องการให้เขาเฝ้าดูจิตของตนเอง ดูวิญญาณตนเองให้ทุ่มเทเอาใจใส่เรื่องนี้ให้หนักแน่น รวบรวมและรักษาความเป็นหนึ่ง ก็จะผลิตต้นอ่อนจนเติบโตเป็นใหญ่ให้ดอกผล การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ยากเย็นอะไร ขอให้จำคำข้าฯ  "เฝ้าถามตนเองให้มาก สนใจผู้อื่นแต่น้อย"  ให้ค่อย ๆ ฝึกไป รับรองได้ว่าจะสามารถเติบใหญ่ สำเร็จเป็น  "อริยบุคคล  เป็นวิสุทธิเทพ  เป็นพระพุทธเจ้าได้" 

หยางเซิง   :  ท่านวิสุทธิเทพให้สัทธรรมที่พิศดารแท้ ๆ

บุพวิสุทธิเทพ   :  เพราะพิศดารนี่แหละ  จากหนึ่งเดียวจนกระจายเป็นสรรพสิ่ง

หยางเซิง   :  ขอให้ท่านวิสุทธิเทพ ได้โปรดบรรยายธรรมเพิ่มเติมให้อีกด้วยเถิด

บุพวิสุทธิเทพ   :  เพื่อเป็นการเผยแพร่มหาสัทธรรม จะได้เป็นการโปรดชาวโลก  ดังนั้นจึงขอบรรยายธรรมะให้แก่ชาวโลก ดังนี้

                            ความเป็นมาของฟ้าดิน

        สืบเนื่องแต่  บุพวิสุทธิเทพ อันประกอบด้วย  จอมปราชญ์  พระผู้เป็นเจ้า  พระบิดาสวรรค์  พระจอมมารดา  พระจอมมุนี  พระพุทธเจ้า  และพระวิสุทธิเทพเป็นต้น เอกธาตุถูกแปรเปลี่ยน ธาตุวิสุทธิ์จะลอยขึ้น  ที่ขุ่นมัวก็จะจมลง ทำให้กำเนิดฟ้า - ดิน  ธรรมชาติได้ห่อหุ้มพื้นดินไว้ เหมือนกับเปลือกไข่ห่อหุ้มไข่ขาว - แดงไว้  มนุษย์ก็ได้อาศัยอยู่บนพื้นดิน เนื่องจากมีทั้งบนฟ้าและใต้ดิน และที่อาศัยอยู่ยังไม่รู้ว่าเป็นบนพื้นดินทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ล้อมรอบไปด้วยนภากาศ พื้นนั้นก็คล้ายนาฬิกาหมุนรอบสิบสองชั่วโมง เป็น สิบสองชั้นอยู่เบื้องบน เหมือนร่างกายมนุษย์ที่มีสิบสองชั้น  เหนือจากชั้นที่สิบสองเป็นชั้นที่ไม่มีขอบเขต ไร้ที่สิ้นสุด อาจกล่าวว่า เป็นสวรรค์ชั้นที่สิบสาม  พื้นดินอยู่เบื้องล่าง เป็นส่วนที่หนักที่สุด เมื่อคืนกลับก็จะบรรจบกับฟ้า จึงได้ชื่อว่าเก้าชั้น (คือสุดเก้าชั้นจะคืนกลับสู่ต้น) 

        เริ่มทีแรกจะพูดถึงชั้นที่อยู่เหนือสุดของพื้นดินก่อน เนื่องจากชั้นนี้ก่อเกิดจากอากาศที่บริสุทธิ์ก่อน แล้วก่อผผนึกแข็งตัวเป็นหิน ตั้งตระหง่านสูงเป็นยอด เช่น ยอดเขา  ที่สองลองลงมาก็เป็น  หลีบผา  ส่วนบนเป็น หลีบ  เนินใหญ่เป็น  ผา  ที่สามถัดมาเป็น  ดินร่วน  ทางตะวันตกเฉียงเหนือ  ที่ดินแห้งแล้งฝุ่นทรายบินว่อน  ที่สี่ถัดมาเป็นความชุ่มชื้น  อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  ลักษณะที่มีน้ำเนืองนอง  ที่ห้าถัดมาเป็น  แม่น้ำ  ลำธาร  ได้แก่  แม่น้ำใหญ่ ๆ เป็นชั้นเบื้องล่างของพื้นดิน  ทำเขื่อนกั้นน้ำไว้   ที่หกเรียกว่า  ทรายเคลื่อน  ใต้พื้นดินมีทรายเคลื่อนไหว  ไหลไปตามกระแสน้ำ   ที่เจ็ดเรียกว่า  ธารน้ำเหลือง  ดินมีสีเหลือง   น้ำก็เป็นสีเหลืองขุ่น  เป็นบาดาลที่ลึกลับมาก  ที่แปดเป็น  เหวลึก  ลึกจนไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้  เป็นที่สิงสถิตของเจ้ามัง
กร  มันเป็นช่องทางที่ติดต่อกับอวกาศ  ที่เก้าเรียกว่า  หมอกบาง  คล้ายหมอกละอองฝน  ต่างสัมผัสอิงแนบในที่ว่างเปล่า 

        ถัดชั้นนี้ลงมาอีกเก้าชั้น  มีความบริสุทธิ์ของธาตุ เชื่อมต่อฟ้าชั้นที่เก้า ที่เรียกว่าสุขสงบเกิดความเคลื่อนไหว ความมืดจะหมดไป ความสว่างจะเข้าปกคลุม เนื่องจากโลกเหมือนลูกส้ม ดังนั้น จึงรู้ว่า ล้อมรอบปกคลุมไปด้วยอากาศ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
 จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

                                ฟ้าสิบสองชั้น

        1.  ชั้นบรรยากาศ  ด้านล่างจรดพื้นดิน  มองดูแล้วเวิ้งว้าง ว่างเปล่า

        2.  ชั้นแปรเปลี่ยน เช่น ชั้นของ  ลม  ฝน  เมฆ  หมอก  หิมะ  และกระแสไฟฟ้า  ได้แก่  ฟ้าแลบ  ฟ้าร้อง  ล้วนอยู่ในชั้นนี้ทั้งสิ้น 

        3.  ชั้นจันทร์โคจร  หรือเรียกอีกชื่อว่า  ชั้นนทีธาตุ  ธาตุอิม (มืด) จะกักน้ำ  ดังนั้น ด้านนอกจึงกึ่งมืดกึ่งสว่าง ด้านสว่างจะหันไปทางดวงตะวัน ด้านมืดก็จะอยู่ตรงข้ามกัน จะมืดจะสว่างก็อยู่ที่ระยะใกล้หรือไกล ดังนั้นจึงมีการแบ่งแยกเป็นจันทร์ขึ้น หรือ จันทร์แรม

        4.  ชั้นเส้นทางโคจร  การโคจรของสุริยัน - จันทรา  มีสี่ฤดู เก้าทิศทาง   ฤดูใบไม้ผลิอิงทิศทางตะวันออก เป็นทิศทางสีฟ้า   ฤดูร้อนอิงทิศใต้เป็นทิศทางสีแดง   ฤดูใบไม้ร่วงอิงทางทิศตะวันตกเป็นทิศทางสีขาว   ฤดูหนาวอิงทางทิศเหนือเป็นทิศทางสีดำ  และในแต่ละทิศทางยังแบ่งเป็นสองทิศทางย่อย  ทางทิศใต้เพิ่มทิศทางเส้นผ่าศูนย์สูตรอีกทิศทางหนึ่ง  รวมทั้งหมดเป็นเก้าทิศทาง  แต่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงนั้น สุริยัน - จันทราส่องเข้าหากัน จึงมีการขาดเกินเกิดขึ้น  สี่ทิศทางต่างส่องเข้าหากัน เป็นเส้นทางสีเหลือง ดังนั้น จึงเรียกว่า  เส้นทางโคจร

        5.  ชั้นสุริยันเจิดจ้า  ตะวันเปรียบประดุจร่าง ความสว่างจะสะสมไฟ ดังนั้นภายในร่างจึงสว่างไสวโดยทั่ว ความมืดจะสู้ความสว่างไม่ได้ ดังนั้นจันทราจึงไม่กระจ่าง กลางคืนก็อาศัยใกล้ไกลหมุนเวียนกันไป ความกระปรี้กระเปร่าถดถอย แนวโคจรของสุริยันจึงอยู่ระดับเดียวกับโลก จึงสามารถส่องทั่วทั้งแปดทิศทาง  จึงมีอีกชื่อว่า ชั้นของตะวันเพลิง

        6.  ชั้นมวลดารา  สุดยอดสรรพสิ่ง ด้านบนเป็นดวงดาว และที่สุดของดารานั้นเป็นความสว่างสุกใสอันทรงเกียรติ อันเป็นผลจากดวงดาวทั้งยี่สิบแปดหมู่ จึงได้ชื่อว่า ชั้นมวลดารา 

        7.  ชั้นศูนย์กลางเล็ก  หมู่ดวงดาวต่าง ๆ ลอยอยู่ในนภากาศ ทาบขวางอยู่กับท้องฟ้า เมื่อจะโคจรหรืออยู่นิ่ง ล้วนต้องอาศัยธาตุ เหมือนลูกโป่งเมื่อเป่าก็ลอยขึ้น เมื่อลมออกก็ตกสู่ดิน ลมนั้นก็เหมือนแรงดึงดูด เนื่องจากมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ดังนั้น ดวงดาวต่าง ๆ จึงไม่โคจรชนกัน หรือตกลง  สิ่งเหล่านั้นเป็นผลจากเอกธาตุเดิมที่ไร้ขอบเขต  บริเวณตรงกลาง เป็นศุนย์กลางเล็ก ๆ มีดาวสี่ดวงอยู่บนยอด  อีกสามดวงเป็นด้าม เหนือด้ามก็เป็นศูนย์กลางเล็ก ปลายของด้ามมีแสงผุดผ่อง  ปลายด้ามเล็กชี้ไปยังดาวว่าวทางทิศใต้ อันเป็นศูนย์กลางของฟ้า จะอยู่นิ่งไม่เคลื่อนที่ หมู่มวลดาราจะหมุนรอบศูนย์กลางนี้ เหมือนล้อรถหมุนไปตามแกน  ดังนั้น ยังเรียกว่า  จุดกลางการเคลื่อนที่  หมายความว่า ฟ้าขั้นต่าง ๆ ต่างอาศัยจุดกลางนี้เป็นแนวเคลื่อนที่ ตามตำรากล่าวว่า เครื่องมือหยั่งรู้ดินฟ้า - อากาศ  ต้องมีสิ่งพร้อมทั้งเจ็ดประการ เป็นกฏเกณฑ์ของฟ้า

        8.  ชั้นไม่เคลื่อนที่  สุริยันจันทราในนภากาศ การโคจรย่อมมีระยะช่วงยาวกำหนดไว้  ไม่เร็วไม่ช้า หมุนเวียนทั้งกลางวันและกลางคืน  แบ่งออกเป็นสี่ช่วง ล้วนหมุนเวียนตามแกนกลาง เมื่อหมุนไปได้ระยะหนึ่งที่แน่น ๆ แล้วแกนกลางเกิดไม่หมุน เกิดผนึกแน่นและแข็งแรง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฟ้าเงียบสงบจึงเรียกว่าว่างสุดขีด จะกลับกลายเป็นของแท้แน่นอน

        9.  ชั้นครึ่งวงกลม  ฟ้าชั้นนี้ก็เช่นเดียวกับแผ่นดิน ที่แบ่งเป็นเก้าเขต มีขอบเขตที่แน่นอน ตั้งชื่อตามสีสันลักษณะ  เช่น ทิศตะวันออก  เรียกว่า ฟ้าน้ำเงิน  ตะวันออกเฉียงใต้ เรียกว่า ฟ้าเขียวขจี  ทิศใต้ เรียกว่า ฟ้ากระจ่าง  ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เรียกว่า ฟ้าแดง   ทิศตะวันตก เรียกว่า ฟ้าหม่น  ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่า ฟ้ามืดมัว   ทิศเหนือ เรียกว่า ฟ้าสีดำ  ตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่า ฟ้าหน้าร้อน   ตรงกลาง เรียกว่า ศูนย์กลางฟ้า  หรือเรียกว่า ฟ้าเหลือง 

        10.  ชั้นเปลวไฟร้อน  แบ่งเป็น  3  ตอน  ตอนกลาง เป็นกำแพงม่วงอ่อน  ด้านบน คือ ติดขบวนที่นั่งจักรพรรดิ  ด้านใต้เป็นดาวว่าวกลางที่นั่งทองคำ  ก่อนนี้เรียกกำแพงเมืองสวรรค์  ถัดไปเป็นท้องพระโรง พระที่นั่งจักรพรรดิ ทั่วทั้งฟ้าจะมีเปลวไฟร้อนทั่วไปหมด จึงได้ชื่อว่าชั้นเปลวไฟร้อน

        11.  ชั้นฟ้าโปร่ง  หรือเรียกว่าชั้นดุสิตตา  มีสภาพแจ่มกระจ่าง และสงบเงียบเสมอ เพราะเหตุว่า ด้านบนมีลักษณะกลมคล้ายเปลือกนอก ซึ่งได้ชื่อดังนี้ เป็นที่พำนักของศาสดาแห่งเต๋า  และเหล่าพระพุทธเจ้า

        12.  ชั้นนิพพาน  มีพระมหาจอมมุนี ไตรวิสุทธิเทพ และห้าอาวุโส พำนักอยู่  เป็นชั้นสูงสุด ท่องออกนอกสวรรค์ที่เหนือชั้นที่  12  นี้  เหล่ามหาจอมมุนีเจ้าพำนักอยู่ เพื่อมองลงไปยังโลกมนุษย์  เหนือสุดยอดของชั้นที่ 12 นี้  มีความสว่างไสวไร้ขอบเขต รวบรวมไว้ซึ่งสรรพสิ่งในสากลโลกนี้ไว้

หยางเซิง   :  เคยได้ยินท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ปกครองสวรรค์สามสิบหกชั้น   ปกครองพื้นดินเจ็ดสิบสองส่วน  ไม่ทราบว่ามีความหมายว่าอย่างไร     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
 จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

บุพวิสุทธิเทพ   :  การจัดระดับชั้นของฟ้า - ดิน มีมากมาย ผู้คนในโลกบ้างก็ว่า   เก้าชั้นบ้าง  สามสิบสองชั้นบ้าง  สามสิบสามชั้นบ้าง  สามสิบหกชั้นบ้าง  ช้าฯ จะแยกแยะให้ฟังดังนี้  อันฟ้านั้นไม่มีขอบเขต เบื้องบน  ตรงกลาง  เบื้องล่างล้วนก็เป็นฟ้า  ฟ้าเริ่มแรกเป็นการเรียงราย ห้อมล้อมของดวงดาว จนกระทั่งถึงที่ ๆ ไม่มีขอบเขต เขตที่สิ้นสุดของอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จนกระทั่งถึงที่ ๆ ได้แยกห่างจากกลุ่มดวงดาว  ฟ้านั้นคือ  รอบวงกลมมี  360 องศา  โดยรอบดังนั้นจึงกล่าวว่า ฟ้ามีสามสิบหกชั้น  ชั้นฟ้าลงดิน  เหมือนเงาต้นไม้ เมื่อเพิ่มเป็น  2  เท่า  จึงกลายเป็นดิน  72 

        จากวงกลมสามารถแบ่งเป็น  เก้า  สิบสอง  ยี่สิบแปด  สามสิบสอง  สามสิบสาม  และสามสิบหกชั้นฟ้า เหมือนการก่อสร้างบ้านของมนุษย์ จะกั้นห้องเป็นห้อง ๆ ตามใจตน จะเพิ่มชั้นหรือเพิ่มห้องก็ได้ ถ้าหากจะแยกจำพวกจากทิศทาง  ก็มีฟ้าทางตะวันออก  ฟ้าตะวันตก  ฟ้าส่วนกลาง  ฟ้าทิศเหนือ  ฟ้าทิศใต้  รวมห้าฟ้า  ฟ้าเริ่มจากสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดคือ 0 ธรรม  เกิดจากหนึ่ง  หนึ่งเป็นสอง  สองเกิดเป็นสาม  สามเกิดเป็นสรรพสิ่ง  ดังนั้น จึงเรียกว่า  ฟ้าไม่มีที่สิ้นสุด  ฟ้าที่สว่าง  ฟ้าแจ่ม  ถือว่าเป็น  มงคล  ฟ้าที่มืด  ฟ้ามัว  (ร่ม)  ถือว่าเป็นความอุบาทว์  การบำเพ็ญธรรม อย่าถือตัวเลขมากน้อยเป็นเกณฑ์  เพราะว่าตัวเลขก็มาจาก  0  1  2  3  4  5  6  7  8  9  จึงไม่พ้นจากเหตุผลของมหาสัทธรรม  ดังนั้น จึงใช้สิบสองชั้นฟ้ามาอธิบายพอสังเขป  เมื่อคูณด้วยสามก็จะเป็นสวรรค์  36  ภูมิ  ด้วยเหตุนี้จำนวนตัวเลขในแดนสวรรค์จึงมีไม่สิ้นสุด ถ้าหากนำมาบวกลบคูณหารด้วยแล้วก็จะแปรเปลี่ยนไม่รู้จักจบสิ้น  ผู้ปฏิบัติธรรมควรเข้าใจให้ถ่องแท้ เป็นใช้ได้ 

                        ศาสนาเต๋าแบ่งสวรรค์ออกเป็น  36  ภูมิ

1.  มหาไพศาลภูมิ                         2.  ละมุลวิสุทธิภูมิ
3.  อรูปภูมิ                                 4.  มหามณีภูมิ
5.  ทวีกัณฏกะภูมิ                         6.  วิมุติภูมิ
7.  โอฬาริกภูมิ                            8.  อวตารภูมิ
9.  เหนือสุขตระการภูมิ                 10.  เลิศบัณฑิตภูมิ
11.  มหรรณพแจ่มฟ้าภูมิ               12.  อาสนแจ้งเหินหาวภูมิ
13.  มหาเมฆินทรไร้เขตภูมิ           14.  เหนือพันสุขสันตภูมิ
15.  ไร้คำนึงนาธารภูมิ                 16.  มหาอาวุโสตภูมิ
17.  บุพกตัญญูภูมิ                     18.  ประจักษ์มั่นภูมิ   
19.  มหาศษนติภูมิ                     20.  บุพสังวัจฉระภูมิ
21.  มหารุ่งโรจน์ภูมิ                    22.  สว่างอัศจรรย์ฉลองฟ้าภูมิ
23.  ส่องสว่างศานติภูมิ                24.  สว่างว่างภูมิ
25.  ชมพูจุติภูมิ                         26.  แสงสุริยภูมิ
27.  สว่างอัศจรรย์รุ่งโรจน์ภูมิ          28.  สว่างมณีผสานสุริยภูมิ
29.  มหาพิรุณพรำไพศาลภูมิ           30.  สุญญตาสงบภูมิ
31.  เจ็ดแสงสุริยภูมิ                    32.  สว่างละมุลภูมิ
33.  ครรภ์อัศจรรย์สงบภูมิ              34.  สว่างวิสุทธิภูมิ
35.  มหาสว่างวรอวสานภูมิ             36.  มหาราชาสังฆภูมิ

                   สวรรค์ในพระพุทธศาสนา ในสามแดนมี  28  ชั้น  นิพพานเป็นแดนสูงสุดในพระพุทธศาสนา
1.  ปรินิพพาน     2.  นิพพาน

                  อรูปพรหม  มี  4  ชั้น
1.  อากาสานัญจายตนะ                 2.  วิญญาณัญจายตนะ
3.  อากิญจัญญายตนะ                  4.  เนวสัญญานาสัญญายตนะ

                  รูปพรหม  มี  16  ชั้น
1.  พรหม  ปาริสัชชา                  2.  พรหม ปุโรหิตา                 3.  มหาพรหมา                                             
4.  ปริตตาภา                           5.  อัปปมาณาภา                   6.  อาภัสรา
7.  ปริตตสุกา                           8.  อัปปมาณสุภา                   9.  สุภากิณหา
10.  อสัญญีสัตตา                    11.  เวหัปผลา                      12.  อวิหา
13.  อตัปปา                          14.  สุทัสสา                         15.  สุทัสสี
16.  อกนิฏฐา

                  สวรรค์ชั้น  กามาพจร  มี  6  ชั้น
1.  จาตุมหาราชิกา                    2.  ดาวดึงส์                3.  ยามา
4.  ดุสิต                                 5.  นิมมานรดี              6.  ปรนิมมิตวสวัตดี

หยางเซิง   :  ท่านบุพวิสุทธิเทพ บรรยายได้อย่างอัศจรรย์ทีเดียว  กระผมยังได้ยินมาว่า ผู้ปฏิบัติธรรมต้องหลุดพ้นจากสามโลก อันนี้หมายความว่ากระไรขอรับ                   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
 จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

บุพวิสุทธิเทพ   :  สามโลกนั้น ได้แก่  อรูปภูมิ  รูปภูมิ  และ กามภูมิ  หากต้องการหลุดพ้นจากสามภูมิก็จะได้สำเร็จเป็นสุวรรณเทพ  (วิสุทธิเทพ)  อยู่ในมโนไพศาลภูมิ หรือสำเร็จเป็นวิสุทธิปราชญ์  หรือเป็นพระพุทธเจ้า  อรหันต์เจ้า  ในชั้นนิพพาน  ดูแผนภูมิ ประกอบดังนี้

O   ไร้มหาขอบเขต      ไร้อรูปภูมิ     ฟ้ามหาสัทธรรม     ฟ่าก่อนบุพกาล     วิสุทธิเทพ     พระพุทธเจ้า     วิสุทธิปราชญ์     เหนือศรีษะในอากาศ

O    ไร้ขอบเขต          อรูปภูมิ       ฟ้าสัทธรรม     ฟ้าบุพกาล     เทวดา     อรหันต์     ปราชญ์     ที่ศรีษะมันสมอง

O    มหาอาณาเขต     รูปภูมิ     ฟ้าอวกาศ     ฟ้าเบื้องกลาง     สัตตบุรุษ     โพธิสัตว์     บัณฑิต     ที่ท้องจุดกลางตัว

O4    ราชอาณาจักร     กามภูมิ     ฟ้าอากาศ     ฟ้าเบื้องหลัง     ปุถุชน     ปุถุชน     ปุถุชน     ที่ไตจุดขับถ่าย

        การบำเพ็ญ  มหาสัทธรรม  ถ้าได้บรรลุถึงขั้น อรูปภูมิ  คือได้ถึงชั้นไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นภูมิที่สูงสุดในสามภูมิแล้วและเพื่อไม่ให้ถูกครอบงำไว้ด้วยความว่างเปล่า ดังเช่นคนใส่สร้อย แม้ใบหน้าจะไม่ถูกปิดบัง แต่ก็ยังรู้สึกติดขัดอยู่ ดังนั้นเพื่อให้พ้นจากการถูกครอบงำ เปรียบเสมือนหลังคาบ้านถูกเปิดออกความโล่งที่กลมกลืนกับอากาศภายนอก ไม่มีขอบเขตขวางกั้น ความหมายอันนี้จึงนับได้ว่า พ้นจาก  3 โลก (3 ภูมิ)  และผู้คนในโลกนี้มักเข้าใจผิดในความหมายนี้มีจำนวนมากมาย โดยคิดว่ามีเพียงพระอรหันต์เท่านั้นที่หลุดจาก  3 โลก หากยังมี วิสุทธิเทพ  วิสุทธิปราชญ์  อีกที่อยู่ในแดนชั้นไร้ขอบเขต(นิพพาน)  ในพระสูตรกล่าวว่า "สิ่งที่เป็นรูปทั้งหลายล้วนอนิจจัง ว่างเปล่าทั้งสิ้น"  หากปราศจากรูป ก็อยู่ในที่ไร้ขอบเขต แต่เพื่อละร่างให้อิสระ จึงต้องละธรรมกาย เพื่อก้าวขึ้นสู่แดนไร้อรูปภูมิ  (ชั้นไร้ขอบเขต)  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เข้าสู่แดนนิพพาน

        สรรพสัตว์ใต้หล้านี้ ล้วนมีกำเนิดมาจากวิญญาณดั้งเดิม เก้าพันหกร้อยล้านดวง ไม่ว่าจะถวายตัวอยู่ศาสนาใดก็ตาม เริ่มด้วยการละทิ้งการยึดในรูป งดการให้ร้ายในศาสนาอื่นเสีย อย่าทำให้เกิดการแบ่งแยก  ชิงชัง  มิฉะนั้นจะเกิดมีอคติในจิตใจ แม้จะสร้างบุญมหาศาล แต่จิตใจไม่ปล่อยวางเหมือนรูปในแผนภูมิ ที่มีรูปครึ่งมืดครึ่งสว่าง (4 ) ก็จะมีผลเพียงขึ้นสู่มหาอาณาเขตเท่านั้น ไม่สามารถจะก้าวขึ้นสู่ชั้นไร้อรูปได้เลย

        ข้าฯ หวังว่าเมื่อได้ฟังการบรรยายแล้ว ให้รีบสำนึกกลับใจละสิ่งที่ติดยึดเสีย มิฉะนั้นจะไม่ได้รับผลอะไรเลย เสียแรงปฏิบัติธรรมไปเปล่า ๆ ที่ชอบแข่งขันเอาชนะกันด้วยฤทธิ์เดช ในที่สุดก็จะจมสู่นรกอเวจี

หยางเซิง   :  ท่านบุพวิสุทธิเทพบารมีสูงส่ง ได้กรุณาแสดงธรรมที่ไม่รู้มาก่อน ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ได้เปิดเผยความลี้ลับของมหาสัทธรรม กราบขอบพระคุณในการสั่งสอนของท่าน

อรหันต์จี้กง   :  บุพวิสุทธิเทพเป็นอาจารย์ของเทพมนุษย์ จึงได้บรรยายได้อย่างแยบยล ละเอียดพิศดารมาก ทำให้ผู้คนได้คิดคำนึง ชี้แจงแก้ไขความผิดพลาดของแต่ละศาสนาต่อต้านการกล่าวร้าย ยับยั้งสิ่งบิดเบือน  อยากให้ผู้คนที่ได้อ่านหนังสือนี้ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไข จะได้บรรลุมรรค - ผล  จะได้ฟื้นฟูรูปลักษณะดั้งเดิมของตนเสียที

บุพวิสุทธิเทพ   :  ในมหาักรวาลนี้ ล้วนได้ก่อกำเนิดจาก พระจอมราชันในบุพกาลทั้งสิ้น ผู้สอนศาสนาแต่ละศาสนา กล่าวหากันไม่หยุดยั้ง บรรยายกาศริษยาปลิวว่อน ยึดถือไม่ปล่อยว่างจึงไม่อาจพ้นจากสามโลกนี้ น่าสงสารยิ่งนัก !  ภายใต้วรวิสุทธิ์นี้ ด้วยพระวิสุทธิธาตุดั้งเดิมของจอมราชันนี้  ถ่ายทอดสู่มหาวิสุทธิธาตุอันเป็นธาตุรองลงมาจากพระจอมราชัน และลงสู่มนุษย์ ด้วยธาตุที่เหลือของพระจอมราชัน ด้วยเหตุนี้ ในแดนนิพพานเหล่าวิสุทธิเทพ  พระพุทธเจ้าต่างได้รับวิสุทธิธาตุอันเข้มข้นที่สุดในจักรวาล และบนสวรรค์ ชั้นกลาง  เหล่าเทพเทวดาจะได้รับธาตุที่แปรเปลี่ยนจากวิสุทธิธาตุบนสวรรค์ชั้นสูง ซึ่งวิสุทธิเทพนั้นจะเบาบางลงเรียงลำดับจนถึงมนุษย์และสรรพสัตว์ อันมีดวงดาว สุริยันจันทรา   พื้นพิภพและท้องทะเล ซึ่งจะได้รับธาตุที่เหลือจากเบื้องบน  ซึ่งมีเพียงเบาบางและกระจัดกกระจาย ถึงแม้ว่ามนุษย์จะได้รับธาตุที่เหลือจาก พระจอมราชันเพียงเล็กน้อยแต่ก็ได้รับ รัศมีจากวิญญาณจิตเบื้องบน ซึ่งนับว่าโชคดีไม่น้อยที่ยังสามารถกลับสู่สวรรค์ แต่ในทางตรงกันข้าม หากมนุษย์ที่ได้รับธาตุจากพระจอมราชันแล้ว กลับจมปรักอยู่กับความใคร่แห่งวัตถุ กัดกร่อนจนหมดตัว พลอยทำให้รัศมีจากวิญญาณจิตดับสูญ ซึ่งเป็นการสร้างนรกให้กับตนเอง

        หวังว่าชาวโลกคงเข้าใจในคำพูดของข้าฯ นี้ ร่วมใจกันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตสวรรค์ จงรักษาจิตสำนึกเพื่อช่วยกอบกู้ชาวโลก ด้วยพลังจิตอันเด็ดเดี่ยว กอบกู้เพื่อนร่วมโลกให้ขึ้นสู่ฝั่ง นี่คือ  การสั่งเสียของข้า ฯ 

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณพระบุพวิสุทธิเทพ ที่ได้ถ่ายทอดในสัทธรรมครั้งนี้  ขอกราบนมัสการระลึกในบุญคุณ

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้ท่านบุพวิสุทธิเทพ ได้เปิดเผยความลี้ลับของสวรรค์ นับว่าชาวโลกมีบุญวาสนาแล้ว อาตมาต้องพานายหยางเซิงกลับสำนัก

บุพวิสุทธิเทพ   :  ความพิศดารของธรรมะ พูดไม่มีวันจบ เพีบงจิตตั้งมั่นก็จะประสบผลสำเร็จเอง

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณท่านพระบุพวิสุทธิเทพ พวกเราขอกราบลานมัสการไปก่อน

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจกดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง             

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่ 10

          เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท  ฟังพระบุพวิสุทธิเทพ

                         บรรยายธรรมอีกครั้ง

                  วันที่  16  ตุลาคม  พ.ศ. 2522

         อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        ลาภยศศฤงคาร                  อีกวิมานล้วนอนิจจัง
ดั่งความฝันตกภวังค์                     กลางราตรีอันยาวนาน
ผู้มีจิตหรรษา                             ชราชะลอไกลกาล
เศร้าโศกเหมือนมีมาร                   พาลกระทบซ้ำจิตสะเทือน

อรหันต์จี้กง   :  สรวงสวรรค์เป็นแดนไพศาล มีสุขสบายไม่มีขอบเขต บนสวรรค์ไม่มีชั้นวรรณะ  ชาติ  ภาษา  และศาสนา ผู้ที่อยู่ได้ล้วนเป็นผู้ดี  ผู้มีบุญ  ผู้มีธรรม  ดั่งคุณภาพของวัตถุที่ดีเลิศ  ก็อยู่สวรรค์ชั้นสูง  ดีรองลงมาก็อยู่ชั้นกลาง และรอง ๆ ลงมาตามลำดับ...  เหมือนกับมนุษย์  สัตว์เดรัจฉาน  ผีเปรต  และอสูรกาย  ตามลำดับ  ดังเช่นดอกบัวที่มีถึงเก้าประเภท  ซึ่งแยกตามลักษณะผลบุญที่สร้างไว้ ทก ๆ คนต่างก็มีพุทธจิต มีธรรมะเป็นพื้นอยู่แล้ว ในชาติหน้าต่อ ๆ ไป ก็จะได้กลับคืนสู่แดนสวรรค์  ก็เหมือนได้กลับคืนสู่ต้นกำเนิดเดิม  หมายถึง การสำเร็จมรรค - ผล  นิพพาน นั่นเอง 

        สวรรค์ได้ประทาน  "จิตแท้"  แก่มนุษย์ทุกคน หากชั่วชีวิตสามารถจะรักษาดวงจิตดวงกลม ๆ นี้  ไม่ให้มีการเสื่อมสลาย คงรูปเดิมไว้ เหมือนของดีราคาสูง ตอนมีชีวิตมีดวงจิตที่ล้ำค่าอยู่ เมื่อตายลงแล้วก็ยังคงมีดวงจิตอันล้ำค่าอยู่  ในพระสูตรหนึ่่งกล่าวว่า  "ได้ชื่อว่าบรรลุธรรม จริง ๆ แล้วไม่ได้รับอะไรเลย"  อันที่จริง การบำเพ็ญธรรมก็เพียงให้ได้รู้จักหน้าตาดั้งเดิมของตนเท่านั้น ไม่มีความลี้ลับ  หรือทางอัศจรรย์ให้ได้เดินเลย ! 

        วันนี้ข้า ฯ  จะพาเจ้าหยางเซิงไปเยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท  เข้านมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพ เจ้าอยางเซิงรีบ ๆ ขึ้นดอกบัวตามอาจารย์ไปเถอะ

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอท่านอาจารย์ออกเดินทางเถิดขอรับ

อรหันต์จี้กง   :  ละมุลวิสุทธิภูมิ วรสุญญตวิสุทธิปราสาท ถึงแล้ว  เจ้าหยางเซิง รีบ ๆ ลงจากดอกบัวเข้าไปกราบนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพเถอะ

Tags: