collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณธรรมบรรพชน : คำนำ  (อ่าน 25794 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                 คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                          เรื่องที่ 8    :  มีแม่เดียวกัน

        ที่เมืองเสียนเฉิง  มีสองพี่น้องซึ่งไม่รักใคร่ปรองดองกัน บ่อยครั้งที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง  วันหนึ่งแม่วัวของผู้พี่ชาย  ได้ให้กำเนิดลูกวัวตัวหนึ่ง ไม่นานเขาก็ขายให้เพื่อนบ้านไป ต่อมาแม่วัวได้คลอดลุกวัวอีกตัวหนึ่งแล้วมันก็ตาย !  ลูกวัวตัวใหม่ซึ่งกำพร้าแม่จึงถูกพี่ชายเลี้ยงไว้ตามลำพัง  เวลาผ่านไปไม่กี่เดือน เพื่อนบ้านที่เคยซื้อลูกวัวตัวแรกไป ได้นำกลับมาขายให้ผู้เป็นน้องชาย  เมื่อวัวทั้งสองได้พบกันมันตรงรี่เข้ามาคลอเคลียกันอย่างสนิทสนม  พอพลบค่ำ.....พี่ชายจึงไปจูงวัวของตนที่คอก  แต่มันกลับดิ้นรนขัดขืน  ส่วนวัวอีกตัวที่น้องชายมัดไว้ ก้ดิ้นจนเชือกขาดและพยายามปีนรั้วกั้น  จนสามารถเข้าไปนอนอยู่ในคอกเดียวกัน  พี่น้องทั้งสองพยายามแยกมันออกมากันแต่ก็ไม่เป็นผลในที่สุดจึงปล่อยให้มันนอนด้วยกัน  ผู้เป็นพี่ชายจึงพูดกับน้องของตนว่า  "น้องเอ๋ย  ! ดูเอาเถิด สัตว์ที่เกิดจากแม่เดียวกันมันยังรักใคร่กันถึงปานนี้ เราทั้งสองได้ชื่อว่าเป็นคน ยังเทียบกับมันไม่ได้เลย "  เมื่อน้องชายได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกสะเทือนใจจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ นับแต่นั้นมาทั้งสองพี่น้องจึงกลับมารักใคร่ปรองดองกันเหมือนเมื่อครั้งที่พ่อและแม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่

        ""คน""  ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ  แต่กลับหลงลืมจิตญาณตนอันบริสุทธิ์ของตนไปเสียสิ้น  วัวควายช้างม้า มองว่าเป็นสัตว์เดโง่เขลา   แต่มันก็ยังสามารถรักษาคุณธรรมอันดีงามในตัวเอาไว้ได้  ดูอย่างวัวสองตัวนี้  เป็นเพราะเกิดจากแม่เดียวกัน จึงแสดงความรักต่อกัน ทำให้สองพี่น้องซึ่งมองหน้ากันราวกับเห็นศัตรูคู่อาฆาตรู้สึกละอายใจ จนกลับมารักใคร่ปรองดองกัน นี่ย่อมแสดงว่าพวกเขายังสามารถฟื้นคืนจิตญาณเดิมแท้ของความเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้
   
        แต่ทุกวันนี้  เราเห็นคนฆ่าสัตว์เป็นว่าเล่น จะกล่าวไปไยกับเหตุการณ์ที่คนเข่นฆ่าทำลายล้างผลาญชีวิตคนด้วยกัน  ใช่หรือไม่ว่าจิตใจของผู้คนเวลานี้ตกต่ำจนถึงขีดสุด  หากจิตญาณเดิมแท้ไม่ถูกกอบกู้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ มันคงต้องสูญสิ้นไม่หลงเหลือเป็นแน่แท้  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                             เรื่องที่  9  :  ยอมตายปกป้องเพื่อน

        ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีชายผู้หนึ่งชื่อ จี้ป๋อ เป็นคนมีน้ำใจไมตรีต่อเพื่อน ๆ เสมอมา  คราวหนึ่งเพื่อนของเขาล้มป่วย เมื่อทราบข่าวเขาจึงเดินทางออกไปเยี่ยม ทั้ง ๆ ที่อยู่ไกลกันนับพันลี้ ครั้นเดินทางไปถึงบ้านเพื่อนแล้ว ช่างโชคร้าย ! .....วันต่อมามีพวกกองโจรกลุ่มใหญ่บุกจู่โจมขึ้นมาปล้นบ้านเรือนเสียหายยับเยิน  ประชาชนชาวเมืองพากันอพยบหนีตายกันจ้าละหวั่น แม้แต่บ่าวไพร่ผุ้คนในบ้านของเพื่อนจี้ป๋อเอง ก็แตกตื่นต่างพากันหลบหนีเอาตัวรอด เวลานั้นเหลือเพียงจี้ป๋อคนเดียว สักพักมีกลุ่มโจร 3 คน พังประตูเข้ามาหมายจะปล้นเอาทรัพย์สิน แต่เมื่อเห็นจี้ป๋อจึงตวาดใส่ว่า  "เฮ้ย !.....พวกโจรมาแล้ว ผู้คนหนีหัวซุกหัวซุนกันทั้งเมือง เจ้ายังกล้าอยู่อีกรึ ! .....จี้ป๋อ หันหน้าไปดูพวกโจรโดยไม่มีอาการตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับชี้ไปที่เตียงคนป่วย  แล้วตอบว่า  "ฉันมาเยี่ยมเพื่อนจากแดนไกล เขากำลังป่วยหนักเช่นนี้ จะให้ฉันตัดใจหนีเอาตัวรอดงั้นหรือ ? ถ้ามันเป็นโชคร้ายที่มาตาย ฉันก็ยินดีตายพร้อมกับเพื่อนเสียที่นี่ ! "   พวกโจรได้ฟังคำตอบที่จริงจัง อีกทั้งท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของเขาต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก และแล้วหนึ่งในกลุ่มโจรนั้นจึงพูดว่า  "ชายผู้นี้เป็นคนมีคุณธรรม น้ำใจสูงส่งจริง ๆ พวกเราจะทำร้ายเขาไม่ได้ ! "  และเมื่อจะกลับออกไป พวกโจรบอกกับจี้ป๋อว่า  "ท่านอยู่ที่นี่ดูแลเพื่อนให้ดีเถอะ พวกเราจะคอยคุ้มครองให้เอง ท่านอย่าได้กังวลใจเลย "   การคบหาสมาคมระหว่างเพื่อนกับเพื่อน สำคัญที่สุดคือ สัจจะและความจริงใจต่อกัน หากคบหากันเพราะหวังจะเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์จากเพื่อน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ความสัมพันธ์นั้นย่อมเกิดจากใจที่เสแสร้งจอมปลอม  แต่สำหรับจี้ป๋อ การที่เขาไม่ยอมหนีเอาตัวรอด ไม่ใช่เพราะหมดโอกาสหรืออับจนหนทาง หากแต่ด้วยความจริงใจ ไม่หวั่นแม้ความตาย ใครจะนึกบ้างว่า กระทั่งพวกโจรยังซึ้งใจ  นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า จิตใจที่ศรัทธาจริงใจ ยึดมั่นในคุณธรรม เป็นเสมือนเกราะเพชรปกป้องคุ้มกันภัยได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                            เรื่องที่  10  :  ยอมเสียเปรียบแต่ชนะใจ

        ในสมัยราชวงศ์ฮั่น    เฉินจ้ง   เป็นขุนนางผู้น้อย ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในจวนเจ้าเมือง วันหนึ่งขุนนางที่พักอยู่ร่วมห้องคนหนึ่ง ลางานกลับไปเยี่ยมบ้าน ขณะที่เก็บข้าวของเสื้อผ้าเขาเผลอหยิบเอากางเกงเพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งใส่กระเป๋าไปด้วย  วันต่อมา เจ้าของหากางเกงไม่พบจึงโวยวายว่า  เฉินจ้ง  เป็นคนเอาไป  เฉินจ้งไม่เพียงแต่ไม่โต้แย้งแก้ตัว ซ้ำยังออกไปซื้อกางเกงตัวใหม่มาใช้คืนเพื่อนร่วมห้อง  เรื่องจึงสงบ  ผ่านไปสองวัน  เมื่อเพื่อนขุนนางที่ลาพักกลับมา พอดีพบกับเจ้าของกางเกงจึงอธิบายว่า วันที่จะออกเดินทางด้วยความเร่งรีบไม่ดูให้ถี่ถ้วนจึงหยิบกางเกงผิดติดไปด้วย พูดจบก็มอบกางเกงคืนให้เจ้าของเดิม  เมื่อเรื่องราวกระจ่างแจ้ง เพือนร่วมห้องทั้งสองต่างรู้สึกผิดเฉินจ้งมาก จึงเข้าไปขอโทษเขาพร้อม ๆ กัน  ในเวลานั้น  เฉินจ้ง  เพียงแต่ยิ้มรับไม่พูดอะไรเลย
        การที่เพื่อนร่วมงานพักอาศัยอยู่ด้วยกันหลาย ๆ คน แต่ละคนต่างพื้นเพต่างอุปนิสัยใจคอ  เมื่อเกิดกรณีทรัพย์สินสิ่งของหาย ก็มักจะระแวงสงสัยกันไปต่าง ๆ นา ๆ  ถึงแม้คนที่ถูกสงสัยจะบริสุทธิ์ แต่หากยิ่งแก้ตัวปฏิเสธ กลับยิ่งดูน่าสงสัย บางคราวเรื่องอาจลุกลามใหญ่โตถึงขั้นทะเลาะวิวาท จนต้องบาดหมางใจกันไปตลอด ใครบ้างจะใจกว้างขวางอย่างเฉินจ้ง  หลายคนอาจแย้งว่า "ถ้าฉันไม่ได้เอาของใครไป ทำไมต้องยอมเสียเปรียบด้วย ? " พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่ท่านจอมปราชญ์เหล่าจื้อกล่าวว่า "ยิ่งทำเพื่อผู้อื่น  เราก็ยิ่งจะได้รับ"  ฉะนั้น  แม้เฉินจ้งจะยอมเสียเปรียบผุ้อื่น แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือ ชนะใจเพื่อน มันมีค่ามากกว่ายิ่งนัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                            เรื่องที่  11  :  อ่อนโยนต่อผู้น้อย

        ในสมัยราชวงศ์หมิง  เฉินซินชง  ผู้มีศักดิ์เป็นอาเขยของ  เอี้ยนเหลี่ยวฝาน  เขามีบุคคลิกที่อ่อนน้อมถ่อมตนและน่าใกล้ชิด  ภรรยาของเขาชื่อ เอี้ยนซื่อ  ก็เป็นผู้ที่อ่อนโยนและมีคุณธรรมสูงสุดดุจเดียวกัน  เอี้ยนซื่อ ในฐานะหญิงของบ้าน แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่เคยส่งเสียงดุด่าบ่าวไพร่คนใช้ในบ้านให้ได้ยินเลย  มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซินชง มีอาการป่วยเป็นไข้เล็กน้อย  เอี้ยนซื่ิอได้รินเหล้าใส่ถ้วยสำหรับปรุงยา แล้ววางไว้บนโต๊ะ ขณะที่เดินเข้าไปหยิบห่อยาเพื่อนำมาผสม ประจวบเหมาะกับคนรับใช้ชื่อ เหวินเฉิง เข้ามาทำความสะอาดจึงหยิบถ้วยเหล้าไปเททิ้งข้างนอก  เวลานั้น เอี้ยนซื่อ นายหญิงออกมาเห็นเข้า จึงรีบร้องว่า "เหวินเฉิง ! .....นั่นเป็นเหล้านะ ! ทำไมเอาไปเททิ้งเสียล่ะ ?"  เหวินเฉิงตกใจรีบตอบว่า  " บ่าวเข้ามาเก็บกวาด คิดว่าเป็นน้ำชาเก่าที่เย็นแล้ว ขอรับ "  นายหญิงยิ้มแล้วบอกว่า "เธอไม่รู้.....ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหน้าจะทำอะไรต้องรอบคอบหน่อย  ถ้าไม่แน่ใจก็ควรถามให้รู้เสียก่อน จะได้ไม่เสียหาย เหล้าปรุมยานี้กว่าจะได้มาสักหนึ่งจอก ต้องใช้ข้าวนับพันเม็ดเชียวนา"   คำพูดที่กล่าวออกมาแต่ละคำ เปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนและจริงใจ เมื่อคนรับใช้ได้ฟังแล้วก็รู้สึกประทับใจและซาบซึ้งยิ่ง ตั้งแต่นั้นมา.....ไม่ว่าการงานใด เขาจะสำรวมระมัดระวังและตั้งใจทำอย่างรอบคอบพิถีพิถันเป็นที่สุด
        ในบ้านของผู้ที่มีฐานะ ส่วนใหญ่มักจะว่าจ้างคนเข้ามาทำงานรับใช้ ผู้ที่มีฐานะยากจนต้องอาศัยแรงกายทำงาน เพื่อจะได้เงินไปจุนเจือเลี้ยงครอบครัว  ดังนั้น  ผู้ที่อยู่ในฐานะเจ้าบ้านหรือนายจ้าง  จึงต้องใช้ความเมตตาโอบอ้อมอารีในการปกครอง เมื่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทำผิด  ก็จะต้องตักเตือนด้วยเหตุผล  มิใช่ดุด่าด้วยอารมณ์ ต้องรู้จักแยกแยะให้ดีว่า  "คำด่าไม่ใช่คำสอน"  มิเช่นนั้นจะประสบแต่ความเสียหาย เพราะผู้น้อยย่อมท้อแท้หมดกำลังใจ  ในขณะที่ผู้ใหญ่หรือเจ้านายก็สูญเสียคุณธรรมในตัว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                            เรื่องที่  12  :  หลี่ซั่นปกป้องนายน้อย

        หลี่ซั่น  เป็นคนรับใช้ในบ้านของเศรษฐี หลี่เอวี้ยน  เขาเป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานด้วยความซื่อสัตย์และรอบคอบ  ท่านเศรษฐีผู้เป็นนายจึงไว้วางใจเขามาก   อนิจจา.....ปีหนึ่ง  เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นในหมู่บ้าน  คนในบ้านหลี่เอี้ยวต้องล้มตายไปมาก  แม้กระทั่งตัวท่านเศรษฐีเองก็ไม่อาจรอดพ้น สุดท้ายเหลือแต่บ่าวไพร่จำนวนหนึ่ง กับลูกของเศรษฐีหลี่เอวี้ยน ชื่อ  หลี่ซวี่  ซึ่งเวลานั้นยังเป็นทารกน้อยนอนแบเบาะอยู่  ด้วยความที่บ้านหลี่เอวี้ยน มีทรัพย์สมบัติอยู่จำนวนมาก เมื่อประสบภัยโรคระบาด จึงเป็นช่องทางให้พวกบ่าวไพร่ที่มีใจละโมบหวังจะยึดครองทรัพย์สมบัติ  แอบปรีกษากันว่าจะหาทางฆ่านายน้อย หลี่ซวี่  ทิ้งเสีย !   หวกบ่าวไพร่ใจทรามนำแผนการนี้ไปบอกแก่หลี่ซั่น ด้วยหวังจะให้เขาร่วมมือกับพวกตน  ครั้นหลี่ซั่นรู้เรื่อง แม้จะทั้งตกใจและคาดไม่ถึงกับแผนชัวครั้งนี้  แต่เขาก็พยายามสงบสติอารมณ์ และปกปิดความรู้สึกไว้อย่างมิดชิด  พร้อมกับแสร้งตอบตกลงไปแต่โดยดี  เมื่อสืบทราบความเคลื่อนไหวและล่วงรู้วันเวลาที่พวกบ่าวไพร่จะลงมือแล้ว  ในคืนนั้น...อาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนเผลอ  หลี่ซั่นจึงแอบอุ้มเอาทารกเจ้านายน้อยของตนหลบหนีออกไปได้  หลี่ซั่นบ่าวผู้ซื่อสัตย์เดินย่ำเท้าตลอดทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้าจึงไปพบที่ซึ่งสามารถหลบซ่อนตัวได้ เป็นซอกหินเล็ก ๆ บนภูเขาร้าง แต่คงไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลย เพราะเมื่อถึงคราวที่ทารกน้อยหิวนมก็จะส่งเสียงร้องไห้ทั้งกลางวันกลางคืน  ทั้งสงสารนายน้อยทั้งกลัวจะมีคนมาล่วงรู้ที่หลบซ่อน  เขาพยายามหลอกล่อปลอบโยนเท่าไหร่  ทารกน้อยก็ไม่ยอมหยุดร้อง  หลี่ซั่นไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเปิดเสื้อคลุมของตนแล้วประคองทารกน้อยไว้แนบอก  โดยหวังจะให้เด็กเข้าใจไปว่ามีแม่กำลังป้อนนม  ชะรอยจะเป็นด้วยจ้าวป่าจ้าวเขาเทพยดาอารักษ์  มิอาจทนนิ่งดูดายต่อความจงรักภักดีของบ่าวผู้ซื่อสัตย์ก็ว่าได้  เพราะเมื่อทารกน้อยดูดที่หัวนมของหลี่ซั่น  กลับปรากฏว่ามีน้ำนมไหลออกมาให้นายน้อยของเขาได้ดื่มกินจริง ๆ   หลี่ซั่นโอบอุ้มเลี้ยงดูและคอยปกป้องภัยนายน้อยทั้งกลางวันกลางคืน  สู้บากบั่นอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเป็นเวลาถึง 10 ปี  !   กระทั่งนายน้อยของเขาเติบโต  สามารถเข้าใจความเป็นมาทั้งหมด  หลี่ซั่นจึงออกจากที่หลบซ่อน แล้วนำพาเจ้านายน้อยไปร้องขอความยุติธรรม  ณ.ที่ว่าการอำเภอ  ทางการจึงสั่งเจ้าหน้าที่จับกุมพวกบ่าวไพร่ทรยศทั้งหมดไปลงโทษ และมอบทรัพย์สมบัติคืนแก่เด็กน้อยหลี่ซวี่   เมื่อฝันร้ายผ่านไป.....หลี่ซั่นก็ยังคอยปกป้องดูแลนายน้อยของตนเหมือนอย่างเคยกระทำมาในอดีต  ส่วนหลี่ซวี่เองก็สำนึกในพระคุณของหลี่ซั่นและปฏิบัติต่อเขาดุจพ่อแม่บังเกิดเกล้าของตน
        ต่อมาเมื่อเรื่องราวของบ่าวรับใช้กับนายน้อยคู่นี้ ทราบถึงพระเนตรพระกรรณขององค์ฮ่องเต้กวงฮั่น  พระองค์จึงทรงมีพระราชโองการให้ทั้งสองเดินทางเข้าวังและรับตำแหน่งราชองค์รักษ์ประจำพระองค์   จากนั้นไม่นาน  หลี่ซั่นก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองยื่อหนัน  ตลอดช่วงชีวิตของเขาได้สร้างคุณความดีและฝากผลงานไว้มากมาย
        ในสมัยโบราณ  คำที่เรียกใช้  ขุนนางและบ่าวรับใช้ ใช้คำ ๆ เดียวกัน  พอมาถึงปัจจุบันเปลี่ยนจาก  "ขุนนาง"  มาเป็น  "ข้าราชการ"  แต่ความหมายก็คือ  ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ส่วนรวม รับใช้ประชาชน   หากจะกล่าวโดยเนื้อแท้แล้ว  "บ่าวรับใช้"  คือคนรับใช้ส่วนตัว  "ข้าราชการ" คือ คนรับใช้ส่วนรวม  แต่ก็ยังเหมือนกันเพราะว่า กินข้าวของคนอื่น  ดังนั้นย่อมทำงานตอบแทนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต  ไม่ฉ้อฉล โกงบ้านกินเมือง  จะแบ่งว่าข้าราชการ มีฐานะสูงส่ง บ่าวรับใช้นั้นต่ำต้อยหาได้ไม่  จะสูงส่งหรือต่ำต้อยไม่ได้อยู่ที่ชื่อเรียกแต่อยู่ที่คุณธรรมความดีต่างหาก  ดังนั้น  หลี่ซั่น  ผู้ดำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์ จงรักภักดีมิเสื่อมคลาย เขาจะแตกต่างจาก ท่านจอมปราชญ์ขงเบ้ง ผู้ซึ่งอุทิศทั้งชีวิตรับใช้พระเจ้าเล่าปี่ได้อย่างไร ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
            คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                    เรื่องที่ 13  : ไม่กล่าวลามิกล้ากลับ

        ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีนักศึกษาสองคนชื่อ อิ๋วจ้าวและหยางสือ  ทั้งสองได้มาฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเฉิงอี พวกเขาต่างปรนนิบัติรับใช้อาจารย์อย่างเคารพนบนอบยิ่ง  ครั้งหนึ่งหลางฤดูหนาว อากาศหนาวจัด ขณะที่นักศึกษาทั้งสองนั่งฟังอาจารย์บรรยายหลักวิชาอยู่ แต่ด้วยความชราภาพากแล้ว เสียงของท่านอาจารย์เบาลง ๆ  พร้อมกับค่อย ๆ หรี่ตา ไม่นานท่านผู้เฒ่าก็ผล๊อยหลับไป ศิษย์ทั้งสองเห็นว่าท่านอาจารย์หลับจึงลุกขึ้นอย่างช้า ๆ  และเดินเข้าไปจัดผ้าห่มคลุมให้ร่างกายของท่านผู้เฒ่าอบอุ่นด้วยความระมัดระวัง จากนั้นทั้งสองก็หลบไปยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบเชียบและสำรวม ขณะนั้นข้างนอกหิมะตกโปรยปรายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งดึกอากาศบิ่งหนาวเย็นยะเยือก อิ๋วจ้าวและหยางสือ ก็ยังไม่ไปไหน เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ กระทั่งเมื่ออาจารย์ผู้ชราตื่นขึ้น เห็นลูกศิษย์ทั้งสองยืนอยู่ข้าง ๆ จึงเอ่ยถามว่า "พวกเธอยังไม่กลับอีกหรือ ?"  ลูกศิษย์ทั้งสองตอบว่า "ศิษย์เห็นท่านอาจารย์กำลังพักผ่อน พวกเรายังไม่ได้กราบลาจึงมิกล้าจะกลับก่อนขอรับ" ท่านอาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเล็กน้อย แล้วบอกให้ลูกศิษย์ทั้งสองกลับไปพักได้ หลังจากกราบลาเสร็จ พอเปิดประตูจะออกไป อิ๋วจ้าวและหยางสือก็พบว่า หิมะได้ตกท่วมสูงถึงเอวแล้ว !  ต่อมาหลังจากจบการศึกษา นักศึกษาทั้งสองต่างประสบความสำเร็จและได้กลายมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุคนั้น
        เด็กนักเรียน นักศึกษา จะมีวิชาความรู้ ความสามารถติดตัว ย่อมต้องเป็นผู้ใฝ่ศึกษาเล่าเรียน และที่สำคัญคือการเป็นผู้รู้จักเคารพนบนอบต่อครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้  พ่อแม่โอบอุ้มเลี้ยงดู ครูอาจารย์เฝ้าสอนสั่ง ทั้งสองท่านพระคุณยิ่งใหญ่ดุจเดียวกัน การให้ความเคารพนบนอบต่อผู้มีพระคุณ บ่งบอกถึงจิตใจที่เคารพเชิดชูคุณธรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ที่เคารพเชิดชูคุณธรรม ก็คือ ผู้ที่เคารพตนเอง
        ในยุคสมัยนี้ คนจำนวนไม่น้อยมีความคิดเห็นว่า คนเราต่างเสมอภาคกัน ครูอาจารย์ได้ค่าจ้างสอน ลูกศิษย์จ่ายค่าเล่าเรียนแล้วจะต้องไปเคารพทำไม ? คนที่คิดเช่นนี้ เป็นผู้ไม่รู้จักว่าอะไร "สูง" อะไร "ต่ำ"  คิดว่าหัวและเท้าควรอยู่ที่เดียวกัน นี่เป็นเพราะความคิดที่สบประมาทเหยียดหยามตนเอง คนเหล่านี้เป็นบุคคลที่ทำลายคุณธรรมของตนให้สูญสิ้นไป แม้จะเล่าเรียนสูงไปถึงขั้นไหน ก็ยังคงต้องเรียกว่า "ไร้การศึกษา"  ไม่ต่างอะไรกับ "คนสิ้นคิด สมองกลวง"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คุณธรรมบรรพชน  :  คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                         เรื่องที่ 14   :   อุดมการณ์ของครู

        ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีอาจารย์ท่านหนึ่งนามว่า เจิ้งจื้อ ท่านศึกษาและดำเนินชีวิตตามแนวทางคำสอนของท่านจอมปราชญ์ขงจื้อ โดยมีความเป็นอยู่ที่สมถะเรียบง่าย ไม่ใฝ่ชื่อเสียงลาภยศ บ้านที่ท่านอาจารย์เจิ้งจื้อพำนักอยู่ ท่านได้จัดแบ่งห้องเพื่อเป็นที่อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ขอเพียงมีนักศึกษาท่านไหนอยากเล่าเรียนท่านก็จะรับไว้และทุ่มเทอบรมสั่งสอน ด้วยความจริงใจ หลักในการสอนของท่านเจิ้งจื้อ อันดับแรกคือ เน้นหนักในคุณธรรม  รองลงมาคือ ถ่ายทอดศิลปะวิทยาการท่านย้ำอยู่เสมอถึงความกตัญญูกตเวทิตา ความรักใคร่ปรองดองระหว่างพี่น้อง  ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง   ความมีสัจจะ  จริยธรรมอันดีงาม  ตลอดจนถึงความเป็นผู้มีมโนธรรมสำนึก  รู้สึกละอายและเกรงกลัวต่อบาป  ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินชีวิต และอยู่ร่วมกันในสังคม  ท่านอาจารย์เจิ้งจื้อ มิใช่เพียงแค่พร่ำอบรมสั่งสอน ด้วยวาจา แต่ท่านยังปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ดังน้นบรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่าน จึงต่างมุมานะใฝ่ใจเล่าเรียนศึกษา และแน่นอนเหลือเกินว่าแต่ละคนเมื่อจบไปล้วนประสบความสำเร็จในชีวิต ด้วยว่ามีคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งทางด้านคุณธรรมความประพฤติ สติปัญญาและความรู้ความสามารถ  สำหรับบุตรหลานของท่านอาจารย์เจิ้งจื้อนั้นหรือ บุตรชายคนโตชื่อ "ก่วน"  คนรองชื่อ "ซวี่"และหลานอีก 2 คน  ทั้งหมดสามารถสอบได้เป็นบัณฑิตหลวง ในวันที่เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานโปรดเกล้า เจิ่งก่วน ถึงกับน้อมกราบถวายบังคมถึง 2  ครั้ง  2 ครา เนื่องด้วยสำนึกในพระคุณของบรรพชน และพระคุณของแผ่นดินพร้อม ๆ กัน เล่ากันว่าครั้งนั้นกษัตริย์เสินจง ทอดพระเนตรแล้วถึงกับเผลอพระองค์ทรงพระสรวลออกมา ส่วนท่านขวงกงกงผู้ถวายงานอยู่ข้าง ๆ พระเจ้าอยู่หัวก็รำพึงว่า "โอ้.....นี่นับเป็นบุญวาสนาของท่านเจิ้งจื้อผู้เป็นบิดาอย่างแท้จริง ที่ทุ่มเทอบรมสั่งสอนผู้คนด้วยความมุ่งมั่นจริงใจ" 
 
        อะไรคือ  บทบาทและหน้าที่ของความเป็นครู ?
บทบาทของครู คือ "เป็นแบบอย่างสำหรับคนข้างหน้า"
หน้าที่ของครู   คือ  "นำพาผู้มาทีหลัง"

       " เป็นแบบอย่างสำหรับคนข้างหน้าได้แก่ ผู้เป็นครูต้องบ่มเพาะ คุณธรรม  จริยธรรม  ให้บังเกิดมีขึ้นในตัวเอง เพื่อให้ลูกศิษย์รวมทั้งผู้ที่มีบทบาทหรือเป็นผู้นำในสังคมได้ยึดถือน้อมนำมาเป็นแบบอย่างประพฤติปฏิบัติ"     
       " นำพาผู้มาทีหลัง  ได้แก่ ครูที่มีหน้าที่ชื้แนะ สั่งสอน อบรมลูกศิษย์อนุชน เพื่อพร้อมที่จะสร้างสรรค์คุณงามความดี อันจะยังประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นแก่สังคมประเทศชาติบ้านเมืิอง
        วัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองของมนุษยชาติ ล้วนอาศัยผู้ที่รู้ก่อนมาถ่ายทอดสั่งสอนให้แก่ผู้มาทีหลัง ให้รู้ตาม ครูนั้นจัดอยู่ในฐานะผู้ที่รู้ก่อน เข้าใจก่อน  ได้ศึกษาจนกระจ่างแจ้งทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์ดีงาม คุณธรรมดังกล่าวมา ผู้เป็นครูจักต้องมีอย่างเพียบพร้อม จึงจะยืนอยู่ในฐานะของความเป็นครูได้โดยไม่ละอายใจ  ในสมัยโบราณ ครู อาจารย์ทั้งหลาย มักแลกเปลี่ยนบุตรหลานกันในการอบรมสั่งสอน ดังนั้นศิษย์หรือลูกหลาน ก็ไม่มีความแตกต่างกัน การอบรมสั่งสอนศิษย์ ต้องใช้ความทุ่มเทขยันและจริงใจประกอบด้วยความเมตตากรุณาเป็นหลัก ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อกล่าวอยู่เสมอว่า  "ร่ำเรียนโดยไม่เบื่อหน่าย  พร่ำสอนอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย"  จริยวัตรของท่านบรมขงจื้อ จึงเป็นแบบอย่างครู อาจารย์ ในโลก อันจะดำรงอยู่คู่ฟ้าหมื่นปี  ผู้เป็นครู อาจารย์ทั้งหลายในยุคปัจจุบัน ควรยึดถือแบบอย่างครูในสมัยโบราณให้มาก ๆ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คุณธรรมบรรพชน  :  คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   
               
                   คุณธรรมบรรพชน    :   เรื่องที่ 15   แบบอย่างจรรยาแพทย์

        ในราชวงศ์หมิง มีนายแพทย์ท่านหนึ่งชื่อ พัน ขุย ท่านมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยโดยไม่เห็นแก่เงินทอง ตลอดเวลานายแพทย์ท่านนี้จะดูแลเอาใจใส่อย่างทุ่มเทและใช้ยาดีที่สุดมารักษาคนไข้ โดยไม่คำนึงว่าจะถูกหรือแพงสักเพียงไร  ครั้งหนึ่งโรคเกิดระบาดหนัก ผู้คนล้มป่วยเป็นจำนวนมาก คุณหมอพันขุย ต้องเดินทางตระเวณรักษาคนป่วยไปทั่วตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  ไม่ว่าจะยากดีมีจน ในสายตาของคุณหมอท่านนี้ล้วนเท่าเทียมกัน ด้วยความรู้ความชำนาญอันเยี่ยมยอด ทำให้จำนวนผู้ป่วยรอดตายถึง 9  ใน 10 ส่วน  ในเวลานั้น มีเพื่อนบ้านของคุณหมอคนหนึ่งแซ่เจ่า เคยมีเรื่องไม่พอใจคุณหมอ ถึงกับฟ้องร้องเป็นคดีความในศาล คราวนั้นเขาก็ล้มป่วยอาการหนักมาก จึงพูดกับลูกชายว่า "คนที่จะสามารถช่วยชีวิตพ่อได้ มีเพียงคุณหมอพันขุยเท่านั้น ลูกรีบไปเชิญท่านมาเร็วเถอะ" ลูกชายของเขายังคงลังเลใจและเอ่ยถามผู้เป็นพ่อว่า "พวกเราเคยมีเรื่องกับคุณหมอ... แล้วท่านจะยอมมารักษาให้รึ ?" แต่นายเจ่ายืนยันว่า "ถึงแม้พ่อจะเคยล่วงเกินเขาด้วยความใจแคบแต่สำหรับคุณหมอนั้นเป็นผู้มีจิตใจเมตตาสูงล้ำ ท่านคงไม่ทอดทิ้งพวกเราหรอก" ลูกชายของนายเจ่ารีบไปเชิญคุรหมอมาที่บ้าน ไม่เพียงท่านยินยอมตามมาทันที แต่ยังดูแลรักษาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ราวกับว่าในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องอะไรบาดหมางกันเลย ทั้งนายเจ่าและทุกคนในครอบครัว ต่างรู้สึกสำนึกและซาบซึ้งในความกรุณาของคุณหมอเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นไม่นานอาการของนายเจ่าก็ค่อย ๆ ดีขึ้น และหายเป็นปกติในที่สุด  นายแพทย์พันขุยมีบุตรชาย 3 คน คือ ป๋อเซียง  จ้งไซ  จี้จวิ่น  และหลานชื่อ ต้าฟู่ อีก 1 คน ต่อมาทุกคนล้วนได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ มีความเจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จยิ่งในชีวิต ผู้คนทั้งหลายต่างพูดกันว่า "นี่เป็นเพราะบุญบารมีที่คุณหมอได้สร้างสมมาโดยตลอด"  หมอดีและข้าราชการดีนั้นเหมือนกัน คือ ทั้งสองหน้าที่นี้ ต่างสามารถพลิกผันชีวิตผู้คนได้ ฉะนั้นผู้ที่อยู่ในฐานะดังกล่าว ต้องไม่มีคำว่าเห็นแก่ตัว ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอคติ ทำทุกอย่างเพื่อให้ปวงชนอยู่ดีมีสุข จึงจะได้ชื่อว่า ข้าราชการดีมีคุณธรรม หมอดีมีจรรยา  ดังเช่น นายแพทย์พันขุย ผู้ซึ่งถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและเมตตา สมเป็นแบบอย่างของนายแพทย์ทั้งหลาย
     

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”