collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร  (อ่าน 22398 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        สมัยก่อนคิดว่ามาจากพิษเหล้า แต่ปัจจุบันพบแล้วว่ามาจากบริโภคเนื้อสัตว์มากและยังพบอีกว่าพวกบริโภคเนื้อ มักจะเป็นโรคเบาหวาน การสูบฉีดของเลือดไม่ดี เป็นผลทำให้สมองผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดการช็อคขึ้น เป็นลมหมดสติไป การบริโภคเนื้อได้ลดสารต่อต้านมะเ็ร็ง จึงเกิดเป็นมะเร็งกันมาก บริโภคเนื้อดื่มเหล้ามากไป เกิดโรคไตอักเสบได้ง่าย เอาเถอะ !  ข้าจะไม่พูดเรื่องการแพทย์กับท่านมากนัก ข้าเพียงแต่อยากให้พวกท่านได้รู้ว่าปัจจุบันมีความจริงมีหลักฐานพิสูจน์กันได้เพื่อแสดงให้เห็นว่า การบริโภคเนื้อมีโทษอย่างแน่นอน มิใช่พูดลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐาน ในฤดูร้อนเนื้อก็เน่าเสียได้ง่าย พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นกินเนื้ออันตรายมากซึ่งเป็นเรื่องพื้น ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เนื้อที่เกิดหนอนขึ้นเป็นประจำนี้ ก็เข้าไปในปากของเราทุก ๆ วัน ระวังเถอะ สักวันหนึ่งก็จะเจอดีขึ้น น่ากลัวจริง ๆ !  ข้าจะพูดเกี่ยวกับการกินเจอีกครั้งหนึ่ง การกิน การดื่ม มีปัจจัยที่สำคัญคือ เพื่อการดำรงชีวิต ดังนั้นอาหารที่เรารับประทาน จำเป้นต้องหาสิ่งที่มีคุณค่าด้านพลังงาน สิ่งควรรู้ก็คือพลังงานที่ได้เป็นพลังงานจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานความร้อน ภายใต้ฟ้าดินนี้ก็มีเพียงธัญพืชที่เติบโตภายใต้แสงอาทิตย์ สามารถดูดซึมพลังงานได้มากที่สุด และสามารถให้พลังงานได้สูงสุดก็คือ พืชพวกให้เมล็ด  ถ้าหากเราแยกธาตุต่าง ๆ จากเนื้อสัตว์เราจะพบ "กรดอะิมิโน แลคโต๊ด" และเกลือเร่ต่าง ๆ พวกพืชที่ให้เมล็ดเช่น ข้าว ข้าวสาลี และถั่วต่าง ๆ  ก็มีธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ครบถ้วน แถมยังมีกรดอะมิโนซึ่งเป็นพวกโปรตีนถึง ๔๐ % มากกว่าในเนื้อสัตว์เสียอีกซึ่งมีเพียง ๒๐ % เท่านั้น โปรตีนเนื้อสัตว์ย่อยลำบาก เนื่องจากโครงสร้างประกอบการขึ้นเป็นเนื้อของสัตว์ และมีคุณค่าด้อยกว่า ดีเลว ระหว่างโปรตีนของพืชและเนื้อสัตว์แล้ว ท่านก็จะได้เห็นอย่างกระจ่างชัด ! อาหารการกินของเราที่จริง ควรเลือกจากใหม่สดมิใช่หรือ ภายใต้ฟ้าดินนี้การเจริญเติบโของธัญพืชอาศัยแสงอาทิตย์ ฝนฟ้าซึ่งบริบูรณ์ในการเลี้ยงชีวิต ไม่จำเป็นต้องไปกินของเก่าที่เน่าเปื่อยง่าย และไร้คุณค่าอย่างเนื้อสัตว์นั้นเลย ! ถ้าหากเปรียบเทียบ การกินเจกับเนื้อสัตว์ แล้วละก็ เราจะเห็นความแตกต่างได้หลาย ๆ อย่างเช่น คนกินเจจะมีอายุยืนกว่า พวกกินเนื้อสัตว์จะอ่อนแอง่าย การบริโภคเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดกามราคะมากกว่าการกินเจ พวกกินเจจะมีประสาทที่สดชื่น การบริโภคเนื้อประสาทจะขุ่นเครียด ผู้กินเจจะมีสมองที่ฉับไว ส่วนผู้ที่บริโภคเนื้อสมองจะทื่อทึบ กินเจจะมีพลังวังชายาวนาน เลือดจะสดใส ทำให้มีความต้านทานโรคสูง ผู้บริโภคเนื้อพลังวังชาจะน้อย และเส้นเลือดจะขุ่นข้นและทำให้เจ็บป่วยง่าย ในการแข่งขันกีฬานานาชาติ ผู้ที่ได้รับชัยชนะส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคพืชผัก  ซึ่งเป็นหลักฐษนยืนยันได้ เราจะพบว่าผู้ที่สามารถตั้งตัวได้ ไม่ว่าส่วนบุคคลหรือส่วนรวม ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่มีเลือดร้อน อารมณ์รุนแรง คนโบราณกล่าวได้ดีว่า "ผู้บริโภคเนื้อคนชั้นต่ำ" ถ้าหากเราจะเป็นคนมีสง่าราศีละก็ ต้องขจัดการบริโภคเนื้อเสีย หันมากินเจมันไม่เพียงแต่มีประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายเท่านั้น มันยังก่อให้เกิดสันติสุขอันไร้ขอบเขตของจิตใจด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๕ ตอนนี้เป็นบทสุดท้ายแล้ว ข้าเป็นพุทธศาสนิกชน ข้าขอใคร่วิจารณ์เกี่ยวกับศีลข้อห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มิใช่มีเพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น มันเป็นหลักข้อสำคัญที่มีอยู่ในธรรมของหลักศาสนาอื่น ๆ ทั่วไป เป็นหลักปฏิบัติของมนุษย์ธรรม ด้วยศาสนาพุทธมีข้อห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีเหตุผลที่เคร่งครัด ไม่ว่าศีล๕  ศีล๑๐ หรือศีล ๒๒๗  หรือศีลโพธิสัตว์ ต่างก็มีศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นข้อแรกด้วยกันทั้งนั้น ถ้าพร้อมที่จะก่อกุศล ต้องเริ่มจากศีลข้อนี้ อันว่าผู้คนในโลกนี้ ทุก ๆ คนก็ล้วนแล้วแต่บริโภคเนื้อกันทั้งนั้น และก้ไม่ได้รับโทษเพิ่มอะไรเลย จะไปกลัวอะไรกัน? เฮ้อ ! คนที่มีใจแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปถามเขาอะไรอีกแล้ว ลองพิจารณาพื้นจิตของพวกเขา ถ้าหากปล่อยปละละเลยศีลข้อนี้  เรื่องเกี่ยวกับชีวิตก็ไม่อยู่ในสายตาเช่นกัน แน่นอนเราต้องเข้าใจการห้ามฆ่า และการคุ้มครอง ซึ่งต้องมีอยู่ในทุกตารางนิ้วของจิตใจ โดยไม่ต้องคำนึงว่าข้างนอกจะมีกฏการห้ามฆ่าหรือไม่? หากไม่ถือโอกาสนี้ทดสอบพื้นจิตตนให้แผ่เมตตาจิตออกไปละก็ สักวันหนึ่งโอกาสนี้จะสูญไป เมื่อถึงเวลานั้นหน้าตาเปลี่ยนไป (เกิดเป็นสัตว์) แม้จะมีร่างกายก็จะทำอะไรได้? แม้จะมีหู มีตา ก็ไม่สามารถจะเห็นจะได้ยินได้ แม้มีความในใจก็ไม่สามารถจะเปิดเผยออกมาได้  ท่านทั้งหลาย ! อย่าคิดว่ามีอายุยืนได้ถึงร้อยปี ชั่วพริบตาก็จะเปลี่ยนชาติกำเนิด คิดแล้วใจหาย !  ทุกคนรู้แต่เพียงว่าชาตินี้ข้าเกิดมาเป็นคน หารู้ไม่ว่า ชาติที่แล้วมาได้เกิดเป็นสัตว์อื่นประเภทไหนบ้าง แล้วชาติต่อไปข้างหน้า จะไปเกิดเป็นอะไรอีกเล่า? ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าว "สัตว์ที่ถูกฆ่าตายในชาตินี้ ก็เป็นญาติมิตรของข้าในชาติก่อน"  กล่าวอย่างเชือดเฉือนที่สุด มิได้กล่าวเท็จ พุทธพจน์ที่ว่า "คนมีความคิดความจำดุจผืนนากุศล และอกุศลที่เกิดขึ้น เป็นเมล็ดพันธุ์ หากมีจิตคิดฆ่าเกิดขึ้น เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะฝังเข้าไปในผืนนาแห่งความคิด ความจำ กลายเป็นเคราะห์กรรม ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตายไปตลอด"  สรรพสัตว์ที่ถูกฆ่า ก็จะเกิดความเคียดแค้นขึ้น ก็จะถูกฝังเข้าไปในผืนนาแห่งความคิดความจำนี้ กลายเป็นเวรกรรมที่เคียดแค้นไปตลอดไม่มีสิ้นสุด ชาติแล้วชาติเล่า  ด้วยกฏแห่งกรรมนี้ จะตามล้างตามสนองซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเวลาที่จะสิ้นสุดลง  พระแห่งสระประทุมกล่าวว่า "ข้าร้องต่อผู้คนว่าไม่กล้าบังคับเจ้ากินเจ แต่จะเตือนเจ้าห้ามฆ่าสัตว์ ครอบครัวที่ไม่ฆ่าสัตว์ เทวดาคุ้มครอง เคราะห์กรรมลบล้างไปอายุยืนยาว ลูกหลานกตัญญู ทุกสิ่งเป็นสิริมงคล" ซึ่งไม่อาจกล่าวได้หมด  คำพูดที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เอาใจคน ความจริงเป็นกฏแห่งกรรม อะไรคือกฏแห่งกรรม?  ข้าจะกล่าวเป็นการปิดท้ายรายการนี้ ! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้  ล้วนแล้วแต่เป็นผลของกรรมเกี่ยวข้อง  การเกิดการตายในชีวิตของคนเรานั้น บุญมากหรือบุญน้อย เจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมลง อยู่ในประเทศหนึ่งหรือที่ที่หนึ่ง ที่เจริญหรือเสื่อมลง มิใช่เกิดขึ้นโดยการบังเอิญ และไม่ใช่เกิดจากการว่างเปล่า ดั่งคนโบราณกล่าวว่า "สั่งสมบุญกุศลเป็นสิริมงคลเหลือล้น สั่งสมอกุศลรับเคราะห์กรรมเหลือล้น"  คำว่า สั่งสม กับ เหลือล้น  ก็เป้นธรรมะของกฏแห่งกรรม  แล้วธรรมข้อนี้กับกฏการคำนวนเหมือนกัน  หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง สามคูณสามย่อมได้เก้า ซึ่งได้ผลลัพท์ที่แน่นอน เมื่อมีเหตุดังนี้ก็ต้องมีผลดังนี้ เนื่องจากเหตุที่มีอยู่ ผลที่ได้ย่อมปรากฏปริมาณของผลที่ได้ย่อมสมดุลกับเหตุที่มีอยู่  ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ของกฏแห่งกรรมนี้ หวังว่าผู้คนคงเข้าใจ เหตุและผลที่สับสนก็ไม่อาจเข้าใจได้ เหตุอันหนึ่งที่ปลูกลงไปไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาหากไม่สนองตอบมาให้นั้น ย่อมต้องมีเหตุการณ์อื่นสร้างไว้ปะปนเข้าไป  แต่ก็ไม่พ้นการสนองตอบให้เช่นเดียวกัน ทำให้เหตุผลอันนี้ไม่ใช่เหตุผลอันเดียวกัน แแต่กลายเป็นเหตุและผลหลาย ๆ อัน สับสนกันเท่านั้นแหละ การเปลี่ยนแปลงสับสนร้อยแปดของคนในโลกนี้ กับการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดของใจคนนั้น มีการเกี่ยวพันสนองตอบซึ่งกันและกัน ดังนั้น ในช่องทางเกิดทั้งหกช่องทางนั้น จะมีสภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ความนึกคิดของจิตใจคนนั้น ไม่เคยหยุดยั้งเลย จึงเกิดมีผลดีและผลร้ายสนองตอบซึ่งกันและกัน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ดังนั้น กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ที่สนองตอบก่อนหลัง ล้วนมาจากเหตุการณ์กระทำที่เปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนตามไปด้วย ้หตุของกรรมเทื่อมีโอกาสเปลี่ยนไปตามเวลา ผลการตอบสนองก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงนั้น  จะมีการสับสนแต่เหตุและผลเปรียบเสมือนเจ้าหนี้มาทวงหนี้  ฝ่ายใดมีกำลังกว่าก็ดึงไปเอาก่อนเท่านั้น ดังคำที่ว่า "ชั่วหรือดีย่อมตอบสนองในที่สุด"  เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น เหมือนปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว เป็นสิ่งแน่แท้ที่สุด เนื่องจากพระพุทธเจ้ามีทิพย์เนตร ส่องได้ทั่วทุกทิศแจ้งทะลุทั้งสามโลก ไม่มีสิ่งบดบังจึงกล่าวว่า การตอบสนองตามกฏแห่งกรรมล้วนยึดหลักที่แท้จริง เนื่องจากพระพุทธเจ้า ทรงแลเห็นอย่างนั้น เนื่องจากได้หลุดพ้นจากกาลสมัย  ไกลสุดถึงความเป็นมาของเคราะห์กรรม เห็นได้ชัดเจนเหมือนเราแลเห็นสิ่งของต่าง ๆ ต่อหน้าต่อตา แต่ตาเนื้อของเราเห็นเพียงสิ่งของที่วางอยู่ต่อหน้าเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถเห็นเหตุผลที่อยู่เหนือกาลเวลา ตาเนื้อแลเห็นสิ่งของไม่ว่าจะชัดเจนเพียงไร ถ้ามีกระดาษมาคั่นกลางก็ไม่สามารถเห็นของได้อีกแล้ว อย่าว่าเหตุผลที่อยู่เหนือกาลเวลาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื่องจากสรรพสัตว์อยู่ในวัฏสงสาร เวียนตายเวียนเกิดติดต่อกันไป ความจำกัดก็เปลี่ยนแปลงไป ขันธ์ห้าบดบัง เหมือนกระดาษบังตารู้แต่ชาตินี้ ชาติที่แล้วหารู้ไม่ เราควรรู้ว่า ปัญญากับความรู้นั้นต่างกัน  ปัญญาเกิดจากบรรลุฉับพลันฉายส่องไม่มีบดบัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีที่ไม่รู้เรื่องของความรู้ จะเป็นเรื่องที่มีขอบเขต เป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถจะตรึกตรองนึกคิด ซึ่งคนธรรมดาสามารถมองเห็นจับต้องได้ และคิดถึงได้ ปัจจุบันนี้ความรู้ทั้งหลายนี้ เช่น วิทยาศาสตร์ วิชาปรัชญา เราเป็นพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาไม่มีข้อขัดแย้ง ยังต้องยินดีส่งเสริมด้วยซ้ำ !  ถ้าหากคิดจะเอาความรู้ มาตำหนิพุทธศาสนา ตีคุณค่าของพุทธพจน์หรือกล่าวร้ายต่อพระธรรมซึ่งไม่สมควร
และไม่มีความสามารถด้วย พวกเราเข้าใจหลักของวิทยาศาสตร์ซึ่งหนักไปทางด้านพิสูจน์ได้ จึงจะเชื่อถือ แล้วเอาวิธีการอะไรพิสูจน์ล่ะ? ก็คงไม่พ้น อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าไปพิสูจน์ใช่ไหม? วิธีพิสูจน์จะละเอียดแค่ไหน ก็ไม่พ้นจากอวัยวะทั้งห้านี้ ขอถามหน่อยเถอะว่า อวัยวะทั้งห้านี้เชื่อถือได้มากแค่ไหน? ตัวอย่างอุจจาระ คนจะรู้สึกเหม็นจนไม่อยากเข้าใกล้  แต่สุนัขสามารถกินได้ จะพบว่าลิ้นที่ใช้ชิมรสก้ไม่สามารถเป็นมาตรฐานได้ แล้วรอยเท้าที่คนเดินผ่านไป สุนัขสามารถดมตามกลิ่นได้ แต่คนมีความสามารถไหม ?  ที่เหลืออีกมากมายก็เช่นเดียวกัน เมื่อมองดูแล้ว คำถามคำตอบของวิทยาศาสตร์ ก็ล้วยอาศัยอวัยวะทั้งห้าไปค้นคว้า จะมีความสามารถไปเสียทุกอย่าง ใครเชื่อก็บ้าล่ะ ?  ถ้าเราถอยหลังมาพูดว่า เชื่อถือวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ามานั้น เป็นสิ่งที่แน่แท้ แต่ว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล สภาพของคนนนั้นเล็กจนไม่อาจเทียมกันได้  ยิ่งความคิดเห็นของที่มีมายิ่งมีขอบเขตจำกัดเหลือเกิน แถมด้วยความคิดเห็นอันจำกัดแค่นี้ ยังยึดมั่นเชื่อถือไม่ได้ด้วย? ฉะนั้น จึงต้องใช้ปัญญาธรรม จึงจะยืนยันได้ และให้ความสว่างแจ้งถึงกฏเกณฑ์ของทุกอย่างในโลกที่เกิดขึ้น  หากใช้เอาแต่ความรู้จะทำไม่ได้แน่นอน ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ยอมเชื่อกฏแห่งกรรม ก็ยังคงยึดถือหลักของวิทยาศาสตร์ ที่ต้องพิสูจน์ได้จึงจะเชื่อ แต่ถ้าพูดถึงการพิสูจน์ ไม่ควรเพียงพิสูจน์โดยหูและตาเท่านั้น ควรจะเชื่อผลพิสูจน์จากส่วนรวมที่กว้างใหญ่ หลักฐานก็ควรเอาคำกล่าวอ้างของนักปราชญ์ตั้งแต่โบราณจนถึงนักปราชญ์ปัจจุับัน มาเป็นหลักฐานถึงจะถูกต้อง ตั้งแต่โบราณมามีหลักฐานมากมายก่ายกองให้เราได้เห็น ถ้าหากยังเหลือข้อสงสัย ยังต้องรอให้ตนเองไปพิสูจน์ค้นพบแล้วจึงจะเชื่อ แม้จะมีหลักฐานยืนยันแล้ว ก็ยังมีข้อสงสัยไม่ยอมเชื่องั้นหรือ?  พระอิ้งกวง กล่าวว่า "การสนองของกฏแห่งกรรม มีมากมายในคัมภีร์ น่าเสียดายที่นักปราชญ์ไม่ยึดถือ เป็นเรื่องเกิดเรื่องตาย" ดังนั้น การได้เห็นก็ถือว่าไม่เห็น เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีบุญกุศลดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานจึงจะยอมเชื่อถือ ส่วนพวกที่บาปหนัก ถึงแม้มีหลักฐานก็ตามก็ยังไม่เชื่อถือ แต่จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของแต่ละคน หลักฐานก็ยังเป็นหลักฐาน กรรมตามสนองเป็นของจริงที่แน่แท้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแล้วไม่ยอมรับ แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ได้ ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นเป็นเรื่องยุ่งยากเฉพาะหน้า ในที่สุดก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงผลกรรมที่ก่อไว้ได้น่าอนาถจริง ๆ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        ลังกาวตารสูตร   :   หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน

        เจ้าแม่ถือมังสวิรัติ อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาเซ่นไหว้  ประวัติเจ้าแม่เป็นชาวเมืองมี้จิว อำเภอโป้วชั้ง มณฑลฮกเฮี้ยน ในสมัยราชวงศ์ซ้อง ชื่อฮุ้งมิก แซ่ลิ้ม ตั้งแต่เล็กก็กินเจสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกฝนความเพียรจนบรรลุนิพพาน ได้รับราชโองการจากเง็กอ้วงฮ่องเต้ ให้เป็นเจ้าแม่แห่งสรวงสวรรค์ โดยปกติมักอวตารมาช่วยชาวประมงอยู่เป็นนิจด้วยเหตุฉะนี้ ชาวเมืองทางมณฑลตะวันออกเฉียงใต้ จึงนับถือยิ่งนัก เจ้าแม่มีความเมตตากรุณา ผู้สวดอ้อนวอนมักจะได้รับการช่วยเหลือ มีปรากฏหลักฐานสืบทอดกันมาเป็าร้อย ๆ ปีจึงเป็นที่นับถือของชาวประมงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  ชาวประมงจึงเซ่นไหว้นับถือเป็น "เจ้าแห่งท้องสมุทร" ไม่กี่ปีมานี้ด้วยการปกครองของรัฐบาลไต้หวัน ทำให้เศรฐกิจเจริญรุ่งเรืองประชาชนมั่งมีศรีสุข ถึงแม้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าก็ตาม แม้แต่ชาวเมืองที่ไม่ได้เป็นชาวประมงก้พากันเคารพนับถือมากมายนับไม่ถ้วน เนื่องจากคมนาคมสะดวก ศาลเจ้าทุกแห่งจะมีพวกนับถือไปกราบไหว้มากมาย โดยเฉพาะวันคล้ายวันเกิดในวันที่ ๒๓ เดือนสาม ของปฏิทินจันทรคติจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม พวกที่นับถืออย่างจริงใจ ก้ยังมีความผิดพลาดมหันต์อยู่อันหนึ่ง นั่นก็คือ เมื่อเจ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าแม่ถือมังสวิรัติ แต่ปัจจุบันพวกสาธุชนก็ยังคงฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอาสัตว์ไปเซ่นไหว้เจ้าแม่ แม้จะได้รับการเซ่นไหว้เช่นนี้  แต่เจ้าแม่รับไม่ได้ยังไม่พอ เจ้าแม่ทุกข์โศกหลั่งน้ำตา  สงสารสัตว์เหล่านั้นที่ถูกฆ่า อันนี้เป็นนิสัยที่สืบทอดกันมา  และก็ไม่มีใครแนะนำชักจูงให้ใช้ดอกไม้สด และผลไม้มาเซ่นไหว้ก็พอ เนื่องจากเจ้าแม่มีเมตตามหากรุณา ช่วยเหลือมวลมนุษย์มากมายให้พ้นจากเคราะห์กรรม ถ้าหากพวกเราจะตอบแทนบุญคุณเจ้าแม่  นับถือเจ้าแม่ละก็ พยายามทำความดีก่อกุศล ช่วยเหลือผู้คน ช่วยสังคม จึงจะเป็นที่ต้องประสงค์ ประกอบความเพียร และกินเจ  ถ้าจะมากราบไหว้ที่ศาลเจ้า ก็ควรกินเจอาบน้ำให้สะอาด  จิตใจผ่องใส สำรวมมารยาทเพียงคำนับหรือไหว้ หรือคุกเข่าไหว้ก็ตาม จิตใจเต็มไปด้วยความนับถือ เท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมต้องตัดชีวิตสัตว์มาเซ่นไหว้ ? หรือพวกที่อยากจะขอความเมตตาให้ช่วยเหลือเพียงธูปเทียนดอกไม้ และผลไม้ แล้วนั่งอธิษฐาน แสดงความในใจ เจ้าแม่ก็จะรับรู้ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมต้องฆ่าสัตว์อีกเล่า? หากว่าระลึกถึงบุญคุณ เมื่อเข้ามายังศาลเจ้าแล้วกล่าวถวายสิ่งที่ปฏิบัติดี คุณธรรมที่สร้างไว้ กราบเรียนต่อหน้าเจ้าแม่ ก็จะเป็นที่ชื่นชมของเจ้าแม่มาก ?  ดีกว่าต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อกระดาษเงินกระดาษทองมาไหว้เจ้าแม่ ซึ่งท่านไม่ได้ใช้ ? หากจะฉลองวันคล้ายวันเกิด ของเจ้าแม่ยิ่งไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอันขาด มีประวัติกล่าวว่า ตอนเจ้าแม่มีชีวิตอยู่ในโลกเป็นลูกที่กตัญญูมาก วันลาโลกของแม่ จะต้องสวดมนต์สักการะบูชาพระ เพื่ออุทิศกุศลให้พ่อแม่อายุยืนยาว  แต่ทุกวันนี้ เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่ มีการฆ่าสัตว์เป็นการใหญ่ เป็นวันที่สูญเสียชีวิตสัตว์ แล้วเอาสัตว์นั้นมาไว้บนโต๊ะบูชา เพื่อขอพรให้พ่อแม่อายุยืนยาว หรือขอพรกับเจ้าแม่ หรือเอามาแก้บนต่อเทพเจ้า ยิ่งดูน่าเศร้าสลด แม้แต่มดน้อยตัวหนึ่งที่ไร้ปัญญา เจ้าแม่ก็ยังเมตตาไม่ถือโทษ เจ้าแม่ผู้มีมหาเมตตา จะไม่เศร้าสลดใจได้อย่างไร? กับการกระทำข้างต้นนี้ เจริญพร !  สวรรค์อยากเอ่ยแต่ไม่มีวจี อยากพูดก็ไม่มีเสียง มีใครรู้บ้างไหมว่าวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่เพ่งมองมายังเบื้องล่างสรรพสัตว์ไม่ยอมฝึกฝนความเพียร เอาแต่เล่ห์เหลี่ยมต้มตุ๋นเงินทอง  "ไม่สะสมบุญบารมี ตรงกันข้ามก็เอาแต่ขอให้พระช่วยเหลือ" หรือถามหมอดูวุ่นวายไม่หยุดหย่อน สูญเปล่าไปชั่วชีวิต ตกอยู่ในทะเลทุกข์วนเวียนไม่จบ ตอนนี้จิตของเจ้าแม่คงทุกข์โศกยิ่งไม่ใช่หรือ? และยิ่งได้เห็นวันคล้ายวันเกิดของตนเอง ผู้คนกลับสร้างบาปก่อเวรหนักยิ่งขึ้น (ฆ่าสัตว์เอามาเซ่นไหว้) ชาวบ้านไม่เข้าใจ "กฏแห่งกรรม" กันเลย ตรงข้ามซากสัตว์บนโต๊ะบูชา เอามาขอบุญต่อชีวิต เจ้าแม่ก็ได้แต่เศร้าเสียใจหลั่งน้ำตามิใช่หรือ?     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     ลังกาวตารสูตร   :   หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน

        ดังนั้น จึงใคร่วิงวอนผู้คนที่อยากกราบไหว้เจ้าแม่ จงประพฤติแต่กรรมดี อ้อมอกสวรรค์แผ่กรุณา โดยเฉพาะผู้ที่จะตอบแทนเจ้าแม่ ควรประพฤติดีต่อสังคม สร้างคุณงามความดี ตัดโลภ โกรธ หลง เคารพฟ้าดิน เคารพเจ้าเทวดา เคารพพ่อแม่ เคารพบัณฑิต ต้องไม่พูดกล่าวร้าย พูดแต่ความดี อย่าพูดปลิ้นปล้อน อย่าพูดส่อเสียด จงพูดแต่หลักธรรมตักเตือนผู้อื่นประพฤติดี รักษาศีล ประกอบความเพียร ถ้าจะสร้างบุญบารมี ก็จงบริจาคข้าว โลงศพ สร้างสะพาน สร้างทาง ซ่อมสร้างศาลเจ้า วัดวาอาราม สร้างพระ พิมพ์หนังสือธรรมะ "บริจาคทรัพย์อย่าขี้เหนียว ออกแรงก็ไม่บ่น ไม่คิดให้ผลตอบแทน ไม่ต้องให้คนรู้" ทำบุญอยู่ตลอด ถ้าหากอวยพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ใช้แต่มังสวิรัติ เช่น ขนมท้อ เส้นหมี่ ผลไม้ ถ้าหากใคร่ใช้สัตว์ก็ใช้ถั่วจำลองร่างสัตว์ ไม่ควรฆ่าสัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะไม่ขอพรสวรรค์ก็บันดาลให้ เจ้าแม่ก็คุ้มครองด้วย  ถ้าหากจิตศรัทธา ก็ใช้ "อาหารเจและผลไม้"  ถ้าหากท่านอยากจะเลี้ยงแขก ที่กินเจสักคนหนึ่ง แต่ท่านก็เอาอาหารเนื้อสัตว์มาเลี้ยง ท่านลองคิดดูซิว่า แขกผู้นั้นจะกล้ากินหรือ ? การกระทำเช่นนี้จะมีความเกรงใจหรือไม่?  เหตุผลก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากเธอรู้ว่าเจ้าแม่เป็นผู้ถือมังสวิรัติ แล้วเราเอาอาหารเนื้อไปเซ่นไหว้ เธอคิดดูว่่าเจ้าแม่จะรับหรือ ? แต่ก็มีคนพูดว่า ลูกศิษย์ลูกหาของเจ้าแม่อาจกินเนื้อ แต่ชื่อที่เราเซ่นไหว้ก็คงเป็นชื่อของเจ้าแม่ มิใช่หรือ? ดังนั้น "ถ้าหากเป็นเทพเทวา ก็ต้องไม่เสพเนื้อสัตว์" เทพเทวาที่เที่ยงธรรม ย่อมพอใจลูกศิษย์ลูกหากราบไหว้แต่ของเจ งดเว้นการฆ่าสัตว์ เพื่อตอบแทนฟ้าดินที่รักทุกชีวิต เมื่อเจ้าแม่ถือเจ ลูกศิษย์ลูกหาย่อมได้รับการขัดเกลาอบรมบ่มนิสัยจากเจ้าแม่มานานแล้ว  ก็ย่อมไม่ชอบเสพเนื้อ มิฉะนั้นจะได้รับเป็นลูกศิษย์เจ้าแม่หรอกหรือ ดังนั้น เมื่อเธอมีจิตศรัทธาจริงก็จงใช้อาหารเจไหว้พระ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากพระแน่นอน "ถามไม่ตอบ เนื่องจากไม่ควรใช้ซากสัตว์"  ประมาณ ๒ ปี ได้ยินเขาเล่าว่า ในหมู่บ้านฮกเฮง มีบ้านแซ่อึ้ง เป็นครอบครัวที่ซื่อสัตย์ และประพฤติธรรมอันดีงามมีแม่ผัวและลูกสะใภ้ ๒ คน ใช้อาหารเจไหว้พระ เนื่องจากในครอบครัวมีคนกินเนื้ออยู่มาก ปีนั้น วันคล้ายวันเกิดของเจ้าแม่ ลูกสะใภ้คนเล็กของตระกูลอึ้ง ได้เตรียมเป็ดไก่ไปไหว้เจ้าแม่ชุดหนึ่งไปไหว้เจ้าแมีที่ศาลเจ้า พอไหว้เสร็จก็เอาไม่ปวย ( คือไม้คู่รูปร่างคล้ายรูปไต่ผ่าซีกมักวางไว้บนโต๊ะบูชา ใกล้ ๆ กับกระบอกเซียมซี  มีไว้ถามเจ้าว่าดีหรือว่าไม่ดี ได้หรือไม่ได้ โดยการโยนไม้คู่ขึ้นไปบนอากาศแล้วปล่อยให้ตกลงมายังพื้น ถ้าไม้ข้างหนึ่งหงายอีกข้างหนึ่งคว่ำ ก็ถือว่าเจ้าเห็นด้วย หรือว่าดีหรือได้ แล้วแต่คำถาม ถ้าไม้ออกมาในรูปคว่ำทั้งสองอัน แสดงว่าไม่ตอบ ถ้าไม้หงายทั้งคู่ แสดงว่าไม่เห็นด้วย ) ขึ้นมาทำท่าไหว้ แล้วก็ถามเจ้าแม่ไปว่า ของที่นำมาไหว้นี้ พอใจหรือไม่ ผลปรากฏว่าไม่ทรงตอบ แม้จะโยนสักี่ครั้ง ๆ ก็คงเหมือนเดิม เลยถามว่ากระดาษเงินกระดาษทองน้อยไปหรือ? ก็ไม่ใช่ เพราะลืมเอาเหล้ามาถวายใช่หรือไม่? ก็ไม่ตอบ หรือไก่ที่นำมาไหว้เล็กไปหรือ ? ก็ไม่ใช่ หรือเพราะของนำมาไหว้น้อยไปหรือ? ก็ไม่ใช่ ถามไปถามมาคิดไม่ออก ฉับพลันจิตใต้สำนึกก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เลยตอบไปว่า "เป็นเพราะว่าศิษย์กับแม่ย่ากินเจ แล้วนำอาหารสัตว์มาไหว้ เจ้าแม่ไม่พอใจใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็โปรดตอบ " พอถามเสร็จก็โยนไม้ปวย ปรากฏว่าไม้คว่ำหงายอัน แสดงว่า "ใช่" เธอรู้สึกกลัว เลยบอกว่า ถ้างั้นก็ขออภัยและคราวต่อไปจะงดอาหาร เธอรู้สึกกลัวเลยบอกว่า ถ้างั้นก็ขออภัยและคราวต่อไปจะงดอาหารสัตว์มาไหว้ จะนำอาหารเจมาไหว้ ดังนั้น สองปีที่ผ่านมานี้ ลูกสะใภ้บ้านแซ่อึ้ง ก็นำแต่ของเจมาไหว้ "อาหารเนื้อสัตว์ หมูเห็ดเป็ดไก่ เต็มโต๊ะ เจ้าได้รับแต่เพียงอาหารเจชุดเดียว" มีตระกูลแซ่จัง  ในเมืองจั้งฮัว ตั้งแต่ปู่ ย่า จนถึงลูกหลานต่างก็กินเจทั้งสามชั่วโคตร ทั้งครอบครัวมีสุข บุญบารมีล้นฟ้ามีวันหนึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของเจ้าองค์หนึ่ง ผู้คนนำหมู เห็ดเป็ดไก่ ไปไหว้กันเต็มโต๊ะไปหมด ยังกับแข่งขัน แสดงอวดกัน คุณนายจังไปทีหลัง เนื่องจากครอบครัวกินเจ ก็เลยใช้ถั่วลิสงทำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ กัน ชุดเล็ก ๆ หนึ่งชุดมาไหว้ ตอนนี้บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยเป็ดไก่ ไม่มีที่จะวางได้ คนเฝ้าศาลเห็นดังนั้น ก็เลยนำอาหารเจชุดนี้ไปไว้เหนือโต๊ะ พอดีลูกสะใภ้ตระกูลจังมาถึง แลเห็นว่า อาหารข้างบ้านตนเป็นอาหารชุดเล็ก ๆ เป็นที่สนใจของผู้พบเห็น ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจแต่ว่าไม่นานนัก พอเจ้าเข้าทรงเขียนออกมาว่า ในบรรดาของที่นำมาไหว้มากมาย เจ้าได้รับเพียงอาหารเจชุดเดียว เป็นของศิษย์ตระกูลจัง ทำให้บรรดาเทพเทวาต่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง  จากจุดนี้เอง ทำให้รู้ว่าเทพเทวาไม่ต้องการให้ผู้คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดีใจที่คนเอาอาหารเจมาไหว้ ดังนั้น ที่ ๆ เทพเทวาอยู่จะปราศจากคาวโลกีย์ ก็ย่อมพอใจ ความสะอาดของอาหารเจ เกลียดอาหารเหม็นคาวของเนื้อสัตว์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ลังกาวตารสูตร : สารจากยมบาล
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: 31/08/2554, 03:06 »
                    ลังกาวตารสูตร   :   สารจากยมบาล

        ผู้คนอย่าดูชาตินี้เพียงชาติเดียว ควรพิจารณาว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริง ผลที่ได้รับในชาตินี้ สืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน ดังนั้นผู้ที่ยากจน หรือมีโรคมากก็จงอย่าโทษฟ้าดิน หรือคนอื่น ควรรีบสร้างบุญสร้างกุศล ผู้ที่มีบุญวาสนา ก็ยิ่งต้องรักบุญกุศลสะสมบุญบารมีอีก มิฉะนั้นพอหมดบุญลง "เคราะห์กรรมมาถึงก็จะได้ลิ้มรสผลชั่วของตนเอง" ตลอดชีวิตของคน ตอนที่ใกล้จะตายได้สังเกตุอวัยวะทั้งห้าว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ร่างกายแข็งทื่อหรืออ่อนนิ่ม ใบหน้าปกติหรือไม่จะได้รู้ว่าผู้ตายจะไปสู่สุขคติหรือลงสู่ขุมนรก ให้พิจารณาดูดังนี้  : 
        ๑. ตอนตายใหม่ ๆ ถ้าหากหน้าตาปกติร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ก็เนื่องจากได้บรรลุธรรมดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ
        ๒. ตอนตายใหม่ ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาซีดเผือดเหมือนคนตกใจ นั่นแสดงว่า วิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
        ๓. ถ้าตอนตายใหม่ ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจกลัว ทำให้เนื้อกายเปลี่ยนไป ซึ่งเรียกว่าเปลี่ยนลักษณะ จะไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดด้วยกัน เราก็ดูได้จาก " ตา  หู  จมูก  ปาก " เป็นทวารทั้งสี่ ที่ดวงวิญญาณจะไปเกิด เพราะตามีน้ำตา หูก็มีขี้หู จมูกก็มีน้ำมูก ปากก็มีน้ำลาย เป็นทวารที่ไม่สะอาดสี่ช่องทาง ดังนั้นเมื่อตายลงแล้ว ถ้าวิญญาณออกจากทวารต่าง ๆ นี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์สี่ประเภทคือ สัตว์เกิดจากรก  เกิดจากไข่  เกิดเป็นสัตว์น้ำ  และเกิดเป็นพวกแมลง
       
         " ตา "  พวกที่หลงกามคุณมากเกินไป พอจวนจะตายดวงตาจะเบิกกว้าง วิญญาณจะออกจากร่างทางทวารตา ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดจากไข่) เช่นพวกนกต่าง ๆ อันได้แก่ นกเหยี่ยว นกพิราบ นกนางแอ่น ฯลฯ เป็นต้น พวกนี้ ตาจะได้เห็นทั่วทั้งสี่ทิศ
       
         " หู "  พวกที่ชอบฟังเรื่องราวไม่ดี เรื่องร้าย ๆ ต่าง ๆ มากมาย พอตายลงหูทั้งสองข้างจะชันขึ้น วิญญาณออกจากทวารหู ชาติหน้าก็เกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากรก ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย หูจะเข้าใจภาษาคน ให้คนได้เรียกใช้สอย
       
         " ปาก "  พวกที่กล่าวร้ายทำลายผู้อื่น พูดจาเสียดสีนินทา กล่าวหาเกินเลย ก่อนจะตาย ปากจะอ้ากว้างไม่หุบ วิญญาณออกทวารปาก จะไปเกิดเป็นพวกสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นต้น ปากจะลิ้มรสของเหม็นของสกปรก
       
         " จมูก "  พวกที่ชอบหลงไหลกับกลิ่นหอม ชอบหาเงินที่สกปรก ก่อนจะตายจมูกจะเบิกกว้าง วิญญาณออกทางจมูก ชาติหน้าจะเกิดเป็นพวกแมลง เช่น ยุง แมลงวัน มด หนอนต่าง ๆ เป็นต้น เพราะจมูกชอบดมของเหม็นที่สกปรก ชอบอกชอบใจตนเอง พวกนี้เกิดในที่ชื้นแฉะ มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากบาปหนักวิญญาณจะถูกตีแตกกระจายไปเกิดเป็นแมลงต่าง ๆ

        เวลาคนตายลง วิญญาณที่ออกทางทวาร ตา  หู  จมูก  ปาก  นี้ล้วนมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี เนื่องจากทวารทั้งสี่เป็นทวารสำลอง ที่คอยช่วยเหลือ "เจ้าของธาตุแท้"  ถ้าหากใช้ทวารทั้งสี่ไปในทางที่ถูกต้อง ก็จะเป็น "ผู้เที่ยง ตรงทั้งสี่" หากใช้ในทางตรงข้ามก็จะกลายเป็น "สี่มหาโจร" ซึ่งจะทำลายเจ้าของในเวลาปกติ ถ้าใช้ทวารทั้งสี่ในทางเลวร้าย พอตายลง วิญญาณก็จะออกทางทวารเหล่านี้ โดยธรรมชาติ ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ต่าง ๆ  ๔ ประเภท จากหน้าตาของผู้วายชนม์ ก็สามารถหยั่งรู้ทางไปของเขา แต่ก็ต้องอาศัย เหตุต้นผลกรรม และบาปบุญคุณโทษที่มีอยู่ มาชำระคดีความ จึงสามารถได้ผลที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจากรูปลักษณ์ก่อนตายก็สามารถจะรู้ได้ถึงที่ทางที่เขาจะได้ไปดีหรือร้ายอย่างไร  ดังนั้น ทิศทางหมุนเวียนของคน ก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนเอง ผู้ที่มีตาทิพย์ย่อมเห็นได้เองโดยตลอด ขอให้ผู้คนเดินในทางตรง (สร้างบุญกุศล) อย่าเดินทางอ้อม (ก่อกรรมทำเข็ญ) ตอนจะจากโลกนี้ไป จะได้เดินทางโดยสวัดิภาพ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ลังกาวตารสูตร : ภาพแห่งความเมตตา
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: 31/08/2554, 03:26 »
                    ลังกาวตารสูตร   :  ภาพแห่งความเมตตา

        ภาพแห่งความน่ารักของเพื่อน (เกิด แก่ เจ็็บ ตาย)  หยุดการเข่นฆ่ากินเจกันเถอะ !  สัตว์ก็มีหัวใจ   
สัตว์ก็แสดงความรักได้   
สัตว์เขามีครอบครัวน่ารัก 
สัตว์ก็รักลูกเหมือนเรา   
เขาก็ง่วงนอนเหมือนเรา 
เขาก็เพื่อนเหมือนเรา

            เวไนย์คือเรา  เราคือเวไนย์

สุกรและ         มนุษย์นี้               มีชีวิต
ถูกลิขิต          จากกรรม             ที่ทำไว้
มีเจ็บปวด        มีกลัวตาย            มีจิตใจ
เหตุไฉน         จึงประหาร            ทุกวารวัน
เป็นอาหาร       ของมนุษย์           สุดอร่อย
เพื่อบำรุง         น้ำย่อย               ช่างหฤหรรย์
เป็นร้อยพัน       สรรมาฆ่า            พรรวยกัน
แต่กรรมนั้น       ใครได้รับ            ไว้กับคน
ยามสิ้นชีพ        ทรมา                น่าอดสู
ต้องมาร้อง        เสียงเหมือนหมู     ดูสับสน
มีสภาพ            คล้ายสัตว์            ไม่เหมือนคน
กรรมให้ผล        ในชาตินี้              นี่ของจริง
                                                        บทกลอน  :  ประภาพรรณ  เสน่ห์มิตร   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      ลังกาวตารสูตร   :   รักสัตว์  ไยจึงกินเนื้อสัตว์

        สุกรไก่             แพะโค             กุ้งเป็ดปลา
ต่างต้องมา                เป็นอาหาร          รับทานลิ้น
สัตว์ทั้งหลาย             ถูกฆ่าตาย           กายถมดิน
ช่างชาชิน                  กินเลือดเนื้อ        ไม่เบื่อกัน
คนกับสัตว์                 มีชีวิต                 รักชีวี
ต่างก็มี                     ความรู้สึก             มีโศกศัลย์
เปลี่ยนพฤติกรรม         การกิน                เสียใหม่พลัน
รับทาน                     มังสวิรัติกัน           ไม่ก่อเวร

                      ค่ำคืนอันเงียบเหงา

        ทุกราตรี            มีไก้ขัน               กันเซ็งแซ่
ช่างเงียบแท้               ตีห้า                  พาเปล่าเปลี่ยว
เจ้าคงเลือดนอง           เปื้อนมีด             พันเล่มเทียว
เขาคงเคี้ยว                แกล้มสุรา            พาเพลิดเพลิน
เป็นเพราะว่า               คืนนี้                  ส่งปีเก่า
สังหารเจ้า                  ทุกครัวเรือน         ไม่ขัดเขิน
ชีวิตสัตว์                    น่าสงสาร             เสียเหลือเกิน
เพราะบังเอิญ              คนเห็น                เป็นธรรมดา
ถ้ามนุษย์                   หยุดฆ่าสัตว์          ตัดชีวิต
เปลี่ยนความคิด            ที่ผิด                  กันทั่วหน้า
รับทาน                      มังสวิรัติ              ชั่วชีวา
มีศีลห้า                     บริสุทธิ์                หยุดสร้างกรรม

                      ขนของแม่   

แม่เพิ่งคลอด              ลูกนี้                   สี่ชีวิต
คนอำมหิต                 ปลิดชีวี                แม่ดับดิ้น
เหลือแต่กอง              ขนไก่                  บนพื้นดิน
ลูกจำกลิ่น                 แม่ได้                  ไม่คลายจาง
ต่อไปนี้                    จะมีใคร                 กางปีกปก
ลูกมีอก                    แม่อุ่น                   ไม่เคยห่าง
โอ๋แม่จ๋า                   ลูกมีแม่                  เคยนำทาง
ลูกอ้างว้าง                เพราะใครหนอ          เขาก่อเวร

                       ลูกแม่

โอ้ลูกแม่                  อยู่ไหน                 ใครรู้บ้าง
แม่อ้างว้าง                ว้าเหว่                   ถวิลหา
เคยกกไข่                 ด้วยยินดี                เสมอมา
อนิจจาเขา                เอาไปกิน               กันอิ่มใจ
เห็นเปลือกไข่            จำได้                    ใช่ลูกฉัน
ทุกคืนวัน                  เคยกอดกก             และชิดใกล้
มีมือมาร                   ประหารลูก              จากแม่ไป
มนุษยธรรม               อยู่ที่ไหน                ช่วยบอกที                                                                           

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”