collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณธรรมบรรพชน : คำนำ  (อ่าน 25769 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คุณธรรมบรรพชน  :  คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม             

                   คุณธรรมบรรพชน    :   เรื่องที่ 16    ไม่น่าให้เด็กต้องสอน

        ในสมัยราชวงศ์ฮั่น บัณฑิตผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งนามว่า "เฉินสือ" ผู้คนทั้งหลายให้ฉายาท่านว่า "เหวินฝั้นเซียนเซิง"  ด้วยความเป็นผู้ยึดมั่นในสัจจะ และมีมโนธรรมสูงส่ง  หากที่ใดมีเหตุทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน ผู้คนก็มักจะเชิญท่านมาเป็นผู้ตัดสิน เวลานั้นคู่กรณีทั้งหลาย เมื่อรู้เข้าก็ต่างพูดว่า " ควรรีบไปรับโทษเสียเอง ดีกว่ารอให้ท่านเหวินฝั้นมาชี้ผิด" นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเคารพยกย่อง ที่ผู้คนมีต่อท่านอย่างมาก  คำกล่าวที่ว่า " หงส์ย่อมให้กำเนิดลูกหงส์" เปรียบได้กับ เหยียนฟัง บุตรชายของท่านเหวินฝั้น มีวันหนึ่งท่านเหวินฝั้นได้นัดหมายกับเพื่อนไว้ว่าจะเดินทางไปทำธุระด้วยกัน แต่พอถึงวันนั้น และเลยเวลานัดไปแล้ว เพื่อนก็ยังไม่มา ท่านจึงออกเดินทางไปก่อน  ขณะนั้นเด็กชายเหยียนฟัง ยังอายุ 7 ขวบ กำลังเล่นอยู่หน้าบ้าน เมื่อเพื่อนของท่านเหวินฝั้นมาถึง จึงถามว่า "ท่านเหวินฝั้นอยู่บ้านหรือไม่" เด็กชายเหยียนฟังตอบว่า "ก็รอท่านอยู่ตั้งนานไม่เห็นมา... จึงออกเดินทางไปแล้ว" เพื่อนคนนั้นโกรธมาก และบ่นว่า "มีอย่างที่ไหน ! นัดกันไว้แล้วกลับชิงออกไปเสียก่อน...คนอะไรใช้ไม่ได้ !"  เด็กน้อยเหยียนฟังได้ยินเช่นนั้น จึงแย้งว่า "เวลาที่คุณนัดกับท่านพ่อไว้คือ เที่ยงตรง  แต่เมื่อเลยเที่ยงไปแล้วตั้งนานคุณไม่มา ก็คือ ขาดสัจจะ  และการด่าพ่อต่อหน้าลูกของเขา เรียกว่า ไร้จริยะ" เพื่อนผู้นั้นถึงกับสะดุ้ง เพราะว่าตนผิด จึงกล่าวขออภัย แล้วรีบจากไปด้วยความละอาย 

     การไม่รักษาเวลา หรือไม่ตรงต่อเวลา เป็นเรื่องของคนที่ขาดความรับผิดชอบ หากไม่รักษาคำพูดแล้วยังต่อว่าคนอื่น คงต้องนำคำตอบของเด็กน้อยเหยียนฟังมาเตือนสติ เพราะคำตำหนิที่เด็ดขาด และ เที่ยงธรรมเพียงไม่กี่คำ ทำให้เห็นชัดว่า เด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ได้ดูกันที่อายุเท่านั้น แต่ดูจากการรู้จักคิดหรือไม่ต่างหากหากอายุยังน้อยแต่คิดเป็น เข้าใจหลักเหตุผล ก็เรียกว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ ในทางกลับกัน ถ้าผู้ใหญ่คิดไม่เป็น ไม่เข้าใจหลักเหตุผล ก็เรียกว่า "โตแต่ตัว" ความคิดความอ่านสู้เด็กยังไม่ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 6/07/2554, 09:07 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คุณธรรมบรรพชน  :  คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                คุณธรรมบรรพชน    :   เรื่องที่ 17    มารยาทส่อธาตุแท้ภูมิเดิม

        ในสมัยตงฮั่น มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งชื่อ กัวหลินจง เป้นผู้มีอุปนิสัยชอบช่วยเหลือและส่งเสริมคนดีมีความสามารถ วันหนึ่ง ขณะอยู่ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวได้เกิดฝนตกหนัก กัวหลินจงจึงรีบเดินเข้าไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ สักครู่มีกลุ่มชายชาวนา 3 - 4 คน ซึ่งกำลังทำนาอยู่ ต่างฉวยเครื่องไม้เครื่องมือของตน พากันวิ่งหนีฝนมาหลบที่ใต้ต้นไม้ด้วย ด้วยความที่พุ่มไม้มีขนาดไม่กว้างนัก ทำให้พื้นที่จะหลบฝนมีอยู่จำกัด แต่บรรดาชายชาวนา วางหมวก อย่างระเกะระกะมิหนำซ้ำเมื่อทรุดตัวนั่งที่โคนต้นไม้ พวกเขายังกางขา เหยียดเท้า โดยไม่คำนึงถึงกิริยามารยาทอันควรเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าในบรรดาชาวนาเหล่านั้น มีอยู่คนหนึ่งอายุราว 40 ปี ต่างไปจากคนอื่น ๆ โดยที่เขาพยายามเก็บแขน ขา ศอก และนั่งอยู่ในท่วงท่าที่สง่างาม เมื่อกัวหลินจงสังเกตุดูก็รู้สึกประหลาดใจ จึงได้เอ่ยปากขอถามชื่อแซ่ชาวนาผู้นี้ เขาบอกว่าแซ่ "เหมา" ชื่อว่า "หยง" อาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก  เมื่อสนทนากันได้สักพัก พอฝนหยุดตกฟ้าก้เริ่มมืดลง กัวหลินจง เห็นว่าคงเดินทางลำบาก จึงขอค้างคืนที่บ้านของเหมาหยง เขาก็ตอบตกลง เมื่อไปถึงเหมาหยงก็ได้จัดเตียงที่พักให้อย่างเรียบร้อย  เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อกัวหลินจงตื่นขึ้นมา ก็เห็นเหมาหยงกำลังจัดเตรียมอาหารเลิศรสอย่างดีเรียงลงในถาด กัวหลินจงคาดคะเนว่า ต้องเป็นอาหารสำหรับแขกแน่นอน  สักครู่.....เมื่อเหมาหยงเจ้าบ้านเชิญแขกมาร่วมรับประทานอาหารเช้าที่โต๊ะ กัวหลินจงกลับพบว่าอาหารสำหรับเขาทั้งสอง มีเพียงผัดผักธรรมดา ๆ กับน้ำซุบคนละถ้วยเท่านั้น  ทั้งนี้เพราะ แท้ที่จริงแล้วอาหารเลิศรสชั้นดีนั้น เหมาหยง จัดไว้สำหรับแม่ผู้ชราของเขาต่างหาก ขณะนั้น กัวหลินจงรู้สึกเคารพยกย่องในความกตัญญูของเหมาหยงเป็นอย่างยิ่ง ถึงรีบคุกเข่าคารวะเขาพร้อมกับกล่าวว่า "ท่านนั้นเป็นดั่งเช่นปราชญ์เมธีจริง ๆ " เหมาหยงรีบประคองแขกให้ลุกขึ้น และกล่าวอย่างถ่อมตนว่า มิกล้ารับ ทั้งสองได้พูดคุยกันอย่างสนิทสนมเป็นมิตรไมตรี เมื่อถึงเวลาจะกลับ... กัวหลินจงจึงได้ย้ำเตือนให้เหมาหยงมุ่งมั่นเล่าเรียนศึกษาหาความรู้ หลังจากที่ลาจากกันไปแล้ว  กัวหลินจงเองไม่ว่าจะพบปะสนทนากับเหล่านักปราชญ์สุภาพชนที่ไหน เขาก็มักจะกล่าวยกย่องสหายกัลยาณชนชาวนาของเขาเสมอ ส่วนเหมาหยง...ต่อมาได้กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งด้วยเช่นกัน
        มีสุภาษิตไทยกล่าวว่า  "สำเนียงส่อภาษา  กิริยาส่อสกุล"  หมายถึง น้ำเสียง สำเนียง ย่อมบ่งบอกได้ว่า เป็นคนกำเนิดจากถิ่นใด  ส่วนกิริยาท่าทาง ย่อมจะบอกถึงว่ามาจาก ชาติตระกูลที่ "ต่ำ" หรือ "สูง" เกิดในตระกูลสูง เรียกว่า "ผู้ดี" เทียบได้กับหงส์  เกิดในตระกูลต่ำ  เรียกว่า "ไพร่" เทียบได้กับอีกา
        "ผู้ดี"  หรือ "ไพร่ "  วัดจากอะไรหรือ ?   ความหมายที่แท้จริงของ "ผู้ดี" คือ บุคคลที่ดำเนินชีวิตอยู่ โดยยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรมอันดีงาม  ความหมายที่แท้จริงของ "ตระกูลสูง" ก็คือ เกิดมาในครอบครัวที่บุพพการี พ่อแม่ ให้อบรมสั่งสอน หล่อหลอมจนเป็นคนดี มีความเสียสละ บำเพ็ญตนเพื่อส่วนรวม บุคคลเหล่านี้จึงเทียบได้กับหงส์ 
        คำว่า "ไพร่"  ที่แท้ ใช่ว่าจะใช้เรียกคนที่ยากจน คนรับใช้ หรือคนฐานะต่ำต้อยด้อยความรู้ก็หาไม่ "ไพร่" ที่ใช้เป็นคำด่า หมายถึง คนที่มีความประพฤติต่ำช้าเลวทราม ไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม หมกหมุ่นมัวเมาอยู่กับอบายมุข ทั้งดื่มเหล้า เสพยา ลักขโมย ทำลายทรัพย์สินสิ่งของสาธารณะ ฯลฯ วัน ๆ ทำแต่เรื่องเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวและสังคม ทำตัวไร้ค่าเหมือนเศษขยะที่ใช้การอะไรไม่ได้
        "ตระกูลต่ำ" มิใช่ ครอบครัวที่ยากไร้  หรือคนบ้านป่า บ้านดอย ที่ห่างไกลความเจริญ  ตระกูลต่ำ หมายถึง ครอบครัวที่บุพพการีพ่อแม่ ปล่อยปละละเลยหน้าที่่ ไม่เคยอบรมสั่งสอนให้ลูกหลานตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม ศีลธรรม หรือไม่ก็สอนแต่สิ่งที่ผิด ๆ  ทำให้ลูกหลานโตขึ้นมาพร้อมกับความคิดที่ผิด ๆ จนสร้างความหายนะ ให้แก่วงศ์ตระกูล ถ้าหนักมาก ๆ ก็ถึงขั้น ล้างผลาญชาติบ้านเมืองให้ย่อยยับ !
        ผู้ดีที่มั่งคั่งร่ำรวยด้วยความสุจริตธรรม มักไม่แสดงตนโอ้อวด กินใช้ด้วยความรู้จักประมาณ แต่งกายด้วยความพอดี ไม่เกินงาม กิริยาอ่อนน้อม วาจาไพเราะ มารยาทงดงาม ถ่อมตนแม้แต่ผู้ที่ด้อยกว่า  ส่วนผู้ดีที่ยากจน แม้ไม่มากด้วยวัตถุสิ่งของ แต่ก็จะดำเนินชีวิตอย่างสมถะเรียบง่าย ไม่ตีโพยตีพาย ขยันทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างเงียบ ๆ เสื้อผ้าแม้จะเก่า แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสะอาด ดูเจริญตาแก่ผู้พบเห็น  ไม่ว่าภายนอกจะร่ำรวยหรือยากจน แต่ภายในมั่นคงคุณธรรม บริบูรณ์ด้วยความดีก็ยังคงเป็น "ผู้ดีแท้"  แต่ทุกวันนี้ คนที่ร่ำรวยด้วยการทุจริต ประพฤติมิชอบ กอบโกย โกงกิน เอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงรังแกผู้อื่น ฯลฯ เมื่อได้ครอบครองทรัพย์สินเงินทองอย่างมากมาย มักทำตัว โอ้อวด กินใช้อย่างฟุ่มเฟือย ยกตนข่มผู้อื่น ไม่รู้จักคำว่า "พอดี" แต่งกายประดับประดาจนเกินงาม ดูราวกับคนวิกลจริต กิริยาวาจาก้าวร้าว กระโชกโฮกฮาก หยาบคายไร้มารยาท มองแล้วอัปมงคลแก่สายตา สุภาพชนไม่อยากเข้าใกล้ คนมีปัญญาไม่อยากพบเห็น บุคคลเหล่านี้คือ "ผู้ดีจอมปลอม" มิใช่ของแท้  ในยุคนี้จึงเข้าเกณฑ์วาระตามพุทธทำนาย ที่ว่า "กระเบื้องหนักจะเฟื่องฟูลอย   น้ำเต้าน้อยจะถอยจม !" อันหมายถึง ผู้คนพากันยกย่องเชิดชูคนชั่วช้าสามานย์ เรื่องเลวทรามผิดศีลธรรมผู้คนนิยมชมชอบ ป่าวประกาศชักชวนให้ทำตามกัน  ในขณะที่คนดี ได้รับการสบประมาท ดูถูกเหยียดหยาม  อีกทั้งเรื่องที่ถูกต้องดีงาม จรรโลงศีลธรรม ถูกมองว่าล้าหลัง  ถูกทับถมไม่ให้เผยแผ่  ดังนั้น ผู้ดีทุกวันนี้ จึงต้อง "เดินตอก"  ส่วนพวก "ขี้คอก" คนที่น่าติดคุกติดตะราง กลับออกมาเดินเฉิดฉาย ๙ุหน้าชูตาอยู่ "บนถนน"  เรื่องเช่นนี้ บัณฑิตผู้มีปัญญา จึงต้องรู้จักแยกแยะแจกแจง ให้ลูกหลานเข้าใจให้ถูกต้อง จะได้ไม่โตขึ้นพร้อม ๆ กับความคิดที่ไม่อาจแยกแยะผิดชอบชั่วดี ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                             เรื่องที่ 18  :   ภาพวาดสะท้านใจ

        ในรัชสมัยของกษัตริย์ เสินจง แห่งราชวงศ์ซ่ง เป็นช่วงที่มหาอำมาตย์ ขวงอันสือ กุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินและบรรดาบริวารรอบข้าง ก็ล้วนแต่เป็นคนถ่อยไร้คุณธรรม จากการที่เขาไม่เข้าถึงแก่นแท้ของการปกครอง มหาอำมาตย์ขวงอันสือ ได้วางนโยบายโดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องหาเงินเข้าคลังแผ่นดินให้ได้มากที่สุด เหตุฉะนี้ เขาจึงออกกฏหมายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กฏหมายเก็บภาษี ข้าว จากจำนวนต้นกล้าอ่อน" ด้วยกฏหมายดังกล่าวทำให้มีเสียงวิพากวิจารณ์เริ่มจากทั้งข้าราชการและประชาชขทั่วไป หนักที่สุดคือ เสียงสาปแช่งก่นด่าของราษฏรชาวนาที่ปกติมีชีวิตอยู่อย่างอัตคัดขัดสนอยู่แล้ว ทว่าเวลานั้น มีข้าราชการผู้น้อยคนหนึ่งชื่อ "เจิ้งเสีย" เคยได้รับการส่งเสริมจากมหาอำมาตย์ขวงอันสือในหน้าที่การงาน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจเห็นด้วยกับกฏหมายใหม่ที่ประกาศใช้ เมื่อขวงอันสือสอบถามเจิ้งเสียว่า "เจ้าอยู่ระดับล่าง ได้ยินข่าวคราวอะไรบ้างไหม"? เขาตอบว่า  "กฏหมายภาษีต้นกล้าอ่อน ที่ข้าราชการฝ่ายปกครอง นำมาใช้ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างมาก ผู้น้อยกลัวแทนท่านจริง ๆ " ขวงอันสือไม่รู้สึกอะไรกับคำทักท้วง สีหน้าของเขาเฉยเมย ขณะเดินผ่านจากไป ราวกับผีซ้ำด้ามพลอย ทุกข์หนึ่งยังไม่ทันหาย ทุกข์ร้ายก็มาเพิ่ม เพราะระหว่างนั้นทางชายแดนเกิดสงคราม บ้านเมืองวุ่นวายมิหนำซ้ำอากาศเกิดวิปริตแปรปรวน ฝนฟ้าไม่ตก เกิดความแห้งแล้งครอบคลุมไปทั่ว ! เคราะห์ภัยใหญ่หลวงเช่นนี้ แม้ประชาชนที่เคยมั่งคั่งร่ำรวย ยังพลิกผันกลับยากจนค่นแค้น ถึงกัลต้องออกขุดคุ้ยหารากไม้ เปลือกไม้ มาประทังชีวิต เช่นนี้แล้วจะมีอะไรเหลือให้ไปชำระภาษีต้นกล้าอ่อนได้ แต่ทางการเวลานั้นกล่าวได้ว่า เป็นยุคคนชั่วเรืองอำนาจ ไม่เคยใส่ใจความทุกข์สุข ความเป็นความตายของราษฏร ซ้ำยังจ้องติดตามทวงหนี้ภาษีอย่างไม่ลดลาวาศอก รายไหนไม่มีเงินชำระก็จะถูกบังคับข่มขู่ หนัก ๆ เข้าถึงกับนำตัวไปกักขังทรมาน แต่บางรายพยายามดิ้นรนขายบ้านขายที่ดิน กระทั่งขายลูกของตนเอง เพื่อเอาเงินไปชำระหนี้ภาษีต่อทางการ เพราะกลัวต้องโทษ  สภาพการชีวิตของประชาชนเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับ ต้องเฉือนเนื้อไปปิดแผล เมื่อเจิ้งเสียได้พบเห็นความทุกข์ยากของพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเล็กเด็กแดง คนเฒ่าชรา ฯลฯ มันช่างเจ็บปวดรวดร้าวใจ จนเขาไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ ได้แต่ก้มหน้ารำพึงว่า "ผู้มีอำนาจสิ้นคิด ! บริหารผิดพลาด ทางการมั่งคั่ง แต่ราษฏรตาดำ ๆ ต้องทุกข์สาหัส บ้านเมืองจะดีไปได้อย่างไร ?"   ดังนั้น เมื่อกลับถึงที่พัก ขณะเก็บตัวอยู่เพียงลำพัง เจิ้งเสียหยิบพู่กันขึ้นมาวาดภาพเหตุการณ์อันหฤโหดสุดแสนลำเค็ญที่ได้พบเห็นมาด้วยตาของตน ออกมาเป็นภาพบนผ้าฝืนหนึ่ง พร้อมกับเขียนฏีกาขึ้นกราบบังคมทูลถวายว่า "วิบัติภัยทุกข์เข็ญ ความอดอยากแร้นแค้น อันปรากฏอยุ่ในภาพ เกิดจากการใช้อำนาจในทางที่ผิด มาตรแม้นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ยกเลิกกฏหมายใหม่แล้ว หากฝนยังไม่ตกภายใน 10 วัน ข้าพระพุทธเจ้าจะขอตัดศรีษะถวายพระเจ้าข้า ฯ !" เมื่อฮ่องเต้ได้ทรงทอดพระเนตรภาพวาดของเจิ้งเสีย ก็ทรงทอดถอนพระทัย พระพักตร์เศร้ารันทด พร้อมกับทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้า ให้ยกเลิกกฏหมายต้นกล้าอ่อน และถอกถอนมหาอำมาตย์ขวงอันสือ  ออกจากตำแหน่งทันที ! ครั้นเหล่าอาณาประชาราษฏร์ ได้อ่านประกาศพระราชโองการ ทั่วแผ่นดินก็กึกก้องไปด้วยเสียงแซ่ซ้องสาธุการ และในวันเดียวกันนั้นเอง ฝนก็โปรยปรายประพรหมลงทั่วท้องนา ยังผลให้ต้นกล้าอ่อนที่เหี่ยวเฉากลับชุ่มชื่นฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                            เรื่องที่ 19  :  กฏระเบียบบ้านสกุลหลิว

        ในสมัยราชวงศ์ถัง มีเจ้าของบ้านสกุลหลิวท่านหนึ่งชื่อ หลิวกงซื่อ ท่านหลิวเป็นหัวหน้าครอบครัว ผู้ซึ่งวางกฏระเบียบให้สมาชิกทุกคนในบ้านยึดถือปฏิบัติได้อย่างยอดเยี่ยม เริ่มด้วย.....ตื่นนอนแต่เช้าตรู่ เด็ก ๆ และผู้น้อยทั้งหลายจะต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สุภาพเรียบร้อย แล้วเข้าไปพร้อมกันที่ห้องโถงกลางบ้าน เพื่อกล่าวคำทักทายต่อผู้มีอาวุโสมากกว่า จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปปฏิบัติภาระกิจหน้าที่ของตน ในยามค่ำคืน หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ท่านหลิวจะนำคัมภีร์ว่าด้วยหลักธรรมคำสอน ออกมาอ่านด้วยตนเองทีละบท ๆ พร้อมกับชี้แนะอบรมเด็ก ๆ ให้เกิดความเข้าใจและฝึกฝนปฏิบัติตาม มีเพียงเท่านี้ ท่านยังเน้นหลักธรรมในการดำเนินชีวิต อาทิ จะปกครองครอบครัวอย่างไร จะทำงานร่วมกับหมู่คณะอย่างไร ตลอดจนจะบำเพ็ญให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างไร ? บางโอกาส ท่านหลิวจะให้ทุกคนทำงานศิลปะ วาดภาพ เล่นดนตรี ดีดพิณ และร้องเพลงร่วมกัน และก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน เด็ก ๆ และผู้น้อยจะต้องไปที่ห้องโถงใหญ่กลางบ้าน เพื่อกล่าวเชิญให้อาวุโสพักผ่อน พร้อมกับอวยพรให้ท่านหลับอย่างเป็นสุข  สำหรับอาหารการกิน ท่านหลิวกำชับให้ลูก ๆ และสมาชิกในครัวเรือนทุกคน บริโภคผักผลไม้ให้มาก ท่านหลิวเล่าว่า "สมัยก่อน.....ตอนที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ถวายงานอดีตฮ่องเต้ที่เมืองตันอยางเวลานั้นฉันยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน พระองค์จึงทรงโปรดไม่ให้ฉันกินอาหารพวกเนื้อสัตว์ ทรงรับสั่งว่ามันจะทำให้ฉันเห็นแก่กินและติดรสชาด จนเกียจคร้านและไม่มีความมุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย ฉะนั้นให้พวกเธออาศัยช่วงเวลาในขณะนี้ ฝึกฝนตนเองให้มีความพร้อมสำหรับเผชิญชีวิตในวันข้างหน้า"ต่อมาไม่นาน เกิดทุพภิกภัยใหญ่ พืชพรรณธัญญาหารขาดแคลน ผู้คนที่ยากจนต้องหิวโหยจนล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ท่านหลิวกำชับให้ในบ้านพยายามกินใช้อย่างประหยัด ดังนั้น  ทุกคนจึงกินข้าวเพียงวันละมื้อ แม้กระนั้นยังมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงดีทุกประการ ท่านหลิวได้บอกแก่สมาชิกทุกคนว่า "ปีนี้ประสบภัยแล้งจัด ถึงแม้ครอบครัวของเราจะไม่ค่อยกระทบกระเทือนมากนัก แต่ก็ควรจะประหยัด เพื่อจะได้แบ่งปันไปช่วยเหลือคนยากจนที่กำลังจะอดตาย หากวันนี้มีเพียงตัวเราที่ได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ ก็เท่ากับเป็นคนแล้งน้ำใจ ไร้เมตตานั่นเอง" ผลของการปฏิบัติตามกฏระเบียบของบ้าน และยึดถือคำสั่งสอนของหัวหน้าครอบครัวด้วยความเคารพและเคร่งครัด ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทุกคนในบ้านสกุลหลิวผ่านพ้นเภทภัย
        ต่อมา จ่งอิ่ง บุตรชาย และผู่กุย ปี้ พี่ หลานทั้ง 4 ของท่านหลิวกงซื่อ ล้วนมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองสืบต่อลงมาอีกหลายสมัย รากฐานของบ้านเมืองคือ ครอบครัว ครอบครัวดี...สังคมก็ต้องดีตาม สังคมดี...บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวจะดีหรือไม่ดี จะรุ่งเรืองหรือตกต่ำ ก็ขึ้นอยู่กับสมาชิกในครอบครัวนั้น ๆ หากต้องการให้ลูกหลานเป็นคนดี หัวหน้าครอบครัวก็ต้องมีกฏระเบียบแบบแผนที่ดีสำหรับบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตนเองจะต้องปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างเสียก่อน ประเทศจีนในสมัยโบราณ ได้ให้ความสำคัญต่อการอบรมสั่งสอนสมาชิกในครอบครัวเป็นอย่างมาก ชาวจีนเชื่อว่าการอบรมสั่งสอนลูกหลานที่ดีภายในบ้านเสียแต่แรก จะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสังคม ต่อวัฒนธรรม ต่อประเพณี และต่อประเทศชาติโดยรวม ยุคสมัยนี้ พ่อแม่คิดแต่เพียงส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้วก็หมดหน้าที่อบรมสั่งสอน แท้ที่จริงโรงเรียนให้ได้แต่เพียงความรู้และฝึกความสามารถเท่านั้น สำหรับหลักคุณธรรม จริยธรรม ลูกหลานต้องได้รับการปลูกฝังเพาะบ่มตั้งแต่ในบ้าน หากรอจนลูกโต เข้าโรงเรียนค่อยเริ่มสอน มันก็สายเสียแล้ว ! นี่คือ ต้นตอปัญหาเด็กขาดคุณธรรมไร้จริยธรรมในปัจจุบัน ผลก็คือ ในอนาคตสังคมประเทศชาติจะไร้ซึ่งศีลธรรมจรรยา มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจ และไม่อาจนั่งดูดาย !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                          เรื่องที่ 20  :  อดออมเพื่อเผื่อแผ่

        ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีขุนนางท่านหนึ่งชื่อ ฝู่เฉิน ดำรงตำแหน่งประจำอำเภอผิงเอวี้ยน ท่านเป็นขุนนางที่สุจริต เที่ยงธรรมและมีเมตตายิ่งนัก มีอยู่ช่วงหนึ่งเกิดศึกชิงราชบัลลังก์ บ้านเมืองโกลาหลวุ่นวาย มิหนำซ้ำถัยแล้งยังคุกคาม บรรดาประชาราษฏร์พลัดถิ่นอาศัย ต้องระเหเร่ร่อนไปคนละทิศละทาง เมื่อขุนนางฝู่เฉินกลับจากการไปดูแแลให้ความช่วยเหลือราษฏรที่ประสบความเดือดร้อน ภรรยาของท่านได้ยกสำรับอาหารมาจัดวางตามปกติ แม้กระทั่งเหนื่อยและหิว แต่พอหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้ว ท่านกลับทอดสายตามองดูอาหารบนโต๊ะอยู่เป็นนาน ครั้นรับประทานอาหารไปได้สักคำสองคำ ก็วางตะเกียบและชามข้าวลงราวกับต้องฝืนกิน "ท่านพี่.....ท่านมีเรื่องอะไรในใจรึ ถึงได้ดูระทมทุกข์เช่นนี้?" ท่านฝู่เฉินถอนหายใจยาวแล้วตอบว่า "ยามนี้เหล่าราษฏรที่อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ ต้องอดอยากหิวโหย ถึงอาหารในบ้านเราจะไม่ได้ล้ำเลิศ แต่พี่ก็ยังรู้สึกว่า เราช่างอยู่ดีกินดีเสียเหลือเกิน พี่รู้สึกละอายใจจริง ๆ จึงไม่อาจฝืนกินให้อิ่มได้"  ภรรยาของท่านฟังแล้วก็พลอยรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในบ้านของท่านขุนนางฝู่เฉิน ทุกคนล้วนรับประทานอาหารแต่ข้าวต้มเมล็ดหยาบและกับข้าวธรรมดา ๆ เพียงอย่างเดียว อีกทั้งเงินเดือนข้าราชการที่ได้ ขุนนางฝู่เฉินเก็บไว้เพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน จำนวนที่เหลือส่วนใหญ่ท่านจะนำไปช่วยเหลือราษฏรที่กำลังทุกข์ยากหิวโหยจนหมด ต่อมาเมื่อสถานการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไป พระเจ้ากวงอู่ตี้เสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงพระราชทานโปรดเกล้าให้ท่านดำรงตำแหน่ง "ซือกู" อันเป็นตำแหน่งขุนนางชั้นสูง และหลังจากท่านที่ลาจากโลกนี้ไปแล้ว บุตรชายก็ได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อ อีกทั้งลูกหลานทุกรุ่นล้วนสมบูรณ์พูนสุขและสูงส่งด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ   คนที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยทั้งหลาย ในยามที่เกิดภัยพิบัติ ข้าวยากหมากแพง ก็มักจะไม่ค่อยเดือดร้อนกระทบกระเทือน ทั้งนี้ เพราะสามารถเก็บกักตุนเอาไว้ได้ก่อน แต่จะมีใครคิดบ้างว่า "เวลาทุกข์ยาก คือ เวลาทดสอบคุณธรรม" ช่วงเวลาที่วิกฤติสุด คือ
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบุญวาสนาจะยืดยาว หรือจะสูญสิ้นไป ! ท่านฝู่เฉิน ขุนนางใจบุญแห่งผิงเอวี้ยน ท่านไม่อาจฝืนใจกินอิ่มเพียงลำพัง สู้อดออมเพื่อนำไปช่วยคนทุกข์ยาก จิตใจเช่นนี้ ก็คือ "ยินดีทุกข์เคียงคู่กับปวงชน มิอาจทนเสพสุขแต่เพียงผู้เดียว" แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นบุญวาสนาเพิ่มพูน อีกทั้งอานิสงส์ส่งถึงลูกหลาน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                             เรื่องที่ 21  :  ริเริ่มเพื่อรวมพลัง

        ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ข้าราชการชั้นผู้น้อยชื่อ เฉินเหยาลั่ว  ประจำอยู่ที่อำเภอโซ่วโจว มีอยู่ปีหนึ่งแห้งแล้งหนัก แต่ปริมาณข้าวที่แต่ละครัวเรือนสำรองไว้ยังมีอยู่มาก ช่วงเวลาเช่นนี้พิสูจน์ใจคนได้ดี เพราะจะมีทั้งพวกฉกฉวยโอกาสกักตุนสินค้า เพื่อโกยกำไร และผู้ใจบุญก้าวออกมาเสียสละเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป...สถานการณ์วิบัติภัยยิ่งเลวร้ายลง บรรดาคนหนุ่มที่มีกำลังวังชา ก็ตัดสินใจทิ้งบ้านเกิด ยอมเสี่ยงภัยหวังไปตายเอาดาบหน้า แต่สำหรับผู้เฒ่าชราก็จำเป็นต้องปล่อยชีวิตไว้กับโชคชะตา ถึงขั้นนี้แล้วคนใจบุญสุนทานซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อย กลับยังไม่ปรากฏโฉมออกมา เพี่ะต่างจด ๆ จ้อง ๆ รอดูว่าใครจะเป็นคนเริ่มก่อน  เมื่อเฉินเหยาลั่ว เห็นสภาพการณ์เช่นนี้แล้ว จึงเตรียมข้าวที่ตนเก็บเอาไว้ออกมาต้มแจกจ่ายให้แก่ราษฎรผู้ประสบภัย ชาวบ้านที่อดอยากหิวโหย คนผลัดถิ่นซัดเซพเนจร พอได้กินข้าวก็มีแรงกลับบ้านไปอย่างอิ่มท้อง ดังนั้นเสียงแซ่ซ้องสดุดีท่านเฉินเหยาลั่ว ก็ดังก้องไปไกล แต่ด้วยฐานะข้าราชการที่ธรรมดา ๆ จะมีข้าวมากมายซักเท่าไหร่กัน ไม่นานข้าวต้มที่ทำแจกก็เริ่มจะร่อยหรอลง แต่ก็ยังนับว่าโชคดี ที่ประชาชนฐานะร่ำรวยในเมืองเป็นผู้มีรากบุญหยั่งลึก เมื่อเห็นท่านเฉินเหยาลั่วซึ่งเป็นข้าราชการธรรมดา ๆ ยังเสียสละนำข้าวออกแจก จึงต่างชักชวนกันทำตาม ไม่นานโรงแจกข้าวต้มก็ผุดขึ้นตามจุดต่าง ๆ ทั่วเมือง ทำให้สามารถช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยได้อย่างทั่วถึง  ในการนี้ เฉินเหยาลั่ว กล่าวกับชาวเมืองว่า " การที่ข้าพเจ้าเปิดบ้านแจกอาหารนั้น ทำไปด้วยหวังประโยชน์อันใดหรือ ? แท้จริงแล้ว.....ข้าพเจ้าริเริ่มก็เพื่อปลุกจิตสำนึกผู้มีกำลังทรัพย์มาก ให้ได้ออกมาร่วมภาระกิจแห่งการสร้างสมบุญวาสนาสำหรับตัวของทุกท่านเอง"  ต่อมา ท่านเฉินเหยาลั่ว ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึง "ผิงจ่างซือ" หรือ ผู้ถวายคำปรึกษาต่อองค์ฮ่องเต้ ท่านลาจากโลกนี้เมื่ออายุ 82 ปี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                              เรื่องที่ 22  :  สร้างบุญไม่หวังคนรู้

        หลี่เหลียน  เป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ชอบทำบุญทำทานอยู่เสมอ  ครั้งหนึ่ง หมู่บ้านใกล้เคียงประสบพภิกขภัย ไร่นาเสียหายหมด เขาได้นำข้าวที่เก็บไว้ออกมาให้ชาวบ้านที่เดือดร้อน ยืมไปใช้บริโภคและเพาะปลูกใหม่ เป็นจะนวนถัง 1000 สื่อ เทียบเท่า 100,000 ลิตร แต่ทว่าเคราะห์ภัยยังไม่ยอมจากไปง่าย ๆ ในปีถัดมาทุพภิกขภัยก็เกิดซ้ำอีก ! บรรดาที่ยืมข้าวจากหลี่เลียนไป ล้วนไม่มีใครสามารถนำอะไรมาใช้หนี้คืน ไม่ว่าจะกี่รายต่างพากันมาระบายความทุกข์ในใจให้ฟัง หลี่เหลียนเองก็รู้ซึ้งถึงความลำเค็ญของพวกเขา ดังนั้น เขาไม่เพียงแต่ไม่ปริปากเอ่ยทวงถามข้าวที่ยืมไป แต่ยังนำเอาหนังสือสัญญาการกู้ยืมทั้งหมดออกมาเผาทิ้งต่อหน้า ! ทั้งนี้ก็เป็นเพื่อการปลดหนี้สินให้แก่พวกเขาโดยสิ้นเชิง จะได้ไม่ต้องมีห่วงกังวลให้ต้องทุกข์ใจอีก  ในปีต่อมา.....ฟ้าดินเมตตา รวงข้าวในนาตลอดจนพืชพรรณธัญญาหารเก็บเกี่ยวได้อย่างอุดมสมบูรณ์ บรรดาชาวไร่ชาวนา และลูกหนี้ทั้งหลายที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากหลี่เหลียนผู้ใจบุญ พวกเขายังคงจดจำเรื่องที่หลี่เหลียนเผาใบกู้ยืมยกหนี้ให้ ต่างก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่ายังติดค้างอยู่ จึงพร้อมใจกันนำข้าวเปลือกมาคืนให้ แต่หลี่เหลียนก็ไม่ยอมรับเพราะถือว่าสัญญาได้ถูกยกเลิกไปแล้ว โบราณกล่าวว่า.....เรื่องราวในโลกสุดจะคาดเดา ทุกอย่างไม่แน่นอน โชคดีโชคร้ายสลับสับเปลี่ยนไปไม่ยืนยง ปีแห่งความโชคดีผ่านไป อีกปีต่อมาภัยแล้งกลับยิ่งรุนแรงกว่าที่ผ่านมาหลายเท่านัก เวลานั้น ข้าวที่หลี่เหลียนเก็บเอาไว้ก็เหลืออยู่ไม่มากนักแล้ว แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังมีใจนำเอาข้าวทั้งหมดออกมาแจกจ่าย ยิ่งไปกว่านั้น ทรัพย์สินสิ่งของภายในบ้าน อันใดที่ขายไปได้ก็ขายหมด เพื่อนำเงินไปช่วยผู้กำลังตกทุกข์ได้ยาก แม้กระทั่งหากมีคนยากไร้อนาถาเสียชีวิต หลี่เหลียนก็จะจัดหาโลงมาใส่และทำพิธีฝังให้ ความเสียสละอุทิศตนเพื่ออนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายจึงต่างเคารพนับถือและเทิดทูนหลี่เหลียนประดุจพ่อแม่บังเกิดเกล้าของพวกเขา เมื่อมีคนพูดกับเขาว่า "ท่านหลี่...ท่านช่างมีบุญกุศลแฝงเร้นที่ยิ่งใหญ่มหาศาลจริง ๆ" ท่านหลี่เหลียนกลับตอบว่า "บุญกุศลแฝงเร้น เป็นเสมือนเสียงก้องภายในหู มีเพียงตัวเรานั้นที่รู้  เวลานี้ทุกท่านต่างยกย่องข้าพเจ้ามากมาย แล้วจะมีบุญกุศลเหลือไว้ให้แฝงเร้นได้อย่างไร ?"  คำว่า "บุญวาสนาแฝงเร้น" ก็คือ การปิดทองหลังพระ หมายถึงการทำความดีโดยไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ จึงนับว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่  หากปิดทองหลังพระแล้วชวนคนไปดู ก็ย่อมไม่นับว่าแอบทำความดี  ท่านหลี่เหลียนไม่เพียงแต่ไม่โอ้อวดคุณความดี ท่านถือว่าการสร้างคุณประโยชน์ด้วยจิตเมตตาอันบริสุทธิ์ เป็นหน้าที่โดยธรรมชาติของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่านทำให้ผู้คนที่รู้จักยิ่งชื่นชมนับถือมากขึ้นเป็นทวีคูณ ท่านหลี่เหลียนมีอายุยืนอยู่สร้างคุณความดีถึง 100 ปีกว่า และบรรดาลูกหลานต่างสมบูรณ์พูนสุข เจริญด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์โดยถ้วนหน้า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                              เรื่องที่ 23  :   ยิ่งเอา  ยิ่งหมด

        ในอดีต พระอาจารย์ "สวีตั้ว" เป็นพระเถระสงฆ์ผู้ซึ่งประชาชนทั้งหลายเคารพนับถือมาก ท่านได้กล่าวว่า "คนเราที่เกิดมา...ผู้ใดอายุยืนหรือสั้น มิใช่กำหนดไว้ตายตัว แต่เมื่อใดหมดสิ้นบุญวาสนาก็ต้องตาย ตายคนเดียวเรียกว่า "ภัย" หากตายหมู่ เรียกว่า "ภัยพิบัติ" นี่ก็ย่อมบ่งชี้ได้ว่า ภัยพิบัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภัยสงคราม ภัยแล้ง น้ำท่วม ไฟไหม้ ภูเขาไฟระเบิด อดอยาก หนาวตาย ฯลฯ ซึ่งคร่าเอาชีวิจผู้คนไปคราวละมาก ๆ เป็นเพราะเหตุที่ฝูงชนคนเหล่านั้นสิ้นบุญวาสนาลงแล้ว !  แล้วเหตุใดบุญวาสนาจึงมีวันหมดไปเล่า ! ก็เพราะผู้คนเหล่านั้นเอาแต่เสพบุญวาสนา ไม่เคยคิดที่จะถนอมบุญวาสนา อีกทั้งไม่รู้จักเสริมสร้างบุญวาสนาให้แก่ตัวเอง  เพื่อให้เราเข้าใจคำกล่าวของพระอาจารย์ สวีตั้ว ได้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น ก็ขอยกตัวอย่างเรื่องราวต่อไปนี้...ในราชวงศ์หมิง มีบุคคลผู้หนึ่งแซ่ "เฉิน" ชื่อว่า "เหลียงม๋อ" ท่านสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปของฟ้าดินและดวงดาว เวลานั้นตรงกับปีเจิ๋งเต๋อที่ 3 ที่มณฑล เจ๋อเจียง อำเภอหูโจว เกิดความแห้งแล้งกันดารครั้งใหญ่แต่ละครัวเรือนไม่มีพืชผลอันใดให้เก็บเกี่ยว มีเพียงหมู่บ้านเจี่ยนถังที่ท่านเฉินเหลียงม๋อ พำนักอยู่เท่านั้น ที่อาศัยน้ำจากเขื่อนซึ่งเก็บกักไว้มาใช้เพาะปลูก ทำให้ได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ แต่พอปีต่อมาเกิดอุทุกภัย ทั้งบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาถูกน้ำท่วมเสียหายยับเยิน แต่หมู่บ้านเจี่ยนถัง มีถูมิประเทศเป็นที่สูง จึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ดังนั้นผลผลิตทางการเกษตรก็ยังเก็บเกี่ยวได้อย่างเหลือเฟือ แต่ทว่าสองปีต่อมา เมื่อทางราชการนำสิ่งของบรรเทาทุกข์มามอบให้กับผู้ประสบภัย ผู้คนจากหมู่บ้านเจี่ยนถังก็ยังเดินทางไปรับด้วย 2 ครั้ง ดังนั้นคนในหมู่บ้านเจี่ยนถังจึงมีฐานะร่ำรวยขึ้นกว่าเดิมมาก  ในยามที่ผู้ประสบภัยทั้งหลาย ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ จำต้องขายบ้านและที่นา คนจากหมู่บ้านเจี่ยนถังก็พยายามกดราคาแล้วซื้อไปอย่างถูก ๆ  เดิมทีเดียวคนในหมู่บ้านเจี่ยนถังได้ชื่อว่าเป็ยคนประหยัดดำรงชีวิตด้วยความสมถะเรียบง่าย ไม่นึกเลยว่าเมื่อร่ำรวยขึ้น ผู้คนกลับพลิกผันกลายเป็นคนฟุ้งเฟ้อ แข่งขันกันแสดงความหรูหราโอ่อ่า ไม่ยอมให้น้อยหน้าใคร ! เมื่อท่านเฉินเหลียงม๋อเห็นสภาพเช่นนั้นแล้ว จึงพูดกับน้าของท่านว่า "อีกไม่นานหมู่บ้านของเรา...คงต้องประสบภัยพิบัติเป็นแน่ !" น้าของท่านจึงว่า "เพราะเหตุใดกันเล่า ?" ท่านเฉินเหลียงม๋อ ชี้แจงว่า "เป็นเพราะจะไม่เหลือบุญวาสนาให้ใช้กันอีกแล้ว ! บ้านของเรากับบ้านสกุลตูและบ้านสกุลจาง อาจจะเจอภัยเบาหน่อยแต่บ้านสกุล อวี้ ปี้ ลุ่ย หลี่ 4 ครอบครัวนี้ เดิมเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ก็ไม่เดือดร้อนอะไร กลับอยากได้มาก ไปรับเอาของบรรเทาทุกข์มาจนร่ำรวย แล้วพากันกินใช้อย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายกว่าใครเห็นทีพวกเขาคงไม่พ้นภัยพิบัติรุนแรงเป็นแน่" น้าของท่านคิดว่าเป็นคำพูดที่เพ้อเจ้อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน ก็เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นในหมู่บ้านเจี่ยนถัง ผู้คนในบ้านสกุลอวี้ ปี้ ลุ่ย หลี่ 4 ครอบครัวนี้ไม่ว่าคนหนุ่มสาวคนเฒ่าชรา เด็กเล็ก ต่างล้มตายจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว !  น้าของท่านเฉินเหลียงม๋อ เริ่มจะคิดได้และรู้สึกหวาดหวั่นใจจึงถามว่า "แล้วครอบครัวเราทั้ง 3 สกุล จะเป็นอย่างไรบ้าง ?" ท่านเฉินเหลียงม๋อตอบว่า "ผิดมาก...โทษหนัก  ผิดน้อย...โทษเบา  แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับ 4 ครอบครัว แต่พวกเราก็ยังต้องสูญเสียบ้างเล็กน้อย"  จากนั้นไม่นาน 3ครอบครัวก็ประสบอัคคีภัย ไฟไหม้บ้านติดต่อกันหลายครั้ง !   "โชค" กับ "ภัย" กับ "วาสนา" นั้นอยู่คู่กัน บางคนคิดว่า ของได้มาง่าย ๆ อย่างไม่นึกไม่ฝันเป็นลาภลอย คงลืมนึกถึงคำว่า "ทุกขลาภ" อันหมายถึง ลาภอันเกิดจากทุกข์ และทุกข์เพราะได้ลาภ "ภัย" กับ "วาสนา" ก็มักมาพร้อม ๆ กันขึ้นอยู่กับว่าใครคิดถูก และใครคิดผิด คิดถูกสืบต่อบุญวาสนา คิดผิดภัยมาถึงตัว ขอให้ ใคร่ครวญสักนิดเถอะ...ว่าคนในหมู่บ้านเจี่ยนถังควรจะปฏิบัติตนเช่นไรจึงจะถูก ช่างน่ายกย่องเชิดชู ปู่ย่าตายาย เหล่าบรรพชนชาวไทย ที่ท่านหวั่นเกรงแม้กระทั่งกลัวว่า เม็ดทรายอันน้อยนิดจากวัดวาอาราม อันถือเป็นสมบัติแห่งพระศาสนาจะติดมากับฝ่าเท้า จึงต่างพากันหาโอกาสนำกลับไปมอบคืน จนกลายมาเป็น "ประเพณีขนทรายเข้าวัด" ในวันสงกรานต์ปีใหม่ นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึง จิตใจอันปราณีตละเอียดอ่อน ที่รู้ซึ้งถึงการถนอมรักษาบุญวาสนาของตนโดยแท้

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”