collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณธรรมบรรพชน : คำนำ  (อ่าน 25733 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
คุณธรรมบรรพชน : คำนำ
« เมื่อ: 15/04/2011, 16:12 »
        เป็นเวลานับพัน ๆ ปีมาแล้ว  ืั้เหล่าพนะศาสดาทั้งหลาย ได้ทรงประกาศหลักธรรมมากมาย  เพื่อให้มวลมนุษย์ในโลกได้นำไปเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติ  อันจะยังผลให้เกิดความสันติสุขอย่างแท้จริงขึ้นบนโลก
        การปฏิบัติบำเพ็ญ  ย่อมต้องมีรากฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หลักคุณสัมพันธ์ ๕  อันได้แก่  ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก  สามีกับภรรยา  พี่กับน้อง  เพื่อนกับเพื่อน  และผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง   นับเป็นรากฐานที่สำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างป็นสุขในสังคม  และเพื่อให้เกิดความเข้าใจกระจ่างแจ้งในหลักธรรมดังกล่าว มูลนิธิรัศมีธรรม จึงได้นำเอาเรื่องราวการบำเพ็ญ  คุณธรรมความดีของเหล่าบรรพชนในอดีต  มารวบรวมจัดพิมพ์ภายใต้ชื่อ "คุณธรรมบรรพชน"  ดังที่ปรากฏ
          อนึ่ง   ในการจัดพิมพ์ครั้งแรก  คณะกรรมการมูลนิธิรัศมีธรรม  พร้อมด้วยญาติธรรมและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย  ได้กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อมอบให้แก่  ห้องสมุดโรงเรียน  ห้องสมุดประชาชน  และสถานศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ  เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ  พระแม่เจ้าของปวงประชาชนชาวไทยทั้งชาติ  ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ  ๖ รอบ  ในปี  ๒๕๔๖นี้       มูลนิธิรัศมีธรรมขออนุโมทนาในกุศลจิตที่สาธุชนทุกท่าน  ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเทิดพระเกียรติครั้งสำคัญยิ่งนี้

                   คณะกรรมการมูลนิธิรัศมีธรรม

ป.นาคะเสถียร  แปลจากต้นฉบับภาษาจีน     "รัศมีธรรม" เรียบเรียง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 7/07/2011, 08:30 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
            คุณธรรมบรรพชน    :   หมวด  คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม     

                                เรื่องที่ 1 

                           คำสอนของแม่

        ในสมัยราชวงศ์จิ้น มีหญิงหม้ายผู้หนึ่งชื่อ  ซุนซื่อ  บุตรชายของนางชื่อ  อี๋ถัน   ระหว่างรบราชการที่เมืองหนันคัง ทางราชสำนักมีคำสั่งให้ไปปราบปรามกบฏจิ้น   ขณะที่จะออกเดินทาง  นางซุนซื่ิได้เรียกอี๋ถันเข้ามาพบ พร้อมกับพูดว่า  "แม่ได้ยินเขาเล่ากันว่า ขุนนางผู้จงรักภักดีล้วนก้าวออกจากประตูแห่งความเป็นลูกกตัญญู  หากลูกของแม่เข้าใจคำว่ากตัญญู  การเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่คราวนี้แม้จะต้องพลีชีพเพื่อผดุงคุณธรรม  เจ้าก็จงอย่าได้ห่วงถึงแม่"   พูดจบนางยังได้เรียกบุตรชายของอี๋ถัน  ผู้ซึ่งเป็นหลานให้ติดตามไปทำงานรับใช้ประเทศชาติด้วยกัน  ทั้งสองพ่อลูกน้อมรับคำสอนสั่งของแม่  และยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด  จนสามารถสร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงแก่แผ่นดิน  มีชื่อเสียงเกียรติยศเป็นที่เลื่องลือ
        ส่วนนางซุนซื่อ  ผู้เป็นแม่มีอายุยืนยาวถึง  95  ปี  และยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ย้อนหลังจากที่ได้สิ้นชีวิตแล้ว   การอบรมสั่งสอนลูก นับเป็นหน้าที่พื้นฐานของความเป็นพ่อแม่  ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ก็ต้องเป็นพ่อแม่ที่มีคุณธรรม  นี่คือสิ่งที่ควรเป็นอยู่แล้ว  แต่ในความเป็นจริงผู้เป็นพ่อมักต้องอยู่นอกบ้าน  ส่วนแม่มีเวลาอยู่กับบ้านมากกว่า  โดยเฉพาะตอนที่ลูกยังเล็ก  แน่นอนว่าต้องอยู่ใกล้ชิดแม่  ดังนั้น หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนลูก ย่อมต้องตกเป็นภาระหนักของผู้เป็นแม่
        แล้วคุณสมบัติของการเป็นแม่คนนั้น  คืออย่างไร ?  เบื้องต้นผู้เป็นแม่ต้องมีรักเป็นทุนกำเนิด  กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูลูกด้วยเมตตาและอบอุ่น  เมื่อโตพอรู้ความ หมั่นอบรมสั่งสอนด้วยหลักธรรม  ดังแบบอย่างในอดีตที่  นางเมิ่งทำลายหูกทอผ้า  เพื่อนเตือนสติให้ลูกเห็นความสำคัญของความพากเพียรในการเล่าเรียน  หรือ  นางจิ้งเจียง  แม่ผู้สอนลูกไม่ให้เห็นแก่ความสุขสบายจนเกินไป  และไม่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตน
        ที่กล่าวมา  คือ  คุณสมบัติของการเป็นแม่ที่มีคุณธรรม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คุณธรรมบรรพชน    :   คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   :  น้าสาวผู้ทรงคุณธรรม

                                    เรื่องที่ 2 

                          น้าสาวผู้ทรงคุณธรรม

        ในสมันชุนชิว บ้านเมืองเกิดศึกสงคราม แคว้นฉีส่งทหารบุกโจมตีแคว้นหลู่  ทั้งรถศึก  กองทะหารม้า และพลรบ  บุกถาโถมเข้ามาตลอดแนวชายแดน ประชาชนชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบแคว้นหลู่ต่างแตกตื่น พากันหนีตายอย่างโกลาหล ช่วงเวลานั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งอุ้มเด็กน้อยไว้กับตัว ข้างหลังมีห่อของพะรุงพะรัง อีกมือหนึ่งจูงเด็กอีกคน นางครึ่งเดินครึ่งวิ่งอยู่รั้งท้ายสุดในบรรดาผู้อพยบหนีภัยสงคราม  ครั้นทหารข้าศึกตามมาใกล้จะถึงตัว นางตกใจมากถึงกับทิ้งลูกที่อุ้มอยู่ลงไปข้างทาง แล้วคว้าเด็กอีกคนที่จูงอยู่ขึ้นมาอุ้มไว้แล้วรีบวิ่งหนีต่อ  ฝ่ายทหารแคว้นฉีซึ่งไล่ตามมาติด ๆ รู้สึกประหลาดใจ จึงร้องตะโกนว่า "เจ้าน่ะ ! หยุดก่อน...เด็กที่เจ้าอุ้มอยู่นั้นเป็นใคร ?"  หญิงสาวหันกลับมาตอบว่า "เป็นลูกของพี่สาวฉันเอง" ทหารแคว้นฉีถามอีกว่า "แล้วเด็กน้อยที่เจ้าทิ้งไปล่ะะเป็นใคร ?" นางก้มตอบด้วยเสียงอันสั่นเคลือว่า "เป็นลูกของฉันเอง"  ทหารแคว้นฉียิ่งประหลาดใจ จึงไตร่ถามว่า "ทำไมเจ้าจึงยอมทิ้งลูกแท้ ๆ ของตัว แต่กลับไปปกป้องลูกของพี่สาวเล่า ?"  หญิงสาวนางนั้นเงยหน้าขึ้นตอบทหารข้าศึกอย่างไม่สะทกสะท้านว่า "เป็นเพราะสามีฉันยังมีชีวิตอยู่ เรายังมีโอกาสมีลูกด้วยกัน แต่เด็กที่อุ้มอยู่นี้เป็นเด็กกำพร้า พี่เขยฉันมีลูกชายคนเดียว ดังนั้นจึงต้องปกป้องทายาทผู้สืบสกุลของเขา !"  เมื่อทหารแคว้นฉีรู้เช่นนั้น จึงนำความไปรายงานต่อแม่ทัพใหญ่ ท่านแม่ทัพจึงได้กล่าวว่า"แท้จริงแล้ว แคว้นหลู่เป็นดินแดนที่เปี่ยมด้วยจริยะ แม้กระทั่งหญิงชาวบ้านธรรมดายังเข้าใจในหลักธรรม พวกเราหาได้สมควรจะข่มเหงพวกเขาไม่"  ดังนั้น ท่านแม่ทัพใหญ่จึงมีบัญชาให้ถอยทัพกลับ ต่อมาเมื่อกษัตริย์แคว้นหลู่ทราบเรื่อง จึงทรงพระราชทานทรัพย์สิน ผ้าดิ้นแพรพรรณเพื่อเป็นเกียรติ พร้อมทั้งตรัสยกย่องนางว่า  "อี๋กู" อันหมายถึง "น้าสาวผู้ทรงคุณธรรม"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คุณธรรมบรรพชน    :   คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   :  มั่งมีศรีสุขไม่ลืมคู่ชีวิต

                                    เรื่องที่  3

                          มั่งมีศรีสุขไม่ลืมคู่ชีวิต

        อี้ฉือจิ้งเต๋อ   เป็นแม่ทัพผู้เรืองนามในสมียราชวงศ์ถัง เคยร่วมทัพกรำศึกเคียงข้างกษัตริย์ไท่จง มีความดีความชอบจนได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมือง ต่อมากษัตริย์ไท่จง มีพระราชดำริจะยกพระราชธิดาให้อภิเษกสมรสกับเขา   เมื่อมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ  จิ้งเต๋อก้มกราบถวายบังคมพร้อมกับกราบทูลว่า "แม้ว่าภรรยาของข้าพระบาทจะเป็นหญิงโง่เขลาและอัปลักษณ์ แต่ในยามที่ข้าบาทยังยากจนอยู่นั้น นางก็ร่วมทุกข์อยู่เคียงข้างตลอดมา  โบราณว่า มั่งมีศรีสุขไม่ลืมคู่ชีวิต  มั่งคั่งร่ำรวยไม่เปลี่ยนภรรยา  พระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ ข้าบาทจึงมิกล้าจะน้อมรับ พระเจ้าข้า"  แม้กษัตรย์ไท่จงจะทรงทราบว่าไม่อาจบังคับเขาได้ แต่ก็ทรงชื่นชมในคณธรรมอันสูงส่งของเขายิ่งนัก
        ตามหลักมนุษยธรรม  ความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันของสามีภรรยา  ถึงแม้จะมีคนแย้งว่าเป็นเพราะความรัก แต่การจะประคองรักให้มั่นคงยืนยาวได้นั้น ก็ต้องยึดถือความซื่อสัตย์ไว้เป็นกรอบ ของชีวิตคู่

        โบราณกล่าวว่า
        " ได้อยู่กินร่วมกันเป็นสามีภรรยา
        ชั่วชีวิตครองคู่ไว้หนึ่งเดียวมิคิดเปลี่ยน"

        ดังนั้น   ทั้งสามีภรรยาจึงต้องซื่อสัตย์ต่อกันและกัน ต่างฝ่ายต่างต้องมั่นคงในคู่ครองเพียงหนึ่งเดียว จึงจะเรียกว่า "ดีงาม"
ช่างน่าอนาถ !..........ในปัจจุบันความคิดของผู้คนเปลี่ยนไป ชายชอบอิสระ  หญิงก็ชอบอิสระ  อยากร่วมหลับนอนก็ทำอย่างอิสระ  ไม่เคารพจารีตประเพณี  วันใดนึกอยากเลิกร้างเปลี่ยนคู่ ก็ทำอย่างอิสระ เรื่องเช่นนี้........หากใช้หลักธรรมมาพิจารณา มันย่อมชี้ชัดได้ว่า พฤติกรรมที่เห็นกันว่า "อิสระ" ที่แท้มันเป็น "ความเหลวเหลกของชีวิต" ต่างหาก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คุณธรรมบรรพชน    :   คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   :  แม้หมื่นทุกข์ก็ขอร่วมทาง

                                       เรื่องที่  4

                              แม้หมื่นทุกข์ก็ขอร่วมทาง

        ในสมัยราชวงศ์ฮั่น  อาจารย์หวนซื่อ มีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อ เส่าจวิน  ในบรรดาศิษย์หลายคนของอาจารย์หวนซื่อ  เป้าเชวียน  เป็นศิษย์ที่ยากจนที่สุด  แต่ด้วยอุปนิสัยที่ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์และมุมานะบากบั่นในการเล่าเรียน  ทำให้หวนซื่อผู้เป็นอาจารย์ให้ความรักและเมตตาต่อเขามาก   เป้าเชวียน  และ  เส่าจวิน    ต่างรักใคร่สนิทสนมกัน ต่อมาเมื่อเป้าเสวียนสำเร็จการศึกษา  อาจารย์หวนซื่อจึงอนุญาตให้ทั้งสองแต่งงานกัน  ทว่าอาจารย์หวนซื่อเป็นผู้มีฐานะมั่งคั่ง  ดังนั้นผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจึงจักขบวนเกี้ยวที่ประดับประดาอย่างสวยงาม และเพียบพร้อมไปด้วยข้าวของเครื่องใช้อันล้ำค่า เพื่อให้เจ้าสาวเส่าจวินติดตัวไปในวันที่จะออกเรือนไปอยู่บ้านสามี
        ครั้นเป้าเสวียน  เห็นเช่นนั้น  จึงบอกกับภรรยาว่า  "เส่าจวิน !  พี่เข้าใจดีว่าน้องนั้นเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยจึงคุ้นเคยกับการใช้สอยข้างของที่หรูหราปราณีต แต่ที่บ้านของพี่เป็นครอบครัวคนยากจน คงลำบากใจต่อทรัพย์สินสิ่งของที่ล้ำค่าสูงราคาเหล่านี้"เมื่อเส่าจวินได้ยินคำทักท้วงของเป้าเสวียนเช่นนั้นก็ตอบว่า  "ท่านพ่อสอนเสมอว่า เมื่อเป็นภรรยาแล้วต้องติดตามสามี เรื่องทั้งหลายควรให้สามีชี้แนะ  เช่นนี้แล้วแม้ทางข้างหน้าจะลำบากยากเข็ญเพียงไร น้องก็จะขอร่วมเดินทางไปบนทางนั้นด้วย"
        และแล้ว  นางจึงรวบรวมข้าวของและเครื่องประดับที่สวยงามล้ำค่า เก็บกลับคืนไว้ที่บ้านเดิมเสียหมด  อีกทั้งไม่ยอมนำสาวใช้ติดตามไปเลยสักคน เมื่อถึงเวลาจะออกเดินทาง หลังจากเข้าไปกราบอำลาบิดาแล้ว เส่าจวินก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยสวมชุดสาวชาวบ้านธรรมดา ๆ และมีสัมภาระของใช้ที่จำเป็นเพียงน้อย นำไปใส่ในรถลาก ซึ่งเรียกกันว่า "รถเทียมลา"  เส่าจวินกับเป้าเสวียนช่วยกันลากรถบรรทุกคันเล็ก ๆ เพื่อเดินทางกลับไปยังบ้านของสามี ต่อเมื่อถึงจุดหมายปลายทางเป็นที่เรียบร้อยในวันแรก หลังจากเข้าไปกราบคารวะพ่อแม่ของสามีแล้ว  นางก็เริ่มงานโดยนำถังไปหาบน้ำจากบ่อ  ทั้งปัดกวาด  เช็ดถู  ซักผ้า  ทำอาหาร  ฯลฯ
        เส่าจวินทำงานหนักด้วยความขยันขันแข็งไม่ย่อท้อ  ตลอดเวลาไม่เคยมีสีหน้าที่ไม่พอใจปราฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เหตุฉะนี้ทั้งพ่อแม่ของสามีและทุกคนในครอบครัว จึงนับถือและให้เกียรตินางเป็นอย่างมาก  แม้แต่บรรดาผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันยกย่องเส่าจวินว่านางเป็น  "ศรีภรรยา"  โดยแท้
        การที่หญิงสาวแต่งงานไม่ใช่เพื่อให้สามีเลี้ยง  แต่ที่ถูก.....ต้องช่วยเกื้อหนุนสามี อีกทั้งร่วมกันนำพาชีวิตครอบครัวไปสู่ความสำเร็จ  หากหญิงใดได้สามีที่ร่ำรวยเป็นคนดีมีอุดมการณ์ และมีเป้าหมายมุ่งมั่นในชีวิต  ก็ขอเพียงรู้จักเป็นภรรยาที่ทุ่มเทจิตใจช่วยเหลือหนุนส่งเขา นอกเหนือจากนี้แล้วบุญวาสนาก็จะเพียบพร้อมสมบูรณ์เอง
        แต่หากหญิงใดมีความละโมภ  คิดแต่จะโลภในทรัพย์สมบัติของสามี หรือถ้าตัวเองเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย พอหลังจากแต่งงานไปแล้ว ชอบแต่ความสบาย นั่ง ๆ นอน ๆ ไม่เอาการเอางาน กลัวจะเหน็ดเหนือย ขืนเป็นอย่างนี้ ไม่ช้าก้เร็วทุกอย่างก็ต้องอันตรธานทรพย์สินเงินทองแม้มีกองสูงเท่าภูเขา ก็สามารถหายไปในชั่วพริบตา เช่นนี้แล้ว ชีวิตครอบครัวในภายหน้าจะต้องมืดมนน่าเวทนาเพียงใด.....ใครจะรู้ ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม 

                               เรื่องที่ 5  กุลสตรี  ศรีสะใภ้

        "โม้วซือ"  นั้นเป็นศรีภรรยา  คราวหนึ่งเมื่อ  "เล่อหยา"  สามีของนางเดินทางไปเล่าเรียนวิชา  หนึ่งปีผ่านไป.....เขาก็กลับมา  โม้วซือ จึงถามว่าเป็นเพราะเหตุใด  เล่อหยางยิ้มแย้มพร้อมตอบว่า  "พี่จากบ้านไปหนึ่งปีแล้ว  คิดถึงน้องจึงกลับมาหา"  โม้วซือไม่พูดไม่จาหันหลังกลับเข้าบ้าน  ฉวยกรรไกรติดมือแล้ววิ่งไปที่เครื่องทอผ้า  นางลงมือตัดผ้าที่ทอค้างไว้จนขาดวิ่นลงไปกองอยู่กับพื้น  จากนั้นจึงบอกกับสามีว่า  "ผ้าที่ทอไม่เสร็จ....ถูกตัดขาดก็ทอต่ออีกไม่ได้ ! ท่านพี่ออกไปศึกษาหาความรู้ แต่กลับละทิ้งเสียกลางคัน จะต่างอะไรกับผ้าทอที่หมดสภาพแล้วเล่า !"  เล่อหยางผู้เป็นสามีทั้งตกตะลึง ทั้งสะเทือนใจเป็นที่สุด เขาจึงเก็บห่อตำราขึ้นสพายบ่า แล้วเดินออกจากบ้านไป ในใจของเล่อหยางเขาตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ว่า เมื่อใดที่ร่ำเรียนสำเร็จ เมื่อนั้นจึงจะกลับมา  ตลอดระยะเวลาที่เล่อหยางไม่อยู่ โม้วซืออาศัยเงินที่ได้จากการทอผ้ามาเลี้ยงดูแม่สามี มีอยู่วันหนึ่งไก่ของชาวบ้านตัวหนึ่ง พลักหลงเข้ามาในบริเวณบ้าน แม่สามีจึงจับเอาไปตุ๋นเป็นอาหารเย็น  เมื่อโม้วซือลูกสะใภ้กลับมา  นางจึงเอ่ยปากชวนด้วยความยินดีว่า  "วันนี้แม่ได้ไก่มาตุ๋น เรามากินให้อร่อยเถอะ"   ขณะที่นั่งโต๊ะเตรียมจะรับประทานอาหาร โม้วซือได้แต่สะอึกสะอื้นไม่กล้าหยิบไก้แม้สักชิ้น  แม่สามีจึงถามว่า "ลูกเอ๋ย...เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า ?"  โม้วซือตอบทั้งน้ำตาว่า "ลูกเสียใจที่หาเงินได้ไม่มาก  เป็นเหตุให้ท่านแม่มากินอาหารที่ไม่ใช่ของเรา ลูกนี้ช่างไม่กตัญญูเอาเสียเลย !"  เมื่อแม่สามีฟังแล้ว  ในใจก็รู้สึกว่าการกระทำของตนไม่ถูกต้อง จึงนำไก่ตุ๋นไปทิ้งเสียทั้งหมด
        เล่อหยางออกจากบ้านไปถึง 7 ปี จนศึกษาเล่าเรียนได้สำเร็จจึงกลับมา  โม้วซือรู้จักตักเตือนสามีให้ใฝ่ก้าวหน้าไม่ย่อท้อ อีกทั้งชี้แนะแม่สามีไม่ให้ทำผิด  นับเป็นกุลสตรีศรีสะใภ้โดยแท้ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                 คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                           เรื่องที่ 6   สอนอย่างอ่อนโยน

        เฉินซื่อเอิน เป้นชาวเมืองเซี่ยอี้ เข้ารับราชการเป็นบัณฑิตสมัยราชวงศ์หมิง  บีอีโฉ่ว เขามีพี่ชายและน้องชายอีกคนหนึ่งตัวของซื่อเอินคือพี่รอง  พี่ชายใหญ่ชื่อเซี่ยนเหลียนและซื่อเอิน  ต่างยึดมั่นในคุณธรรม  มีเพียงแต่น้องชายคนเล็กซึ่งกำลังอยู่ในวัยรุ่นมีนิสัยชอบเที่ยวเตร่  ทุกคืนจะไปมั่วสุมกันที่ซ่องโสเภณี จนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืนถึงจะกลับ  บ่อยครั้งเซี่ยวเหลียนพี่ใหญ่ จะว่ากล่าวตักเตือนเขาอย่างตรงไปตรงมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม  แต่ถึงกระนั้นน้องเล็กก็ยังไม่ยอมปรับปรุงแก้ไขตัวเอง เมื่อไม่มีอะไรดีขึ้นซื่อเอินจึงกล่าวกับพี่ใหญ่ว่า   "หากพี่ใหญ่ดุด่าว่ากล่าวน้องเล็กไปเรื่อย ๆ  นับวันก็จะแต่บั่นทอนสายใยระหว่างพี่น้องให้ขาดสะบั้น ซึ่งไม่เป็นการดีเลย ถ้าพี่ไม่ว่า  น้องจะขอลองใช้วิธีน้องดู"    เซี่ยวเหลียนฟังแล้วก็ยอมตาม จากนั้นมาทุกคืน ซื่อเอินจะไม่เข้านอนไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน เขาจะตั้งตาคอยจนกระทั่งน้องชายกลับมา  แล้วค่อยปิดประตูลงกลอนด้วยตนเอง  อีกทั้งไม่เคยจะเอ่ยปากสอบถามว่าน้องไปทำอะไรนอกบ้านเลยสักคำ
        ซื่อเอินปฏบัติเช่นนี้เป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งคืนหนึ่งอากาศหนาวจัด เขานั่งคอยอยู่จนดึกมาก เมื่อน้องชายกลับมา ซื่อเอินรีบลุกไปเปิดประตูรับ และพูดขึ้นว่า "น้องเล็กเจ้าอยู่ข้างนอก คงต้องทนอากาศหนาวแย่ ! ....รู้สึกหิวบ้างหรือเปล่า ?...เดี๋ยวพี่จะไปอุ่นน้ำแกงให้เจ้าทานนะ"   พูดเสร็จ ซื่อเอินก็เอาเสื้อหนา ๆ ที่เตรียมไว้โอบคุมตัวของน้องชาย แล้วรีบไปอุ่นน้ำแกงในครัว น้องชายของเขาทั้งหนาวและหิว แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่ช่างอ่อนโยน และเปี่ยมด้วยความเอื้ออาทรอย่างจริงใจเช่นนั้น  ทำให้เขาเหมือนถูกสะกดให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ ได้แต่เฝ้าครุ่นคิดใคร่ครวญถึงสิ่งที่ได้กระทำมาในอดีต เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้  ต่อเมื่อเงยหน้าขึ้นและมองเห็นพี่ชานรองกำลังวางชามน้ำแกงร้อน ๆ ไว้เบื้องหน้า วินาทีนั้นเองเขาลุกขึ้นแล้วถลาเข้าไปกอดพี่ชายพร้อมกับพูดด้วยเสียงอันสั่นระรัวว่า  "ท่านพี่.....ต่อแต่นี้ไปน้องจะเลิกทำตัวเหลวไหลเสียที ที่ผ่านมาน้องทำผิดต่อท่านพี่ไว้มากเหลือเกิน !"
        และนับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็แปรเปลี่ยนตัวเอง ละทิ้งนิสัยที่ไม่ดีทั้งหมด ทำให้สามคนพี่น้องต่างรักใคร่ปรองดอง และเป็นครอบครัวที่มีแต่ความสุขตลอดไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                       เรื่องที่ 7    : หลี่จีถูกไฟไหม้เครา

        ในสมัยราชวงศ์ถัง มีองคมนตรีผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านหนึ่ง ชื่อ  หลี่จี   ท่านสร้างผลงานดีเด่นจัดระบบระเบียบการปกครองและปราบปรามทุจริต ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข  ต่อมากษัตริย์ถังไท่จงได้พระราชทานตำแหน่ง  "อิง กั๋ซ กง"  คือ ผู้ถวายแนะนำต่อองค์กษัตริย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในสมัยนั้นแก่ท่าน  มีอยู่วันหนึ่ง พี่สาวของท่านหลี่จีเป็นไข้ต้องนอนพัก ท่านจึงเข้าครัวไปทำโจ๊กด้วยตนเอง แต่ขณะกำลังก้มลงเป่าไฟในเตาให้ลุก ทันใดนั้นก็มีลมพัดโชยย้อนมาวูบหนึ่ง ทำให้เปลวไฟลุกติดเคราของท่าน มิวายที่ท่านหลี่จีจะรีบดับไฟ แต่ทว่าเคราของท่านก็ถูกไฟเผาไปตั้งครึ่งค่อน  เวลานั้นพี่สาวของท่านหลี่จี มองจากเตียงเห็นเข้าจึงรีบเอ่ยปากว่า  "น้องเอ๋ย.....บ้านเรามีคนรับใช้ตั้งมากมาย ไยเจ้าไม่เรียกเขาไปทำเล่า ?  ทำไมต้องลงมือทำเองให้ลำบาก  ดูซิ...เคราของเจ้าถูกไฟไหม้หายไปตั้งแยอะ...ช่างน่าเสียดาย !"  ท่านหลี่จีได้ยินคำทักท้วงของพี่สาว จึงหันมายิ้มและตอบว่า "ไม่เป็นไรหรอก.....น้องก็รู้ว่างานเช่นนี้เรียกคนรับใช้มาทำก็ได้ แต่เมื่อคิดถึงว่า  อายุของท่านพี่ก็มากแล้ว และอายุของฉันก้ไม่น้อย หากต่อไปอยากจะต้มโจ๊กให้ท่านพี่ทานบ่อย ๆ  จะยังเหลือโอาสให้ทำได้อีกสักกี่ครั้งเชียว"   คำกล่าวของท่านองคมนตรี  หลี่จี สะท้อนให้เห็นถึงหลักธรรมว่าด้วยคุณสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้อง  คือ การที่พี่ต้องปกป้องดุแลน้อง ส่วนน้องก็ต้องเคารพพี่่  แต่บางคนก็ถูกยศฐาบรรดาศักดิ์ ความร่ำรวย  ครอบงำให้จิตใจลุ่มหลง  จมดิ่งอยู่ในบ่วงแห่งอำนาจ จนลืมตัว  ยะโส  เย่อหยิ่ง  ทะนงตน  บางคนถึงกับดูถูกเหยียดหยาม  มองพ่อแม่พี่น้องว่าต่ำต้อยด้อยค่ากว่าตน  กระทั่งละทิ้งครอบครัว ลืมชาติกำเนิดตัวเองเสียสิ้น  นี่เป็นเรื่องที่น่าอดสูใจจริง ๆ !  ท่านหลี่จี เป็นผู้สูงศักดิ์เปี่ยมด้วยยศฐาบารมี แต่ก็ยังใส่ใจปรนนิบัติพี่สาว ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก อีกทั้งคำพูดของท่านก็เป็นสิ่งที่ซึ้งใจยิ่งนัก  ความสุขของคนในโลกนี้...งงแท้จริงอยู่ที่ไหน ?  คนฉลาดควรจะคิดได้แล้ว  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                 คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                          เรื่องที่ 8    :  มีแม่เดียวกัน

        ที่เมืองเสียนเฉิง  มีสองพี่น้องซึ่งไม่รักใคร่ปรองดองกัน บ่อยครั้งที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง  วันหนึ่งแม่วัวของผู้พี่ชาย  ได้ให้กำเนิดลูกวัวตัวหนึ่ง ไม่นานเขาก็ขายให้เพื่อนบ้านไป ต่อมาแม่วัวได้คลอดลุกวัวอีกตัวหนึ่งแล้วมันก็ตาย !  ลูกวัวตัวใหม่ซึ่งกำพร้าแม่จึงถูกพี่ชายเลี้ยงไว้ตามลำพัง  เวลาผ่านไปไม่กี่เดือน เพื่อนบ้านที่เคยซื้อลูกวัวตัวแรกไป ได้นำกลับมาขายให้ผู้เป็นน้องชาย  เมื่อวัวทั้งสองได้พบกันมันตรงรี่เข้ามาคลอเคลียกันอย่างสนิทสนม  พอพลบค่ำ.....พี่ชายจึงไปจูงวัวของตนที่คอก  แต่มันกลับดิ้นรนขัดขืน  ส่วนวัวอีกตัวที่น้องชายมัดไว้ ก้ดิ้นจนเชือกขาดและพยายามปีนรั้วกั้น  จนสามารถเข้าไปนอนอยู่ในคอกเดียวกัน  พี่น้องทั้งสองพยายามแยกมันออกมากันแต่ก็ไม่เป็นผลในที่สุดจึงปล่อยให้มันนอนด้วยกัน  ผู้เป็นพี่ชายจึงพูดกับน้องของตนว่า  "น้องเอ๋ย  ! ดูเอาเถิด สัตว์ที่เกิดจากแม่เดียวกันมันยังรักใคร่กันถึงปานนี้ เราทั้งสองได้ชื่อว่าเป็นคน ยังเทียบกับมันไม่ได้เลย "  เมื่อน้องชายได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกสะเทือนใจจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ นับแต่นั้นมาทั้งสองพี่น้องจึงกลับมารักใคร่ปรองดองกันเหมือนเมื่อครั้งที่พ่อและแม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่

        ""คน""  ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ  แต่กลับหลงลืมจิตญาณตนอันบริสุทธิ์ของตนไปเสียสิ้น  วัวควายช้างม้า มองว่าเป็นสัตว์เดโง่เขลา   แต่มันก็ยังสามารถรักษาคุณธรรมอันดีงามในตัวเอาไว้ได้  ดูอย่างวัวสองตัวนี้  เป็นเพราะเกิดจากแม่เดียวกัน จึงแสดงความรักต่อกัน ทำให้สองพี่น้องซึ่งมองหน้ากันราวกับเห็นศัตรูคู่อาฆาตรู้สึกละอายใจ จนกลับมารักใคร่ปรองดองกัน นี่ย่อมแสดงว่าพวกเขายังสามารถฟื้นคืนจิตญาณเดิมแท้ของความเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้
   
        แต่ทุกวันนี้  เราเห็นคนฆ่าสัตว์เป็นว่าเล่น จะกล่าวไปไยกับเหตุการณ์ที่คนเข่นฆ่าทำลายล้างผลาญชีวิตคนด้วยกัน  ใช่หรือไม่ว่าจิตใจของผู้คนเวลานี้ตกต่ำจนถึงขีดสุด  หากจิตญาณเดิมแท้ไม่ถูกกอบกู้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ มันคงต้องสูญสิ้นไม่หลงเหลือเป็นแน่แท้  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คุณธรรมบรรพชน : คุณธรรม  จริยธรรมในสังคม   

                             เรื่องที่  9  :  ยอมตายปกป้องเพื่อน

        ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีชายผู้หนึ่งชื่อ จี้ป๋อ เป็นคนมีน้ำใจไมตรีต่อเพื่อน ๆ เสมอมา  คราวหนึ่งเพื่อนของเขาล้มป่วย เมื่อทราบข่าวเขาจึงเดินทางออกไปเยี่ยม ทั้ง ๆ ที่อยู่ไกลกันนับพันลี้ ครั้นเดินทางไปถึงบ้านเพื่อนแล้ว ช่างโชคร้าย ! .....วันต่อมามีพวกกองโจรกลุ่มใหญ่บุกจู่โจมขึ้นมาปล้นบ้านเรือนเสียหายยับเยิน  ประชาชนชาวเมืองพากันอพยบหนีตายกันจ้าละหวั่น แม้แต่บ่าวไพร่ผุ้คนในบ้านของเพื่อนจี้ป๋อเอง ก็แตกตื่นต่างพากันหลบหนีเอาตัวรอด เวลานั้นเหลือเพียงจี้ป๋อคนเดียว สักพักมีกลุ่มโจร 3 คน พังประตูเข้ามาหมายจะปล้นเอาทรัพย์สิน แต่เมื่อเห็นจี้ป๋อจึงตวาดใส่ว่า  "เฮ้ย !.....พวกโจรมาแล้ว ผู้คนหนีหัวซุกหัวซุนกันทั้งเมือง เจ้ายังกล้าอยู่อีกรึ ! .....จี้ป๋อ หันหน้าไปดูพวกโจรโดยไม่มีอาการตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับชี้ไปที่เตียงคนป่วย  แล้วตอบว่า  "ฉันมาเยี่ยมเพื่อนจากแดนไกล เขากำลังป่วยหนักเช่นนี้ จะให้ฉันตัดใจหนีเอาตัวรอดงั้นหรือ ? ถ้ามันเป็นโชคร้ายที่มาตาย ฉันก็ยินดีตายพร้อมกับเพื่อนเสียที่นี่ ! "   พวกโจรได้ฟังคำตอบที่จริงจัง อีกทั้งท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของเขาต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก และแล้วหนึ่งในกลุ่มโจรนั้นจึงพูดว่า  "ชายผู้นี้เป็นคนมีคุณธรรม น้ำใจสูงส่งจริง ๆ พวกเราจะทำร้ายเขาไม่ได้ ! "  และเมื่อจะกลับออกไป พวกโจรบอกกับจี้ป๋อว่า  "ท่านอยู่ที่นี่ดูแลเพื่อนให้ดีเถอะ พวกเราจะคอยคุ้มครองให้เอง ท่านอย่าได้กังวลใจเลย "   การคบหาสมาคมระหว่างเพื่อนกับเพื่อน สำคัญที่สุดคือ สัจจะและความจริงใจต่อกัน หากคบหากันเพราะหวังจะเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์จากเพื่อน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ความสัมพันธ์นั้นย่อมเกิดจากใจที่เสแสร้งจอมปลอม  แต่สำหรับจี้ป๋อ การที่เขาไม่ยอมหนีเอาตัวรอด ไม่ใช่เพราะหมดโอกาสหรืออับจนหนทาง หากแต่ด้วยความจริงใจ ไม่หวั่นแม้ความตาย ใครจะนึกบ้างว่า กระทั่งพวกโจรยังซึ้งใจ  นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า จิตใจที่ศรัทธาจริงใจ ยึดมั่นในคุณธรรม เป็นเสมือนเกราะเพชรปกป้องคุ้มกันภัยได้

Tags: