collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: โอวาทท่านธรรมอธิการ : คำแถลง  (อ่าน 22261 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                    โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        สมัยนี้ แม่ชี และพระสงฆ์ มีมากมายทั่วไป คนเรียนหนังสือก็มีมาก แต่ไม่มีใครบรรลุเป็นปราชญ์เป็นอริยะสักคน  จีนมีคำกล่าวแต่ครั้งโบราณคำหนึ่งว่า "สามพันปีจะตกผลครั้งหนึ่ง" บัดนี้ก้ได้เวลาสามพันปีแล้วตามกำหนดกาล เบื้องบนจึงได้เปิดการสอบคัดเลือกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คือ พระอริยเจ้าสามพันหกร้อยตำแหน่ง และ ปราชญ์ อีกสี่หมื่นแปดพันตำแหน่ง เป็นจำนวนตำแหน่งที่เบื้องบนทรงกำหนดคัดเลือกจากทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย พวกเราได้รับวิถีธรรมแล้วและได้ตั้งปณิธานแล้ว ได้รับเปิดจุดนี้ ได้ถวายชื่อลงทะเบียน ณ อาณาจักรเบื้องบนแล้ว ในการร่วมประชุมอบรมธรรม เราก็ได้ตั้งศรัทธาปณิธานแล้ว เราทำหน้าที่รับผิดชอบแล้ว ทุกคนทำงานให้กับเบื้องบนได้ กษัตริย์ผู้ปกครองประเทศนั้น ๆ พระองค์ปกครองได้เฉพาะประชาราษฏร์ของพระองค์เอง ไม่อาจปกครองประชาชนชาติอื่น ๆ ได้ แต่งานที่เราทำกันเป็นงานใหญ่ที่เบื้องบนทรงโปรดสามโลก เราจึงทำหน้าที่โปรดสัตว์แทนเบื้องบนได้ทั่วโลก ภารกิจนี้จึงเหนือกว่าปกครองประเทศอีกหลายเท่านัก เราแพร่ธรรมแทนเบื้องบน โปรดสัตว์แทนเบื้องบนทั่วไป ไม่ว่าใครที่ได้รับวิถีธรรมแล้วล้วนพูดเช่นนี้ได้ นี่คืองานของพุทธะ พระอาจารย์กล่าวว่า "งานที่เราทำคืองานของพุทธะ" เราลองคิดดูซิว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงปฏิบัติกิจใด พระอวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์กวนอิมปฏิบัติกิจใด และศาสตราจารย์ขงจื้อก็เช่นกันท่านปฏิบัติกิจใด พระองค์ท่านเหล่านั้นล้วนทำหน้าที่โปรดสัตว์ ฉะนั้น เมื่อดับขันธ์คืนสู่ปรินิพพานเป็นอมตะแล้ว จึงมีผู้สร้างวัดไว้เป็นที่บูชา เคารพเทิดทูนพระองค์ว่าเป็นพระอริยเจ้า  แต่ชีและสงฆ์ส่วนใหญ่ในสมัยนี้ ดำรงอยู่ด้วยปัจจัยที่ผู้อื่นถวายสวดมนต์ภาวนาทำสมาธิปฏิบัติเฉพาะตนเราลองมองย้อนไปในอดีตดูประวัติของพระอริยเจ้าทั้งนั้นซิ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสวดมนต์ ภาวนาอยู่นานเท่าไรหรือเปล่าเลย  พระองค์ไม่มีบทสวดคัมภีร์ใด ๆ เลยและไม่มีวัดวาอารามให้ไปกราบไหว้บูชาพระ  พระอวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์กวนอิมก็มิเคยได้บวชเป็นชี พระองค์ล้วนเป็นคนอย่างเราท่าน เพียงแต่พระองค์มองการณ์ไกล มองไปถึงหลังจากสิ้นอายุขัยและเดินทางไปที่ไหน เรามีธาตุแท้ตัวจริงคือธรรมญาณ กายสังขารเป็นเพียงสิ่งสมมุติ พระองค์ทั้งนั้นไม่หวังลาภสักการะ เพราะทรงเห็นแล้วว่าสัตว์โลกทั้งหลายมีความทุกข์กันเลยเกิน วิ่งเต้นตรากตรำคร่ำเครียดก็เพื่อลาภสักการะ เพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ เพื่อปากเพื่อท้อง  เมื่อลูกโตแล้วก็แยกจากไป ตนเองก็แก่ลงแล้วก็ตายไปพร้อมกับเวรกรรมทั้งหลายไปสู่ยมโลก ภรรยาที่สุดแสนจะรักเราก้ไม่ตามเราไปด้วย ลูกก็ไม่มีใครตามเราไปด้วย เงินทองก็เอาติดตัวไปไม่ได้ ธาตุแท้ของตนก็มืดมัว หลงลืมเสียสิ้น จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้มาหกหมื่นปีแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        ด้วยบรรยากาศของเวรกรรมแห่งมนุษย์โลกและชะตากรรมกำหนด สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกย่อมประสบเภทภัย วิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวหน้าโลกมนุษย์ก็ยิ่งวุ่นวายระเบิดนิวเคลียร์พร้อมที่จะระเบิดในไม่ช้านี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทรงเตือนไว้นานแล้ว และบัดนี้นักวิทยาศาสร์ก็ยอมรับแล้ว หนังสือพิมพ์ก็ยอมเปิดเผยข่าวนี้ ทั่วโลกจะไม่มีใครรอดพ้นจาก กัมมันตภาพรังสีของระเบิดนิวเคลียร์ไปได้เลยซึ่งสอดคล้องกับพระดำรัสของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทรงเตือนไว้ "วาระสุดท้ายแห่งกัลป์นี้สรรพสิ่งทั้งหลายจะประสบภัยพิบัติ"  เบื้องบนไม่อาจดูดายได้ พระองค์อยากช่วยคนดีให้พ้นทะเลทุกข์คืนสู่เบื้องบน ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงได้แบ่งพระภาคลงมาเกิดกายเพื่อค้นหาพุทธบุตรเดิมกลับคืนไป  พระธรรมาจารย์และพระธรรมจาริณีของเรา เป็นคนธรรมดาเหมือนอย่างเราท่าน ปีหมินกั๋วที่ 19 (พ.ศ.2473) ทั้งสองพระองค์น้อมรับพระธรรมโองการพร้อมกัน  ตอนนั้น คนไม่เชื่อเพราะในประวัติพงศาธรรมทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยมีรับพระธรรมโองการพร้อมกันสององค์  ปีหมินกั๋วที่ยี่สิบเอ็ด คือห้าปีก่อนที่ข้าพเจ้าจะขอรับวิถีธรรม สมัยนั้น ที่นครเทียนจิน มีพุทธสถานอยู่สิบกว่าแห่ง ที่นครปักกิ่ง มีหกแห่ง ที่อื่น ๆ ที่ยังไม่มี ผู้หญิงก็รับวิถีธรรมกันน้อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสไว้ก่อนแล้วว่าต่อไปอนุตตรธรรมจะแพร่หลายไปทั่วโลก พระอนุตตรธรรมเจ้าทรงบัญชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ถ่ายทอดวิถีธรรมลงสู่ชาวบ้าน  ล้วนแต่คนสามัญธรรมดาทั้งนั้นที่ได้รับวิถีธรรม เพราะคนระดับนี้รู้ดีว่าชีวิตเป็นทุกข์ ฉะนั้น จึงพร้อมที่จะบำเพ็ญ เมื่อจัดตั้งพุทธสถานผู้คนก็ไปกันโดยง่าย แต่ถ้าเป็นผู้ว่าการมณฑลจัดตั้งพุทธสถาน ชาวบ้านใครจะกล้าไป ยิ่งกว่านั้นผู้ว่าการมณฑล มณฑ,หนึ่งก็มีเพียงคนเดียว เช่นนี้วิถีธรรมจะแพร่หลายได้อย่างไร ฉะนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแบ่งพระภาคลงมาเกิดกายในโลกมนุษย์ครั้งนี้ล้วนเกิดเป็นชาวบ้านธรรมดา  เบื้องบนไม่เหลือพระอรหันต์ไว้เลย  ฟากฟ้าตะวันตกก็ไม่เหลือพระโพธิสัตว์ไว้ ทั้งยังลงมาเกิดเป็นเพศหญิงเสียส่วนใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสว่า "เพศหญิงสร้างบาปน้อยกว่า" ในโลกนี้อาชญากรรมใหญ่ ๆ ความชั่วร้ายขั้นอุกฤษฏ์ ปล้น ฆ่า แย่ง ชิง ข่มขืน ฉุดคร่า ส่วนมากเกิดจากน้ำมือของผู้ชาย  ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพระธรรมของโองการเบื้องบนไม่ใช่เรื่องเท็จ หากพระธรรมโองการไม่สัมฤทธิ์จริงใครเลยจะยอมรับยอมเชื่อ  ธรรมอธิการและผู้อาวุโสทางธรรมที่อยู่ไต้หวันทุกคนเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอิทธิพล  ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีความรู้ แต่วิถีธรรมก็เผยแพร่ไปได้ทั่วโลก  วันนี้ทุกคนเกิดมาทันโอกาสนี้  ได้รับจุดนี้เป็นเบื้องต้น จุดที่เรียกว่า "รัตนที่ประมาณค่ามิได้" ประมาณค่ามิได้ก็คือ ไม่อาจตีราคาเป็นตัวเงิน รัตนที่ทำให้พ้นจากเวียนว่ายตายเกิด ซื้อได้ด้วยเงินหรือไม่ ชีวิตของเราซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ประธานาธิบดีมีเงินทอง มีอำนาจอิทธิพล คิดจะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่อาจซื้อชีวิตของตัวเองไว้ได้  ไม่อาจซื้อเลือดเนื้อร่างกายตัวเองไว้ได้ พรุ่งนี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตัวเองยังกำหนดไม่ได้เลย ทำไมจุดนี้จึงเรียกว่าธาตุแท้สัจธรรม เพราะสัจธรรมคือชีวิตของเรา จิตวิญญาณของเรา ผู้ควบคุมชีวิตกายสังขารของเราคือธรรมญาณ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        พระอริยเจ้าทรงตรัสไว้เช่นนี้ ในคัมภีร์บันทึกไว้เช่นกัน เมื่อก่อนอ่านพบแต่ไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้รับวิถีธรรมแล้ว จึงได้รู้ว่าจิตวิญญาณของเราทั้งหลายอุบัติลงมาเกิดด้วยพระธรรมโองการจากเบื้องบน  บัดนี้ได้เวลาหกหมื่นปีแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายจะถึงกาลวินาศด้วยมหันตภัย เบื้องบนได้โปรดทั่วไปครั้งใหญ่ กำหนดคัดเลือกพระอริยะสามพันหกร้อย ปราชญ์อีกสี่หมื่นแปดพัน นี่เป็นจำนวนจากทั่วโลก วันนี้ทุกคนมีความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ อุทิศตัวเพื่องานธรรม ทุกคนเป็นผู้มีคุณสมบัติจะได้รับเลือก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่บำเพ็ญ  ไม่ต่างอะไรกับการเข้าสอบมหาวิทยาลัย ในจำนวนผู้สอบเป็นแสนคน คัดเลือกไว้เพียงสามหมื่นคน  อีกเจ็ดหมื่นคนสอบเข้าไม่ได้  ไม่ใช่สอบเข้าไม่ได้แต่เพราะรับเพียงสามหมื่นคน ต่อไปถึงงานชุมนุมใหญ่พระอริยะ (หลงฮว๋า) เป็นโอกาสที่เบื้องบนจะปูนบำเหน็จอริยฐานะมรรคผลตามผลบุญกุศลที่สร้างกันมา บุญกุศลสูงก็จะได้อริยฐานะสูง ไม่มีบุญกุศลก็สอบไม่ผ่าน  เมื่อสิ้นพระธรรมาจารย์ และพระธรรมจาริณีแล้วผู้ที่ใกล้ชิดติดตามปฏิบัติ บำเพ็ญธรรมมาตั้งแต่ครั้งนั้น ทั้งที่นครเทียนจิน ปักกิ่ง นานกิง เซี่ยงไฮ้ และจี้หนาน บัดนี้ คงเหลือแต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว ซึ่งปีนี้ก้อายุแปดสิบเจ็ดปีแล้ว (พ.ศ. 2530) คนอื่น ๆ ในครั้งนั้นต่างกลับคืนเบื้องบนไปสิ้น กายสังขารนี้จะจบสิ้นวันไหนก็ไม่รู้ ฉะนั้น จึงอย่ามองข้ามความสำคัญวันนี้ เมื่อวันนี้ผ่านไปแล้ว อยากจะหาคนเดิมเหล่านี้มาชุมนุมกันอีกนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ทุกคนเป็นศิษย์พระอาจารย์เดียวกัน เป็นนักธรรมพี่ นักธรรมน้อง ไม่ว่าหญิงชาย คนแก่หรือเด็ก ไม่ว่ารู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือ พุทธจิตนั้นเป็นเช่นเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้ว่า เวไนยสัตว์ล้วนเป็นพุทธภาวะ ฉะนั้น วันนี้ได้รับจุดนี้แล้วจึงต้องศึกษาไตรรัตน์ จุดนี้เรียกว่าคัมภีร์ที่แท้ไม่มีลายลักษณ์อักษร แท้คือไม่ใช่สมมุติ  คัมภีร์คือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่น พระพุทธาทรงเปรียบว่าเป็นวัชรคัมภีร์ วัชรคือธาตุของความแกร่งกล้า ในเนื้อทองสวยใส วาวงาม เป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธจิต  ในโลกนี้เรายังค้นไม่พบเลยว่า มีสิ่งใดที่คงสภาพอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้โลกที่เราอยุ่นี้ก็ต้องถึงกาลแตกดับ ในที่สุด ฉะนั้น เมื่อเราได้พบเจ้าตัวจริงผู้ควบคุมชีวิตของเราแล้ว เราจึงรู้ว่าการที่เราเสพสุขกัน กินอาหารดี ๆ เข้าไปทุกวันนี้เปล่าประโยชน์ เพราะเราไม่มีศิษย์ขาดในการกำหนดชีวิตของเราเอง  เบื้องบนให้เรามีชีวิตอยู่จึงได้อยู่  วันนี้เราได้รู้ตัวชีวิตจริงของเราแล้ว รู้ตัวว่ากายเนื้อคือตัวสมมุติ ขอยืมตัวนี้บำเพ็ญพุทธจิตตัวจริง  อาศัยสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นเหตุปัจจัยช่วยให้สร้างกุศลจิต สร้างคุณธรรมความดี และสร้างสัมมาวาจาทั้งสามประการอันเป็นอมตะให้คงไว้ นอกจากสามประการนี้แล้ว สิ่งอื่นไม่มีอะไรคงอยู่ยั่งยืนเลย  วันนี้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทั้งหลาย  ผู้ช่วยธรรมอธิการ ผุ้อาวุโสทั้งหลาย ได้ถือโอกาสนี้ตั้งปณิธาน สำเร็จปณิธาน สำเร็จปณิธานก็คือการสร้างบุญกุศล การแพร่ธรรมแทนเบื้องบน  ถ้าหากผู้แนะนำรับรองไม่บอกเรา  เราจะได้รับวิถีธรรมอย่างไร เราคงไม่มีโอกาสได้รู้ญาณทวารประตูที่เกิดและที่ตายนี้  หนังสือมากมายได้ยืนยันไว้ ศาสนาพุทธพูดถึง "ช่องกุญแจที่ไร้ร่องรอย"  ศาสนาคริสต์บอกว่า "ไม้กางเขน"  ศาสนาเต๋าบอกว่า "เทพเจ้าแห่งหุบเขา"  ศาสนาปราชญ์บอกว่า "แดนวิสุทธิ์" เมื่อเกิดภายในโลกโลกีย์ใจของความเป็นคนจะมีการตอบโต้ด้วยสามัญสำนึก เช่น เธอดีต่อฉัน  ฉันจึงดีต่อเธอ  เธอไม่ดีต่อฉัน ฉันจะไม่ดีต่อเธอ นี่คือความเห็นแก่ตัว ความเอนเอียงในความคิด จิตใจของเราไม่ตรง  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือบำเพ็ญใจ  บำเพ็ญให้ใจมันตรง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

         พระอริยเจ้าจึงตรัสไว้ว่า "ใจตรงบำเพ็ญกาย หรือ บำเพ็ญกายด้วยใจตรง"  เช่นนี้ คนจึงมีคุณสมบัติของความเป็นคน เราอยู่ในโลกนี้อย่าเอาของสมมุติมาถือว่าเป็นจริง พระศากยพุทธเจ้าเป็นถึงเจ้าชาย พระองค์ไม่ยอมเป็นกษัตริย์  ศาสดาจารย์ขงจื้อเป็นถึงขุนนางใหญ่ ตำแหน่งเทียบได้กับรฐมนตรียุติธรรมของเมืองหลู่ ท่านไม่เป็นรัฐมนตรีเพราะท่านรู้สัจธรรมชีวิต ท่านรับราชการพร้อมกับประกาศธรรม แต่เจ้าเมืองไม่ยอมฟังดังนั้น ท่านจึงจาริกไปตามเมืองต่าง ๆ แพร่ธรรมกล่อมเกลาลูกศิษย์ได้ถึงสามพันคน  วันนี้เราค้นพบเจ้าตัวจริงของเราแล้ว เราได้รู้แล้ว แต่จิตเดิมแท้ตัวนี้ยังไม่สว่างเปรียบเช่นกระจกเงาบานหนึ่ง เมื่อแรกทีเดียวได้พบเรายังไม่รู้ว่ามันคือกระจกเงา มีคนบอกเราว่าในกระจกเงาบานนั้นมีตัวเราอยู่ แต่ทำไมเราส่องไม่เห็นล่ะ จะต้องเช็ดให้ใสเสียก่อน เมื่อได้มาแล้วยังไม่ใส เราจึงต้องบำเพ็ญ พระอริยเจ้าตรัสว่า "ใจตรงบำเพ็ญกาย" (บำเพ็ญกายด้วยใจตรง)   ฉันทาเจ็ด  กิเลสหก  จะต้องกำจัดให้สิ้น มันไม่ให้ผลดีอะไรแก่เราเลย เมื่อเรากำจัดมันออกไปได้หมดแล้ว จิตเดิมแท้ของเราก็จะใสสว่างขึ้นได้เอง กลับคืนสู่สภาพธาตุแท้ ธาตุแท้เป็นอย่างไร เรามองเห็นหรือเปล่า ไม่เห็น เคยเห็นเด็กเล็ก ๆ 2 -3 ขวบไหมพ่อแม่ยิ่งตีก็ยิ่งเข้ามากอด ขอเล่นมีค่าเพียงไรเล่นอยู่สักพักหนึ่งก็ไม่เอาแล้ว เด็กไม่โกหกหลอกลวง เขารักพ่อแม่  ฉะนั้น พระอริยเจ้าจึงตรัสว่า "กลับคืนสู่จิตไร้เดียงสา" (จิตบริสุทธิ์)  อย่างนี้เราเรียกว่า จิตที่มีคุณธรรมเป็นจิตดั้งเดิมที่มีมาแต่กำเนิด แต่บัดนี้คุณธรรมของจิตไม่มีแล้ว จึงเกิดความชิงชัง ความกลัดกลุ้ม ความเคียดแค้น ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน เมื่อก่อนโน้นเป็นโรคปอด พอได้รับวิถีธรรมแล้ว พระอาจารย์ตรัสว่า "เจ้ามีทรัพย์สมบัติเจ้ามีโทษ ทั้งหมดเป็นของสมมุติ เมื่อคอมมิวนิสต์ขึ้นมาแล้ว คนที่มีเงินทองทั้งหมดจะประสบภัยพิบัติ"  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่โกหกใคร แต่บางคนแย้งว่า เงินของเราเองไม่ได้ไปแย่งชิงหรือขโมยใครมา ทำไมจึงมีโทษ เจ้าไม่เชื่อก็ลองดูซิ เจ้ามีเงินเจ้าเป็นทุกข์อยู่ทุกวัน ฉะนั้น อาจารย์ตรัสว่า "สิ่งสมมุติทั้งหลายทิ้งมันไปเสีย เพียงแต่เจ้าจะทำงานเพื่อเบื้องบน โรคเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ แม้ตายแล้วก็จะให้เจ้าฟื้นคืนชีพใหม่..."   ปีนี้ ข้าพเจ้าอายุแปดสิบปีแล้ว พบกันวันนี้เวลามีค่านัก พบกันครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะได้พบกันอีกก็น้อยลงไปอีกครั้งหนึ่ง แม้กับพ่อแม่ของเราก็เช่นกัน สิ่งนี้ ใช้เงินซื้อหามาไม่ได้เลย  ได้รับไรรัตน์แล้วเวลาปกติก็ต้องศึกษา เช่น ใบคำขอรับวิถีธรรม คำตั้งปณิธานของอาจารย์ผู้แนะนำรับรอง คำตั้งปณิธานของผู้ขอรับวิถีธรรม  การบำเพ็ญก็มีการบ้านให้ทำคือ ทุกวันจะต้องกราบขอขมาสำนึกผิด เรามีความผิดไม่ได้ ฉะนั้น คำขอขมาสำนึกผิดจะต้องเข้าใจ ยังมีพุทธระเบียบพิธีกรรมต่าง ๆ การถวายธูป ถวายผลาหาร อาราธนา เหล่านี้จะต้องเรียน  ธรรมะนั้นรายรอบครอบคลุมฟ้าดิน ในธรรมจักรวาลอันไพศาล  พระอนุตตรธรรมมารดาทรงควบคุมทั้งหมด ในส่วนเล็กคือตัวเรา จิตเดิมแท้ของตัวเราควบคุมตัวของเราเอง จุดจุดนี้ครอบคลุมฟ้าดิน ธรรมญาณที่สว่างใสจุดนี้มาจากเบื้องบน จิตเดิมแท้ก็คือ ธาตุแท้รากฐานของเรา ทุกศาสนาล้วนมีคุณประเสริฐ ล้วนเป็นคำสอนกล่อมเกลาจิตใจแต่ไม่ถ่ายทอดวิถีธรรม วิถีธรรมไม่ใช่คำพูด เราได้รับวิถีธรรมคือค้นพบรากฐานของเราแล้ว แต่ที่พูด ๆ กันนี้คือพระธรรมคำสอนและจะต้องมีวิถีธรรม มีรากฐานเบื้องต้นจนถึงที่สุดด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        เมื่อตอนข้าพเจ้าอายุยี่สิบสองปี ก้เคยอรรถาพระธรรมคัมภีร์ของพุทธศาสนา ข้าพเจ้าเคยถามท่านศาสดาจารย์หลายท่านว่า "ธาตุแท้ของตัวเราอยู่ตรงไหน" ท่านเหล่านั้นตอบว่า อยู่ทั่วสรรพางค์กาย ท่านว่า "ฉันหยิกตรงนี้ ตรงนี้ก็เจ็บ หยิกตรงโน้น ตรงโน้นก็เจ็บ"  คำตอบนี้คิด ๆ ดูแล้วก็มีเหตุผล แต่หลังจากรับวิถีธรรมแล้ว จึงรู้ว่าธาตุแท้ตัวจริงของเราต่างหากที่เจ็บ ไม่เชื่อก็ลองดู ฉะนั้น ถ้าขาดจุดนี้เราก็ไม่อาจบรรลุธรรม ในวัชรคัมภีร์กล่าวถึงคำว่า "ที่สุดแห่งอนัตตา" (คือความไม่มีตัวตน) ในธรรมบทที่สิบเจ็ด พระศากยะพุทธะเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "พระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงประทานสัญลักษณ์ธรรมแด่พระศากยพุทธ" เราทั้งหลายได้รับวิถีธรรมก็ได้รับภายใต้การประทานสัญลักษณ์ธรรมของพระทีปังกรพุทธเจ้า หากแต่เราได้มาโดยง่ายจึงดูเบากันง่าย วันนี้ จะเตือนพวกเราอีกทีถึงการจุดเบิกญาณทวารจุดนี้ว่า ในทวารอันวิเศษนี้มีสิ่งวิเศษแยบยล ซึ่งเหนือกว่าคำกล่าวอ้างและนึกคิดคำนึงใด ๆทั้งสิ้น ซึ่งจะต้องเข้าถึงรู้แจ้งด้วยตนเอง เช่นเดียวกับอาหาร จะต้องลองลิ้มเองจึงจะรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร หากไม่ลองก็ไม่มีวันรู้เลย  ในพระโอวาทของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็ตรัสไว้ว่า เราจะต้องเข้าถึง จะต้องรู้แจ้ง จะต้องศึกษา เวลาที่ได้รับวิถีธรรมที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมใช้มือซ้ายวาดไปมานั้น ความหมายก็คือ "สะท้อนแสงส่องตน" หรือ ย้อนมองส่องตน" ให้ตัวเองย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองให้เข้าถึงรู้แจ้งว่าพุทธะอยู่ตรงนี้ ข้างนอกไม่มี พระอริยเจ้าเคยตรัสว่า "ธรรมะไม่ไกลไปจากตัวตน"  นอกกายไม่มีธรรมะ ฉะนั้น ธรรมะก็คือ ชีวิตของเราให้ใจใสสว่างเห็นจิตสว่างคือเข้าใจในจุดนี้ พวกเธอเข้าใจหรือยัง เข้าใจไหม ยังไม่เข้าใจ โลภ  โกรธ  หลง ยังไม่พ้นไป ในคัมภีร์มหาสัตถ์ (ต้าเสวีย) พูดถึง หมิงหมิงเต๋อ คือ รู้แจ้งในคุณธรรมอันสว่างใสแต่เดิมมา เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ของเด็กที่ตรงไปตรงมา ตอนนี้เรายังไม่สว่าง ยังไม่รู้ ฉะนั้นจึงต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อซ่อมแซมจิตใจให้มันตรง  ทำอะไรก็ให้ทำตามหลักธรรมของฟ้าเบื้องบนและมโนธรรม (กัลยาณจิต) ทำด้วยธาตุแท้ไม่เคลือบแฝงจอมปลอมคือจิตเดิมแท้จรงไปตรงมา เหมือนอะไรนะ ในหนังสือมีอยู่ เหมือนจิตของฟ้าเบื้องบน เหมือนฟ้าดินที่ให้กำเนิดสรรพสิ่ง ให้เราได้กินได้ใช้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ให้คนโน้นใช้ไม่ให้คนนี้ใช้  สว่างใสกว้างใหญ่ไพศาล เที่่ยงธรรม ไม่ลำเอียง ถ้าทั่วโลกเป็นเช่นนี้จะไม่มีใครบลากันเลย ฉะนั้น จุดนี้เรียกว่า "จิตสว่าง" เมื่อแก้นิสัยอารมณ์เลว ๆ ทิ้งไปแล้ว และทำตามหลักฟ้าเบื้องบนได้ ก้เรียกว่า "เห็นธาตุแท้แห่งตน"  จิตเดิมแท้ก็เรียกว่าธรรมะ ทำอะไรก็ไม่ขัดกับจิตของฟ้าเบื้องบนและไม่ยึดถืออัตตาตัวตน แบ่งเขาแบ่งเรา ก็เรียกว่าธรรมะ ครเรายึดถือรูปลักษณ์อัตตาตัวตน เป็นสภาวะของปัจฉิมกาล ภายหลังก็เกิดกายสังขารแล้ว เกิดท่ามกลางฟ้าดิน ทำให้มีจิตใจตอบสนองและปฏิกิริยาตอบโต้ จึงต้องใช้จิตที่มีคุณธรรม ที่เรียกว่าพุทธจิตมากล่อมเกลา คือจิตที่พระพุทธตรัสไว้ว่าเป็นมหาเมตตากรุณา ปฏิบัติได้เดี๋ยวนี้ก็คือพระพุทธาที่มีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้  ศาสดาจารย์ขงจื้อ รู้แจ้งในคุณธรรมอันสว่างใสและให้คุณนั้นแก่ชนทั้งหลายเรียกว่ามหาเมตตาคุณ ช่วยชนทั้งหลายให้พ้นทุกข์ เรียกว่ามหากรุณาคุณ พระอริยะโสดาทั้งหลาย ล้วนบำเพ็ญจนสำเร็จแต่ครั้งยังดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ฉะนั้น จะต้องเข้าใจ "ธรรมะ" เข้าใจ"เจ้าตัว ตัวจริง" จะขึ้นสวรรค์จะลงนรก ทั้งสองทางนี้อยู่ที่ตัวเองจะเดินไป 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ   

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        จุดประสงค์ของการชุมนุมธรรมก็เพื่อให้เราเข้าใจหนทางนี้ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะต้องเดินไปเอง คนอื่นไม่อาจจะเดินแทนเราได้ สวรรค์นรกตัวเองเป็นคนสร้างเองทั้งนั้น เราช่วยชีวิตคนอยู่ทุกวัน ทำงานอย่างพุทธะทุกวัน เราก็คือพระพุทธะ ถ้าไม่ทำก็ไม่ใช่ ที่สำคัญที่สุดคือ เราค้นพบรากฐานเดิมนี้แล้ว ก็จะต้องเข้าถึง จะต้องรู้แจ้งว่า ข้างนอกไม่มีธรรมะ  สัจจคาถาห้าคำ เมื่อก่อนนี้ก้ไม่มี เมื่อเริ่มต้นมีดินฟ้าใหม่ ๆ คนยังไม่มีความรู้ ฉะนั้น พระอริยฟู่ซีจึงเริ่มเบิกฟ้าด้วยหนึ่งขีดขวาง ตามด้วยขีดสั้นยาวประกอบสลับกัน เป็นสัญญลักษณ์ของ ฟ้า ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ เรียกว่าโป๊ยก่วย ดวงสัจธรรมของเรามาจากนิพพาน ขณะที่อยู่ในครรภ์ มารดานั้นยังไม่มีความนึกคิด พอถือกำเนิดมีรูปมีร่างมีอินมีหยาง (มืดสว่าง  - ขาวดำ ฯลฯ) เข้ากับบรรยากาศโลกโลกีย์ จึงเริ่มมีจิตใจตอบสนอง เมื่อตอนเป็นเด็กทารกยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ ยังเป็นสภาวะที่รวมตัวอยู่ แต่เมื่อเติบโตขึ้น นัยน์ตาได้เห็น หูได้ฟัง รู้ว่าตัวตนนี้ คือ ตัวกู รู้รูป รู้สัญญาตามอารมณ์  กำหนดแล้วก็ยึดมั่นถือว่าเป็นจริง นี่คือพุทธะในชั้นสมมุติเทพ ฉะนั้น ในชั้นอนุตตรคือสัจธรรม  ชั้นเทวโลกคือบรรยายกาศธรรม ชั้นมนุษย์โลกคือรูปธรรม  ธาตุแท้ของคนเราจุดนี้ก็คือสัจธรรมชั้นอนุตตร พระคาถาห้าคำที่ปราศจากรูปลักษณ์อักษรคือ บรรยายกาศธรรม  ลัญจกรก็คือรูปธรรม  เป็นเครื่องหมายรับรองของผู้บำเพ็ญธรรม ฉะนั้น แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์จึงไม่พ้นจิตเดิม  แต่ก่อนครั้งธรรมกาลยุคแดง ลัญจกร ที่พระศากยะพุทธเจ้าถ่ายทอดนั้น เป็นรหัสยุคกลางสัญญลักษณ์ดอกบัว บัดนี้เข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว เป็นรหัสยุคสุดท้ายสัญญลักษณ์รากบัว  สัญญลักษณ์รหัสนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุค มีแต่สัจอนุตตรธรรมเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยน ที่เราได้รับกันวันนี้ก็คือ วิถีอนุตตรธรรม  เป็นเอกสัจธรรม ซึ่งอยู่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล แต่จะต้องปฏิบัติธรรมจริงด้วยศรัทธาจึงจะประจักษ์จริงได้  พระบรมธรรมาจารย์จิน-
กง เคยโปรดว่า  "แม้ได้รับวิถีธรรมไปแล้ว ไตรรัตน์ก็ไม่อาจช่วยให้เขาพ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ มีแต่ยึดถือปฏิบัติไตรรัตน์ด้วยศรัทธามั่นคงเท่านั้น จึงจะปรากฏบุญญาธิการได้มากที่สุด"  ฉะนั้น หากได้รับวิถีธรรมแล้วไม่ตั้งมั่นศรัทธาบำเพ็ญธรรม พอประสบทุกข์ภัยจึงกราบวิงวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา อย่างนี้มีประโยชน์ไหม  ท่านจะคุ้มครองไหม เอาอะไรไปวิงวอนก็ไม่ได้  ถ้าหากวิงวอนได้พระท่านก็ "รับสินบน" น่ะซิ ที่เราถวายผลาหารกัน ก็กินกันเอง เบื้องบนท่านไม่ได้เสวย  เบื้องบนไม่ต้องการอะไร  ต้องการแต่จิตใจของเรา เราทุกคนมีจิตใจดีงามก็คือลูกศิษย์ที่ดีของพระอาจารย์จี้กง ไม่ใฝ่ใจให้ดีงาม ไม่สร้างคุณธรรมก็ป่วยการ หนทางตรงก็ไม่เดิน ฉะนั้น จะต้องเข้าใจวิถีธรรม เราจะต้องเดินไปเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราไม่ได้  เราบำเพ็ญธรรมก็อย่าบำเพ็ญโดยเห็นแก่หน้าคน หนทางบำเพ็ญธรรม ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องด้วย จะต้องอาศัยบุญกุศลจริง ๆ ทั้งหมด หวังว่าพวกเราทุกคนจะได้สำเร็จมรรคผล   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ  

                            เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2

        ไม่มีใครเรียกให้เรามารับวิถีธรรมแล้วประพฤติชั่ว มีแต่ให้เราทำดีเท่านั้น  แต่เราจะต้องเดินไปด้วยตัวเอง บำเพ็ญด้วยตัวเอง บำเพ็ญธรรมก็คือบำเพ็ญใจของเรา การตั้งปณิธาน บรรลุปณิธาน ปฏิบัติงานธรรม เราพยายามให้เต็มความสามารถ เสียสละตัวเอง คือให้คนอื่นทั้งหมดได้ดี เธอเคารพยกย่องเขา เขาก็เคารพยกย่องเธอ  เธอเคารพพ่อแม่ของพวกเธอหรือเปล่า  พ่อแม่เลี้ยงดูเรามายี่สิบสามสิบปี หุงหาอาหารซักเสื้อผ้าให้เรา มีอะไรดีก็เอาไว้ให้เรากิน เรากินเหลือพ่อแม่จึงได้กิน  แล้วเราซักเสื้อผ้าให้พ่อแม่กี่ครั้ง  หุงหาอาหารให้พ่อแม่กินกี่ครั้ง หนี้ที่เราค้างชำระพ่อแม่ยังจ่ายไม่หมด ฉะนั้นเราจะต้องสำนึกของขมาทุกวัน บาปกรรมยังติดตัวอยู่จะกลับคืนสู่เบื้องบนได้อย่างไร  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสไว้ว่า "ต่อไปถึงปีกลียุค คนชั่วคนดีจะถูกแบ่งแยกออกจากกัน"  มีแต่คนบำเพ็ญธรรมเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นปีกลียุคได้ หลังจากรอดพ้นไปแล้วยังมีภารกิจ เราจะต้องทำหน้าที่ปรับปรุงโลก สร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ คนชั่วร้ายได้ตายไปหมดสิ้นแล้ว  คนดีก็เหลืออยู่ไม่มาก เมื่อโลกนี้ดีแล้ว พระศรีอาริย์บรมธรรมาจารย์ก็จะถึงกาลอุบัติ พระองค์จะรวมศาสนาทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว ทั่วโลกจะรวมเป็นเอกภาพ  เหตุใดในยุคนี้ ศาสนาขงจื้อจึงต้องทำหน้าที่เก็บงานขั้นสุดท้ายให้สมบูรณ์รู้ไหม  เหตุเพราะว่าศาสนาต่าง ๆ มักจะขัดแย้งกัน ศาสนาทำหน้าที่ช่วยชีวิตชาวโลก ตัวเองกลับพิพาทกัน ดังนั้น ศาสดาของศาสนาใหญ่ ๆ ทั้งห้า จึงกราบสนองต่อพระอนุตตรธรรมเจ้า พระองค์จึงทรงโปรดเลือกศาสนาขงจื้อขึ้นรวมศาสนาทั้งหมดไว้ด้วยกัน ศาสนาขงจื้อสอนให้คนบำเพ็ญธรรม  โดยเริ่มจากมนษย์ธรรม บำเพ็ญใจให้ตรง สำรวมกายให้ถูกต้องเป็นเบื้องต้น จากนั้นโลกก็จะเกิดสันติสุข นักวิชาการทั่วโลกที่ศึกษาปรัชญาชีวิตล้วนเชิญเอาขงจื้อไปทั้งนั้น  โดยเหตุที่ว่าปรัชญาอื่น ๆ มักแฝงไว้ด้วยลัทธิวัตถุนิยม นักปรัชญาเอกชาวอเมริกัน จอห์น ดิวอี้ มีชื่อเสียงอยู่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่บัดนี้แนวความคิดปรัชญาของเขาถูกล้มล้างเสียแล้วและกลับยกย่องขงจื้อ เม่งจื้อ เหลาจื้อ เป็นต้นสกุลแห่งปราชญ์ คำพูดนี้ชาวต่างชาติเขาพูดกันเอง  หากจะใฝ่หาสันติภาพ ชั่วกาลนานในโลกนี้  วิทยาศาสตร์โน้มนำไม่ได้ จะต้องใช้ทฤษฏีว่าด้วยธรรมะสายตรง ธรรมะกับศานารวมกันเป็นหนึ่ง คือหนทางธรรมที่รวมทุกศาสนาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว โลกจึงจะเกิดสันติสุขได้ นี่เป็นคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีทรูแมนแห่งสกรัฐอเมริกา  ธรรมะเป็นหัวใจของปรัชญา ฉะนั้น จึงกล่าวว่าเหนือกว่ารูปลักษณ์ทั้งหลายคือ "ธรรมะ" ที่คนมองไม่เห็น คนจะเห็นแต่ว่าวิทยาศาสตร์ดี  วิทยาศาสตร์เลิศล้ำ แต่วิทยาศาตร์ก็สร้างต้นหญ้าจริง ๆ ขึ้นมาไม่ได้สักต้น หรือแม้มดจริง ๆ สักตัว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ด้วยธรรมชาติ ฉะนั้นวิถีธรรมจึงเป็นสิ่งวิเศษสุด ที่จะไม่ถ่ายทอดสู่กันง่าย ๆ นับแต่โบราณกาลมา เพราะนั่นคือรากฐานเบื้องต้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย และต้นกำเนิดก็คือบ้านเดิมของเรา ขอเพียงแต่ให้เราได้ปฏิบัติบำเพ็ญให้เกิดกุศลผลบุญ เราก็จะคืนสู่บ้านเดิมโดยมิใช่ด้วยการภาวนาวิงวอน ยิ่งกว่านั้นพ่อแม่ของเรา ก็จะพร้อมกันได้รับบารมีธรรมไปด้วยและเมื่อรอจนถึงวันนั้น พระอาจารย์ก็จะนำศิษย์ทั้งหลายพร้อมกันขึ้นกราบเฝ้าพระอนุตตรธรรมมารดา  นั่นแหละคือวาระแห่งปิติสุข บรรพบุรุษเหนือขึ้นไปจากเราอีกเจ็ดชั้นชั่วโคตรก็จะได้รับการปรกโปรด ลูกหลานเหลนก็เช่นกัน  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายล้วนบำเพ็ญสำเร็จได้ไปจากคน ธสตุแท้ของจิตนั้นเป็นเช่นเดียวกันยืนยันได้ว่าพระธรรมโองการ และพระวิสุทธิอาจารย์ได้โปรดจริง  หากวิถีธรรมนี้เป็นเรื่องหลอกลวง ธรรมะจะแพร่หลายไปทั่วโลกได้อย่างไร บัดนี้ วิถีธรรมได้ปรากฏให้เห็นแจ้งแล้ว เมื่อปรากฏให้เห็นแจ้งแล้ว พระธรรมาจารย์กงฉังปลอมก้จะเกิดขึ้น ยิ่งกว่านี้ยังจะมีเวทมนต์คาถาไสยศาตร์ของขลัง มีพระธรรมาจารย์องค์ที่สามแห่งยุคขาว พระธรรมาจารย์สมัยที่ 19 พระศรีอาริย์ปลอม  ฯลฯ  แห่กันออกมาหลอกลวงโลก  เบื้องบนจะเริ่มทดสอบเป็นการใหญ่ ใครบำเพ็ญรักษาธรรมะของตนไว้ไม่มั่นคงก็จะคล้อยตามไป  ชื่อในบัญชีเบื้องบนก็จะถูกลบไป ฉะนั้น จะต้องรักษาธรรมะไว้ให้มั่น  รักษาไว้ให้อยู่ มุ่งมั่นในปณิธานที่ตั้งไว้  นำทางรุ่นหลังกว่าไว้ให้ดี ที่สุดจะได้พร้อมกันคืนกลับไปกราบถวายดวงธรรมเบื้องบน  เราลองคิดดูซิว่าที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องดีงามเราก็ทำตามไปไม่ต้องสงสัยแคลงใจ  ตัวเองจะต้องเป็นผู้ช่วยชีวิตของตัวเอง แม้เราจะได้เห็นพระพักตร์ของพระอาจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้  พระอนุตตรธรรมมารดาเคยตรัสไว้ว่า  "แม้เจ้าจะเป็นเทพพรหมชั้นสูงมาเกิดหากชาตินี้ไม่ปฏิบัติบำเพ็ญก็กลับคืนไปไม่ได้"  ในสมัยขงจื้อ ศาสนาทั้งสามอุบัติขึ้นในโลกนี้ด้วยภารกิจ "สอบเสริมธรรมจักรวาล" โดยเทศนาสั่งสอนให้คนรู้คุณธรรมซ่อมแซมจิตใจที่เลวร้ายของคน  เช่นเดียวกับการซ่อมแซมบ้าน  บัดนี้บ้านอยู่ในสภาพเสียหายหมดแล้ว ซ่อมแซมไม่ได้แล้ว  พญามารรื้อถอนทำลายบ้านของเราแล้ว แต่ท่านมาสร้างบ้านใหม่ให้เราไม่เป็น เมื่อสร้างไม่เป็น บัดนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้าง จะต้องค้ดเลือกปราชญ์ปัญญาชน แทนเบื้องบน รับวิถีธรรมบำเพ็ญกันทั้งครอบครัว  รู้คุณาปการของธรรมะแล้วจะต้องช่วยคนให้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์  คนในบ้านใกล้ชิดกับเราที่สุดที่จะต้องช่วยเขา ถ้าเขาไม่ยอมรับแสดงว่า เรายังศรัทธาไม่จริง คุกเข่าลงไปโขกศรีษะกับพื้นซิ ถ้ายังไม่ยอมไปรับเราจะไม่ยอมลุกขึ้น คุกเข่าสามวันสามคืนมีหรือเขาจะไม่รับ  หกหมื่นปีก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ครั้งเดียวที่จะช่วยชีวิตคนเราให้พ้นจากทะเลทุกข์ ขอเพียงแต่ให้เรามีศรัทธาจริงใจ มุ่งอยู่ที่พระอนุตตรธรรมมารดา ดับขันธ์ไปแล้วเราก็จะไปสู่พระอนุตตรธรรมมารดาอย่างแน่นอน

                  วันที่ 11  มิ.ย. 2530
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22/09/2554, 14:40 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   โอวาทท่านธรรมอธิการ 

                                   ธรรมะ  (เต๋า)  กับศาสนา

                            โดย  ท่านธรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน

        เต๋า  คือความเป็นสัจธรรมหรือหลักธรรมซึ่งเป็นความเที่ยงแท้ของธรรมชาติในเบื้องต้น  ศาสนา คือพระธรรมคำสอนสำหรับอบรมกล่อมเกลาผู้คนให้ทำดีในภายหลัง    เต๋า เปรียบเสมือนตัวตนอันเป็นหลัก หรือรากฐาน  ศาสนา เปรียบเหมือนพฤติกรรมอันเป็นงาน หรือผล  เมื่อมีตัวตนมีหลักมีรากฐาน ควบคู่กันไปกับพฤติกรรมอันเป็น "งาน"  และเป็นผลโดยไม่ขัดขืนต่อกันแล้ว ธรรมะกับศาสนาจึงจะยังประโยชน์สุขแก่มนุษย์ชาติได้อย่างสมบูรณ์และแท้จริง  มีเต๋า (ธรรมะ) แต่ไม่มีศาสนา เท่ากับมี หลัก  แต่ไม่มี งาน  เช่นนี้ จะไม่อาจนำทางชีวิตไปในทางที่เหมาะที่ควรได้ อุปมา เช่น บ้านเมืองใดหากมีแต่ประมุข แต่ขาดราษฏรจะเป็นบ้านเมืองไม่ได้  มีศาสนาแต่ไม่มีเต๋า (ธรรมะ) เท่ากับมี งาน  แต่ไม่มี หลัก  เหมือนมีราษฏรแต่ขาดผู้นำเป็นจุดยืนมั่นคง  บ้านเมืองก็จะสับสนวุ่นวายและตกต่ำ จะเป็นบ้านเมืองไม่ได้อีกเช่นกัน  ฉะนั้นจึงกล่าวว่า  ฟ้ามีหลักสัจธรรมของฟ้า  ดินมีหลักสัจธรรมของดิน  สรรพสิ่งมีหลักสัจธรรมของสรรพสิ่ง  คนมีหลักสัจธรรม (ธาตุแท้ธรรมญาณ) ของคน  หากคนไม่รู้หลักสัจธรรมแห่งตนจะทำตนหลงใหลตกต่ำ ทำให้สังคมบ้านเมืองยุ่งเหยิงวุ่นวาย  อยากให้สังคงและบ้านเมืองเกิดประโยชน์สุขทั่วกัน จำเป็นจะต้องวางรากฐานของการศึกษา  โดยเริ่มจากเด็กเล็กเป็นเบื้องต้น อบรมฟูมฟักเขาด้วยหลักธรรมและคุณความดี ปลูกฝังให้เขารู้คุณสมบัติของความเป็นคน ให้เขาถ่องแท้ในหลักของมนุษยธรรม โลกจะเกิดสันติสุขได้เอง  แม้คนจะเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่หากเกิดมาโดยไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ก็จะไม่ต่างอะไรกับนกกาเดรัจฉาน จึงกล่าวว่ามีศาสนาแต่ไม่มีเต๋า จะเหมือนเรือที่ขาดเข็มชี้ทิศ จะไม่รู้จุดหมาย  ธรรมะหรือเต๋าจึงเป็นหลัก เป็นศูนย์กลางเป็นแกนของชีวิตทั้งมวล ศุภวาระนี้เบื้องบนได้ปรกโปรดครั้งใหญ่ทั่วไป ชี้ให้เห็นจุดหมายอันเป็นรากฐานของคน ให้ทุกคนปฏิบัติตนตามหลักสัจธรรม เมื่อเป็น     
เช่นนี้ทั่วโลกจึงจะเกิดสันติสุข เบื้องบนได้โปรดประทานวิถีธรรม โปรดบัญชาพระวิสุทธิอาจารย์ลงมากอบกู้โลกเรา ด้วยการโปรดสัตว์ครั้งใหญ่ทั่วไป ชี้ให้เห็น
จิตเดิมแท้ของตนเป็นเบื้องต้นให้รู้แจ้งในรากฐานความเป็นมาแห่งตน เที่ยงตรงแล้วบำเพ็ญตน ที่สำคัญที่สุดคือกล่อมเกลาและส่งเสริมความประพฤติชอบฝึกฝนสำรวมตนอยู่ในจารีตอันดีงาม สุจริตขาวสะอาด ยุติธรรมไม่มีความเคลือบแคลง ปลูกฝังบำเพ็ญตนให้มีคุณธรรม มีความประพฤติสูงส่ง จึงจะเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นที่เคารพยกย่องของคนภายหลังได้  ทุกคนรับพระภาระเบื้องบนไว้กับตน การจะเป็นผู้นำคนรุ่นหลัง หากบกพร่องในคุณธรรมความประพฤติผู้คนจะไม่ยอมรับนับถือ แม้จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ก็ยากจะประสบความเจริญได้   การบำเพ็ญธรรมคือบำเพ็ญจิต อันเป็นหลักสัจธรรมแห่งตน การบำเพ็ญงานธรรมเป็นพฤติกรรมเป็นงานเป็นผล หากตนไม่เที่ยงตรงจะช่วยให้ผู้อื่นตรงได้หรือ   มีตัวตนแต่ไม่เกิดพฤติกรรม มีหลักแต่ไม่เกิดงาน มีรากฐานแต่ไม่เกิดผล จะไม่อาจฉุดช่วยสงเคราะห์ชาวโลกได้ จะเกิดความดีเฉพาะตน  ไม่มีบุญกุศลหนุนนำ ไม่อาจสำเร็จธรรม ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้  มีแต่งานไม่มีหลัก  จะเหมือนกับดอกไม้
ได้แต่บานแล้วร่วงโรยไปไม่เกิดผล ฉะนั้น การปฏิบัติบำเพ็ญ จึงต้องมีตัวตน  มีหลัก  มีรากฐาน  ควบคู่กับพฤติกรรม  งานและผลจึงจะสำเร็จได้

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”