collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์  (อ่าน 36527 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                 ครั้งที่ 3

                     ชมพระที่นั่งหยก  สวรรค์ทักษิณ

                   ฟังธรรมจากราชาแห่งปราชญ์อีกครั้ง

                     วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง   กล่าวเป็นกลอนว่า

        เพียงพัดโบกเบาเบา                  ลมพัดเอาสัทธรรมมา
ในกระติกอมฤตา                               ใช้ชะฝุ่นในลำไส้
มนุษย์เลียนแบบข้าฯ                          จะมีสุขตลอดไป
นึกถึงวัดเล้งอุ้งไซร์                            คือข้าฯ พระอรหันต์

อรหันต์จี้กง   :  ในมือข้าฯ มีพัด  พัดเบา ๆ ในกระติกมีน้ำอมฤต คอยเทเข้าไปในปาก ลักษณะย่างก้าวเหมือนพระอรหันต์ ชาวโลกจะเลียนแบบข้าฯ มีสักกี่มากน้อย ?.  น้ำอมฤตปราศจากกลิ่น  มีพัด  พัดก็ไม่เย็น ที่สุดแล้วจะเล่นกลอะไรกัน มีคนเขาว่า ข้าฯ ฉันเนื้อหมา  ดื่มเหล้า  บ้า ๆ บอ ๆ ต่างเห็นว่าเป็นพระเก๊ ๆ ข้าฯว่า พวกเขาดูข้าผิดไป !  ในโลกมนุษย์ยังมีพระฉันเนื้อ แต่มนสวรรค์ไม่มีพระอรหันต์ดื่นเหล้าหรอก  ในสมัยก่อนโน้น ข้าฯยังอยู่บนสวรรค์ เห็นคนที่ออกบวช ปากก็ฉันมังสวิรัติ แต่ในใจมีอุบายร้อยแปด มีพระน้อยองค์นักที่มีความรู้ในพระสัทธรรม  ล้วนแล้วแต่หลอกข้าวกิน ข้าฯ ไม่อาจทนดู พระสัทธรรมเหมือนเส้นด้ายกำลังจะขาด ดังนั้ ข้าฯ จึงจุติจากสวรรค์ มาเกิดในโลกมนุษย์มีชื่อว่า  ซิวอ๋วง  (บำเพ็ญเพียร)  เพื่อโปรดผู้คน แสร้งทำเป็นบ้า ๆ บอ ๆ เที่ยวเล่นไปในโลก จำเพาะเจาะจงคอยเล่นตลกกับพวกพระเหล่านั้น พวกเขาว่าฉันไม่ได้ ข้าฯ ก็จะฉัน เขาว่าไปไม่ได้ ข้าฯ ก็จะไป  ช่วยเหลือผู้ที่มีความศรัทธาด้วยวิธีตรงกันข้าม ดังนั้น พวกที่มีปัญญาน้อย จึงเห็นข้าฯ เป็นมารศาสนา  หารู้ไม่ว่า กายข้าฯ บ้า ๆ บอ ๆ แต่ใจข้าฯ ไม่เป็น  ข้าฯ สวดอภิธรรมแท้ ๆ ไม่เหมือนพวกเขาสวดแต่ของปลอม  อันที่จริงพวกที่แกล้งทำเป็นเมตตา คือ พวกที่หลอกกิน หลอกดื่มเพื่อยังชีวิต  พอข้าฯ ไปถึงเมื่อไร  ข้าฯ ทำให้สะรับข้าวเขาแตก หมดทางหากิน  ดังนั้น พระสงฆ์ในสมัยนั้น จึงเกลียดข้าฯ จะตาย ด่าข้าฯ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้  พวกสงฆ์ยังมีอคติต่อข้าฯ  หาว่าข้าฯ เป็นพระที่ไม่บริสุทธิ์ หารู้ไม่ว่าข้าฯ คือ พระอรหันต์ที่อวตารมา มีธรรมกายที่แฝงเร้นโดยสัทธรรม  ดังนั้น การฉันเนื้อดื่มเหล้าจึงมีรสชาติเพียงลึกแค่สามนิ้วในลำคอเท่านั้น มิได้ลงไปในกระเพาะเลย  เป็นการเล่นกลในปากเท่านั้น  เพื่อที่จะเย้ยหยันพระสงฆ์ ที่บำเพ็ญธรรมอยู่ด้วยกัน  อย่างนี้เรียกว่า "กินเปล่าดื่มเปล่าเท่านั้น ไม่มีรสชาติเลย"  ผู้คนเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจ  ข้าฯ คือ อรหันต์สมประสงค์ อรหันต์เจ้าสำราญ !  ฮาฮ้า  ผู้คนไหว้ "พระตาย"  ไม่ไหว้ "พระเป็น"  น่าสงสาร ! น่าสงสาร !  เหตุการณ์เปลี่ยนไป ตอนนี้ ข้าฯ จะไปตามบ้านไม่ไปตามวัด อยากให้ชาวบ้านสร้างพระพุทธทุกบ้านมีพระพุทธ วันนี้ก็ต้องมานำหยางเซิงไปเที่ยวสวรรค์ ไปกันเถอะเจ้าหยาง 

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ  พูดเสียยืดยาว  ชาวบ้านเขาจะหาว่าท่านกล่าวโอ้อวดนา

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องกลัว !  ข้าฯ ชินกับชาวบ้านแล้ว ข้าฯ ไม่สนอยากจะอยู่วัดวาอารามใหญ่โต ถึงอย่างไร ข้าฯ ก้ไม่เสแสร้งหลอกลวง จึงจะเป็นทางที่สะดวกที่จะช่วยเหลือชาวบ้านก็ตาม ชาวบ้านว่าข้าฯ บ้า ๆ บอ ๆ แต่ข้าฯ กลับสงสารพวกเขานะ รีบขึ้นดอกบัวเถอะ

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางเถิด ..... วันนี้ทำไมมาที่นี่ ?. ที่นี่มันทางสามแพร่งของแดนต่อแดนระหว่างยมโลกกับมนุษยโลก

อรหันต์จี้กง   :  เราจะไปที่สวรรค์ทักษิณ โดยผ่านที่นี่ก่อน ค่อยไปสวรรค์ทักษิณ       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                 ครั้งที่ 3

                     ชมพระที่นั่งหยก  สวรรค์ทักษิณ

                   ฟังธรรมจากราชาแห่งปราชญ์อีกครั้ง

                     วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง   กล่าวเป็นกลอนว่า

        เพียงพัดโบกเบาเบา                  ลมพัดเอาสัทธรรมมา
ในกระติกอมฤตา                               ใช้ชะฝุ่นในลำไส้
มนุษย์เลียนแบบข้าฯ                          จะมีสุขตลอดไป
นึกถึงวัดเล้งอุ้งไซร์                            คือข้าฯ พระอรหันต์

หยางเซิง   :  แดนต่อแดนระหว่างมนุษย์กับยมโลก  กระผมเคยมาเมื่อครั้งก่อนแต่งหนังสือเที่ยวเมืองนรก แต่วันนั้น กระผมเห็นทางนี้กว้างใหญ่ แถมยังมีรัศมีเจิดจ้าไปจรดเมฆบนเส้นทางมีผู้คนมากมาย บางคนก็นั่งคันหาม บางคนก็มีเมฆพาไป  บางคนก็เดินทอดน่องตามสบาย ทุกคนก็มีเทวดาบ้าง เทวทูตบ้าง เป็นพระบ้างนำไป  มิทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด

อรหันต์จี้กง   :  พอคนตายลง บางคนที่ไม่ต้องตกนรก พอมาถึงแดนต่อแดนระหว่างมนุษย์โลกกับยมโลก เมื่อมาถึงทางสามแพร่ง ก็จะต้องไปยังภูเขาหัวใจ คือเส้นทางที่เจ้าเห็นเมื่อสักครู่ นี้  ก็คือคนที่ได้ทำบุญ สร้างมหากุศล เมื่อตายลงแล้ว ก็สุดแท้แต่เทวทูต แต่ละศาสนาจะพาไปบนสวรรค์ไปรายงานตัว  แต่สำหรับผู้ที่บรรลุสัทธรรม ก็ไม่ต้องมาแบบนี้ ทั้งนี้เพราะผู้บรรลุสัทธรรมแล้วก็จะรู้ การเกิด การตาย  รู้หนทางดี  ตอนมีชีวิตอยู่ก็รู้จักหนทางในแดนสวรรค์ดี พอตายลงก็สามารถไปได้สบายเพราะรู้จักเส้นทางดีอยู่แล้ว มีอิสระทุกอย่าง วิญญาณจิตเดิมก็ล่องลอยไปเอง มีความสุขสบาย รายละเอียดของผู้คนที่กลับสู่สวรรค์ วันหลัง ๆ ข้าฯ จะพาเจ้าไปดู  สำหรับวันนี้เราจะไปที่พระที่นั่งหยก  นมัสการพระบุ้งฮ้วง  ราชาแห่งปราชญ์ เพื่อฟังธรรม

หยางเซิง   :  ก็ดีครับ !  มองดูผู้ที่จะกลับสู่สวรรค์เหนือศรีษะต่างมีวงรัศมีแตกต่างกัน แต่ละบุคคลต่างก็ดีใจ มีความสุขสบายต่างจากพวกที่ตกนรก แต่ละคนร้องไห้โหยหวน

อรหันต์จี้กง   :  แน่นอนทีเดียว !  ขึ้นสวรรค์สู่แดนบรมสุขลงนรกรับโทษทัณฑ์ สภาพทั้งสองจะเหมือนกันได้อย่างไร ?. มนุษย์อยากขึ้นเวทีรับรางวัล หรือคุกเข่ารับการโบยตีล่ะ ?. เร็ว ๆ พวกเราไปยัง  สวรรค์ทักษิณ  กันเถอะ 

หยางเซิง   :  ดอกบัวทะยานไปลิ่ว ๆ เบื้องหน้ามีเส้นทางใหญ์ สว่างไสวลอยอยู่ ชั่วพริบตาก็มาถึง สวรรค์ทักษิณแล้ว แลเห็นท่านมหาปราชญ์ กำลังฝึกกระบองทองคำอยู่พลางยิ้มพลาง ไม่หยุดนิ่ง !

อรหันต์จี้กง   :  เราจะไม่หยุด... เพียงแต่ทักทายก็พอ ..... ถึง พระที่นั่งหยกสวรรค์ทักษิณแล้ว หยางเซิงรีบคารวะ ราชาแห่งปราชญ์เร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม ..... ขอคารวะท่าน ราชาแห่งปราชญ์ วันนี้ พวกกระผมก็ได้มาอีกครั้ง ขอความกรุณาโปรดประทานโอวาทด้วยเถิด

ราชาแห่งปราชญ์   :  มิต้องคารวะ !  เชิญท่านทั้งสองนั่งลง เทพดาจงบริการน้ำชา

เทพยดา   :  รับคำสั่ง !  ได้บริการเรียบร้อยแล้วขอรับ

ราชาแห่งปราชญ์   :  ท่านทั้งสองเหน็ดเหนื่อยมากนัก  ท่านอรหันต์ก็รับภาระอันยิ่งใหญ่ โปรดกู้สรรพสัตว์ โดยนำนายหยางเซิงท่องแดนทั้งสามโลก เพื่อแต่งหนังสือเตือนสติ ต้องลำบากมิน้อย เบื้องบนสวรรค์มีคำสั่งให้แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ต้องมีความหมายที่พิเศษมาก เพราะต้องแพร่งพรายความลับของสวรรค์  ดังนั้น จึงต้องได้รับผลประโยชน์จากการเตือนสติผู้คน มิฉะนั้น จะเป็นการเหนื่อยเปล่า การที่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ได้มีผู้ศรัทธาร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ  พระสูตร  ออกแจกจ่ายเพื่อปลอบเตือนผู้คน เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์  ที่ให้ความชุ่มชื่นแก่สรรพสัตว์ทั่วโลก ถ้าหหากหนังสือเล่มนี้จัดทำที่นี่ก็เกรงว่า จะเผยแพร่ไม่ได้กว้างขวาง  เหมือนจัดทำการสำนักของท่าน  ดังนั้น หนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  จึงจำเป็นต้องเลือก  คน  สถานที่  และสวรรค์ทั้งสามส่วนนี้ให้เหมาะสม ฉะนั้น จึงเลือกสำนักของท่าน  มิใช่ว่าฟ้าจะลำเอียง สัทธรรมไม่เข้าใครออกใคร  ใครมีศีลธรรม ผู้นั้นย่อมได้รับการสนับสนุน ดังนั้น จึงหวังว่า ศิษย์ทั้งหลายควรตระหนักถึงเกียรติที่ได้รับ และควรอุทิศทวีคูณช่วยสวรรค์ กอบกู้ผู้คนเป็นการตอบแทนพระคุณสวรรค์

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณ ท่านราชาแห่งปราชญ์  พวกกระผมจะบำเพ็ญเพียรจนสุดความสามารถเพื่อฟื้นฟูศีลธรรม อย่างสุดกำลัง  และโชคดีที่ฟ้าเมตตา พวกกระผมรู้สึกขอบคุณเป็นล้นพ้น  กระผมจะกลับไปรายงานให้พวกเขาทราบถึงคำสั่งของท่าน

ราชาแห่งปราชญ์   :  แดนสวรรค์กว้างไกล หากจะไปให้ทั่วถึง เกรงว่าจะไปไม่หมด  สำหรับความคิดเห็นของข้าฯ  ควรจะเลือกไปเฉพาะที่เข้ากับศีลธรรมปัจจุบัน ก็เพียงพอเพื่อให้หนังสือสำเร็จลุล่วงไปโดยเร็ว จะได้ไปกอบกู้ผู้คน คงต้องลำบากท่านอรหันต์จี้กงมากหน่อย

อรหันต์จี้กง   :  สิ่งนี้คือหน้าที่ของอาตมา ขอเพียงแต่ท่าน ราชาแห่งปราชญ์ได้ดปรดให้ความสะดวก

ราชาแห่งปราชญ์   :  เกรงใจไปไย !  ปัจจุบันนี้ ประจวบเหมาะในการโปรดสัตว์สามโลก  ได้แก่  สวรรภูมิ  นรกภูมิ  และมนุษย์ภูมิ  แต่ละแห่งจะมีทั้งคนและผีปฏิบัติธรรม คราวนี้การแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์"  เพื่อเน้นหนักการถ่ายทอดความจริงด้านนี้  เพื่อผลการกอบกู้ผู้คน เหมือนตรงต่อการให้ยาถูกโรค  ยังสามารถกล่อมเกลาจิตมนุษย์  นอกจากนี้ก็จะได้แบบพิมพ์เขียวของ  "สวนสวรรค์อันสมบูรณ์"  ขอสั่งเสียเพียงเท่านี้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ขอบพระคุณมาก ที่ท่านราชาแห่งปราชญ์ กรุณาประทานโอวาท วันนี้ จำเป็นต้องขอลาก่อน

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณมาก ที่ท่านราชาแห่งปราชญ์ ให้ความห่วงใย

ราชาแห่งปราชญ์   :  มีคำสั่ง  ให้เทพยดาตั้งแถวสั่งแขก !

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว เราจะกลับสำนักกัน

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

พระอรหันต์จี้กง   :  ฟ้าดินถือกำเนิดจากเอกธาตุ พิภพอันใหญ่ปกครองด้วยสรรพสิ่ง พระศาสดาของห้าศาสนา  แม้จะใช้ยานพาหนะที่ต่างกันออกเผยแพร่พระธรรม และบนยานพาหนะ จะมีพระคัมภีร์ จะมีอักษรนับหมื่นตัวก็ตาม ล้วนแล้วแต่สอนให้มนุษย์ เดินทางไปสู่สวรรค์ทั้งหมด  แต่มาสมัยนี้ ในพระคัมภีร์จะถูกแก้ไขเรื่อยมา  บ้างก็เพิ่มเติมเสริมแต่งความคิดเห็นส่วนตัวลงไป  ทำให้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (ลายแทงขุมทรัพย์) เลอะเทอะผิดเพี้ยน  ทำให้ผู้แสวงธรรมต้องหลงทางอยู่ในขุนเขา โดยหารู้ไม่ว่าทุกศาสนามีหลักธรรมเหมือน ๆ กัน  ซึ่งมุ่งสู่สันติภาพมีความซื่อสัตย์ที่จะสั่งสอนผู้คน เหนี่ยวรั้งความเสื่อมโทรมของสังคม  มุ่งสู่ความสันติสุขร่วมกัน มนุษย์ควรตระหนักถึงสวรรค์ที่มีต่อที่มีชีวิต การเผยแพร่พระศาสนา ก็เพื่อส่งเสริมให้มีความผาสุกและสันติภาพ ต่อมนุษยชาติอย่างเดียวกัน  ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะดูถูกเหยียดหยาม และกล่าวร้ายกันและกัน สรรพชีวิตที่อยู่กันคนละแห่ง ล้วนมาจากสวรรค์แห่งเดียวกัน ต่างเลี้ยงชีพปกครองโลก พอนานวันเข้า ต่างก็ลืมสวรรค์ถิ่นเดิม บัดนี้  สวรรค์ต้องการให้สรรพชีวิตสำนึกตน  นึกถึงบรรพบุรุษสู่ถิ่นฐานเดิม ดังนั้น จึงมีคำสั่งมายังสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง  ให้แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  เปิดเผยสวรรค์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงหลักการเดิมของชีวิต  เพื่อกลับสู่สวรรค์ได้ในเร็ว ๆ วัน  หากยังไม่สำนึกตน ปฏิบัติธรรมก็รังแต่จะถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร มีทุกข์มหันต์ ไม่อาจกลับคืนสู่ถิ่นเดิมได้ !  หยางเซิง ! รีบขึ้นดอกบัวเตรียมออกเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญ ท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  นั่งอยู่บนบัวช่องาม เหินอยู่ในเวหานับหมื่นลี้ ทะยานสู่แดนสวรรค์อันสดใส ความรู้สึกเบาหวิว ๆ คล้ายกับเทวดาจริง ๆ  เคลิบเคลิ้มเหมือนดั่งเมาเหล้า เหาะเหินได้อย่างสะดวกสบาย  เบาตัวเบาใจ  มีความสุขเสียจริง ๆ ศิษย์รัก เจ้าไม่พูดไม่จาว่ารู้สึกอย่างไร ?.

หยางเซิง   :  จิตใจรู้สึกโล่งปลอดโปร่ง มีแต่แสงระยิบระยับ ไม่มีเมฆหมอกแห่งความเศร้า เห็นแต่มาลีสวรรค์เต็มไปหมด มีนกแปลก ๆ บินร่อนอยู่ไปมา ส่งเสียงร้องเจี้อยแจ้ว เหมือนกำลังร้องเพลงทิพย์ สัตว์แปลก ๆ มุดอยู่สุมทุมพุ่มไม้อันเขียวขจี  กระผมดูจนตาลายเหมือนคนเมาเหล้าแล้ว  ณ  ที่นี้ไม่มีวี่แววของผู้คนอาศัยอยู่เลย  แดนสวรค์มีทิวทัศน์งดงาม  ชวนให้หลงใหลเสียจนไม่อยากกลับไปโลกมนุษย์เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

อรหันต์จี้กง   :  ทิวทัศน์เช่นนี้  หาดูไม่ได้ในแดนมนุษย์ นอกเสียจากแดนสวรรค์ อันเนื่องจากเจ้ายังไม่หมดอายุขัยของมนุษย์ ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้  ควรจะช่วยกอบกู้สรรพสัตว์ ร่วมกันปฏิบัติธรรม วันข้างหน้า เจ้าก็สามารถมาท่องเที่ยวแห่งนี้ได้  ชมเขาชมน้ำอยู่อย่างเทวดาได้นานทีเดียว !

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณ อาจารย์ทีแนะนำ !  ด้านหน้ามีอาคารตั้งอยู่บนเมฆ  แสงทองส่องระยิบระยับ ยังมีความเขียวเขาเดี่ยวเดินตรงมาทางเรา  ทำไมบนสวรรค์ยังเลี้ยงควายด้วยหรือ ?.

อรหันต์จี้กง   :  อ๋อ !  นั่นเป็นพาหนะของท่านพระไท้เสียงเล่ากุง... ควายเขียวเขาเดี่ยว นั่นเป็นสัตว์เทวดา ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา เจ้าไม่ต้องกลัวเขามาต้อนรับเรา ควายและวัวในโลกมนุษย์น่าสงสารที่สุด ถูกใช้ให้ไถนา  ลากเกวียน เนื้อใช้เป็นอาหาร นมใช้เลี้ยงทารก  วัวควายมีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมหาศาล พระเล่ากุงเลี้ยงควายนี้ เป็น ควายเทวดา ก็เหมือนกับวัวควายในโลกมนุษย์เป็นต้นตระกูลไงล่ะ ในเมืองมนุษย์มีทั้งวัวเหลียง วัวขาว วัวดำ และวัวแดง แต่หามีความยเขียวไม่ !

หยางเซิง   :  ปราสาทด้านหน้าสง่างามมาก ลักษณะผิดธรรมดา ยังกับสร้างด้วยทองคำและหยกเหมือนเนรมิต ความสง่าผ่าเผย ทำให้คนเห็นแล้วเกรงขาม ข้างบนมีหนังสือเขียนว่า  "มหาวิสุทธิปราสาท" (ไท้เซงเก็ง) แวววับจับตา

อรหันต๋จี้กง   :  ที่นี่เป็นที่ พระไท้เสียงเล่ากุงประทับอยู่ บัลลังก์ไตรวิสุทธินี้ สถิตอยู่ ณ มหาสุทธาวาสภูมิ (ไต่เฉียะเทียน) วันนี้ เราจะมาที่นี่ก่อนเพื่อฟังธรรมเทศนาเกี่ยวกับการกำเนิดของฟ้า - ดิน   เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ถ่องแท้จะได้ปฏิบัติธรรม เป็นแนวทางไปสู่สวรรค์ การแต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ ควรกล่าวถึงวิถีทางของ ฟ้า - ดิน ก่อน  ท่านพระไท้เสียง ทรงเป็นพระศาสดาแห่ง  "เต๋า"  ดังนั้น จึงอยากให้ท่านเป็นผู้บรรยายเรื่องนี้

หยางเซิง   :  อ๋อ ... เป็นเช่นนี้เอง

อรหันต์จี้กง   :  เทพเต๋ายืนเรียงรายอยู่สองปากทาง คอยต้อนรับเราอยู่แล้ว

หยางเซิง   :  ขอนมัสการท่านเทพเต๋าทั้งหลาย  ข้าน้อยคือคนทรงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง  วันนี้ได้รับบัญชาติดตามพระอาจารย์มาเที่ยวสวรรค์ ขอเชิญท่านเทพเต๋าได้โปรดชี้แนะ

เทพเต๋า   :  ขอต้อนรับ พระอรหันต์จี้กงกับท่านหยางเซิง  ที่มาเยี่ยม ท่านพระศาสดาได้ให้มาเชิญ  ขอเชิญท่านทั้งสองตามพวกเรามาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณ ... เดินตามเหล่าเทพเต๋าเข้าไปข้างใน มหาวิสุทธิปราสาท ภายในปราสาทงามสง่า น่าเกรงขาม เงียบสงัดปราศจากเสียง พระศษสดา อันมีพระพักตร์อ่อนวัย แต่มีพระเกศาขาวดั่งขนนกกระเรียน ประทับอยู่เหนือบัลลังก์สูง ด้านหน้ามีกระถางกำยานตั้งอยู่ กลิ่นกำยานกระจายขึ้นสู่เบื้องบน รอบ ๆ พระวรกายมีรัศมีสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า  ดวงตาของกระผมไม่อานทนรับแสงได้แล้ว ! ขอกราบนมัสการ พระศาสดาเจ้าท่านไท้เสียงเล่ากุง ข้าพระพุทะเจ้า ได้รับเทวโองการติดตามพระอาจารย์ ให้มาท่องสวรรค์เพื่อแต่งหนังสือ วันนี้ได้มาถึงยัง มหาวิสุทธิปราสาท ขอเข้าพบพระศาสดาเจ้าขอทรงพระเมตตาโปรดประทานแนะนำ ความหมายของ  "เต๋า"  เพื่อลงในหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  เพื่อเตือนสติชาวโลก

พระศาสดาเจ้า   :  มิต้องคารวะ !  หยางเซิงโปรดลุกขึ้น !  ท่านอรหันต์ก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เชิญทั้งสองนั่งลง !  หยางเซิงมีกายเนื้อ ตาปัญญาเพิ่งจะเปิด บารมียังไม่แกร่งกล้า มาถึงสวรรค์ชั้น มหาสุทธาวาส ดวงจิตทนได้ยาก  ข้าจะประทานยาทิพย์ให้เม็ดหนึ่ง เพื่อเพิ่มพละกำลังให้แก่เจ้า จงรับไป ! 

หยางเซิง   :  ขอกราบขอบพระคุณท่านศาสดาเจ้าที่เมตตา กระผมรู้สึกจะทนไม่ได้จริง ๆ แดนสวรรค์แม้จะสวยงาม แต่ ดวงจิตไม่สงบ ! 

พระศาสดาเจ้า   :  สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพละกำลังนี้ นอกเหนือจากสวรรค์ทั้งสามสิบสามภูมิแล้วอย่างเช่น  สวรรค์ชั้นมหาสุทธาวาส นี้  หากไม่ใช่ผู้สำเร็จผลมรรค - นิพพานแล้ว จะไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ เจ้าน่ะมีบุญวาสนา อาศัยคำสั่งให้มา ข้าจะต้อองช่วยเจ้าอีกแรงหนึ่ง รีบ ๆ รับประทานเข้าไปเสีย

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม ... กระผมรับเข้าไปแล้ว ฉับพลันรู้สึกใจถูกร้อนลน ทำให้เกิดพละกำลังเพิ่มขึ้น  เบื้องบน นัยน์ตาทั้งสองเบิกกว้าง รู้สึกสามารถมองอะไรรอบ ๆ ได้เต็มที่แล้ว กราบขอบพระคุณท่านศาสดาเจ้า

พระศาสดาเจ้า   :  ยานี้เป็นยาทิพย์ เก้าวงกต ได้หลอมในเตาทองนี้นานถึงแปดสิบเอ็ดปีแล้ว รอคอยที่จะประทานให้แก่ผู้ที่มีบุญวาสนา วันนี้นายหยางเซิงมาที่นี่ นับว่ามีบุญวาสนา !

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณ ท่านศาสดาเจ้าที่ประทานยาทิพย์ให้แก่ศิษย์ของอาตมา ช่วยเสริมพละกำลังให้มิใช่น้อย  วันนี้ เรามาเยี่ยมคำนับท่านศาสดาเจ้าเพื่อที่จะมาฟังธรรมเทศนาความเป็นมาของ "ฟ้า - ดิน"  เพื่อให้ชาวโลกได้เข้าใจถึงสัทธรรมอันยิ่งใหญ่ จะได้อบรมจิตเพื่อกลับสู่ถิ่นเดิม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/12/2554, 05:35 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

พระศาสดาเจ้า   :  ความอัศจรรย์ของ ฟ้า - ดิน  นอกจากผู้บรรลุสัทธรรมแล้ว ทั่ว ๆ ไปก็เพียงรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ โชควาสนาที่มีการโปรดสัตว์อันยิ่งใหญ่ ความลี้ลับอัศจรรย์แห่งวิถีโคจรของฟ้า - ดิน  จึงถูกเปิดเผยเพื่อแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ใจข้าห่วงใยสรรพสัตว์ ที่ไม่สามารถจดจำหลักการ ที่จะกลับสู่ความจริง ดังนั้น จึงขอถือโอกาสนี้เปิดเผยกิจ  "ความเป็นมาของฟ้าดิน"  ให้แก่ชาวโลก เพื่อผลในการโปรดสัตว์   อันว่า ฟ้าอยู่สูง  แผ่นดินอยู่ต่ำ
มนุษย์อยู่เบื้องกลาง  ทั้งสามสิ่งสมบูรณ์ก็เกิดจักรวาล นับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์  ฟ้า -ดิน   สุริยัน - จันทรา  ยังเป็นเอกภาพ ไม่มีการแบ่งแยก ในขณะนั้น ด้วยเอกธาตุแต่ปางก่อน ของจอมปราชญ์  พระพุทธเจ้า  พระวิสุทธิเทพ  พระมหาจอมมุนี อันนับเป็นจำนวนโกฏิ ๆ พระองค์  ที่มีธาตุอันบริสุทธิ์ที่ต่างพร้อมใจกันเปล่งรัศมีสุดประมาณ หมุนเคลื่อนอวกาศ ท่านเหล่านั้นคือ  "มหาบุรุษจอมราชัน"  ที่สถิตอยู่เบื้องสูงสุด  หรือถูกยกย่องว่าเป็น "พระผู้เป็นเจ้า"  และเนื่องจากเป็นที่กำเนิดของสรรพสิ่ง จึงขนานอีกพระนามหนึ่ง "บิดาสวรรค์  พระแม่ธรณี"   เนื่องจากไม่ทราบพระนาม  จึงเรียกว่า "มหัศจรรย์"  เนื่องจากไม่ทราบที่มา จึงเรียกว่า "องค์ปฐม"   นั่นคือ ที่มาของ  "มหาสัทธรรม"  เริ่มจากไม่มีชื่อ  "เริ่ม"  เมื่อได้มีการหมุนเคลื่อนให้ครบรอบวงกลม เอกธาตุถูกแบ่งแยก  จึงแปรเป็น  ไตรวิสุทธิ์   อันได้แก่  พระวรสุทธิ์องค์แรก  พระวิสุทธิจิต  และพระมหาวิสุทธิธรรม  เมื่อพระทั้งสามองค์ประสานเป็นกายเดียวแล้วก็กลายเป็นองค์สมบูรณ์ จากไตรวิสุทธิ์นี้  แยกออกเป็นรูปวิสุทธิธาตุที่เบาจึงลอยสู่เบื้องบน  เป็นการเบิกฟ้า กำเนิด  ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาววิเศษสามสิ่งจึงสำเร็จลง   พระไตรวิสุทธิ์ก็ได้อวตารเป็นห้าอาวุโส   บิดาธาตุไม้อยู่ทางตะวันออก   มารดาธาตุทองอยู่ทางตะวันตก   อาวุโสธาตุไฟอยู่ทางทิศใต้   อาวุโสธาตุน้ำอยู่ทางทิศเหนือ   และอาวุโสพระธรณีอยู่ศูนย์กลาง  นั่นคือ ห้าอาวุโส   

        เมื่อทั้งห้าอาวุโสอยู่ครบ ธาตุที่ขุ่นและหนักก็ตกลงสู่เบื้องล่าง  จึงเกิดแผ่นดินขึ้น  เมื่อมีฟ้า - ดินแล้ว  แต่ไม่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์  มหาบุรุษจอมราชัน จึงทำสมาธิเดินธาตุบริสุทธิ์  ให้ทั้งห้าอาวุโสจัดสร้างมนุษย์ เมื่อจักรวาลสำเร็จลง แต่ไม่มีที่สำหรับมนุษย์อยู่  ดังนั้น ทั้งห้าอาวุโสจึงแบ่งวิญญาณ  ขยายพันธุ์  ทั้งห้าอาวุโสได้รับคำสั่งแล้ว ก็ให้  แม่ธาตุทอง  กับบิดาธาตุไม้ จัดแจงให้วิญญาณไปเกิด  ขณะนั้น  ทั้งห้าอาวุโสได้เลือกเขาสิเนรุเป็นศูนย์กลางเสาะหาถ้ำที่อยู่อาศัย  นำเอาดินสีเหลืองปั้นเป็นหม้อต่างครรภ์  ทำฝาครอบกลม ๆ ปิดลง และทำที่หมุนทั้งสี่มุม  จัดตั้งให้เรียบร้อย   บิดาธาตุไม้ได้สลักเอาโลหะจากหิน ทำเป็นสามขา ต่างเป็นขาหยั่งไว้ตั้งกระทะ  แม่ธาตุทองเก็บดินห้าสี จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ปั้นเป็นเตารูปจันทร์เสี้ยว  มีน้ำเซาะหินตัดผ่านภูผา ได้หินงามประหลาด  คลุกกับน้ำแล้วกอบไว้ในเตา เอาหม้อดินวางไว้ข้างใน  ด้านนตั้งกระทะทองไว้ เอาแก่นไม้แห้งจากทางใต้ ใช้ไฟจริง (พลังจิต)  ต้มน้ำมัน  ชั่วครู่เดียว ความร้อนได้ขับดันไอ (ธาตุแท้) ออกมา  จากความสงบจึงหยดธาตุ (ไทฮั้ว) ลงสู่ในหม้อ ใต้หม้อยังมีไอ (ธาตุ)  เล็ดรอดออกมา ส่วนที่ดูดซับน้ำ ได้หุ้มธาตุทอง (กิมฮั้ว)  มีการยุบ ๆ พอง ๆ โดยธรรมชาติ  ระดับน้ำขึ้น ๆ ลง ๆ  ภายในเต็มล้นและอิ่มเอิบ

        ห้าอาวุโส สามารถล่วงรู้เหตุการณ์อันสำคัญว่า  ส่วนศรีษะแดง ได้เชื่อมติดแน่นแล้ว จึงรื้อเตาออก อุ้มหม้อออกมาดู รัศมีเปล่งประกายรอบ ๆ อยู่ถึงเจ็ดวันจึงหยุดลง   ท่านอาวุโส  ธาตุดิน  ธาตุไฟ  และธาตุน้ำ  ขึ้นนั่งในที่สูง  คอยดูอย่างตั้งใจ  (พ่อ) ธาตุไม้  และ (แม่) ธาตุทอง   จึงก่อเตาขึ้นใหม่นำหม้อขึ้นตั้งบนเตาใหม่  ยามเช้าเกรงว่าจะหนาว จึงสุมเปลวแดดไว้ข้างล่าง !  ยามเย็นก็เกรงว่าจะแห้ง  จึงหยดน้ำธาตุ  (ไท้อีก) ด้านบน  ทั้งอาวุโสธาตุไม้และธาตุทอง  ได้อาศัยวิธีหลอมทองให้เป็นรูป (กิมเอ๊กเลี่ยงเฮ้ง)  จนกระทั่งคงไว้แต่สติ  เพื่อเพิ่มพลังจิตให้ลืมความกังวล  และความคิดต่าง ๆ คงสภาพไว้เฉย ๆ คอยเพิ่มหรือลดพลังจิตตามจังหวะจนกระทั่งแล้วเสร็จ  รอคอยให้ครบกำหนด  เมื่อถึงเวลาที่ครบกำหนดแล้ว  ปรากฏมีเมฆสีต่าง ๆ ลอยอยู่เบื้องบน  น้ำมนต์ก็ปะพรมลงสู่เขาสิเนรุ ได้ยินเสียงจากในกระทะ ทั้งอาวุโสไม้ และทอง ต่างรู้ว่า  ทารกน้อยได้กำเนิดแล้ว               

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

พระศาสดาเจ้า   :  เมื่อเปิดฝาบนออกดู จึงเห็นมีของสิ่งหนึ่งกอดรัดอยู่  อาวุโสทองจึงเอามืออุ้มออกมาคนหนึ่ง มองเห็นเป็นทารกเพศชาย  อาวุโสไม้อุ้มอีกตนหนึ่งขึ้นมา ปรากฏเป็น ทารกเพศหญิง  ทั้งสองยิ้งร่าแล้วกระโดดออกจากระทะ  นี่คือบรรพชนในอดีต  นามว่า "มหาบุรุษ"  (ไท้เฮี้ยง)  และวรสตรี(เง็กนึ่ง)  อีกนัยหนึ่งคือ อาดัม กับ อีวา  ซึ่งเป็นพืชพันธุ์มนุษย์ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และในขณะที่ ธาตุบริสุทธิ์ ทั้งห้าทิศให้กำเนิดมนุษย์ ก็มีธาตุที่ไม่บริสุทธิ์ ซึมแผ่ออกมาด้วย คลุมทั่วพื้นพิภพ  ทำให้เกิดสัตว์ต่าง ๆ เช่น พวกสัตว์ปีก  พวกพืช  และยังมีพวกโลหะ  มีแม่น้ำ  ทะเล  มหาสมุทรไฟฟ้าในอากาศและหินไฟรวมทั้งฝุ่นละอองและสัตว์ต่าง ๆ คัมภีร์ที่ปั้นดินเสกให้เป็นคน ก็เกิดจากที่นี่  คนที่แท้ทำจากดิน  ดินให้กำเนิด  ก็ต้องอยู่กับดินไปตลอด ดังนั้นเมื่อตายลงก็ต้องคืนสู่ดินอีก การสร้างโลกจึงสำเร็จลง  ทารกทั้งชายหญิงจึงจุติจากสวรรค์มาสู่โลก  เริ่มแรกมนุษย์ยังมีกายบริสุทธิ์ เนื่องจากได้เสพสิ่งหลงติดในโลก ทั้งในที่สว่าง - ที่มืดมิด  (อิม - เอี้ยง)  ผสมผสาน  ดังนั้น มนุษย์จึงเกิดแล้วเกิดอีก  ทั้งหมดนี้ เริ่มจากที่ไร้ขอบเขต (บ้อเก๊ก) เกิดการเคลื่อนที่  ทำให้เกิดขอบเขตอันไพศาล (ไท้เก๊ก)  ขอบเขตอันไพศาลนี้มีทั้งในที่สว่าง - ที่มืดมิด (อิม - เอี้ยง)  ทำให้เกิดสรรพสิ่ง ...เริ่มจาก หนึ่งแพร่กระจายเป็นหมื่น ๆ ดังนั้น คำว่า  "สรรพสัตว์" จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  "วิญญาณ 96 ดวง"  หมายความถึง ลักษณะฟ้า 9 ส่วน  ดิน 6 ส่วน  ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

        ธาตุทั้งห้าก่อกำเนิดวิญญาณเดิม แต่ละดวงมีธาตุแท้ ดังนั้น มนุษย์จึงมีอวัยวะภายในครบทั้งห้า  มีธาตุทั้งห้าแข็งแรง  ล้วนเป็นพระคุณของธาตุทั้งห้า ในโลกนี้มีผิวพรรณต่าง ๆ กัน ทั้งห้าสี  ในทิศทางต่าง ๆ  ทิศตะวันออกผิวสีเขียว   ทิศตะวันตกผิวสีขาว   ทิศใต้ผิวสีแดง  ทิศเหนือผิวสีดำ  ทิศเบื้องกลางผิวสีเหลือง  ก็เหมือนดินเหนียวที่เผาอยู่ในเตา ความแรงของไฟไม่เท่ากัน  ทำให้เกิดแสงสีทั้งห้า

        วิญญาณเดิมจุติสู่ในโลก เริ่มแรกจิตเดิมบริสุทธิ์  มีใบไม้พันกาย จิตจึงเป็นจิตเดิม ไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด ดังนั้น พอมนุษย์ตายลงแล้วก้กลับคืนสู่สวรรค์แต่ทว่าจิตใจได้หมกมุ่นอยู่ในแผ่นดินนานเข้า  ชาติพันธุ์และวิญญาณแปรเปลี่ยน  ในสมัยโบราณยุคกลาง วิญญาณไม่บริสุทธิ์ เมื่อมนุษย์ตายลงวิญญาณจึงไม่สามารถกลับคืนสู่สวรรค์ วิญญาณที่มีบาปจึงตกต่ำ  ดังนั้น  นรกจึงบังเกิดขึ้น

        ท่านอาวุโสทั้งห้า  มีความเสียใจอย่างยิ่ง จึงได้ร่วมกันปรึกษา เพื่อวางแผนรับวิญญาณคืนถิ่น  อาวุโสทั้งห้าจึงจำเป็นต้องจุติ ลงมายังโลกด้วยตัวท่านเอง แยกกันไปคนละทิศทาง  ต่างก็เป็นจอมศาสดาของห้าศาสนา  เผผยแพร่พระศาสนาให้แก่สาวก เพื่อโปรดสัตว์ให้คืนถิ่น  แต่ว่า ภายหลังพระศาสดาเสด็จดับขันธ์ลงแล้ว พระสาวกก็ได้หลีกไกลจากพระสูตรผิดธรรมะ    ทำให้วิญญาณเดิมอยู่ห่างไกลจากธรรมะ  เกิดการกล่าวร้ายซึ่งกันและกัน  กระทำสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม  กระทบกระเทือนต่อ ฟ้า - ดิน  ท่านอาวุโส  พระแม่ (ธาตุทอง)  เศร้าเสียใจที่ลูกไม่กลับคืนถิ่น  ดังนั้น จึงมีรับสั่งให้นำพระสัทธรรมมาสู่โลก  เพื่อกอบกู้ผู้คน  เพื่อเร่งให้ได้ผลรวดเร็วขึ้น  จึงได้ลงประทับทรง สั่งสอน ปลอบเตือนลูกเกเร 

        เพราะต้องการโปรดสัตว์อย่างแท้จริง  ดังนั้น ทั้งสามภพ  ถึงได้ประชุมกันขึ้นในวันที่  1  เดือน 5  ปีมะแม  (26 พ.ค. 22)  ประธานทั้งสามภพจึงลงมติ ให้เปิดเผยสภาพทิวทัศน์ของสวรรค์ เพื่อการชักจูงเหล่าวิญญาณ ให้กลับคืนสู่สวรรค์ อันบรมสุข  อันเป็นความตั้งใจของพระแม่ หวังว่าชาวโลกเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จะกลับตัวกลับใจ เข้าหาพระสัทธรรม จะได้กลับสู่สวรรค์  วิญญาณผนึกเข้ากัน กลับคืนสู่ ไตรวิสุทธิ์เป็นเอกธาตุอีกครั้ง  เสวยสุขนิจนิรันดร์

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณ ที่ท่านศาสดาเจ้าได้เปิดเผยถึงความลี้ลับของสวรรค์ เพื่อชักนำมวลมนุษย์ เนื่องจากเวลามีจำกัด อาตมาจะพานายหยางเซิงกลับไปยังสำนัก วันหน้าค่อยมาเยี่ยมคารวะใหม่

พระศาสดาเจ้า   :  ก็ดี !  มีคำสั่ง  ขอให้เทพเต๋าตั้งแถวส่งแขกทั้งสอง

เทพเต๋า   :  รับคำสั่ง !  ขอส่ง ท่านอรหันต์จี้กง  และคุณหยางเซิงกลับสำนัก หวังว่าจะได้มาเที่ยวอีก

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ท่านจอมศาสดาแห่งเต๋า ที่ประทานวรพจน์อันล้ำค่า ขอกราบลาก่อน  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญ ท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  ถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             เที่ยวเมืองสวรรค์ :

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม         

อรหันต์จี้กง   :  กลอนบทนี้ เชื่อว่าคนจำนวนมากรู้จักกันดี แต่อย่าคิดว่าเพียงท่องได้ก็จะบรรลุธรรมก็หาไม่ เนื่องจากปากกับใจยังอยู่ห่างกัน ในบทกลอนคำว่า  "ภูผาจิต"  ก็คือ  "ภูเขาหัวใจ"   และที่นี่ก็เป็นทางสามแพร่ง ที่จะแยกไปสวรรค์ และ ยมโลก  จากถนนสู่มนุษยโลกไปสู่ถนนไปยังสวรรค์ หรือถนนไปยังยมโลก  ก็จะแยกกันตรงนี้แหละ ดังนั้น ชาวโลกหากจะปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาจากที่ไหนไกล ๆ  เพียงมีกระจกสักบานหนึ่ง ส่องดูหน้าตาตนเอง ดูซิว่าเหมือนคนดีหรือเหมือนคนเลว คลำดูที่ใจว่าเป็นใจที่ดี หรือใจเลว ภูผาจิตก็อยู่ในใจของเจ้าเอง ชั่วขณะหนึ่งที่ขึ้นภูเขาแล้วพบพุทธฉับพลันนั่นก็คือ ได้ค้นพบเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์แล้ว  วันนี้  ก็ต้องพานักทรงเอก วิญญาณเจ้าหยางเซิงไปท่องสวรรค์อีก หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ผมขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้  ก็ยังต้องไปมหาวิสุทธิปราสาท ไปเยี่ยมคารวะท่านไท้เสียงเล่ากุง ศาสดาแห่งเต๋าอีกครั้ง ศิษย์รัก  นั่งอยู้บนดอกบัวลอยละลิ่วพลิ้วไปตามลมขึ้นสู่แดนสวรรค์

หยางเซิง   :  รู้สึกร้อนเหลือเกิน

อรหันต์จี้กง   :  ก็จวนจะถึงสวรรค์ทักษิณนะซิ  ที่นี่อยู่ใกล้แนวอวกาศ อากาศเบาบางมาก จวนจะไม่มีอากาศอยู่แล้ว อีกอย่างก็เนื่องจากความเร็วของการเดินทาง จึงทำให้รู้สึกร้อน

หยางเซิง   :  ที่แท้บนแดนสวรรค์มีอากาศอยู่หรือไม่ ?.

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าไม่เคยได้ยินหรอกหรือว่า มนุษย์ที่เข้าไปในอวกาศ ต้องห่อหุ้มร่างกายไว้ อาศัยออกซิเจนจากโลกขึ้นไป มิฉะนั้นแล้ว จะเข้าไปในอวกาศได้หรอกหรือ  ปุถุชนที่มีกายเนื้อ คิดจะมีชีวิตในแดนสวรรค์จะเป็นได้อย่างไร ?. ควรจะบำเพ็ญธรรมจนได้  "กายทิพย์"  จึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นแล้ว กายเนื้อเมื่อมาถึงที่นี่คงจะแข็งตายไปเท่านั้น ด้วยเหตุฉะนี้  หากมนุษย์คิดจะย้ายมาอยู่ยังอวกาศ ก่อนอื่น ควรทำใจให้กว้างเหมือนอวกาศ กว้างจนไม่มีสักสิ่งเดียว จึงจะเบาจนรู้สึกสบาย จึงจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้  เจ้าเคยเห็นนายอาร์มสตรอง  ตอนที่ไปเหยียบดวงจันทร์ไหม ?.  ลักษณะการล่องลอยคล้ายเทวดาเป็นการพิสูจน์ เหตุผลที่ว่าอากาศบริสุทธิ์ จะลอยขึ้นสู่เบื้องบน เทพดา  อรหันต์  ต่างมีความสุขสบายอิสระ  อย่างไรนั้น !  เป็นเพราะได้รักษาพรหมจรรย์จนกลายเป็นพลัง ฝึกพลังให้มีสติ  ฝึกสติสู่ความว่าง  จากกายเนื้อสู่กายทิพย์ เห็นรูปเป็นอรูป (ว่าง)  ดังนั้น จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในแดนสวรรค์ พวกเจ้าควรรับรู้เอาไว้

หยางเซิง   :  ความเป็นมาของจักรวาล ทำไมจึงพิศดารอย่างนี้ ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ :

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม         

อรหันต์จี้กง   :  สวรรค์ได้จัดระบบของจักรวาล  เช่น การโคจรตามแนววิถีของมัน พลังดึงดูดจากใจกลางของโลก เป็นบ่อเกิดของกระแสไฟฟ้า รักษาระบบการโคจรของดวงดาวให้ปกติ ไม่เกิดการเสียดสี หรือชนกันขึ้นได้  อันนี้นับว่าเป็นความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ของสวรรค์  ในโลกนี้ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า  ในแต่ละดวงดาว มีดาวเทียมประจำอยู่ สามารถเทียบเท่ากับฝีมือสวรรค์ แต่เหล่านี้ก็เทียบไม่ได้กับการฝึกใจอบรมจิตจนบรรลุปัญญามีตาทิพย์ได้เห็นความเป็นอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่งได้ จะถ่ายทอดสภาวะแห่งความจริงได้มากกว่า  การใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์หยั่งเอานั้น ทำได้เ้เพียงผิวเผิน ส่วนของชีวิตในแผ่นดินสวรรค์ ที่สูงขึ้นไปอีกนั้น พวกเขาไม่สามารถจะรู้ได้เลย เปรียบเสมือนเจ้ามองเห็นความกว้างของท้องทะเลนั้น แต่ของมีค่าจำนวนมหาศาลใต้ทะเลและฟ้า - ดินนั้น  เจ้าจะเห็นได้ไหม ?.

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ได้เปิดเผยความลี้ลับ แห่งจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ซึ่งเป็นข่าวใหม่เสียจริง ๆ เห็นทีจะต้องประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้กันต่อไปอีกเป็นพัน ๆ ปีเลยทีเดียว

อรหันต์จี้กง   :  ความลี้ลับของสวรรค์มีมากมาย เพียงเปิดเผยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกนั้นให้ชาวโลกค่อย ๆ ค้นหากันเอาเองเถอะ อาจารย์กับศิษย์สนทนาธรรมกันมา ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มาถึงมหาวิสุทธิปราสาท วันนี้ที่นี่สงบเงียบ ภายใต้ต้นไม้หรือศาลมีเทพเต๋าที่หน้าตาดูสดใส หรือเหล่าวิสุทธิเทพ เทพที่มีหน้าตาส่อแววเมตตาปรานี นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่

หยางเซิง   :  พวกเขาเหล่านั้น ล้วนมีรัศมีเปล่งประกาย อันนี้เนื่องจากอะไร ?.

อรหันต์จี้กง   :  พวกเขากำลังขับเคลื่อนพลังจิตให้หมุนรอบกาย จิตว่างดังอวกาศอันนี้ เป็นความสามารถขั้นสูงในการบำเพ็ญเพียร ดังเช่น แก้วมณีที่ปราศจากฝุ่นละออง ย่อมเปล่งแสงแวววาวออกมาโดยอัตโนมัติ เราอย่าได้เสียเวลาคุย รีบเข้าไปในปราสาท เพื่อขอให้พระศาสดาแห่งเต๋าทรงบรรยายธรรมเถิด

หยางเซิง   :  ก็ดีครับ !  เจ้าควายเขียวเขาเดี่ยวตัวนั้น มันเดินลอยชายอยู่ใต้ต้นไม้ ท่าทางสุขสบายเสียจริง ๆ

อรหันต์จี้กง   :  ควายนี้ มิใช่ควายธรรมดามันกำลังเดินจงกลมอยู่  พวกเรารีบเข้าไปในปราสาท ตั้งใจฟังธรรมดีกว่า

หยางเซิง   :  ครับกระผม !... ข้าน้อย ขอคารวะท่านพระศาสดาเจ้า  วันนี้ก้ได้มากับอาจารย์อีก ขอโปรดได้บรรยายธรรมเถิด ! 

พระศาสดาเจ้า   :  มิต้องคารวะ ! ท่านทั้งสองลำบากนะ ขอเชิญนั่ง !  มีคำสั่งให้เทพเต๋าบริการน้ำอมฤต ! 

เทพเต๋า   :  รับคำสั่ง !... ได้บริการแล้วขอรับ ขอเชิญท่านอรหันต์และคุณหยางเซิง โปรดใช้น้ำอมฤตเถิด

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ที่ท่านศาสดาทรงเมตตารักใคร่

พระศาสดาเจ้า   :  ไม่ต้องเกรงใจ ท่านทั้งสองได้มาเยือนอีกครั้งในวันนี้ ข้ารู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าข้าจะอยู่ในแหล่งสุขสบายแดนสวรรค์ แต่ใจยังคงห่วงถึงมวลมนุษย์ในโลก เห็นแล้วว่าผู้คนในปัจจุบันนี้ น้อยคนนักที่จะรักษาศีลธรรม  ทำให้ข้าเสียใจมาก เพื่อที่จะนำวิญญาณกลับสู่ถิ่นเดิม ดังนั้น ทั้งสามภพจึงได้เปิดประชุม โดยยอมเปิดเผยทิวทัศน์แดนสวรรค์เพื่อกอบกู้มวลวิญญาณกลับถิ่นเดิม ในการที่ท่านได้รับเกียรติ ให้ทำหน้าที่แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ซึ่งเป็นภาระอันหนักมาก ดังนั้น  ข้าจึงยกเอาการกำเนิดของฟ้า - ดิน   และหนทางการกลับสู่สวรรค์มาเปิดเผยให้เต็มที่  จึงจะไม่ทำให้ผู้อยู่บนสวรรค์ต้องเสียใจ

หยางเซิง   :  ปัจจุบันนี้ มนุษย์กำลังหลงใหลอยู่กับวัตถุนิยม แต่สติกำลังสูญไป คิดจะเจริญสติเพื่อฝากความหวังไว้ แต่ไม่ทราบว่าจะปฏิบัติให้ถึงสัทธรรมได้อย่างไร ?. เพื่อให้ผลในการฝึก ขอเชิญท่านศาสดาเจ้าโปรดชี้แนะด้วยเถิด   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28/12/2554, 15:22 โดย jariya1204 »

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”