collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: โอวาทท่านธรรมอธิการ : คำแถลง  (อ่าน 22130 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                  โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        พระอริยเจ้าทรงตรัสไว้เช่นนี้ ในคัมภีร์บันทึกไว้เช่นกัน เมื่อก่อนอ่านพบแต่ไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้รับวิถีธรรมแล้ว จึงได้รู้ว่าจิตวิญญาณของเราทั้งหลายอุบัติลงมาเกิดด้วยพระธรรมโองการจากเบื้องบน  บัดนี้ได้เวลาหกหมื่นปีแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายจะถึงกาลวินาศด้วยมหันตภัย เบื้องบนได้โปรดทั่วไปครั้งใหญ่ กำหนดคัดเลือกพระอริยะสามพันหกร้อย ปราชญ์อีกสี่หมื่นแปดพัน นี่เป็นจำนวนจากทั่วโลก วันนี้ทุกคนมีความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ อุทิศตัวเพื่องานธรรม ทุกคนเป็นผู้มีคุณสมบัติจะได้รับเลือก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่บำเพ็ญ  ไม่ต่างอะไรกับการเข้าสอบมหาวิทยาลัย ในจำนวนผู้สอบเป็นแสนคน คัดเลือกไว้เพียงสามหมื่นคน  อีกเจ็ดหมื่นคนสอบเข้าไม่ได้  ไม่ใช่สอบเข้าไม่ได้แต่เพราะรับเพียงสามหมื่นคน ต่อไปถึงงานชุมนุมใหญ่พระอริยะ (หลงฮว๋า) เป็นโอกาสที่เบื้องบนจะปูนบำเหน็จอริยฐานะมรรคผลตามผลบุญกุศลที่สร้างกันมา บุญกุศลสูงก็จะได้อริยฐานะสูง ไม่มีบุญกุศลก็สอบไม่ผ่าน  เมื่อสิ้นพระธรรมาจารย์ และพระธรรมจาริณีแล้วผู้ที่ใกล้ชิดติดตามปฏิบัติ บำเพ็ญธรรมมาตั้งแต่ครั้งนั้น ทั้งที่นครเทียนจิน ปักกิ่ง นานกิง เซี่ยงไฮ้ และจี้หนาน บัดนี้ คงเหลือแต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว ซึ่งปีนี้ก้อายุแปดสิบเจ็ดปีแล้ว (พ.ศ. 2530) คนอื่น ๆ ในครั้งนั้นต่างกลับคืนเบื้องบนไปสิ้น กายสังขารนี้จะจบสิ้นวันไหนก็ไม่รู้ ฉะนั้น จึงอย่ามองข้ามความสำคัญวันนี้ เมื่อวันนี้ผ่านไปแล้ว อยากจะหาคนเดิมเหล่านี้มาชุมนุมกันอีกนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ทุกคนเป็นศิษย์พระอาจารย์เดียวกัน เป็นนักธรรมพี่ นักธรรมน้อง ไม่ว่าหญิงชาย คนแก่หรือเด็ก ไม่ว่ารู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือ พุทธจิตนั้นเป็นเช่นเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้ว่า เวไนยสัตว์ล้วนเป็นพุทธภาวะ ฉะนั้น วันนี้ได้รับจุดนี้แล้วจึงต้องศึกษาไตรรัตน์ จุดนี้เรียกว่าคัมภีร์ที่แท้ไม่มีลายลักษณ์อักษร แท้คือไม่ใช่สมมุติ  คัมภีร์คือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่น พระพุทธาทรงเปรียบว่าเป็นวัชรคัมภีร์ วัชรคือธาตุของความแกร่งกล้า ในเนื้อทองสวยใส วาวงาม เป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธจิต  ในโลกนี้เรายังค้นไม่พบเลยว่า มีสิ่งใดที่คงสภาพอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้โลกที่เราอยุ่นี้ก็ต้องถึงกาลแตกดับ ในที่สุด ฉะนั้น เมื่อเราได้พบเจ้าตัวจริงผู้ควบคุมชีวิตของเราแล้ว เราจึงรู้ว่าการที่เราเสพสุขกัน กินอาหารดี ๆ เข้าไปทุกวันนี้เปล่าประโยชน์ เพราะเราไม่มีศิษย์ขาดในการกำหนดชีวิตของเราเอง  เบื้องบนให้เรามีชีวิตอยู่จึงได้อยู่  วันนี้เราได้รู้ตัวชีวิตจริงของเราแล้ว รู้ตัวว่ากายเนื้อคือตัวสมมุติ ขอยืมตัวนี้บำเพ็ญพุทธจิตตัวจริง  อาศัยสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นเหตุปัจจัยช่วยให้สร้างกุศลจิต สร้างคุณธรรมความดี และสร้างสัมมาวาจาทั้งสามประการอันเป็นอมตะให้คงไว้ นอกจากสามประการนี้แล้ว สิ่งอื่นไม่มีอะไรคงอยู่ยั่งยืนเลย  วันนี้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทั้งหลาย  ผู้ช่วยธรรมอธิการ ผุ้อาวุโสทั้งหลาย ได้ถือโอกาสนี้ตั้งปณิธาน สำเร็จปณิธาน สำเร็จปณิธานก็คือการสร้างบุญกุศล การแพร่ธรรมแทนเบื้องบน  ถ้าหากผู้แนะนำรับรองไม่บอกเรา  เราจะได้รับวิถีธรรมอย่างไร เราคงไม่มีโอกาสได้รู้ญาณทวารประตูที่เกิดและที่ตายนี้  หนังสือมากมายได้ยืนยันไว้ ศาสนาพุทธพูดถึง "ช่องกุญแจที่ไร้ร่องรอย"  ศาสนาคริสต์บอกว่า "ไม้กางเขน"  ศาสนาเต๋าบอกว่า "เทพเจ้าแห่งหุบเขา"  ศาสนาปราชญ์บอกว่า "แดนวิสุทธิ์" เมื่อเกิดภายในโลกโลกีย์ใจของความเป็นคนจะมีการตอบโต้ด้วยสามัญสำนึก เช่น เธอดีต่อฉัน  ฉันจึงดีต่อเธอ  เธอไม่ดีต่อฉัน ฉันจะไม่ดีต่อเธอ นี่คือความเห็นแก่ตัว ความเอนเอียงในความคิด จิตใจของเราไม่ตรง  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือบำเพ็ญใจ  บำเพ็ญให้ใจมันตรง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                  โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

         พระอริยเจ้าจึงตรัสไว้ว่า "ใจตรงบำเพ็ญกาย หรือ บำเพ็ญกายด้วยใจตรง"  เช่นนี้ คนจึงมีคุณสมบัติของความเป็นคน เราอยู่ในโลกนี้อย่าเอาของสมมุติมาถือว่าเป็นจริง พระศากยพุทธเจ้าเป็นถึงเจ้าชาย พระองค์ไม่ยอมเป็นกษัตริย์  ศาสดาจารย์ขงจื้อเป็นถึงขุนนางใหญ่ ตำแหน่งเทียบได้กับรฐมนตรียุติธรรมของเมืองหลู่ ท่านไม่เป็นรัฐมนตรีเพราะท่านรู้สัจธรรมชีวิต ท่านรับราชการพร้อมกับประกาศธรรม แต่เจ้าเมืองไม่ยอมฟังดังนั้น ท่านจึงจาริกไปตามเมืองต่าง ๆ แพร่ธรรมกล่อมเกลาลูกศิษย์ได้ถึงสามพันคน  วันนี้เราค้นพบเจ้าตัวจริงของเราแล้ว เราได้รู้แล้ว แต่จิตเดิมแท้ตัวนี้ยังไม่สว่างเปรียบเช่นกระจกเงาบานหนึ่ง เมื่อแรกทีเดียวได้พบเรายังไม่รู้ว่ามันคือกระจกเงา มีคนบอกเราว่าในกระจกเงาบานนั้นมีตัวเราอยู่ แต่ทำไมเราส่องไม่เห็นล่ะ จะต้องเช็ดให้ใสเสียก่อน เมื่อได้มาแล้วยังไม่ใส เราจึงต้องบำเพ็ญ พระอริยเจ้าตรัสว่า "ใจตรงบำเพ็ญกาย" (บำเพ็ญกายด้วยใจตรง)   ฉันทาเจ็ด  กิเลสหก  จะต้องกำจัดให้สิ้น มันไม่ให้ผลดีอะไรแก่เราเลย เมื่อเรากำจัดมันออกไปได้หมดแล้ว จิตเดิมแท้ของเราก็จะใสสว่างขึ้นได้เอง กลับคืนสู่สภาพธาตุแท้ ธาตุแท้เป็นอย่างไร เรามองเห็นหรือเปล่า ไม่เห็น เคยเห็นเด็กเล็ก ๆ 2 -3 ขวบไหมพ่อแม่ยิ่งตีก็ยิ่งเข้ามากอด ขอเล่นมีค่าเพียงไรเล่นอยู่สักพักหนึ่งก็ไม่เอาแล้ว เด็กไม่โกหกหลอกลวง เขารักพ่อแม่  ฉะนั้น พระอริยเจ้าจึงตรัสว่า "กลับคืนสู่จิตไร้เดียงสา" (จิตบริสุทธิ์)  อย่างนี้เราเรียกว่า จิตที่มีคุณธรรมเป็นจิตดั้งเดิมที่มีมาแต่กำเนิด แต่บัดนี้คุณธรรมของจิตไม่มีแล้ว จึงเกิดความชิงชัง ความกลัดกลุ้ม ความเคียดแค้น ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน เมื่อก่อนโน้นเป็นโรคปอด พอได้รับวิถีธรรมแล้ว พระอาจารย์ตรัสว่า "เจ้ามีทรัพย์สมบัติเจ้ามีโทษ ทั้งหมดเป็นของสมมุติ เมื่อคอมมิวนิสต์ขึ้นมาแล้ว คนที่มีเงินทองทั้งหมดจะประสบภัยพิบัติ"  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่โกหกใคร แต่บางคนแย้งว่า เงินของเราเองไม่ได้ไปแย่งชิงหรือขโมยใครมา ทำไมจึงมีโทษ เจ้าไม่เชื่อก็ลองดูซิ เจ้ามีเงินเจ้าเป็นทุกข์อยู่ทุกวัน ฉะนั้น อาจารย์ตรัสว่า "สิ่งสมมุติทั้งหลายทิ้งมันไปเสีย เพียงแต่เจ้าจะทำงานเพื่อเบื้องบน โรคเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ แม้ตายแล้วก็จะให้เจ้าฟื้นคืนชีพใหม่..."   ปีนี้ ข้าพเจ้าอายุแปดสิบปีแล้ว พบกันวันนี้เวลามีค่านัก พบกันครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะได้พบกันอีกก็น้อยลงไปอีกครั้งหนึ่ง แม้กับพ่อแม่ของเราก็เช่นกัน สิ่งนี้ ใช้เงินซื้อหามาไม่ได้เลย  ได้รับไรรัตน์แล้วเวลาปกติก็ต้องศึกษา เช่น ใบคำขอรับวิถีธรรม คำตั้งปณิธานของอาจารย์ผู้แนะนำรับรอง คำตั้งปณิธานของผู้ขอรับวิถีธรรม  การบำเพ็ญก็มีการบ้านให้ทำคือ ทุกวันจะต้องกราบขอขมาสำนึกผิด เรามีความผิดไม่ได้ ฉะนั้น คำขอขมาสำนึกผิดจะต้องเข้าใจ ยังมีพุทธระเบียบพิธีกรรมต่าง ๆ การถวายธูป ถวายผลาหาร อาราธนา เหล่านี้จะต้องเรียน  ธรรมะนั้นรายรอบครอบคลุมฟ้าดิน ในธรรมจักรวาลอันไพศาล  พระอนุตตรธรรมมารดาทรงควบคุมทั้งหมด ในส่วนเล็กคือตัวเรา จิตเดิมแท้ของตัวเราควบคุมตัวของเราเอง จุดจุดนี้ครอบคลุมฟ้าดิน ธรรมญาณที่สว่างใสจุดนี้มาจากเบื้องบน จิตเดิมแท้ก็คือ ธาตุแท้รากฐานของเรา ทุกศาสนาล้วนมีคุณประเสริฐ ล้วนเป็นคำสอนกล่อมเกลาจิตใจแต่ไม่ถ่ายทอดวิถีธรรม วิถีธรรมไม่ใช่คำพูด เราได้รับวิถีธรรมคือค้นพบรากฐานของเราแล้ว แต่ที่พูด ๆ กันนี้คือพระธรรมคำสอนและจะต้องมีวิถีธรรม มีรากฐานเบื้องต้นจนถึงที่สุดด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        เมื่อตอนข้าพเจ้าอายุยี่สิบสองปี ก้เคยอรรถาพระธรรมคัมภีร์ของพุทธศาสนา ข้าพเจ้าเคยถามท่านศาสดาจารย์หลายท่านว่า "ธาตุแท้ของตัวเราอยู่ตรงไหน" ท่านเหล่านั้นตอบว่า อยู่ทั่วสรรพางค์กาย ท่านว่า "ฉันหยิกตรงนี้ ตรงนี้ก็เจ็บ หยิกตรงโน้น ตรงโน้นก็เจ็บ"  คำตอบนี้คิด ๆ ดูแล้วก็มีเหตุผล แต่หลังจากรับวิถีธรรมแล้ว จึงรู้ว่าธาตุแท้ตัวจริงของเราต่างหากที่เจ็บ ไม่เชื่อก็ลองดู ฉะนั้น ถ้าขาดจุดนี้เราก็ไม่อาจบรรลุธรรม ในวัชรคัมภีร์กล่าวถึงคำว่า "ที่สุดแห่งอนัตตา" (คือความไม่มีตัวตน) ในธรรมบทที่สิบเจ็ด พระศากยะพุทธะเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "พระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงประทานสัญลักษณ์ธรรมแด่พระศากยพุทธ" เราทั้งหลายได้รับวิถีธรรมก็ได้รับภายใต้การประทานสัญลักษณ์ธรรมของพระทีปังกรพุทธเจ้า หากแต่เราได้มาโดยง่ายจึงดูเบากันง่าย วันนี้ จะเตือนพวกเราอีกทีถึงการจุดเบิกญาณทวารจุดนี้ว่า ในทวารอันวิเศษนี้มีสิ่งวิเศษแยบยล ซึ่งเหนือกว่าคำกล่าวอ้างและนึกคิดคำนึงใด ๆทั้งสิ้น ซึ่งจะต้องเข้าถึงรู้แจ้งด้วยตนเอง เช่นเดียวกับอาหาร จะต้องลองลิ้มเองจึงจะรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร หากไม่ลองก็ไม่มีวันรู้เลย  ในพระโอวาทของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็ตรัสไว้ว่า เราจะต้องเข้าถึง จะต้องรู้แจ้ง จะต้องศึกษา เวลาที่ได้รับวิถีธรรมที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมใช้มือซ้ายวาดไปมานั้น ความหมายก็คือ "สะท้อนแสงส่องตน" หรือ ย้อนมองส่องตน" ให้ตัวเองย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองให้เข้าถึงรู้แจ้งว่าพุทธะอยู่ตรงนี้ ข้างนอกไม่มี พระอริยเจ้าเคยตรัสว่า "ธรรมะไม่ไกลไปจากตัวตน"  นอกกายไม่มีธรรมะ ฉะนั้น ธรรมะก็คือ ชีวิตของเราให้ใจใสสว่างเห็นจิตสว่างคือเข้าใจในจุดนี้ พวกเธอเข้าใจหรือยัง เข้าใจไหม ยังไม่เข้าใจ โลภ  โกรธ  หลง ยังไม่พ้นไป ในคัมภีร์มหาสัตถ์ (ต้าเสวีย) พูดถึง หมิงหมิงเต๋อ คือ รู้แจ้งในคุณธรรมอันสว่างใสแต่เดิมมา เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ของเด็กที่ตรงไปตรงมา ตอนนี้เรายังไม่สว่าง ยังไม่รู้ ฉะนั้นจึงต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อซ่อมแซมจิตใจให้มันตรง  ทำอะไรก็ให้ทำตามหลักธรรมของฟ้าเบื้องบนและมโนธรรม (กัลยาณจิต) ทำด้วยธาตุแท้ไม่เคลือบแฝงจอมปลอมคือจิตเดิมแท้จรงไปตรงมา เหมือนอะไรนะ ในหนังสือมีอยู่ เหมือนจิตของฟ้าเบื้องบน เหมือนฟ้าดินที่ให้กำเนิดสรรพสิ่ง ให้เราได้กินได้ใช้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ให้คนโน้นใช้ไม่ให้คนนี้ใช้  สว่างใสกว้างใหญ่ไพศาล เที่่ยงธรรม ไม่ลำเอียง ถ้าทั่วโลกเป็นเช่นนี้จะไม่มีใครบลากันเลย ฉะนั้น จุดนี้เรียกว่า "จิตสว่าง" เมื่อแก้นิสัยอารมณ์เลว ๆ ทิ้งไปแล้ว และทำตามหลักฟ้าเบื้องบนได้ ก้เรียกว่า "เห็นธาตุแท้แห่งตน"  จิตเดิมแท้ก็เรียกว่าธรรมะ ทำอะไรก็ไม่ขัดกับจิตของฟ้าเบื้องบนและไม่ยึดถืออัตตาตัวตน แบ่งเขาแบ่งเรา ก็เรียกว่าธรรมะ ครเรายึดถือรูปลักษณ์อัตตาตัวตน เป็นสภาวะของปัจฉิมกาล ภายหลังก็เกิดกายสังขารแล้ว เกิดท่ามกลางฟ้าดิน ทำให้มีจิตใจตอบสนองและปฏิกิริยาตอบโต้ จึงต้องใช้จิตที่มีคุณธรรม ที่เรียกว่าพุทธจิตมากล่อมเกลา คือจิตที่พระพุทธตรัสไว้ว่าเป็นมหาเมตตากรุณา ปฏิบัติได้เดี๋ยวนี้ก็คือพระพุทธาที่มีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้  ศาสดาจารย์ขงจื้อ รู้แจ้งในคุณธรรมอันสว่างใสและให้คุณนั้นแก่ชนทั้งหลายเรียกว่ามหาเมตตาคุณ ช่วยชนทั้งหลายให้พ้นทุกข์ เรียกว่ามหากรุณาคุณ พระอริยะโสดาทั้งหลาย ล้วนบำเพ็ญจนสำเร็จแต่ครั้งยังดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ฉะนั้น จะต้องเข้าใจ "ธรรมะ" เข้าใจ"เจ้าตัว ตัวจริง" จะขึ้นสวรรค์จะลงนรก ทั้งสองทางนี้อยู่ที่ตัวเองจะเดินไป 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        จุดประสงค์ของการชุมนุมธรรมก็เพื่อให้เราเข้าใจหนทางนี้ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะต้องเดินไปเอง คนอื่นไม่อาจจะเดินแทนเราได้ สวรรค์นรกตัวเองเป็นคนสร้างเองทั้งนั้น เราช่วยชีวิตคนอยู่ทุกวัน ทำงานอย่างพุทธะทุกวัน เราก็คือพระพุทธะ ถ้าไม่ทำก็ไม่ใช่ ที่สำคัญที่สุดคือ เราค้นพบรากฐานเดิมนี้แล้ว ก็จะต้องเข้าถึง จะต้องรู้แจ้งว่า ข้างนอกไม่มีธรรมะ  สัจจคาถาห้าคำ เมื่อก่อนนี้ก้ไม่มี เมื่อเริ่มต้นมีดินฟ้าใหม่ ๆ คนยังไม่มีความรู้ ฉะนั้น พระอริยฟู่ซีจึงเริ่มเบิกฟ้าด้วยหนึ่งขีดขวาง ตามด้วยขีดสั้นยาวประกอบสลับกัน เป็นสัญญลักษณ์ของ ฟ้า ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ เรียกว่าโป๊ยก่วย ดวงสัจธรรมของเรามาจากนิพพาน ขณะที่อยู่ในครรภ์ มารดานั้นยังไม่มีความนึกคิด พอถือกำเนิดมีรูปมีร่างมีอินมีหยาง (มืดสว่าง  - ขาวดำ ฯลฯ) เข้ากับบรรยากาศโลกโลกีย์ จึงเริ่มมีจิตใจตอบสนอง เมื่อตอนเป็นเด็กทารกยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ ยังเป็นสภาวะที่รวมตัวอยู่ แต่เมื่อเติบโตขึ้น นัยน์ตาได้เห็น หูได้ฟัง รู้ว่าตัวตนนี้ คือ ตัวกู รู้รูป รู้สัญญาตามอารมณ์  กำหนดแล้วก็ยึดมั่นถือว่าเป็นจริง นี่คือพุทธะในชั้นสมมุติเทพ ฉะนั้น ในชั้นอนุตตรคือสัจธรรม  ชั้นเทวโลกคือบรรยายกาศธรรม ชั้นมนุษย์โลกคือรูปธรรม  ธาตุแท้ของคนเราจุดนี้ก็คือสัจธรรมชั้นอนุตตร พระคาถาห้าคำที่ปราศจากรูปลักษณ์อักษรคือ บรรยายกาศธรรม  ลัญจกรก็คือรูปธรรม  เป็นเครื่องหมายรับรองของผู้บำเพ็ญธรรม ฉะนั้น แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์จึงไม่พ้นจิตเดิม  แต่ก่อนครั้งธรรมกาลยุคแดง ลัญจกร ที่พระศากยะพุทธเจ้าถ่ายทอดนั้น เป็นรหัสยุคกลางสัญญลักษณ์ดอกบัว บัดนี้เข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว เป็นรหัสยุคสุดท้ายสัญญลักษณ์รากบัว  สัญญลักษณ์รหัสนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุค มีแต่สัจอนุตตรธรรมเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยน ที่เราได้รับกันวันนี้ก็คือ วิถีอนุตตรธรรม  เป็นเอกสัจธรรม ซึ่งอยู่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล แต่จะต้องปฏิบัติธรรมจริงด้วยศรัทธาจึงจะประจักษ์จริงได้  พระบรมธรรมาจารย์จิน-
กง เคยโปรดว่า  "แม้ได้รับวิถีธรรมไปแล้ว ไตรรัตน์ก็ไม่อาจช่วยให้เขาพ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ มีแต่ยึดถือปฏิบัติไตรรัตน์ด้วยศรัทธามั่นคงเท่านั้น จึงจะปรากฏบุญญาธิการได้มากที่สุด"  ฉะนั้น หากได้รับวิถีธรรมแล้วไม่ตั้งมั่นศรัทธาบำเพ็ญธรรม พอประสบทุกข์ภัยจึงกราบวิงวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา อย่างนี้มีประโยชน์ไหม  ท่านจะคุ้มครองไหม เอาอะไรไปวิงวอนก็ไม่ได้  ถ้าหากวิงวอนได้พระท่านก็ "รับสินบน" น่ะซิ ที่เราถวายผลาหารกัน ก็กินกันเอง เบื้องบนท่านไม่ได้เสวย  เบื้องบนไม่ต้องการอะไร  ต้องการแต่จิตใจของเรา เราทุกคนมีจิตใจดีงามก็คือลูกศิษย์ที่ดีของพระอาจารย์จี้กง ไม่ใฝ่ใจให้ดีงาม ไม่สร้างคุณธรรมก็ป่วยการ หนทางตรงก็ไม่เดิน ฉะนั้น จะต้องเข้าใจวิถีธรรม เราจะต้องเดินไปเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราไม่ได้  เราบำเพ็ญธรรมก็อย่าบำเพ็ญโดยเห็นแก่หน้าคน หนทางบำเพ็ญธรรม ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องด้วย จะต้องอาศัยบุญกุศลจริง ๆ ทั้งหมด หวังว่าพวกเราทุกคนจะได้สำเร็จมรรคผล   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ  

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        ไม่มีใครเรียกให้เรามารับวิถีธรรมแล้วประพฤติชั่ว มีแต่ให้เราทำดีเท่านั้น  แต่เราจะต้องเดินไปด้วยตัวเอง บำเพ็ญด้วยตัวเอง บำเพ็ญธรรมก็คือบำเพ็ญใจของเรา การตั้งปณิธาน บรรลุปณิธาน ปฏิบัติงานธรรม เราพยายามให้เต็มความสามารถ เสียสละตัวเอง คือให้คนอื่นทั้งหมดได้ดี เธอเคารพยกย่องเขา เขาก็เคารพยกย่องเธอ  เธอเคารพพ่อแม่ของพวกเธอหรือเปล่า  พ่อแม่เลี้ยงดูเรามายี่สิบสามสิบปี หุงหาอาหารซักเสื้อผ้าให้เรา มีอะไรดีก็เอาไว้ให้เรากิน เรากินเหลือพ่อแม่จึงได้กิน  แล้วเราซักเสื้อผ้าให้พ่อแม่กี่ครั้ง  หุงหาอาหารให้พ่อแม่กินกี่ครั้ง หนี้ที่เราค้างชำระพ่อแม่ยังจ่ายไม่หมด ฉะนั้นเราจะต้องสำนึกของขมาทุกวัน บาปกรรมยังติดตัวอยู่จะกลับคืนสู่เบื้องบนได้อย่างไร  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสไว้ว่า "ต่อไปถึงปีกลียุค คนชั่วคนดีจะถูกแบ่งแยกออกจากกัน"  มีแต่คนบำเพ็ญธรรมเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นปีกลียุคได้ หลังจากรอดพ้นไปแล้วยังมีภารกิจ เราจะต้องทำหน้าที่ปรับปรุงโลก สร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ คนชั่วร้ายได้ตายไปหมดสิ้นแล้ว  คนดีก็เหลืออยู่ไม่มาก เมื่อโลกนี้ดีแล้ว พระศรีอาริย์บรมธรรมาจารย์ก็จะถึงกาลอุบัติ พระองค์จะรวมศาสนาทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว ทั่วโลกจะรวมเป็นเอกภาพ  เหตุใดในยุคนี้ ศาสนาขงจื้อจึงต้องทำหน้าที่เก็บงานขั้นสุดท้ายให้สมบูรณ์รู้ไหม  เหตุเพราะว่าศาสนาต่าง ๆ มักจะขัดแย้งกัน ศาสนาทำหน้าที่ช่วยชีวิตชาวโลก ตัวเองกลับพิพาทกัน ดังนั้น ศาสดาของศาสนาใหญ่ ๆ ทั้งห้า จึงกราบสนองต่อพระอนุตตรธรรมเจ้า พระองค์จึงทรงโปรดเลือกศาสนาขงจื้อขึ้นรวมศาสนาทั้งหมดไว้ด้วยกัน ศาสนาขงจื้อสอนให้คนบำเพ็ญธรรม  โดยเริ่มจากมนษย์ธรรม บำเพ็ญใจให้ตรง สำรวมกายให้ถูกต้องเป็นเบื้องต้น จากนั้นโลกก็จะเกิดสันติสุข นักวิชาการทั่วโลกที่ศึกษาปรัชญาชีวิตล้วนเชิญเอาขงจื้อไปทั้งนั้น  โดยเหตุที่ว่าปรัชญาอื่น ๆ มักแฝงไว้ด้วยลัทธิวัตถุนิยม นักปรัชญาเอกชาวอเมริกัน จอห์น ดิวอี้ มีชื่อเสียงอยู่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่บัดนี้แนวความคิดปรัชญาของเขาถูกล้มล้างเสียแล้วและกลับยกย่องขงจื้อ เม่งจื้อ เหลาจื้อ เป็นต้นสกุลแห่งปราชญ์ คำพูดนี้ชาวต่างชาติเขาพูดกันเอง  หากจะใฝ่หาสันติภาพ ชั่วกาลนานในโลกนี้  วิทยาศาสตร์โน้มนำไม่ได้ จะต้องใช้ทฤษฏีว่าด้วยธรรมะสายตรง ธรรมะกับศานารวมกันเป็นหนึ่ง คือหนทางธรรมที่รวมทุกศาสนาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว โลกจึงจะเกิดสันติสุขได้ นี่เป็นคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีทรูแมนแห่งสกรัฐอเมริกา  ธรรมะเป็นหัวใจของปรัชญา ฉะนั้น จึงกล่าวว่าเหนือกว่ารูปลักษณ์ทั้งหลายคือ "ธรรมะ" ที่คนมองไม่เห็น คนจะเห็นแต่ว่าวิทยาศาสตร์ดี  วิทยาศาสตร์เลิศล้ำ แต่วิทยาศาตร์ก็สร้างต้นหญ้าจริง ๆ ขึ้นมาไม่ได้สักต้น หรือแม้มดจริง ๆ สักตัว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ด้วยธรรมชาติ ฉะนั้นวิถีธรรมจึงเป็นสิ่งวิเศษสุด ที่จะไม่ถ่ายทอดสู่กันง่าย ๆ นับแต่โบราณกาลมา เพราะนั่นคือรากฐานเบื้องต้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย และต้นกำเนิดก็คือบ้านเดิมของเรา ขอเพียงแต่ให้เราได้ปฏิบัติบำเพ็ญให้เกิดกุศลผลบุญ เราก็จะคืนสู่บ้านเดิมโดยมิใช่ด้วยการภาวนาวิงวอน ยิ่งกว่านั้นพ่อแม่ของเรา ก็จะพร้อมกันได้รับบารมีธรรมไปด้วยและเมื่อรอจนถึงวันนั้น พระอาจารย์ก็จะนำศิษย์ทั้งหลายพร้อมกันขึ้นกราบเฝ้าพระอนุตตรธรรมมารดา  นั่นแหละคือวาระแห่งปิติสุข บรรพบุรุษเหนือขึ้นไปจากเราอีกเจ็ดชั้นชั่วโคตรก็จะได้รับการปรกโปรด ลูกหลานเหลนก็เช่นกัน  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายล้วนบำเพ็ญสำเร็จได้ไปจากคน ธสตุแท้ของจิตนั้นเป็นเช่นเดียวกันยืนยันได้ว่าพระธรรมโองการ และพระวิสุทธิอาจารย์ได้โปรดจริง  หากวิถีธรรมนี้เป็นเรื่องหลอกลวง ธรรมะจะแพร่หลายไปทั่วโลกได้อย่างไร บัดนี้ วิถีธรรมได้ปรากฏให้เห็นแจ้งแล้ว เมื่อปรากฏให้เห็นแจ้งแล้ว พระธรรมาจารย์กงฉังปลอมก้จะเกิดขึ้น ยิ่งกว่านี้ยังจะมีเวทมนต์คาถาไสยศาตร์ของขลัง มีพระธรรมาจารย์องค์ที่สามแห่งยุคขาว พระธรรมาจารย์สมัยที่ 19 พระศรีอาริย์ปลอม  ฯลฯ  แห่กันออกมาหลอกลวงโลก  เบื้องบนจะเริ่มทดสอบเป็นการใหญ่ ใครบำเพ็ญรักษาธรรมะของตนไว้ไม่มั่นคงก็จะคล้อยตามไป  ชื่อในบัญชีเบื้องบนก็จะถูกลบไป ฉะนั้น จะต้องรักษาธรรมะไว้ให้มั่น  รักษาไว้ให้อยู่ มุ่งมั่นในปณิธานที่ตั้งไว้  นำทางรุ่นหลังกว่าไว้ให้ดี ที่สุดจะได้พร้อมกันคืนกลับไปกราบถวายดวงธรรมเบื้องบน  เราลองคิดดูซิว่าที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องดีงามเราก็ทำตามไปไม่ต้องสงสัยแคลงใจ  ตัวเองจะต้องเป็นผู้ช่วยชีวิตของตัวเอง แม้เราจะได้เห็นพระพักตร์ของพระอาจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้  พระอนุตตรธรรมมารดาเคยตรัสไว้ว่า  "แม้เจ้าจะเป็นเทพพรหมชั้นสูงมาเกิดหากชาตินี้ไม่ปฏิบัติบำเพ็ญก็กลับคืนไปไม่ได้"  ในสมัยขงจื้อ ศาสนาทั้งสามอุบัติขึ้นในโลกนี้ด้วยภารกิจ "สอบเสริมธรรมจักรวาล" โดยเทศนาสั่งสอนให้คนรู้คุณธรรมซ่อมแซมจิตใจที่เลวร้ายของคน  เช่นเดียวกับการซ่อมแซมบ้าน  บัดนี้บ้านอยู่ในสภาพเสียหายหมดแล้ว ซ่อมแซมไม่ได้แล้ว  พญามารรื้อถอนทำลายบ้านของเราแล้ว แต่ท่านมาสร้างบ้านใหม่ให้เราไม่เป็น เมื่อสร้างไม่เป็น บัดนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้าง จะต้องค้ดเลือกปราชญ์ปัญญาชน แทนเบื้องบน รับวิถีธรรมบำเพ็ญกันทั้งครอบครัว  รู้คุณาปการของธรรมะแล้วจะต้องช่วยคนให้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์  คนในบ้านใกล้ชิดกับเราที่สุดที่จะต้องช่วยเขา ถ้าเขาไม่ยอมรับแสดงว่า เรายังศรัทธาไม่จริง คุกเข่าลงไปโขกศรีษะกับพื้นซิ ถ้ายังไม่ยอมไปรับเราจะไม่ยอมลุกขึ้น คุกเข่าสามวันสามคืนมีหรือเขาจะไม่รับ  หกหมื่นปีก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ครั้งเดียวที่จะช่วยชีวิตคนเราให้พ้นจากทะเลทุกข์ ขอเพียงแต่ให้เรามีศรัทธาจริงใจ มุ่งอยู่ที่พระอนุตตรธรรมมารดา ดับขันธ์ไปแล้วเราก็จะไปสู่พระอนุตตรธรรมมารดาอย่างแน่นอน

                  วันที่ 11  มิ.ย. 2530
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22/09/2011, 14:40 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ 

                                   ธรรมะ  (เต๋า)  กับศาสนา

                            โดย  ท่านธรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน

        เต๋า  คือความเป็นสัจธรรมหรือหลักธรรมซึ่งเป็นความเที่ยงแท้ของธรรมชาติในเบื้องต้น  ศาสนา คือพระธรรมคำสอนสำหรับอบรมกล่อมเกลาผู้คนให้ทำดีในภายหลัง    เต๋า เปรียบเสมือนตัวตนอันเป็นหลัก หรือรากฐาน  ศาสนา เปรียบเหมือนพฤติกรรมอันเป็นงาน หรือผล  เมื่อมีตัวตนมีหลักมีรากฐาน ควบคู่กันไปกับพฤติกรรมอันเป็น "งาน"  และเป็นผลโดยไม่ขัดขืนต่อกันแล้ว ธรรมะกับศาสนาจึงจะยังประโยชน์สุขแก่มนุษย์ชาติได้อย่างสมบูรณ์และแท้จริง  มีเต๋า (ธรรมะ) แต่ไม่มีศาสนา เท่ากับมี หลัก  แต่ไม่มี งาน  เช่นนี้ จะไม่อาจนำทางชีวิตไปในทางที่เหมาะที่ควรได้ อุปมา เช่น บ้านเมืองใดหากมีแต่ประมุข แต่ขาดราษฏรจะเป็นบ้านเมืองไม่ได้  มีศาสนาแต่ไม่มีเต๋า (ธรรมะ) เท่ากับมี งาน  แต่ไม่มี หลัก  เหมือนมีราษฏรแต่ขาดผู้นำเป็นจุดยืนมั่นคง  บ้านเมืองก็จะสับสนวุ่นวายและตกต่ำ จะเป็นบ้านเมืองไม่ได้อีกเช่นกัน  ฉะนั้นจึงกล่าวว่า  ฟ้ามีหลักสัจธรรมของฟ้า  ดินมีหลักสัจธรรมของดิน  สรรพสิ่งมีหลักสัจธรรมของสรรพสิ่ง  คนมีหลักสัจธรรม (ธาตุแท้ธรรมญาณ) ของคน  หากคนไม่รู้หลักสัจธรรมแห่งตนจะทำตนหลงใหลตกต่ำ ทำให้สังคมบ้านเมืองยุ่งเหยิงวุ่นวาย  อยากให้สังคงและบ้านเมืองเกิดประโยชน์สุขทั่วกัน จำเป็นจะต้องวางรากฐานของการศึกษา  โดยเริ่มจากเด็กเล็กเป็นเบื้องต้น อบรมฟูมฟักเขาด้วยหลักธรรมและคุณความดี ปลูกฝังให้เขารู้คุณสมบัติของความเป็นคน ให้เขาถ่องแท้ในหลักของมนุษยธรรม โลกจะเกิดสันติสุขได้เอง  แม้คนจะเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่หากเกิดมาโดยไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ก็จะไม่ต่างอะไรกับนกกาเดรัจฉาน จึงกล่าวว่ามีศาสนาแต่ไม่มีเต๋า จะเหมือนเรือที่ขาดเข็มชี้ทิศ จะไม่รู้จุดหมาย  ธรรมะหรือเต๋าจึงเป็นหลัก เป็นศูนย์กลางเป็นแกนของชีวิตทั้งมวล ศุภวาระนี้เบื้องบนได้ปรกโปรดครั้งใหญ่ทั่วไป ชี้ให้เห็นจุดหมายอันเป็นรากฐานของคน ให้ทุกคนปฏิบัติตนตามหลักสัจธรรม เมื่อเป็น     
เช่นนี้ทั่วโลกจึงจะเกิดสันติสุข เบื้องบนได้โปรดประทานวิถีธรรม โปรดบัญชาพระวิสุทธิอาจารย์ลงมากอบกู้โลกเรา ด้วยการโปรดสัตว์ครั้งใหญ่ทั่วไป ชี้ให้เห็น
จิตเดิมแท้ของตนเป็นเบื้องต้นให้รู้แจ้งในรากฐานความเป็นมาแห่งตน เที่ยงตรงแล้วบำเพ็ญตน ที่สำคัญที่สุดคือกล่อมเกลาและส่งเสริมความประพฤติชอบฝึกฝนสำรวมตนอยู่ในจารีตอันดีงาม สุจริตขาวสะอาด ยุติธรรมไม่มีความเคลือบแคลง ปลูกฝังบำเพ็ญตนให้มีคุณธรรม มีความประพฤติสูงส่ง จึงจะเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นที่เคารพยกย่องของคนภายหลังได้  ทุกคนรับพระภาระเบื้องบนไว้กับตน การจะเป็นผู้นำคนรุ่นหลัง หากบกพร่องในคุณธรรมความประพฤติผู้คนจะไม่ยอมรับนับถือ แม้จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ก็ยากจะประสบความเจริญได้   การบำเพ็ญธรรมคือบำเพ็ญจิต อันเป็นหลักสัจธรรมแห่งตน การบำเพ็ญงานธรรมเป็นพฤติกรรมเป็นงานเป็นผล หากตนไม่เที่ยงตรงจะช่วยให้ผู้อื่นตรงได้หรือ   มีตัวตนแต่ไม่เกิดพฤติกรรม มีหลักแต่ไม่เกิดงาน มีรากฐานแต่ไม่เกิดผล จะไม่อาจฉุดช่วยสงเคราะห์ชาวโลกได้ จะเกิดความดีเฉพาะตน  ไม่มีบุญกุศลหนุนนำ ไม่อาจสำเร็จธรรม ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้  มีแต่งานไม่มีหลัก  จะเหมือนกับดอกไม้
ได้แต่บานแล้วร่วงโรยไปไม่เกิดผล ฉะนั้น การปฏิบัติบำเพ็ญ จึงต้องมีตัวตน  มีหลัก  มีรากฐาน  ควบคู่กับพฤติกรรม  งานและผลจึงจะสำเร็จได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                         โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                    ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดให้โอวาทต่อญาติธรรมชาวไทย

                                              ณ  พุทธบรรพตฝูซัน

                                     วันที่  10  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2532

        ปีหมินกั๋วที่ 37  (พ.ศ. 2491)  เราเดินทางจากนครเทียนจิน มาสู่ไต้หวันด้วยกันสี่สิบคน มาเพื่อที่จะทำงานธรรมะ บัดนี้ คนที่มีอายุมากกว่าข้าพเจ้าสองคนได้กลับคืนเบื้องบไปแล้ว คนที่อายุน้อยกว่าข้าพเจ้าสองคนก็กลับคืนเบื้องบนไปแล้ว  ขณะนี้ คงเหลือแต่รองธรรมอธิการ ฉีเฉียนเหยิน ที่อยู่พุทธตำหนัก "เทียนเอินกง"  ที่ไทเป  อีกท่านหนึ่งหนึ่งรองธรรมอธิการ จางเฉียนเหยิน หรือ เฉาไท่ไท่  (ท่านได้ถึงกาลดับขันธ์หลังจากนี้ไม่นาน)  อีกท่านหนึ่งอยู่ที่เมืองผิงตง แล้วก็ข้าพเจ้าและรองธรรมอธิการเฉินเฉียนเหยิน (เฉินต้ากู)  ห้าคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่  พวกเราไม่ใช่ติดตามคณะรัฐบาลมาสู่ไต้หวัน เราไม่ได้มาเพื่อลาถยศ
แต่เรามาทำงานธรรมะ ผลงานธรรมะที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดนี้ไม่ใช่กำลังความสามารถของคน คนไม่มีกำลังความสามารถถึงเพียงนี้ได้ พวกเราเป็นคนธรรมดา ๆ
แต่เผยแผ่วิถีธรรมนี้ไปได้ทั่วเป็นพระโองการจากเบื้องบน เราไม่รู้จะว่าอย่างไร คณะญาติธรรมไทยที่มาไต้หวันกันคราวนี้ ทุกคนมีหน้าที่ต่อประเทศชาติบ้านเมือง  วิถีธรรมนี้ถ้าจะให้คนระดับสูงเป็นผู้ขยายงานจะไม่แพร่หลาย ดังเช่นที่ไต้หวันมีพุทธสมาคมข่งเมิ่ง  ผู้ดำเนินการล้วนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้มีคุณสมบัติสูงทั้งนั้น แต่งานธรรมะขยายไม่ออก เพราะผู้ดำเนินงานสูงส่งเกินไป ชาวบ้านไม่กล้าเข้ามาร่วมด้วย ในสังคมเรามีชาวบ้านธรรมดา ๆ เสียมากกว่าทางการจะต้องเข้าใจเหตุผลข้อนี้ ถ้าทางการไม่เข้ามาควบคุมเกี่ยวข้อง แต่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือประชาชน การขยายงานก็จะไปได้ไกล การศึกษาของชาติเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ไม่ใช่ศึกษาวิชาการโดยไม่มีธรรมะ เช่นการศึกษาวิทยาศาสตร์   ธรรมะเป็นรากฐานของสัจธรรม เราเอาสัจธรรมมาเป็นรากฐานเสียก่อน แล้วค่อยขยายการศึกษาวิทยาศาสตร์ ออกไป ถ้าเอาแต่จะเรียนวิทยาศาสตร์อย่างเดียว สาขาวิชาไหนทำเงินได้ดีกว่าก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาสาขาวิชานั้น เสร็จแล้วก็พยามยามค้นคว้าสังสรรค์ของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ประหลาด ๆ กันออกมา แต่ไม่มีความหมายของคุณธรรมหลงเหลืออยู่เลย  สมัยนี้ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด วิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวหน้าโลกยิ่งวุ่นวาย ใครเหนือกว่าเราก็จะถีบตัวให้เหนือกว่าเขาให้ได้  แต่ในเรื่องของคุณธรรมเราจะพูดถึงความเสมอภาค ทุกคนได้ดีด้วยกัน คนอื่น ๆ ดี เราจึงจะดียิ่งขึ้น บัดนี้ เบื้องบนได้โปรดประทานวิถีอนุตตรธรรมเป็นพระโองการ หากเบื้องบนไม่ประทานพระโองการลงมากำลังความสามารถของข้าพเจ้าคนเดียวจะทำงานนี้ไม่ได้ ฉะนั้นจะต้องเข้าใจว่า นี่เป็นบุญวาระพิเศษ เป็นกำหนดกาลของฟ้าดินเหมือนอย่างประเทศต่าง ๆ เช่น ไทย  อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  เหล่านี้ไม่มีฤดูหนาวฤดูร้อนที่ชัดเจน แต่ขณะนี้ที่ปักกิ่งหิมะกำลังตกหนัก นี่เป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ แม้คนและวิทยาศาสตร์จะล้ำเลิศก็ทำไม่ได้  การใด ๆ ในโลกนี้ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ความสามารถของคนครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับเบื้องบน หลักธรรมชาติเป็นรากฐานของสรรพสิ่ง คนที่มีจิต (ธรรมญาณ) เป็นรากฐานของคน ทุกอย่างจึงมีหลัก แล้วเกิดผลงาน มีฐานเบื้องต้นแล้วขยายเป็นปลายเหตุ ต้องมีหลักธรรมโลกจึงจะดีได้ ครอบครัวสังคมและประเทศชาติก็เป็นอย่างเดียวกัน ประเทศนี้มีแต่ประมุข แต่ไม่มีประชาชน จะเป็นประมุขเพื่ออะไร มีประชาชนไม่มีประมุขขาดผู้ปกครองก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่มีระเบียบธรรมญาณของเราก็คือประมุขของเรา ประมุขมีความเที่ยงธรรมก้จะชี้นำให้ หู ตา จมูก ปาก ร่างกาย ประพฤติชอบ ถ้าประมุขขาดความเที่ยงธรรมพวกหูตาเหล่านี้ก็จะฝ่าฝืน ฉะนั้น เมื่อเราทุกคนได้รับถ่ายทอดวิถีธรรมเปิดจุดนี้ของตัวเองแล้ว ได้พบประมุขที่แท้จริงของตัวเองแล้วให้ประมุของค์นี้เป็นหลักชีวิตของเรา ควบคุมความเป็นไปทั้งหลายทั้งปวง โลกจะดีได้แน่ ๆ                                 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                         โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                    ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดให้โอวาทต่อญาติธรรมชาวไทย

                                              ณ  พุทธบรรพตฝูซัน

                                     วันที่  10  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2532

        คนทั่ว ๆ ไปที่ยังไม่รู้จักประมุของค์จริงของตน นันย์ตาเห็นชอบอะไรก็ดูให้วุ่นไปหมด เขาขาดผู้ปกครอง ฉะนั้นเขาจึงเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ควรเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคมเข้าไว้  หู ตา จมูก ปาก ก็เปรียบได้ดั่งข้าราชบริพาร ถ้าประมุขเที่ยงธรรม เขาจะเที่ยงธรรมไปด้วย ประชาชนที่เขาเหล่านั้นดูแลอยู่ก็จะเที่ยงธรรมตามไป พระพุทธองค์และพระอริยเจ้าล้วนบ่งบอกถ่ายทอดจุดนี้ทั้งนั้น  ใครที่ไม่ได้รับการเปิดจุดนี้ เขายิ่งเรียนสูงเท่าไรก็ยิ่งไปไกลจากตังเองเท่านั้น ถ้าทุกคนในโลกเข้าใจหลักธรรมนี้และเดินสู่วิถีธรรมนี้ สภาพการณ์ของโลกจะดีขึ้นทันที ฉะนั้นการศึกษาจึงสำคัญมาก และจะต้องเริ่มต้นจากเด็กเล็กทีเดียว เพราะเมื่อโตแล้วจะรู้มากและมักจะรู้สิ่งที่เป็นมิจฉาปัญญา ทางเบี่ยง ทางคด  การจะพาเขากลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย  การศึกษาของชาติเป็นเรื่องสำคัญมาก ประเทศจีนปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์มาห้าสิบปี  การศึกษาของชาติในช่วงสิบปีแรก เขาไม่ให้เรียนหนังสือ มีแต่ลบล้างเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็ไม่ได้ผล  บัดนี้ คอมมิวนิสต์กลับมาบูชาบรมครูขงจื้อใหม่ อีกทั้งเร่งฟื้นฟูการศึกษาวัฒนธรรมโบราณของจีนที่มีมาแต่ดั้งเดิม เขาดูออกแล้วว่า ยิ่งเดินต่อไปก็ยิ่งจะต้องมองย้อนหลัง ยิ่งเดินก็ยิ่งย่ำแย่ลงทุกที ฉะนั้นจึงต้องหันหลังเดินย้อนกลับมา  เบื้องบนได้โปรดเมตตาประทานวิถีธรรมลงฉุดช่วยครั้งนี้ เรามีบุญได้รับกัน เราทุกคนมีความเชื่อมั่น ปฏิบัติดีต่อไป ยิ่งทำก็ยิ่งปิติ  ยิ่งปิติก็ยิ่งอยากทำ  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีหลักธรรมเดียวกัน หลักธรรมในการเป็นคนที่เราจะให้ไว้แก่โลกนี้ได้ ล้วนแต่จะต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้มีใจตรง (รู้จิตเดิมแท้ของตน)  และสำรวมกาย  ในครั้งกระนั้น พระพุทธอริยเจ้าทั้งนั้น ทำไมท่านจึงไม่ยินดีกับตำแหน่งขุนนาง สมัยนี้โลกยุ่งเหยิง บ้านไม่เป็นบ้าน สังคมไม่เป็นสังคม พระอริยเจ้าล้วนอุทิศตนเพื่อฉุดช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจของผู้คน เดี๋ยวนี้ทั่วโลกมีสภาพการณ์เป็นอย่างเดียวกัน  จี้ ปล้น ฆ่า ฟัน คนดี ๆ ก็พลอยรับกรรมไปด้วย เมื่อเบื้องบนได้โปรดฉุดช่วยทั่วไป จึงได้บัญชาเหล่าพุทธบุตรลงมาเกิดกายในโลก เพื่อแปรเปลี่ยนจิตใจของผู้คน  ปีหมินกั๋วที่ 37  (พ.ศ. 2491)  ข้าพเจ้ามาบุกเบิกแพร่ธรรมที่ไต้หวัน ยังไม่มีญาติธรรมที่นี่เลย ชั่วระยะเวลาสี่สิบเอ็ดปี ต่อมา จากไต้หวันวิถีธรรมก็ได้ขยายไปสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก  นี่ไม่ใช่กำลังความสามารถของคน ลำพังคนทำอย่างนี้ไม่ได้  ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ มีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อธรรมะอยู่บ้าง แสดงว่าเรามีรากฐานของบุญบารมีมาก่อน เธอสัมผัสได้แล้วเธอจึงยินดี  ไม่ว่าจะไปถึงพุทธตำหนักไหน ก็จะมีญาติธรรมกุลีกุจอทำอาหารมาเลี้ยงรับรองด้วยความยินดีด้วยความเต็มใจ ทุกคนอาสาสมัครเอง  ปีหมินกั๋วที่ 27  (พ.ศ. 2481)  เมื่อข้าพเจ้าได้รับวิถีธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรง ประทานพระโอวาทว่า อีกไม่นานวิถีอนุตตรธรรมจะแผ่ขยายไปทั่วโลก บัดนี้ก็ได้แผ่ขยายไปทั่วโลกแล้ว  วันนี้เราได้มาชุมนุมพบกันด้วยเหตุปัจจัยแห่งบุญสัมพันธ์ที่เราเคยมีพระธรรมาจารย์และพระธรรมจาริณีมาก่อน ไม่รู้กี่ชาติที่ผ่านมา  ธรรมะไม่ได้แบ่งแยกเชื้อชาติ มีจุดมุ่งหมายที่จะแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นครอบครัวเดียวกัน ให้โลกนี้เกิดความเสมอภาคถ้าจะหาความพิเศษพิศดารจากวิถีธรรมนี้ไม่มี  จะมีแต่สัจธรรมที่เป็นธรรมชาติ แล้วเราปฏิบัติไปตามหลักสัจธรรม ให้ทุก ๆ คนรู้จิตเดิมแท้ธรรมญาณของตน รักษาจิตของตนไว้ให้ตรง บำเพ็ญกายให้สำรวม ให้บ้านเมืองบรรลุความสงบสุขสมบูรณ์ ให้โลกเกิดสันติภาพโดยทั่วกันเท่านั้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                     โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                             ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน

                             ได้โปรดให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์

                               และนิตยสารเอเซียรายสัปดาห์

                              เมื่อวันที่  7  พฤษภาคม  2533

เรียนถาม   -   ระยะเวลาสี่สิบปีที่การเผยแพร่อนุตตรธรรม ถูกทางการไต้หวันควบคุมสั่งห้าม ท่านมีความเห็นอย่างไร กับวิกฤติการณ์ที่ผ่านมานั้น

ตอบ   -   "การบำเพ็ญของเราเป็นไปตามปกติธรรมชาติ คือบำเพ็ญจิตของตน การควบคุมของทางการจะใช้ได้กับคนที่ทำผิดกฏหมายเท่านั้น พวกเรานักธรรมไม่ได้ทำผิดกฏหมาย ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง มีแต่จะฉุดช่วยให้คนเป็นคนดี ทำได้ก็ทำต่อไป ทำไม่ได้ก็หยุด  ไม่มีปัญหาอะไร ทางการควบคุมดูแลประชาชน เป็นหน้าที่ของทางการ  การควบคุมสั่งห้ามมิให้เผยแผ่วิถีอนุตตรธรรม เป็นการทดสอบจิตใจความมุ่งมั่นของเรา เป็นการเคี่ยวกรำอีกอย่างหนึ่งสำหรับเราเท่านั้นเอง"

เรียนถาม   -   เมื่อแรกเริ่มท่านเคยถูกฝ่ายศาสนาคุกคามหรือไม่ เหตุการณ์นั้นเป็นเช่นไร

ตอบ   -   "ที่ทางการสั่งห้าม เป็นผลมีจากที่ทางการถูกคอมมิวนิสต์บีบบังคับจนจำต้องโยกย้ายมาสู่ไต้หวัน ทางการเกรงว่าเราจะเป็นกลุ่มบุคคลนอกกฏหมายอันมิชอบ ซึ่งการเผยแพร่ธรรมะของเรา ก็จำเป็นจะต้องมีการชุมนุมกัน ฉะนั้นเราจึงถูกลงโทษ ถูกให้ร้ายในข้อหาว่าฝ่าฝืน จนถึงขนาดว่าเป็นพวกก่อการร้าย เราถูกทางการเข้าใจผิดไประยะหนึ่ง ถูกเชิญไปเข้าคุก ซึ่งเราคิดว่าเป็นการเคี่ยวกรำที่เบื้องบนได้โปรดจึงยอมรับโดยดุษณี อีกด้านหนึ่งคือเราเสริมสร้างความอดทนในการบำเพ็ญ  เราไม่ถือว่าเป็นการคุกคามทำร้าย เราไม่โทษเบื้องบนเราไม่โทษใคร เรารับเอาไว้เป็นบทเคี่ยวกรำอีกบทหนึ่งเท่านั้น"

เรียนถาม   -   เมื่อแรกที่ท่านมาถึงไต้หวัน  ท่านถ่ายทอดวิถีธรรมแก่คนไต้หวันได้อย่างไร

ตอบ   -   เราเดินทางมาไต้หวัน ด้วยจุดประสงค์ที่จะเผยแผ่วิถีอนุตตรธรรม แรกเริ่มภาษาเป็นอุปสรรคลำบากมาก เราไปพบนักบุญในท้องถิ่นก่อน อีกทั้งคนที่นับถือศาสนาพุทธและพูดภาษาจีนกลางอย่างเราได้ พูดให้เขาเข้าใจ ความสำคัญของชีวิต ให้รู้ว่าการบำเพ็ญธรรมจะช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ ในครั้งนั้นไต้หวันอยู่ในความยึดครองของญี่ปุ่น ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างอดทน และเป็นคนที่มีจิตใจดี จึงยอมรับวิถีธรรมกันได้มาก งานนี้ช่วยคนสังคมและบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข นานเข้าทุกคนก็รู้เอง  งานนี้จึงได้เจริญเฟื่องฟูยิ่งขึ้นทุกวัน

เรียนถาม   -   ในระยะที่ทางการสั่งห้ามอยู่ ท่านเผยแพร่ธรรมต่อไปได้อย่างไร

ตอบ   -   การถ่ายทอดวิถีธรรมเป็นเรื่องดีงาม ทางการสั่งห้ามเพราะไม่เข้าใจความเป็นจริง เขาไม่เข้าใจ เราก็ไม่ขัดเคืองใจ ท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อกล่าวว่า "สร้างบุญเหมือนลักลอบ" ยิ่งถูกสั่งห้ามก็ยิ่งเพิ่มความสมัครสมานระหว่างเราที่ต้องเผชิญชะตากรรมมาด้วยกัน ยิ่งเพิ่มความอุตสาหะแพร่ธรรม ทุกคนยิ่งจะได้เห็นว่าคำที่ทางการกล่าวหาเราเป็นมิจฉาศาสนานั้นไม่จริงเลย จึงยิ่งกลับทำให้ทุกคนมั่นคงในศรัทธา งานแพร่ธรรมยิ่งเฟื่องฟูก้าวไกล เพียงแต่ในระยะนั้น เราระวังตัวกันหน่อย ไม่ชุมนุมกันมากคนนักเท่านั้น

เรียนถาม   -   การเผยแผ่วิถีธรรม เหตุใดจึงทำความเข้าใจผิดแก่คนนอกมากมายเช่นนี้  ซึ่งรวมทั้งคำกล่าวหาที่ว่า  "เป็นจารกรรม"  "หลอกลวงมอมเมาประชาชน"  และ  "เป็นพวกเปลือยกายไหว้เจ้า"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                             ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน

                             ได้โปรดให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์

                               และนิตยสารเอเซียรายสัปดาห์

                              เมื่อวันที่  7  พฤษภาคม  2533

ตอบ   -   "ระยะแรกที่มาเผยแผ่วิถีธรรมที่ไต้หวัน เป็นเพราะทางการ ชาวบ้านและบุคคลในศาสนาต่าง ๆ  ไม่รู้ว่าธรรมะของเรมีหลักธรรมอย่างไร อีกทั้งพิธีการขอรับธรรมของเราไม่อนุญาตให้ผู้ไม่ยินดีขอรับเข้าไปชม จึงทำให้คนภายนอกคิดวาดภาพไปต่าง ๆ นานา คิดว่าการชุมนุมของเราเป็นจารชน ธรรมะที่เราถ่ายทอดเป็นการหลอกลวงมอมเมาประชาชน และที่เราไม่ยอมให้คนภายนอกเข้าไปชมเป็นเพราะเราเปลือยกายไหว้พระกัน ซึ่งคนที่ไม่รู้ความจริงก็จะวาดภาพแต่งเติมสีสันกันอย่างนี้  เราบำเพ็ญธรรมไม่มีความผิด ไม่มีอะไรน่าละอายแก่ใจ จึงปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามธรรมชาติ

เรียนถาม   -   ทำไมท่านไม่แสดงความบริสุทธิ์ให้ประจักษ์แก่สายตาประชาชน

ตอบ   -   "การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงผลประโยชน์ ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงได้กล่าวไว้ว่า "คนดีมิจำต้องชี้แจง จำต้องชี้แจงมิใช่คนดี"  คนบริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์ได้เอง คนสกปรกย่อมสกปรกไปเอง  เหมือนฟ้าเบื้องบนที่ปราศจาคำโต้แย้ง"

เรียนถาม   -   เหตุใดเหล่าญาติธรรมจึงไม่เคยตอบโต้การบีบบังคับของทางการด้วยเช่นกัน

ตอบ   -   การปฏิบัติบำเพ็ญเป็นความมุ่งมั่นเฉพาะบุคคล ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็หยุด ท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อจึงกล่าวว่า "ผู้มีทิษฐิในตัวเองย่อมขาดความกระจ่าง  ผู้เข้าข้างตัวเองย่อมไม่อาจประกาศเกียรติคุณ"  การตอบโต้ การบับบังคับ จึงเหมือนยิ่งเช็ดยิ่งเลอะเทอะ  อีกอย่างหนึ่งคนบำเพ็ญธรรม มีแต่จะตักเตือนให้คนทำดี บำเพ็ญจิตกล่อมเกลี้ยงธรรมญาณของตน ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตน จึงไม่มีความจำเป็นต้องตอบโต้

เรียนถาม   -   งานถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรม สามารถบรรลุความสำเร็จได้เช่นนี้  ท่านคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด

ตอบ   -   การถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรมเป็นการถ่ายทอดวิถีธรรมจริง อบรมผู้คนตามหลักคำสอนของพระศาสดาทั้งสาม ประจักษ์จริงมาแล้วนับพันปี เป็นการศึกษาปรัชญาชีวิต คุณธรรม เพื่อค้นให้พบคุณสมบัติของชีวิตจิตใจ ค้นให้พบคุณูปการอันเป็นศักย - พลานุภาพ ของจิตเดิมแท้ของตน จุดหมายของการแพร่ธรรมคือ สร้างสันติภาพตลอดกาลให้เกิดแก่โลกนี้ ผู้บำเพ็ญต่างทำตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ ช่วยให้คนเป็นคนดี ให้ทุกคนมีจิตใจเที่ยงตรง บำเพ็ญตนสำรวมตน ฉะนั้น นานวันเข้าทุก ๆ คนจึงต่างรู้กันทั่ว ทุกคนมีหน้าที่ทำงานนี้แทนเบื้องบน ทุกคนมีความรู้สึกถึงภาระนี้และรู้ว่าจะต้องเดินตามวิถีธรรมนี้จึงจะเป็นผลสำเร็จได้ เช่นนี้ จะทำให้งานแพร่ธรรมเจริญก้าวไกลไปถึงประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

เรียนถาม   -   วิถีอนุตตรธรรม มีวิธีการอย่างไรในอันที่จะแก้ไขความเสื่อมของสังคมไต้หวันอย่างจริงจัง

ตอบ   -   "ประเทศชาติมีประชาชนเป็นหลัก ประชาชนมีจิตใจเป็นหลักของชีวิต สังคมเสื่อมลงเพราะคุณธรรมของคนในสังคมตกต่ำ จิตใจของคนไม่ดีงามคนบำเพ็ญธรรมจึงต้องเป็นแรงฉุดช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจคนอยู่เบื้องหลัง  การตักเตือนให้คนทำดี จะต้องเริ่มจากจิตใจเที่ยงตรง สำรวมกาย เสริมส่งการศึกษาและคุณสมบัติของคนเป็นสำคัญ ให้การศึกษาแก่จิตใจของคนให้มาก และให้ส่งเสริมวิถีธรรมของท่านจอมปราชญ์ขงจื้อ เมิ่งจื้อ เป็นหลัก

เรียนถาม  -   การบำเพ็ญอนุตตรธรรมเป็นการบำเพ็ญคุณธรรมเก่าก่อนตามพงศาธรรมสืบต่อมา มีความลำบากหรือไม่ เมื่อเอามาใช้กับสังคมปัจจุบัน

ตอบ   -   ปัจจุบันจิตใจของคนไม่เป็นธรรมะ คุณธรรมเสื่อมสูญ ไม่เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนรวม แน่นอนจึงเป็นการยากที่จะเผยแผ่คุณธรรมก่อนเก่าให้เขายอมรับได้ แต่ธรรมะมีผลที่จะทำให้คนเป็นคนดี เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น วัตถุนิยมสูงขึ้น คุณธรรมก็ควรจะสูงขึ้นด้วยจึงจะถูก  การปฏิบัติคุณธรรมเก่าก่อนเป็นการกระทำตามหน้าที่ของตนเท่านั้น  ท่านจอมปราชย์ขงจื้อถ่ายทอดวิถีธรรมก็เพื่อสันติภาพของโลก แต่ท่านเดินทางเผยแผ่อบรมคุณธรรมแก่ผู้คนอยู่ชั่วชีวิต ก็ยังมิได้บังเกิดผล วิถีอนุตตรธรรมเผยแผ่ส่งเสริมคุณธรรมก็เป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างเต็มความสามารถอยู่แล้ว จะลำบากหรือไม่อย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

เรียนถาม   -   ในระยะนี้ วงการธรรมะมีแนวโน้มจะเข้าร่วมเป็นฝ่ายสนับสนุนคณะรัฐบาล และอาจจะเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการแข่งขันเลือกตั้งด้วย เรื่องนี้ท่านเห็นเป็นอย่างไร

ตอบ   -   จุดหมายของการเผยแพร่ธรรมะ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่อาจจะมีนักการเมืองบางคนได้รับวิถีธรรม นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา  วงการอนุตตรธรรม มิใช่กลุ่มบุคคลที่ก่อตั้งเป็นหมู่คณะ จึงมิได้มีส่วนสนับสนุนพัวพันกับวงการเมือง

เรียนถาม   -   วงการธรรมะได้แบ่งแยกการเผยแพร่ออกไปเป็นสาย แล้วแต่บุญสัมพันธ์ที่มีต่อกัน มิได้ขึ้นอยู่กับการปกครองของใคร ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ทุกสายจะรวมกันเป็นเอกภาพ

ตอบ   -   วิถีธรรมเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีอะไรขัดแย้งกันกับตัวของผู้บำเพ็ญ ทุกคนต่างก็ทำเต็มความสามารถของตัว ใครยินดีจะบำเพ็ญก็บำเพ็ญ  ไม่ยิรดีจะบำเพ็ญก็หยุด เป็นธรรมชาติโดยไม่มีใครควบคุม ต่างคนต่างไปสร้างบุญสัมพันธ์ให้งอกงาม จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรวมกัน                       

Tags: