โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดให้โอวาทต่อญาติธรรมชาวไทย
ณ พุทธบรรพตฝูซัน
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532
ปีหมินกั๋วที่ 37 (พ.ศ. 2491) เราเดินทางจากนครเทียนจิน มาสู่ไต้หวันด้วยกันสี่สิบคน มาเพื่อที่จะทำงานธรรมะ บัดนี้ คนที่มีอายุมากกว่าข้าพเจ้าสองคนได้กลับคืนเบื้องบไปแล้ว คนที่อายุน้อยกว่าข้าพเจ้าสองคนก็กลับคืนเบื้องบนไปแล้ว ขณะนี้ คงเหลือแต่รองธรรมอธิการ ฉีเฉียนเหยิน ที่อยู่พุทธตำหนัก "เทียนเอินกง" ที่ไทเป อีกท่านหนึ่งหนึ่งรองธรรมอธิการ จางเฉียนเหยิน หรือ เฉาไท่ไท่ (ท่านได้ถึงกาลดับขันธ์หลังจากนี้ไม่นาน) อีกท่านหนึ่งอยู่ที่เมืองผิงตง แล้วก็ข้าพเจ้าและรองธรรมอธิการเฉินเฉียนเหยิน (เฉินต้ากู) ห้าคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเราไม่ใช่ติดตามคณะรัฐบาลมาสู่ไต้หวัน เราไม่ได้มาเพื่อลาถยศ
แต่เรามาทำงานธรรมะ ผลงานธรรมะที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดนี้ไม่ใช่กำลังความสามารถของคน คนไม่มีกำลังความสามารถถึงเพียงนี้ได้ พวกเราเป็นคนธรรมดา ๆ
แต่เผยแผ่วิถีธรรมนี้ไปได้ทั่วเป็นพระโองการจากเบื้องบน เราไม่รู้จะว่าอย่างไร คณะญาติธรรมไทยที่มาไต้หวันกันคราวนี้ ทุกคนมีหน้าที่ต่อประเทศชาติบ้านเมือง วิถีธรรมนี้ถ้าจะให้คนระดับสูงเป็นผู้ขยายงานจะไม่แพร่หลาย ดังเช่นที่ไต้หวันมีพุทธสมาคมข่งเมิ่ง ผู้ดำเนินการล้วนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้มีคุณสมบัติสูงทั้งนั้น แต่งานธรรมะขยายไม่ออก เพราะผู้ดำเนินงานสูงส่งเกินไป ชาวบ้านไม่กล้าเข้ามาร่วมด้วย ในสังคมเรามีชาวบ้านธรรมดา ๆ เสียมากกว่าทางการจะต้องเข้าใจเหตุผลข้อนี้ ถ้าทางการไม่เข้ามาควบคุมเกี่ยวข้อง แต่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือประชาชน การขยายงานก็จะไปได้ไกล การศึกษาของชาติเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ไม่ใช่ศึกษาวิชาการโดยไม่มีธรรมะ เช่นการศึกษาวิทยาศาสตร์ ธรรมะเป็นรากฐานของสัจธรรม เราเอาสัจธรรมมาเป็นรากฐานเสียก่อน แล้วค่อยขยายการศึกษาวิทยาศาสตร์ ออกไป ถ้าเอาแต่จะเรียนวิทยาศาสตร์อย่างเดียว สาขาวิชาไหนทำเงินได้ดีกว่าก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาสาขาวิชานั้น เสร็จแล้วก็พยามยามค้นคว้าสังสรรค์ของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ประหลาด ๆ กันออกมา แต่ไม่มีความหมายของคุณธรรมหลงเหลืออยู่เลย สมัยนี้ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด วิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวหน้าโลกยิ่งวุ่นวาย ใครเหนือกว่าเราก็จะถีบตัวให้เหนือกว่าเขาให้ได้ แต่ในเรื่องของคุณธรรมเราจะพูดถึงความเสมอภาค ทุกคนได้ดีด้วยกัน คนอื่น ๆ ดี เราจึงจะดียิ่งขึ้น บัดนี้ เบื้องบนได้โปรดประทานวิถีอนุตตรธรรมเป็นพระโองการ หากเบื้องบนไม่ประทานพระโองการลงมากำลังความสามารถของข้าพเจ้าคนเดียวจะทำงานนี้ไม่ได้ ฉะนั้นจะต้องเข้าใจว่า นี่เป็นบุญวาระพิเศษ เป็นกำหนดกาลของฟ้าดินเหมือนอย่างประเทศต่าง ๆ เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เหล่านี้ไม่มีฤดูหนาวฤดูร้อนที่ชัดเจน แต่ขณะนี้ที่ปักกิ่งหิมะกำลังตกหนัก นี่เป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ แม้คนและวิทยาศาสตร์จะล้ำเลิศก็ทำไม่ได้ การใด ๆ ในโลกนี้ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ความสามารถของคนครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับเบื้องบน หลักธรรมชาติเป็นรากฐานของสรรพสิ่ง คนที่มีจิต (ธรรมญาณ) เป็นรากฐานของคน ทุกอย่างจึงมีหลัก แล้วเกิดผลงาน มีฐานเบื้องต้นแล้วขยายเป็นปลายเหตุ ต้องมีหลักธรรมโลกจึงจะดีได้ ครอบครัวสังคมและประเทศชาติก็เป็นอย่างเดียวกัน ประเทศนี้มีแต่ประมุข แต่ไม่มีประชาชน จะเป็นประมุขเพื่ออะไร มีประชาชนไม่มีประมุขขาดผู้ปกครองก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่มีระเบียบธรรมญาณของเราก็คือประมุขของเรา ประมุขมีความเที่ยงธรรมก้จะชี้นำให้ หู ตา จมูก ปาก ร่างกาย ประพฤติชอบ ถ้าประมุขขาดความเที่ยงธรรมพวกหูตาเหล่านี้ก็จะฝ่าฝืน ฉะนั้น เมื่อเราทุกคนได้รับถ่ายทอดวิถีธรรมเปิดจุดนี้ของตัวเองแล้ว ได้พบประมุขที่แท้จริงของตัวเองแล้วให้ประมุของค์นี้เป็นหลักชีวิตของเรา ควบคุมความเป็นไปทั้งหลายทั้งปวง โลกจะดีได้แน่ ๆ