collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณธรรมบรรพชน : คำนำ  (อ่าน 25726 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                           เรื่องที่ 30  :    พลังรักของแม่นก

        ในสมัยสามก๊ก ขุนพลแห่งแคว้นเว่ย ชื่อ เจิ้งอาย ได้ยกกองทัพออกไปรบ ระหว่างทางจึงหยุดพักตั้งค่ายที่อำเภอฝู่หลิง ครั้นยามว่าง เขาก็ออกท่องเที่ยวไปบนเนินเขา วันนั้น ขุนพลเจิ้งอาย เห็นแม่นกตัวหนึ่งกำลังป้อนอาหารให้แก่ลูก ๆ เขาจึงง้าวธนูยิง เพราะเห็นว่าเป็นเป้านิ่งอยู่ดี ทว่า เสียงดีดสายธนู ทำให้แม่นกตกใจจึงบินหนีไป แต่เพราะไม่อาจทนพรากจากลูก ๆ ได้แม่นกจึงบินกลับมาที่รังอีก เจิ้งอายซึ่งเงื้อธนูคอยท่าเอาไว้แล้ว ยิงออกไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่พลาด เสียงดังฉึก ! ลูกธนูพุ่งเสียบเข้าที่ลำคอ แต่แม่นกตัวนั้นไม่ตาย มันยังคงพยายามป้อนอาหารให้แก่ลูก ๆ จนหมด จากนั้นมันจึงตะเกียกตะกายไปคาบอาหารที่อยู่ข้าง ๆ มาวางไว้ในรังหลายชิ้น พร้อมกับทำกริยาประหนึ่งจะสอนให้ลูก ๆ ของมันรู้ว่าต่อไปต้องจิกอาหารกินเอง และแล้วมันก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญติดต่อกันด้วยความอาลัยอาวรณ์จนสิ้นใจ !  ร่างของแม่นกร่วงตกจากกิ่งไม้ ในขณะที่บรรดาลูกนกต่างพากันยื่นหน้าออกจากรังมาดู พร้อม ๆ กับส่งเสียงร้องเรียกเพรียกหาแม่อยู่ไม่หยุด เจิ้งอาย มองดูด้วยความสลดหดหู่ใจ เขาเหวี่ยงคันธนูทิ้งลงพร้อมกับรำพึงกับตัวเองว่า "เราได้บั่นทอนบุญวาสนาของตัวเอง ด้วยการทำลายชีวิตผู้อื่นเห็นทีคงจะอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นานเป็นแน่ ! " สัญชาติของผู้เป็นแม่ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ แม่นั้น ยินดีไม่ว่าจะเหนื่อยยากหรือตายเพื่อลูก คนกล่าวว่าตนเป็นสัตวืประเสริฐจะไม่สะเทือนใจเลหรือ ?  ขุนพลเจิ้งอายก่อกรรมหนัก ฆ่าแม่นกเสียแล้ว ลูกนกก็ไม่รู้ว่าจะอยู่รอดหรือไม่ ถ้าไม่ตายก็กลายเป็นกำพร้า ต้องถูกพรากจากอกแม่ ! เหตุฉะนี้ แม้ว่าภายหลังต่อมา ขุนพลเจิ้งอายจะกรีฑาทัพออกรบได้ชัยชนะมีผลงานยิ่งใหญ่ แต่ก็ถูกคนอิจฉาใส่ร้ายว่าเขาวางแผนก่อกบฏ ซือหม่าเจา จึงสั่งประหารชีวิตเขาเสีย ! นี่ก็เป็นไปตามที่ตัวเขาพูดไว้ว่า "จะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                       คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                               เรื่องที่ 31  :    นกกระจอกตอบแทนพระคุณ

        ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีบุคคลท่านหนึ่งชื่อ เหอจิง เป็นชาวกว่างซัง ท่านดำรงตำแหน่ง เซี่ยนเว่ย แห่ง จิ่งเซี่ยน โดยรับผิดชอบดูแลพื้นที่  1000 หลังคาเรือน ท่านเหอจิง มีอุปนิสัยรักและเมตตาสัตว์มาแต่เกิด ดังน้น ทุกครั้งที่ออกตรวจราชการรอบชานเมือง หากพบเห็นคนจับนกกระจอกไปขาย ท่านจะเรียกคนเหล่านั้นมาตักเตือนว่า "มีอาชีพให้เลือกทำตั้งมากมาย  ไยพวกเจ้าต้องหากินด้วยการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ด้วยเล่า?" แล้วท่านก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ปล่อยนกกระจอกทั้งหมดให้เป็นอิสระ และทำลายแหที่ใช้ดักจับนกของพวกเขาเสีย จากนั้นจึงมอบเงินให้ตามราคาของจำนวนนกที่ปล่อยและแหที่ถูกทำลาย พร้อมกับแนะนำให้เปลี่ยนอาชีพใหม่คนเรานั้นใช่ว่าจะสิ้นคิดไร้จิตไร้ใจเสียทั้งหมด บรรดาคนจับนกกระจอกขายเมื่อถูกตักเตือนด้วยหลักธรรมความจริง ก็ไม่มีใครไม่ปฏิบัติตาม ท่านเหอจิงปฏิบัติเช่นนี้ตลอดมา จนกระทั่งใกล้หมดวาระกำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ตอนนั้นในพื้นที่ที่ท่านดูแลรับผิดชอบ มีคดีกลุ่มโจรปล้นฆ่าอุกฉกรรจ์เกิดขึ้น ทางศาลได้กำหนดเวลาสืบสวนและให้ตามจับผู้ร้ายมาโดยเร็ว ท่านเหอจิงเป็นถึง เซี่ยนเว่ย ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้รักษาความสงบเรียบร้อย จับโจรผู้ร้ายและตรวจตราการกระทำผิดต่าง ๆ ดังนั้น งานนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของท่านโดยตรง แต่ไม่ว่าท่านจะพยายามอย่างหนักและใช้วิธีการอย่างไร ก็ไม่พบร่องรอยของคนร้ายเลยจนกระทั่งใกล้หมดเวลาที่ศาลกำหนดไว้ ท่านจึงยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น และแล้ววันต่อมา ขณะที่ท่านเหอจิงกำลังนำลูกน้องออกลาดตระเวนเพื่อสืบหาเบาะแสของพวกโจรไปไกลถึงนอกเมือง ทันใดนั้นมีนกกระจอกฝูงใหญ่จำนวนนับร้อยตัว บินวนเวียนไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องกันดังเซ็งแซ่อยู่เหนือศรีษะของท่าน ครั้นท่านเหอจิงหยุดม้าดูด้วยความประหลาดใจ พวกนกกระจอกก็บินนำหน้าไป ท่านจึงควบม้าติดตามไปทันที พวกนกกระจอกนั้นบินนำทางไปไกลหลายสิยลี้ จนกระทั่งมาถึงกระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มันจึงพากันร่อนลงเกาะ ท่านเหอจิงเห็นเช่นนั้นจึงหยุดม้า พร้อมกับสั่งกองกำลังเข้าไปตรวจค้น พอเปิดประตูเข้าไปเจ้าหน้าที่ก็พบชายฉกรรจ์จำนวน 7 คน ทั้งหมดนอนหลับไหลไม่ได้สติ ข้าง ๆ มีไหเหล้าทิ้งระเกะระกะอยู่หลายใบ อีกทั้งข้างฝากระท่อมยังพบหีบและห่อผ้าขนาดใหญ่จำนวนมากกองอยู่ จากพยานวัตถุที่พบเห็น อีกทั้งลักษณะท่าทางของชายฉกรรจ์เหล่านั้นเข้าข่ายผู้ต้องสงสัย ท่านเหอจิงจึงออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่นำตัวพวกเขาทั้งหมดไปที่อำเภอ เมื่อถูกสอบสวน ชายฉกรรจ์ทั้ง 7 คน จึงยอมรับสารภาพว่า พวกตนคือกลุ่มโจรที่ปล้นและฆ่าเจ้าทรัพย์ตายหลายรายนั่นเอง !  โจรทั้งหมดถูกส่งไปรับโทษ ด้วยความดีความชอบครั้งนี้ ทำให้ท่านเหอจิงได้เลื่อนตำแหน่งเป็น เซี่ยนหลิง ไปปฏิบัติหน้าที่ปกครองประชาชนหมื่นหลังคาเรือน ณ เมืองตงหยาง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                              เรื่องที่ 32  :    ลูกวัวคิดถึงแม่

        ชายคนหนึ่งชื่อ ท่งลู่ เขาเลี้ยงวัวไว้คู่หนึ่ง เป็นแม่วัวแก่กัลลูกของมัน ต่อมาเขานำวัวทั้งสองไปขายที่ตลาดในหมู่บ้าน มีคนฆ่าสัตว์ซื้อแม่วัวไป ส่วนลูกวัวมีชาวนาคนหนึ่งซื้อเอาไปเลี้ยงไว้ใช้งาน ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งคนฆ่าสัตว์และชาวนาต่างจูงวัวที่ตนซื้อแล้วกลับบ้านพร้อม ๆ กัน กระทั่งเดินมาถึงลำธารสายหนึ่ง คนฆ่าสัตว์กำลังจูงแม่วัวข้ามน้ำ ส่วนชาวนาเตรียมแยกไปอีกทาง ราวกับจะรู้ว่าต้องพลัดพรากจากกัน ลูกวัวส่งเสียงร้อง มอ... มอ...และพยายามจะข้ามลำธารไปด้วยชาวนาต้องทั้งตีทั้งดึงให้มันกลับมา แต่มันเพียงเินไป 2 - 3 ก้าว แล้วก็วกกลับมาร้องเรียกที่ริมลำธารด้วยเสียงทอดยาวน่าสงสาร ชาวนาต้องออกแรงฉุดกระชากรากถูอย่างหนักกว่าจะเอาลูกวัวกลับไปได้ พอถึงบ้านเขาก็จัดการรีบนำไปขังไว้ในคอก ส่วนคนฆ่าสัตว์ เมื่อกลับถึงบ้านก็จัดการมัดแม่วัวไว้ในโรงฆ่าแล้วต้มน้ำร้อนกระทะใหญ่ เตรียมไว้สำหรับการฆ่าวันพรุ่งนี้ ขณะที่กำลังจะเข้านอน เขาก็ได้ยินเสียงร้องดังอย่างร้อนรนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน สักครู่แม่วัวที่ถูกมัดไว้ในโรงฆ่าก็ส่งเสียงร้องตอบรับกลับไป เมื่อคนฆ่าสัตว์ไปเปิดประูหน้าบ้าน โดยยังไม่ทันจะตั้งตัว ลูกวัวจากไหนไม่รู้มันเบียดประูตูพุ่งทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งตรงรี่เข้าไปในโรงฆ่าสัตว์ เขารีบเดินเข้าไปดูก็เห็นลูกวัวของชาวนากำลังเอาหัวของมันถูไถคลอเคลียอยู่ที่หน้าอกของแม่ ส่วนแม่วัวก็ตะกุยเท้าจนกีบเล็บฉีก แสดงความดีใจอย่างที่สุด ! คนฆ่าสัตว์แม้จะเป็นคนมุทะลุดุดัน แต่ก็ใจไม่กระด้างเป็นหิน พอพบเห็นภาพที่ปรากฏต่อหน้า เขาก็รู้สึกมือไม้อ่อนและสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก สักครู่ใหญ่ คนฆ่าสัตว์จึงไปดึงฟืนออกจากเตาเพื่อดับไฟ นั่นเท่ากับเขาตัดสินใจยกเลิกการฆ่าเสียเลย  ข้างฝ่ายชาวนา.....พอตื่นขึ้นตอนเช้าตรู่ไปดูที่คอกไม่พบลูกวัวที่เพิ่งซื้อมา ก็ออกตามหาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงบ้านคนฆ่าสัตว์ ครั้นได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ทั้งคู่จึงได้แต่นั่งทอดถอนใจอยู่ด้วยกัน  สุดท้ายจึงตกลงกันว่า ชาวนาจะขอซื้อแม่วัวไปเอง ส่วนคนฆ่าสัตว์ก็ยินดีขายลดราคาให้ ดังนั้น วัวสองแม่ลูกจึงได้กลับไปอยู่ร่วมกันอีกครั้ง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                            เรื่องที่ 33  :    คำวิงวอนของแม่แพะ

        สมัยโบราณมักมีเรื่องราวแปลก ๆ ที่คนยุคนี้คิดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้ อย่างเช่น ชายทีชื่อ ไป๋กุยเหนียน เล่ากันว่าเขาได้รับคัมภีร์วิเศษมาเล่มหนึ่ง เมื่อศึกษาสำเร็จสามารถเข้าใจภาษาสัตว์ทั้งหลายได้ ดังนั้นผู้คนจึงเคารพนับถือเขาประดุจดั่งเทพเซียน วันหนึ่งระหว่างที่ ไป๋กุยเหนียน เดินทางผ่านเมืองลู่ ท่านเจ้าเมืองได้ยินกิตติศัพท์เรื่องคุณวิเศษของเขา จึงเชื้อเชิญให้ไปพักที่จวน พร้อมทั้งต้อนรับอย่างดีเลิศ ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ มีคนงานไล่ต้อนแพะฝูงหนึ่งไปไว้ที่หน้าโรงครัวเพื่อเตรียมจะฆ่าสำหรับอาหารค่ำ ทว่าในฝูงนั้นมีแม่แพะตัวหนึ่งอยู่รั้งท้าย มันหยุดเิดินแล้วหันมาร้องพร้อมทำปากขมุบขมิบ ท่านเจ้าเมืองซึ่งนั่งอยู่ในห้องรับแขกสังเกตุเห็น จึงได้กระซิบถามไป๋กุยเหนียนว่า "ท่านเซียน.....ร่ำลือกันว่าท่านสามารถสื่อภาษาเข้าใจสัตว์ เจ้าแพะตัวนั้นพูดอะไรหรือ?" ท่านไป๋กุยเหนียนจึงตอบว่า"แพะตัวนั้นพูดวิงวอนว่า ในท้องของเธอมีลูกน้อยอยู่ ขอให้ท่านเจ้าเมืองเมตตารอจนเธอคลอดลูกแล้ว เมื่อนั้นเธอก็ยินดีตายโดยจะไม่ขออะไรอีก" ท่านเจ้าเมืองได้ฟังเช่นนั้น ก็รู้สึกสงสารจึงสั่งให้เลี้ยงแม่แพะตัวนี้ไว้ก่อน ไม่นานต่อมามันก็กำเนิดลูกแพะ 2 ตัว พอโตขึ้นสักนิดพวกมันทั้งกระโดดโลดเต้น และวิ่งเล่นอยู่ข้าง ๆ แม่อย่างน่ารักน่าชังทีเดียว นับแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านเจ้าเมืองจึงมีบัญชาสั่งการห้ามมิให้มีการฆ่าแพะอีกต่อไป ด้วยอานิสงส์แห่งความมีเมตตาจิต ละเว้นชีวิตสัตว์ท่านเจ้าเมืองลู่จึงมีสุขภาพพลามัยที่แข็งแรงและอายุยืนถึง 90 ปี ว่ากันว่า คนสมัยโบราณที่สามารถเข้าใจภาษาและพูดคุยกับสัตว์ได้มีอยู่มากมายไม่ใช่เฉพาะท่าน ไป๋กุยเหนียน เท่านั้น เรื่องราวเช่นนี้ ดูลี้ลับอัศจรรย์ยากจะเชื่อ แต่หากจะคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน คนเราก็คือ หนึ่งในจำนวนสัตว์โลกทั้งหลาย แล้วสัตว์อื่น ๆ อีกมากมายหลายหมื่นหลายแสนชนิด จะไม่มีภาษาพูดคุยกันเลยหรือไร ? ถึงเวลานี้พวกเราจะไม่มีคัมภีร์วิเศษให้เรียน ขอเพียงแต่เอาใจของตัวเองออกมาคิดถึงใจของสัตว์ เช่นนี้.....ความปรารถนา.....ความรู้สึกของสัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้ได้ !
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21/07/2011, 06:24 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                       คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                               เรื่องที่ 34  :    มโนธรรมของวานร

        ในรัชกาลคังซีปีที่ 9 สมัยราชวงศ์ซิง ฤดูหนาวปีนั้นอากาศหนาวที่สุด ขณะที่พ่อค้า 3 คน กำลังเดินทางผ่านเทือกเขาผาโถ่ว ทันใดนั้นเองลิงใหญ่ตัวหนึ่ง ทะเล่อทะล่าออกมาจากไหนไม่รู้มันกางแขนยกขึ้นยกลงราวกับพยายามหน่วงเหนี่ยวพวกเขาไว้ สักครู่เมื่อพ่อค้าทั้งสามหายตกใจ และสังเกตุดูอากัปกิริยาแปลก ๆ ที่เจ้าลิงใหญ่แสดง พ่อค้าคนหนึ่งจึงร้องถามมันว่า "เจ้าจะขออะไรหรือ" ลิงตัวนั้นรีบคุกเข่าก้มศรีษะโขกกับพื้น 2-3 ครั้ง แล้วลุกขึ้นออกเดินนำ เหมือนอยากจะให้ตามไป จนกระทั่งมาถึงกลางเทือกเขา ณ ที่นั้น พวกพ่อค้าก็พบเห็นร่างชายวัยชรา นอนตัวแข็งที่อยู่ใต้หิมะ !  ข้าง ๆ มีตระกร้า 2 ใบกับไม้คานวางอยู่ ภายในตระกร้าบรรจุเครื่องแต่งตัวหน้ากาก อันเป้นของใช้สำหรับการแสดงที่แท้...ร่างชายชราที่พบ เป็นเจ้าของคณะละครลิงเร่ร่อนซึ่งหนาวตายกลางทางนั่นเอง ! ด้วยเหตุที่กลัวจะถูกเข้าใจผิดและอาจต้องคดีความ พ่อค้าทั้งสามตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่ทว่าลิงใหญ่ตัวนั้นก็ยืนขวางพวกเขาไว้ ขณะเีดียวกันมันก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญขอความเห็นใจ พร้อมกับรีบเปิดตระกร้าเอาห่อผ้าซึ่งมีเงินอยู่ราว 3 ตำลึงทองอกมายื่นให้พวกเขา พ่อค้าคนหนึ่งจึงถามว่า "จะให้พวกเรานำไปซื้อโลงมาใส่ร่างเจ้านายของเจ้าใช่ไหม ?" แต่ลิงตัวนั้นกลับส่ายหัวไปมา พ่อค้าจึงถามใหม่ว่า "เจ้ามอบเงินจำนวนนี้ให้ เพื่อขอพวกเราช่วยฝังร่างเจ้านายของเจ้าใช่มั้ย ?" คราวนี้มันรีบผงกหัวพ่อค้าทั้งสามอดสงสารไม่ได้ จึงน่วมแรงช่วยกันขุดหลุม เมื่อขุดได้ลึกพอแล้ว ขณะที่พวกเขากำลังจะยกร่างชายเจ้าของละครลิงลงฝังลิงใหญ่ตัวนั้นหันไปหยิบเอาเสื่อจากตระกร้ามาแล้วฉีกแบ่งครึ่ง แค่นั้นไม่พอ...มันยังดึงเอาปุยนุ่นจากหมอนออกมากองไว้ 2 กองโดยหยิบส่วนหนึ่งยื่นให้พ่อค้าและแสดงท่าทางจะให้ห่อศพเจ้านายของมันเอาไว้กันหนาว ถึงตอนนี้เหล่าพ่อค้าต่างซาบซึ้งตื้นตันใจจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้อยู่ พวกเขาทำตามความประสงค์ของวานรผู้ซื่อสัตย์ ด้วยใบหน้าที่เปียกชุ่มทั้งน้ำตา และเสียงสะอื้นไห้ เมื่อฝังศพเรียบร้อยลง ขณะที่พ่อค้าทั้งสามกำลังปรึกษากันเรื่องที่จะพาเจ้าลิงใหญ่นั้นกลับไปด้วย ครั้นเหลียวกลับไปมองท่ามกลางหิมะโปรยปรายสายน้ำตาพรั่งพรู พวกเขาก็เห็นมันเดินวนอยู่รอบ ๆ หลุมศพ ประหนึ่งอาลัยอาวรณ์ผู้มีพระคุณ วานรใหญ่ร้องไห้ไม่หยุด และแล้วอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด...มันวิ่งเอาหัวพุ่งชนกับโขดหินอย่างแรงจนขาดใจตาย ! ท่ามกลางความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พ่อค้าทั้งสามยืนตัวแข็งอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก กว่าจะรู้ตัวว่ายังมีอีกศพที่ต้องฝัง...เมื่อนั้นจึงได้รู้ว่า ทั้งเสื่อและปุยนุ่นที่เจ้าลิงใหญ่เหลือไว้อีกครึ่งหนึ่งนั้น ก็เพื่อใช้ฝังร่างของมันไว้ให้อยู่ร่วมกับเจ้านายผู้มีพระคุณนั่นเอง ภายหลังเมื่อลงจากเทือกเขา พ่อค้าทั้งสามได้เล่าเรื่องราวที่ตนประสบมาจนเป็นที่ร่ำลือแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง แม่แต่ กัวอวี้คุ่ย กวีแห่งเซียงถัน ก้เคยนำเรื่องนี้มาเขียนเป็นลำนำชื่อ "วานรผู้เลิศล้ำมโนธรรม"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                     คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                             เรื่องที่ 35  :   โชคดีที่พระมาโปรด

        ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ตรงกับรัชกาลเส้าชิง ที่อำเภอชิงอวี่ บ้านของคนแซ่ จาง เป็นครอบครัวที่ประกอบอาชีพฆ่าหมูขาย ! บ้านสกุลจางอญุ่ติดกับวัด ทุก ๆ วันตอนเช้าตรู่พอได้ยินเสียงระฆัง นายจางก็จะตื่นขึ้นมาฆ่าหมูเพื่อเอาเนื้อไปขาย นี่เป็นกิจวัตรที่เขาปฏิบัติมานานแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง พระภิกษุชรารูปหนึ่งในวัดได้ฝันเห็นเด็กชายและหญิงรวม 5 คน ทั้งหมดสวมใส่เสื้อผ้าสีดำได้พากันมาคุกเข่าและขอร้องท่านว่า เช้าตรู่ในวันนี้ขออย่าได้ตีระฆัง เมื่อหลวงจีนชราสะดุ้งตื่นท้องฟ้ายังมืดอยู่ อีกทั้งท่านก็มิได้ใส่ใจเรื่องที่ฝันแต่อย่างใด ครั้นล้มตัวลงจำวัตรต่อ ท่านก็ฝันเห็นเด็ก ๆ ในชุดสีดำทั้ง 5 คนมาคุกเข่ากราบวิงวอนอีกว่า "ขอพระอาจารย์โปรดเมตตาเราด้วยเถิด ! นี่เป็นเรื่องความเป็นความตาย !...ขอท่านได้โปรดรีบสั่งการเถิด !" หลวงจีนผู้ชราต้องสะดุ้งตื่นเป็นครั้งที่สองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ คราวนี้ท่านไม่อาจจะจำวัดต่อได้อีก เหตุเพราะใกล้ฟ้าสางแล้ว ท่านรีบออกไปสั่งพระผู้มีหน้าที่ตีระฆังว่า เช้านี้ให้งดตีระฆังเสียหนึ่งวัน พอรุ่งเช้า...ตะวันขึ้นแล้ว ขณะที่หลวงจีนผู้ชรากำลังกวาดใบไม้ที่กำแพงหน้าวัด นายจางคนฆ่าหมูจึงออกมาถามไถ่ว่า "ทำไมวันนี้ทางวัดไม่เคาะระฆังสวดมนต์หรือไร? กระผมเลยพลอยเสียการเสียงานไปด้วย ! " เมื่อพระผู้ชราเล่าถึงสาเหตุให้ฟัง นายจางจึงพูดอย่างติดตลกว่า "ท่านอาจารย์ฝันเห็นเด็ก 5 คนจึงงดตีระฆัง แม่หมูของกระผมก็เลยออกลูกมาให้ 5 ตัว เพราะเช้านี้กระผมตื่นไม่ทันฆ่า !" เมื่อหลวงจีนผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น จึงยกมือขึ้นพนมและสวดภาวนา "พระอมิตาภพุทธทรงเมตตา พระกวนอิมทรงเมตตา" จากนั้น ท่านได้อธิบายเรื่องของเหตุต้นและผลกรรม พร้อมกับชี้แนะเปลี่ยนให้เขาไปทำอาชีพอื่นก่อนที่จะสายเกินไป คงเป็นเพราะมีรากบุญเดิมที่เคยสร้างสมเอาไว้ พอนายจางได้ฟังหลวงจีนผู้ชราเทศนาชี้แนะแล้ว ก็ได้สติรู้บาปบุญคุณโทษ เขาจึงตัดสินใขเลิกอาชีพฆ่าหมูทันที และหันไปประกอบสัมมาอาชีพแทน เดิมทีนายจางไม่มีลูก แต่หลังจากเลิกฆ่าหมูได้ไม่นาน เขาก็ได้ลูกชายคนหนึ่งไว้เป็นผู้สืบสกุล ลูกชายของนายจางเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดและศึกษาเล่าเรียนได้อย่างก้าวหน้า เมื่อโตขึ้นก็็ประสบผลสำเร็จในชีวิต ในยุคนี้ คนทั่วไปมักคิดว่า คนฆ่าสัตว์ ค้ายาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า ฯลฯ บรดาผู้ทำอาชีพทุจริตมิจฉาเหล่านี้ ทำไมจึงได้ร่ำรวย ! แต่ผู้ศึกษาหลักธรรม กลับกล่าวว่า "ร่ำรวยจากคมมีด ล้วนอยู่ได้ไม่นาน" หนี้สินบาปเคราะห์ เวรกรรมตามสนองจะมีสักกี่คนที่มีโอกาสติดตามดูผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายได้ ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื้อกล่าวว่า "คนทำหอกดาบหรือจะมีเมตตาเทียบคนสร้างโล่ห์ คนทำหอกทำดาบ กลัวว่าคนจะไม่ถูกทำร้าย แต่คนสร้างโล่ห์ กลัวคนจะถูกทำร้าย" ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึง "สัมมาอาชีวะ" คือการเลี้ยงชีพชอบ หมายถึง การทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต เว้นจากมิจฉาชีพ 5 ประการ อันถือเป็นอาชีพที่ต้องห้ามสำหรับชาวพุทธ ได้แก่ 1 สัตถวณิชชา ห้ามค้าขายอาวุธ เครื่องมือเข่นฆ่าประหัตประหาร  2 สัตตวณิชา ห้ามค้าขายมนุษย์ ค้าชีวิตคน ค้าทาส  3 มังสวณิชชา ห้ามค้าขายเนื้อสัตว์ ค้าชีวิตเลือดเนื้อสัตว์ทั้งหลาย  4 มัชชวณิชชา ห้ามค้าน้ำเมา และ สิ่งเสพติดอันมอมเมาทำลายสติ  5 วิสวณิชชา ห้ามค้าขายยาพิษ เครื่องอุปโภคบริโภคเป็นพิษ  (จากปัญจกนิบาต  อังคุตตรนิกาย  สุตันตปิฏก  พระไตรปิฏกเล่มที่ 22 ) ดังนั้น การจะทำมาหาเลี้ยงชีวิตด้วยอาศัยอาชีพอะไร สมควรที่ต้องใคร่ครวญดูให้ดี จะได้ไม่สร้างกรรมก่อเวร ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                                เรื่องที่ 36  :   สวนสวรรค์บนแดนดิน

        ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มารดาของ ตงพอจวีซวี่ ซึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านผู้หญิง อู่หยางจวิน  ท่นเป็นสตรีผู้มีใจเมตตากรุณาสูงยิ่ง ทุก ๆวันท่านคอยดูแลให้ความรักและปกป้องสรรพชีวิตเสมอมา ที่สำคัญท่านผู้หญิงหมั่นอบรมปลูกฝังลูกหลานทุกคนให้มีนิสัยโอบอ้อมอารีและหนีห่างจากการฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์ตลอดจนกำชับบ่าวไพร่คนรับใช้ในบ้าน ไม่ให้ทำอันตรายใด ๆต่อสัตว์ทุกชนิด ณ ลานหน้าบ้านของท่านผู้หญิงมีสวนขนาดใหญ่ที่เขียวชะอุ่มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยหลายหลากชนิด ทั้งประเภทที่มีผลให้รับประทานอย่างดกดื่น และประเภทออกดอกบานสะพรั่งซึ่งส่งกลิ่นหอมสดชื่น กระจายไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ เหตุฉะนี้จึงมีนกนา ๆ ชนิดมาอาศัยทำรังอยู่ตามกิ่งไม้แทบทุกต้น ในฤดูใบไม้ผลิ...แม่นกทั้งหลายจะพากันบินมาที่สวนแห่งนี้เพื่อให้กำเนิดลูกนก ไม่นานลูกนกตัวน้อย ๆ ก็ส่งเสียงร้องจิ๊บ ๆ จ๊าบ ๆ อยู่ในรังทุกตังต่างอ้าปากน้อย ๆ ไว้คอยแม่นกที่คาบอาหารมาป้อนให้ ยามใดที่คนในบ้าน...ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่เดินมา ก็มักจะก้มลงมองดูลูกนกในรังซึ่งอยู่ต่ำมาก โดยที่พวกเขาไม่แตะต้องหรือรบกวนมัน ส่วนพวกนกก็ไม่ตกใจกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งนกหงส์ตัวใหญ่ ที่มักจะบินมาพำนักอยู่บ่อย ๆ เมื่อเห็นคนเดินมาใกล้ก็ไม่หลบหนี ทั้งคนเอย นกเอย ปลา เต่า กระทั่งหนอนตัวกระจ่อยร่อยบนต้นไม้ใบหญ้า ยามนั้นสายลมโบกโบยพัดพากลีบดอกไม้ ล่องลอยโชยกลิ่นหอมกระจาย บรรยายกาสอันเปี่ยมไปด้วยความสุขของสรรพชีวิตเช่นนี้ สวนในบ้านของท่านผู้หญิง อู่หยางจวินจึงเป็นประดุจ "สวรรค์บนแดนดิน" ตงพอจวีซื่อ บุตรชายของท่านผู้หญิง ชั่วชีวิตของเขาชอบทานแต่อาหารเจ และ รักการปล่อยสัตว์ นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความรักและเมตตาที่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้เป็นแม่โดยแท้ เขาเคยกล่าวว่า "ในบ้านเรือนของผู้มีเมตตา นกกระจอกจะสร้างรังอยู่ใกล้คน ด้วยหวังให้คนช่วยปกป้อง จะได้ปลอดภัยจากงูและสัตว์ร้าย แต่ที่ใด นกกระจอกสร้างรังไว้สูงและไกลลิบ นั่นก็เพราะไม่อยากให้คนเข้าใกล้ ด้วยว่า คนนั้นโหดเหี้ยมกว่างู และ สัตว์ร้ายใด ๆ เสียอีก"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
คุณธรรมบรรพชน : บทสรุป
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: 21/07/2011, 08:51 »
                     คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                              บทสรุป

        พระคัมภีร์ในพุทธศาสนากล่าวว่า เมื่อครั้งที่องค์สมด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมศาสดา ประทับ ณ.เวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เช้าวันหนึ่ง พระองค์ได้เสด็จสู่กรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต ได้ทอดพระเนตรเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ ลิงคาลกะ อาบน้ำทั้งเสื้อผ้าจนเปียก กำลังยกมือไหว้ทิศทางต่าง ๆ อยู่ พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า ทำอะไร เขาตอบว่า ก่อนที่บิดาของตนจะถึงแก่กรรม ได้สั่งไว้ว่า ให้ไหว้ทิศทั้งหลาย  พระองค์จึงตรัสว่า "ในพระธรรมวินัยของพุทธศาสนาก็สอนให้ไหว้ทิศด้วย" หากแต่ไม่ได้มีลักษณะอย่างที่ ลิงคาลกะ ทำอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงธรรม เรื่อง ทิศหก  ว่าเปรียบเสมอด้วยบุคคล  6 ประเภทดังต่อไปนี้

1. ทิศเบื้องหน้า หรือ ทิศตะวันออก  ได้แก่ มารดา บิดา เพราะเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่แก่เรา มาเป็นอันดับแรก
2. ทิศเบื้องขวา หรือ ทิศใต้ ได้แก่ ครูอาจารย์ เพราะเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เป้นผู้ควรแก่การบูชา
3. ทิศเบื้องหลัง หรือ ทิศตะวันตก  ได้แก่ บุตรภรรยา เพราะเป็นผู้ติดตามให้กำลังสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
4. ทิศเบื้องซ้าย หรือ ทิศเหนือ ได้แก่  มิตรสหาย  เพราะเป็นผู้ช่วยให้ข้ามพ้นอุปสรรค และเป้นกำลังสนับสนุนให้บรรลุความสำเร็จ
5 . ทิศเบื้องล่าง  ได้แก่ คนรับใช้  เพราะเป็นผู้ช่วยทำงานต่าง ๆ  เสมือนเป็นฐานกำลังสำรอง
6. ทิศเบื้องบน  ได้แก่ บรรพชิต  นักบวช  สมณะพราหมณ์ เพราะเป็นผู้สูงด้วยคุณธรรม

        ครั้นแล้วพระองค์ทรงแสดง ข้อปฏิบัติต่อบุคคลทั้ง 6 ประเถท อันเป็นรากฐานของสังคม ได้แก่ หลักปฏิบัติของมารดา  บิดากับบุตรธิดา  ครูอาจารย์กับศิษย์สามีกับภรรยา  มิตรกับมิตร  นายจ้างกับลูกจ้าง  และบรรพชิตนักบวชกับฆราวาสผู้ครองเรือน  จะเห็นได้ว่า หลักธรรมที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาประทานแก่ชาวโลก เพื่อผู้ปฏิบัติจะได้ก้าวสู่ความหลุดพ้นนั้น พระองค์มิได้ทรงละเลยหรือข้ามขั้นตอน หากแต่ทรงแสดงไว้อย่างงดงาม นับแต่เบื้องบน สู่ท่ามกลาง ตลอดถึงเบื้องปลายอย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์ยิ่ง
                                                                         จบเล่ม

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
Re: คุณธรรมบรรพชน : คำนำ
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: 21/07/2011, 16:52 »
นักธรรมเว็บบอร์ดยินดีครับ ข้อมูลไหนที่มีประโยชน์ สามารนำไปใช้ได้เลยค๊าปปผม

:)

Tags: