เที่ยวเมืองสวรรค์
ครั้งที่ 10
เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังพระบุพวิสุทธิเทพ
บรรยายธรรมอีกครั้ง
วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2522
อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า
ลาภยศศฤงคาร อีกวิมานล้วนอนิจจัง
ดั่งความฝันตกภวังค์ กลางราตรีอันยาวนาน
ผู้มีจิตหรรษา ชราชะลอไกลกาล
เศร้าโศกเหมือนมีมาร พาลกระทบซ้ำจิตสะเทือน
หยางเซิง : ขอรับกระผม...สวรรค์ละมุลวิสุทธิภูมินี้ช่างแตกต่างจากโลกมนุษย์จริง ๆ สว่างไสวราวกับกลางวันแดนมนุษย์ รัศมีเปล่งปลั่งแวววาว ข้าง ๆ ปราสาทเหล่ากุมารเทพแสดงการต้อนรับด้วยความยินดี
อรหันต์จี้กง : ละมุลวิสุทธิภูมิ เป็นเมืองของบุพวิสุทธิเทพ เป็นสวรรค์ที่อยู่เหนือภูมิที่ 33 ขึ้นไป พวกปุถุชนไม่อาจไปถึงภูมินี้ได้ นอกจากผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว หรือผู้ที่มีบุญบารมีสูง จึงจะมายังที่นี่ได้ ครั้งนี้เพราะได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ เป็นความเมตตาของสวรรค์ ข้า ฯ จึงสามารถพาเจ้ามาได้ อาจพูดว่ามีโชควาสนาที่สุดในสามชาติทีเดียวที่มีโอกาศอย่างนี้ สืบเนื่องจากอนุตตรวิสุทธิภูมิเป็นต้นกำเนิดของมหาสัทธรรม จึงได้ชื่อว่า "บุพวิสุทธิเทพ" วันนี้จะเข้าเยี่ยมท่านเทพ ขอให้บรรยายความเป็นมาของธรรมโดยละเอียด หยางเซิงรีบกราบนมัสการท่านเทพ
หยางเซิง : ขอรับกระผม ! ภายในปราสาทกลิ่นไอแห่งสวรรค์อบอวล เห็นท่านเทพมีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์สิงห์ทองคำ มีรัศมีวงกลมหมุนรอบ ๆ ไม่หยุดหย่อน กระผมรู้สึกมึนงงอยากจะล้มลงให้ได้...
อรหันต์จี้กง : จงมีความสงบ ท่านเทพกำลังใช้พลังเอกธาตุแห่งธรรมรัศมีเสกให้เจ้า ดังนั้นเจ้าจึงมีอาการเช่นนี้
หยางเซิง : ขณะนี้รู้สึกว่าพลังสติเพิ่มพูนขึ้น กราบนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพ ข้าน้อยติดตามอาจารย์มายังอนุตตรวิสุทธิปราสาทอีกครั้ง ขอท่านได้โปรดประทานโอวาทสั่งสอนด้วยเถิด !
บุพวิสุทธิเทพ : ทั้งสองท่านลำบากมากนัก เชิญนั่ง ! เหตุการณืในโลกยุ่งเหยิงมนุษย์ใจทันสมัยเสมอเลยทำให้ธาตุจิตที่มีมาแต่เดิมเริ่มเสื่อมสูญ วิทยาการก้วหน้า ชีวิตความเป็นอยู่ก้าวหน้า แต่จิตใจของคนจมดิ่งลง บุญบารมีไม่สร้างสม ธาตุจิตแตกสลาย จึงวนอยู่ในวัฏสงสาร วันแห่งการคืนกลับไม่มี จิตสวรรค์เมตตาอยู่เสมอ ทนไม่ได้ที่เห็นจิตเดิมแตกสลาย ดังนั้นจึงมีบัญชาให้ศาสดา แห่งศาสนาทั้งห้าจุติสู่มนุษย์ภูมิในแต่ละภาค ช่วยชี้แนะทางขึ้นสวรรค์หลังจากพระศาสดาดับขันธ์ปรินิพพาน แม้จะมีพระสูตรเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ลูกศิษย์ก็เพิ่มหัวเพิ่มหาง ทำให้สูญหลักเดิม ถึงแม้ปัจจุบันจะมีผู้เรียนรู้ธรรม แต่ก็มักใหญ่ใฝ่สูงไม่ตั้งอยู่ในหลักความเป็นจริง ไม่ใฝ่หาแก่นแท้ของธรรม กลับสะสม แม้จะตั้งใจศึกษาก็ตามกลับจะได้รับแต่เปลือกนอก ไม่ได้รสของแก่นแท้เลย ดังนั้น วันนี้จึงให้แต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ขึ้น เปิดทางสายใหม่ขึ้น เปิดเผยหลักธรรมที่แท้จริง เพื่อแก้ไขความผิดพลาด ผู้ที่เรียนธรรมในโลกนี้จำต้องใส่ใจค้นคว้าหนังสือเล่มนี้ให้ดี เข้าใจความหมายให้ถ่องแท้ ถือปฏิยัติสม่ำเสมอไม่เกียจคร้าน ข้า ฯ รับรองว่าจิตวิญญาณจะได้คืนสู่ต้นสังกัดเดิมโดยวิธีนี้ทางเดียว หากไม่ทำตามวิธีทางนี้แล้วก็ไม่มีทางบำเพ็ญธรรมให้สำเร็จได้
หยางเซิง : ขอเรียนถามว่า ธรรมอันแท้จริงนั้นเป็นไฉน ?.
บุพวิสุทธิเทพ : ชาวโลกปฏิบัติธรรมตามแบบ พุทธ เต๋า ขงจื้อ คริสต์ และอิสลาม มีเป็นร้อย ๆ สำนัก พัน ๆ วิธี แต่ละศาสนาล้วนคุยว่าดิเลิศไม่มีใครเสมอเหมือน เลิศล้ำสุดยอดแต่ไม่รู้ว่า "สูงสุด" นั้นถึงจุดไหนขั้นไหน ?.
เริ่มแแรกเดิมที คำว่า "ธรรม" นั้นไม่มีชื่อเรียก จึงตั้งชื่อให้ว่า ธรรม ดังนั้นจึงใช้วงกลมแทน ( O ) แทน ฉะนั้นผู้มีธรรมบนศรีษะจึงมีแสงรัศมี นั่นคือ รัศมีของวิญญาณเดิม หากวิญญาณเดิมมืดมัวไม่มีแสง ซึ่งเรียกว่า "เศษวิญญาณ" หรือเรียกว่า "มวลมนุษย์" วิญญาณนี้เป็นพืชพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด หากวิญญาณเดิมมีแสงรัศมี นั้นก็คือ พืชพันธุ์ไม่มีรากงอก ไม่มีหนทางวัฏสงสาร วิญญาณก็จะกลับคืนสู่ต้นสังกัด ดังนั้น ในพระสูตรของไท้เสียงป้อเก๊กฮุ้งง้วน กล่าวว่า "สิ่งที่ภายนอกมีรูป มีสมบัติเป็นร่าง ภายในที่มีสี มีรูปลักษณ์ ย่อมต้องกลับสู่สภาพเดิม ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ"
เทพ อรหันต์ ปราชญ์ ล้วนบำเพ็ญเพียรถึงขั้นคืนสู่ต้นสังกัด ดังนั้น ผู้รู้จักบำเพ็ญเพียร (ปฏิบัติธรรม) ไม่ควรแบ่งนิกายนั้นนิกายนี้ เพราะเหตุว่าสิ่งนอกเป็นสิ่งปลอม ภายในจิตจึงจะเป็นของแท้ ทุก ๆ สาขาวิชาชีพย่อมมีสิ่งสุดยอด ให้จดจำหลักธรรม และปฏิบัติให้จริงจัง นั่นก็คือ สัทธรรม
หยางเซิง : ใคร ๆ ก็ว่า มหาสัทธรรม ไม่ทราบว่า สัทธรรมที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?.