collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร  (อ่าน 22395 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                     ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        น่าสังเวชที่ชั่วชีวิตของคนเรานี้ ตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่โตจนแก่ไม่เคยที่ไม่พ้นการฆ่าตั้งแต่แรกเริ่มคลอดครรภ์มารดาก็ถือโอกาสเลี้ยงฉลองด้วยการฆ่าชีวิต เพียงไม่นานพออายุครบเดือน ก็ฆ่าชีวิตเลี้ยงกันอีก พอครบขวบปีก็ฆ่าชีวิตกันอีก จนกระทั่งเติบโตได้เวลาแต่งงานถือว่าเป็นงานมงคลก็ฆ่าชีวิตอีก  โดยถือโอกาสไหว้เจ้าฆ่าชีวิต แต่งงานก็ฆ๋าชีวิต ซึ่งวนเวียนไปวนเวียนมา ฆ่ากันตลอดศก ล้วนแล้วแต่สังเวยปากท้องทั้งนั้น "ตลอดชีวิตสะสมแต่บาปเวร" ชีวิตที่ถูกเราฆ่านั้นไม่รู้จักกี่ร้อยกี่พัน ยังมีอีกตอนที่เจ็บป่วย ก็อยากต่อชีวิต ร้องขอชีวิตอยู่ แต่กลับทพลายชีวิต แล้วอย่างนี้จะมีชีวิตยืนยาวได้อย่างไร ชีวิตการแต่งงาน เป็นชีวิตคู่ที่เริ่มรักสมานฉันท์ เหตุไฉนกลับเชือดเฉือนพรากมันจากกัน การให้กำเนิดบุตรนั้นถึอว่าเป็นนิมิตอันดี แต่เหตุไฉนต้องฆ่าแม่ "ไก่" พรากลูกมันมีเหตุผลอะไรหรือ ?. โดยปกติคนเราเมื่อมีงานมงคล ก็ควรหาฤกษ์ยามและปฏิบัติสิ่งที่เป็นสิริมงคล จึงจะถูกต้อง เช่น อวยพรงานวันเกิด ควรใช้คำอวยพรให้อายุยืนยาวเหมือนเต่าเหมือนนกกระเรียน ถ้าอวยพรเพื่อให้เพิ่มบุตร ควรใช้คำพูดว่ามีบุญวาสนามีโชค ได้บุตรประเสริฐรุ่งเรืองสืบสกุล ในขณะที่เราอยู่ในความคิดที่ดี ๆ ก็เกิดมีการฆ่ากันอย่างมาก ๆ ขึ้นมา ก้จะบั่นทอนอายุที่ยืนยาวให้สั้นเข้า พวกที่ลูกมาก ก็มักจะด่าว่าให้ลูกฉิบหายตายเร็ว หน้าบ้านก็กล่าวอวยพรกันเอิกเกริก หลังบ้านก็เป็นแดนประหาร เสียงร้องอย่างตระหนกตกใจ เมื่อจวนจะตายมันน่าฉงนจริง ๆ ชีวิตบางชีวิต เหมือนตัวละครถูกฆ่าชีวิต  บางชีวิจอยู่ดี ๆ ก็ถูกฆ่า บางชีวิจก็ทรงอำนาจแล้วถูกฆ่าน่าแปลกแท้ ๆ ลองมาดูกันว่าอาหารมื้อหนึ่ง ๆ ของคนเราก้ไม่พ้นการฆ่าชีวิต เช่น นกกระจาบจานหนึ่ง ๆ ไม่น้อยกว่าสิบชีวิต พวกหอย พวกกุ้ง เป็นร้อยชีวิต จึงจะได้สักมื้อหนึ่ง แค่นั้นยังไม่พอต้องแต่งกลิ่น แต่งรส หาวิธีปรุงอาหารต่าง ๆ เพื่อให้รสชาติเหมาะชวนกิน บางอย่างก็กินกันสด ๆ เลือดสด ๆ กินกันอย่างพิสดาร กินกันอิ่มแล้วก็พออกพอใจ ถ้าหากทำมาช้าหน่อย ก้พาลอารมณ์เสีย ไม่เคยคิดถึงบุญคุณของ ของที่อยู่ในจาน ล้วนมาจากความเคียดแค้น ความทุกข์แสนสาหัส เพื่อปรนเปรอความสุขขั้นสุดยอดของท่าน โดยกลืนกินชิ้นส่วนของมัน ไม่เคยคิดถึงกรรมจะสนองอย่างไร?. เราลองคิดให้ลึกซึ้งอีกนิดว่าฉากแห่งความเหี้ยมโหดเกิดขึ้นขนาดไหน?. เพื่อสนองความต้องการของปากท้อง  ดังนั้น เมื่อฟ้าเริ่มสางของทุก ๆ วัน เพชฌฆาตที่นับจำนวนไม่ถ้วนมือถือมืด เพียงไม่ถึงชั่วยาม ชีวิตของสรรพสัตว์ เป็นแสนเป็นล้านต้องดับจมลง  ถ้าเอาซากศพมันมากองก็จะได้ภูเขาสูงมหึมา แล้วเลือดของมันมารวมกันก็จะไหลหลั่ง สามารถย้อมแม่น้ำได้ทั้งสายทีเดียว ดูสภาพอนาจน่าเวทนายิ่งนัก พวกมันทุกข์ยิ่งกว่าถูกโจรปล้นผลาญล้างเมือง ฟังเสียงร้องของพวกมัน สะเทือนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้อง  ตั้งแต่เช้าจรดค่ำจะพบแต่คมมีดกรีดแหวะท้อง ปลายแหลมทิ่มแทงหัวใจ  ถลกหนัง ถอดกระดูก ถอดเกล็ด เชือดคอลอกคราบ เอาน้ำร้อนต้มตุ๋น อีกทั้งเกลือเหล้าหมักดอง ทั้งหอย กุ้ง ปู ปลา ฟ้าเอ๋ย ! น่าสงสารเจ็บซ้ำยิ่งนัก ยากที่จะหาทางระบายออกมาได้ สร้างบาปมหันต์ จมปลักอยู่ในความแค้นนับหมื่อน ๆ ชาติ ซึ่งสืบเนื่องแต่ปากท้องทำให้ก่อเวรกรรมขึ้น 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                       ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๓. ความมีพรหมวิหารสี่  ความจงรักภักดี ความมีสัมมาคารวะ ความมีปัญญา และความดี สัจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรมีไว้ประจำตัว คุณธรรม ๕ ประการนี้ ถ้ารักษาได้เป็นปกติ ก็จะไม่ละอายตนเองเป็นบุคคลที่สง่าผ่าเผย อันชีวิตมนุษย์ที่อยู่ใต้ฟ้าดินนี้ มีสังขารเล็ก ๆ แค่เพียงเจ็ดฟุต เมิ่อยืนหยัดอยู่กับความกว้างใหญ่ของฟ้าดินที่แท้อาศัยกับอะไรเล่า?.มนุษย์ที่ยกย่องว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ  พึ่งพิงอยู่กับอะไร? ก็เพรราะมนุษย์มีคุณธรรมห้าประการ ที่สามารถยืนหยัดอยู่กับฟ้าดินอย่างไม่ละอายใจ และไม่ลอายในที่ยกย่องตนเองเป็นสัตว์ประเสริฐเลย แต่ทว่าที่ขาดศีลห้าข้อ ห้ามฆ่าสัตว์ เกิดการฆ่าชีวิตขึ้น ก็เป็นการทำลายความเป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรมประจำใจ เช่น ฆ่าตัวเขาเพื่อความอ้วนท้วนของตัวเรา ก็จะขาดพรหมวิหารสี่ พรากญาติขาดมิตรเขา เพื่อเลี้ยงดูเพื่อนพ้องตนเอง ก็เป็นผู้ขาดความจงรักภักดี ถ้าเอาเนื้อหนังมันมาไหว้เจ้า ก็จะขาดคุณธรรมข้อสัมมาคารวะ และที่ยกย่องว่าชะตาชีวิตล้ำเลิศต้องเสพกินคาวเลือด ก็เป็นผู้ที่ขาดสติปัญญาเอาเหยื่อล่อหลอกให้เหยื่อติดกับก็เป็นผู้ไร้สัจจะ เฮ้อ ! มันอาศัยอยู่ในโลกกิเลส ถ้าไม่รักษาคุณธรรมทั้งห้าก็จะไร้ความเป็นมนุษย์ไป เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เดรัจฉานแล้วมันจะแตกต่างกันมากน้อยเท่าไร จิวอันสือ กล่าวว่า "ความมีพรหมวิหารสี่เป็นธรรมข้อแรก ของคุณธรรม ความรักความเมตตาเกิดก่อนบุญกุศลทั้งหลาย" ถ้าหากเราต้องการมีคุณสมบัติครบถ้วนก็ควรปลุกใจเรา ให้มีพรหมวิหาร และการให้อภัย อะไรคือพรหมวิหาร อะไรคือการให้อภัย? นั่นคือ ทำจิตใจเราให้เผื่อแผ่ไปยังสัตว์ทั้งหลาย คิดเพื่อมันถ้าหากทำได้ แม้แต่คนที่ใจคอโหดเหี้ยมก็จะรู้สึกหวั่นไหวอ่อนลงได้ เมื่อทนทำต่อสังคมไม่ได้ ก็ยิ่งทนทำต่อคนคนด้วยกัน ก็เมตตาต่อสัตว์ด้วยเช่นกัน ผุ้ที่มีจิตใจรักสัตว์ก็ย่อมมีจิตใจรักคนทั้งหลายด้วย ดังนั้นจะพูดแทนสัตว์ว่า ใจที่ไม่ทนทำสิ่งเลวร้ายได้นี้ จะเห็นคนทั้งหลายดั่งพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ก็จะพ้นภัยพิบัติการฆ่าฟันกัน ได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ! ท่านลองหวนคิดดูซิ ตอนที่จะจับมันฆ่า มันตกใจกลัวขนาดไหน ถ้าบินหนีได้ก็จะบินหนี ถ้ามุดดินได้ก็จะมุด มันก็จะโทษฟ้าดินไม่ปราณีในเช่นเดียวกัน ถ้าเราถูกโจรจับ ขวัญหนีดีฝ่อมันมีอะไรต่างกันเล่า? มันก็น่าสงสารเหมือนกับสัตว์อย่างเดียวกัน ฆ่าไก่สักตัวหนึ่ง ฝูงไก่ที่เหลือก็ลนลาน ฆ่าหมูสักตัวหนึ่ง หมูที่เหลือก็ไม่ยอมกินอาหาร ถ้าพวกเราถูกโจรมันขังทั้งบ้านก็จะตกใจกลัวหรือหากมีใครตายลง ญาติมิตรของเราก็ร้องไห้ที่ต้องตายจากกัน มันก็ไม่ต่างกันใช่ไหม? ให้คิดถึงทุกชีวิตที่ถูกฆ่าเสียงร้องจะโหยหวน หวังจะได้รอดชีวิตมาแม้นเลือดจะหยุดหยด ลมหายใจจะขาดลง แต่เสียงร้องจะยังไม่หยุดลงทันที เหมือนกับพวกเรายามต้องโทษประหารก็หวังให้เทพเจ้าช่วยเหลือให้พระคุ้มครอง จิตวิญญาณกำลังแยกจากกัน ในเสี้ยววินาทีนั้นจะมีอะไรแตกต่างกันไหม?ถ้าหากคนกินเนื่อพูดว่ราสัตว์มันพูดไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นพวกใบ้ก็น่าจะถูกฆ่าด้วยใช่ไหม? ถ้าพูดว่าสัตว์มันมีบาปตกต่ำลง ถ้าเช่นนั้นพวกยากจนตกต่ำก็ควรฆ่าใช่ไหม? โอ ! มนุษย์หนอ? ชอบโทษว่ามันเป็นสัตว์ต่างประเภทต้องถูกกิน ตอนที่กินมันก็ถือว่าฉันเก่งกว่ามัน แต่ตอนที่จะฃดใช้กรรมมันก็น่าจะพูดว่ามันถูกต้องฉันนั้นผิดเอง ควรรู้ไว้ว่า คนและสัตว์ก็เหมือนกันรักชีวิตกลัวตาย รักใคร่เพื่อนพ้อง ถ้าถูกฆ่าก็รู้สึกทุกข์ร้อนเหมือนกัน ที่ต่างกันก็คือ คนมีปัญญา สัตว์โง่เขลา คนพูดได้ สัตว์พูดไม่ได้ คนเก่งกว่าสัตว์เช่นนี้เป็นต้น คนถ้าหากไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถป้องกันตัวได้ ถ้าพูดกันไม่ได้ ก็บอกกันไม่ได้ ถ้าหากเทียบพละกำลัง ถ้าน้อยกว่าเราก็ถือว่าแตกต่างกันอย่างนั้นหรือ? ก็ควรถูกฆ่าเอามากินใช่ไหม? พูดแบบนี้ไม่มีเหตุผล ผิดคุณธรรม แต่คนก็พูดออกมาได้ !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ชาวโลกเมื่อประสพภัยจวนตัว ไม่มีใครที่ไม่เรียกร้องให้ช่วยชีวิต จะหยุดต่อเมื่อตามองไม่เห็น ถ้าได้รับอันตรายจากมีดหรือปืน หรือพวกโจรผู้ร้าย จะไม่ตัวสั่นขวัญผวาหรือถ้าหากพบว่าโจรมันใจอ่อนลง ก็อดไม่ได้จะดีใจแต่ก็ตกใจ เกิดบังเอิญมีคนช่วยเหลือชีวิตรอดมาได้ ก็จะรู้สึกขอบคุณจนโศกสะอื้นจดจำบุญคุณไม่ลืมจนวันตาย แต่ถ้าจับสัตว์มาได้ความสมเพชเวทนาต่างๆ จนกระทั่งเสียงร้องอันโหยหวน ก็เหมือนกับไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังเลย น่าสมเพชคนพวกนี้ เมื่อถูกยุงกัดก็เกิดรำคาญ แต่สัตว์ที่อยู่บนเขียงนั้น ก็ไม่เวทนาสงสาร แต่พอปวดหลัง ปวดตาเข้าหน่อย ก็รีบหาหมอหายาหรือได้รับบาดเจ็บจากมีด เข็มหรือไฟลวกก็ร้องโอดโอย ขอความช่วยเหลือ รักตัวสงวนชีวิตถึงเพียงนี้ แล้วทำไมต่อสัตว์กลับไม่ให้ความเวทนาสงสารบ้าง ฆ่าแกงได้ตามอำเภอใจเรา จะไม่พูดถึงกฏแห่งกรรม จะไม่พูดถึงห้ามฆ่าสัตว์ของพุทธศาสนา เราพูดกฏแห่งกรรมรักตนเอง แต่ไม่รู้ไม่มีจิตใจของความรักสัตว์ ความไม่มีเมตตาอารี แลอภัยเช่นนี้ รู้แต่ผลประโยชน์ส่วนตนเห็นแก่ตัวที่สุด สุภาพบุรุษผู้รักศักดิ์ศรีของตนเองอยู่บ้าง ก็ไม่ควรประพฤติแบบนี้ ผู้คนหากอยูในสภาพที่โง่กว่าหรืออ่อนแอกว่า ขณะนั้นจิตใจก็อยากให้คนสงสาร ถึงแม้ใจจะโหดเหี้ยม เสือ หมาป่า จะโง่เขลาคนก็ยังหวังว่าในตอนนั้น ในเวลานั้น ก็เปลี่ยนสภาพไปอีกแบบหนึ่ง ไม่ยอมสงสารแก่ผู้ที่อ่อนแอกว่าตนล่ะ ! น่าหัวเราะ คนเราที่กลัวคนดุร้ายแต่กลับไปรังแกคนที่ดีๆ  ใจในก็เกิดการดูหมิ่นและรังแกคนดี ตลอดชีวิตที่ชอบรังแกคนดีๆ แต่กลัวคนดุร้าย ก็จับคนดีไปรังแกแทน วิธีที่ใช้กำลังที่เหนือกว่าไปรังแกคนทื่อ่อนแอกว่า หรืออาศัยจำนวนคนที่กำลังมากกว่าไปรังแกคนที่จำนวนน้อยกว่า จิตใจที่เลวทรามชั่วช้าเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบ่อเกิดของการสร้างบาปก่อเวร เราเริ่มสังเกตุพวกมนุษย์จากจุดนี้ ว่าแตกต่างจากสัตว์หรือไม่ บางทีมนุษย์แย่กว่ามันด้วยซ้ำไป เป็นสิ่งน่าละอายใจมนุษย์แท้ๆ ดังนั้น ศาสดาเมื่อจะเริ่มสอนคน ก็จะเริ่มด้วยความเมตตา และให้อภัย เมตตา และให้อภัยก็คือ เอาตนเองไปเปรียบเสมือนผู้อื่น เมตตาต่อผู้คน และมีจิตใจรักสัตว์ไงล่ะ !  เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีข้อความที่ห้ามฆ่าสัตว์ขอบงสมาคม "อี้เก้ย" สาระสำคัญของข้อความนี้คือ เอาใจเราไปเปรียบใจสัตว์เพื่อน้ำใจอันดีงามที่ถูกปิดตายด้วยประตูเหล็ก บุรุษนิรนามพวกนี้ตั้งคำถาม 10 ข้อ ถามใจที่ถูกปิดด้วยประตูเหล็ก แรงดลใจของเขาใหญ่หลวงนัก เขาต้องการให้ประตูเหล็กเปิดออก จะได้เห็นใจอันงามอีกครั้งหนึ่งดังนี้
  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28/08/2011, 12:37 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                     ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๓.๑  ในสมัยสงคราม พวกเราต้องหนีภัยสงคราม อาศัยโชคดีที่สุด ก็รอดชีวิตมา ถ้าหากในเวลานั้น ถูกศัตรูไล่ตามเข้ามาทุกๆ ระยะ เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสจะรอดแน่ จิตใจขณะนั้นไม่แตกตื่นผวาขึ้นมาบ้างหรือ?
        ๓.๒  ขณะนั้น ถ้าถูกจับได้ลากเดินเหมือลากหมู  ลากหมา  รู้แน่ว่าต้องถูกฆ่า จิตใจอยู่ในสภาพอะไร? ไม่แตกกระเจิงหรอกหรือ?
        ๓.๓  ในขณะนั้น ถ้าพบคู่ชีวิตกำลังถูกโจรเชือดเฉือนเลือดไหลเนืองนอง จิตใจเราจะอยู่ในสภาพอย่างไร? ไม่ขวัญหนีดีฝ่อหรอกหรือ?
        ๓.๔  ในขณะนั้น ถ้าพบว่าเพื่อนฝูงญาติมิตรกำลังถูกโจรมัด หมดทางช่วยเหลือ จิตใจเราจะเป็นอย่างไร? จะไม่รู้สึกสงสารเจ็บปวดบ้างหรือ?
        ๓.๕  ในขณะนั้น ถ้าเราถูกฆ่า กำลังถูกชำแหละ เสียงร้องเจ็บปวดโหยหวน ชีวิตยังไม่สิ้นอยากให้ตายโดยเร็ว จิตใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่โกรธแค้นหรอกหรือ?
        ๓.๖  ในขณะนั้น เราต้องถูกฆ่าแน่นอน เกิดมีโจรหนึ่งใจดีปล่อยเราไป จิตใจของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่รู้สึกดีใจหรอกหรือ?
        ๓.๗  และแล้วมีอีกโจรหนึ่ง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เข้ามาห้ามปรามไม่ให้ปล่อย ต้องการฆ่าเราลูกเดียว จิตใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่เคียดแค้นบ้างหรอกหรือ?
        ๓.๘  อีกแบบหนึ่งคือโจรทุกคนให้ปลดปล่อยนักโทษหมด ผู้ถูกจับมาก็มีหวังรอดตายได้ แต่บังเอิญมีโจรอีกคนหนึ่งว่า พวกเรานั้นเกิดมามีเคราะห์กรรมควรฆ่าให้หมด ใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่รู้สึกโกรธเคืองหรอกหรือ?
        ๓.๙  ในขณะนั้น คู่ชีวิตของเรากำลังเจ็บป่วยอยู่ที่จริงควรปล่อยตัวเราไป แต่มีโจรหนึ่่งคัดค้านว่า ป่วยหนักอย่างนี้ ฆ่าเสียดีกว่าเพื่อหมดปัญหา อยากรู้ว่าใจเราขณะนั้นไม่เคียดแค้นบ้างหรอกหรือ
        ๓.๑๐  อีกอย่างหนึ่งในบรรดาญาติมิตรเรากว่าครึ่งเป็นเด็กอยู่ ที่จริงควรปล่อยไป แต่มีโจรหนึ่งคัดค้านขึ้นพูดว่า ชีวิตน้อย ๆ อย่างนี้ไม่ฆ่าก็ต้องตาย เอามาฆ่าแกงกินจะไม่อร่อยปากหรือ? ใจเราขณะนั้นรู้สึกอย่างไร? จะไม่เจ็บซ้ำปวดร้าวหรอกหรือ?
        เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาเรียกเราให้ถามใจเราเองด้วยข้อคิดต่าง ๆ ถามใจเราว่า เพื่อปากท้องของเรา ไปเชือดเฉือนจับแกงพวกสัตว์ พวกกุ้ง หอย ปู ปลา เมื่อถูกจับมาอยู่เคียงข้างหม้อน้ำร้อนมันต้องเจ็บปวดแสนสาหัส อีกไม่นานมันก็ต้องจากคู่ครอง ญาติมิตร ต้องจบชีวิตลงแสนทรมาน ปากก็พูดไม่ได้ ดิ้นรนรอดตายเทียบสภาพต่าง ๆ ที่ตนถูกโจรจับปล้นในขณะนั้นและความนึกคิดในเวลานั้น จะมีอะไรแตกต่างกัน เอาใจเราไปใส่ใจเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรากับคำพูดของข้าที่ว่า บังเอิญเจอะโจรปล้นฆ่าตายเสียเก้าคนรอดตายมาได้หนึ่งคน จากการปลดปล่อยแต่เกิดมีโจรหนึ่งขัดขวาง ในที่สุดก็ต้องถูกฆ่า สภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นึกคิดดูว่าเหมือนกับตอนนี้หรือไม่? สุดท้ายนี้ขอพูดว่า พวกเราทุกคน ภาวนาห้ามฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ขอบุญ ไม่ใช่หลีกเลี่ยงภัย คือ เพื่อตัวเอง รู้เจ็บกลัวตาย ใจนี้ยากที่จะปกปิด พูดแทนสัตว์ให้เปรียบเทียบตัวเรา คิดไปคิดมาไม่อาจทนได้ ใจนี้ทำไม่ได้จริง ๆ ใจอันประเสริฐของเรานี้ควรตื่นจากภวังค์ได้แล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๔.  ถ้าหากชาวโลก ยังไม่ทำใจให้งดฆ่าสัตว์ได้ ก็ควรจะพิจารณาดูสัตว์ที่ถูกปล่อยรอดชีวิตมาได้ ก็เหมือนกับตัวเองรอดชีวิตมาได้ ก็ดุจเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ ที่ไม่ต้องแตกตื่นตกใจ หากเป็นไปได้วันหนึ่ง ๆ ๒๔ ชั่วโมง คิดแต่จะปล่อยชีวิตโดยไม่คิดลังเล อย่าให้สัตว์ต้องถูกขังนาน จนทนไม่ไหว อย่าได้ไหว้วานผู้อื่นเดี๋ยวจะได้รับอันตราย และอย่าได้กำหนดวันเวลา เพราะจะมีผู้คอยดักจับสัตว์ และอย่าได้กำหนดสถานที่ เพราะมีคนคอยสืบรู้ไปคอยดักจับ เอาเป็นว่า เมื่อตาได้พบเห็นก็ซื้อปล่อยทันที ปล่อยยังที่ที่เปลี่ยน ยิ่งไกลยิ่งดี นานๆ เข้าใจที่อยากฆ่าสัตว์ก็จะสูญหายไป โอกาสเกิดของสัตว์ก็มากขึ้น ทุกชีวิตอยู่อย่างสันติ ไม่เพียงแต่ในโลกนี้เท่านั้น แม้แต่ทุกตารางนิ้วของภายในของเรา โดยอย่าคิดว่าฆ่าชีวิตเพียงเล็ก ๆ แล้วจะไม่เป็นไร อย่าคิดว่าการปล่อยชีวิตน้อย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่าคิดว่ายุ่งยากลำบาก จงคิดแต่กุศลท่าเดียว และอย่าเป็นเพราะราคาสูงเลยละทิ้งการสร้างกุศล ควรรู้ว่าชีวิตหนึ่งก็ไม่ใช่น้อย แม้สรรพสัตว์ชีวิตก็ไม่ใช่มาก แม้ มด ยุง ชีวิตก็ไม่ใช่เล็ก วัว ควาย ก็ไม่ใช่ชีวิตใหญ่ เงินเหรียญเดียวก็ไม่พอเพียง แม้เงินหมื่นแสนก็ไม่ใช่มาก ขอเพียงจิตใจตนเองมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่ เราควรตระหนักถึงชีวิตอันละเอียดอ่อนย่อมถูกฆ่าได้ง่ายขึ้น ดังนั้น เมื่อตนเอง งดฆ่าสัตว์แล้ว ยังต้องใช้วาจาสุภาพมาตักเตือนเพื่อนฝูงพี่น้อง ทำให้ทุกคนมีจิตเวทนาก็จะเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ โดยใช้ปากเท่านั้น ผู้คนมักพูดว่า "ใจดีก็พอแล้ว ทำไมต้องกินเจอีกเล่า?" อยากถามว่าฆ่ามันแล้วกินเนื้อของมัน ภายใต้ฟ้าดินนี้ยังมีใครโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่านนี้อีกบ้างไหม? แล้วใจดีที่แท้อยู่ที่ไหนกัน? โดยปกติใจที่ทนดูไม่ได้นั้น ใคร ๆ ก็มีอยู่ ดังนั้นใครเห็นผู้ร้ายมือสังหารก็ทำให้น้ำลายหกอยากจะกินขึ้นมาแล้ว แล้วก็พากันพูดว่าชีวิตคนเรามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือคิดแต่ว่าจะเอาบาปกรรมป้ายให้เขาไป ข้าขอเพียงแต่อร่อยปากอิ่มท้องก็พอแล้ว  ทำไมไม่คิดว่าผู้ซื้อถ้าเลิกกินเนื้อแล้ว ผู้ขายก็ย่อมจะหยุดฆ่าลงเอง ควรจะรู้ด้วยว่าฟ้าดินได้บันดาลให้อาหารแก่คนนั้น มีทั้งข้าวต่าง ๆ ผลไม้ และผักทั้งบนบกและในน้ำก็มากเกินพอ มนุษย์ก็ยังสามารถหาวิธีต่าง ๆ ในการปรุงแต่งรสได้อีกมากเกินพอเสียด้วยซ้ำ ทำไมยังต้องฆ่าแกงสัตว์ ที่มีเลือดเนื้อเช่นเรา ซึ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน จับมากินเพื่อความอร่อยปากชั่วประเดี๋ยวเดียว เพียงวางช้อนส้อมลงรสชาติก็หมดไปแต่บาปกรรมนั้นคงอยู่ซึ่งไม่ควรทำผิดแบบนี้เลย ผู้คนเสียเงินเป็นหมื่นเพราะรสชาติ เพียงขยับนิ้วหลายพันชีวิตก็จบลง หากเอาอาหารเจมาแทนเนื้อ ก็จะแทนการตายได้มาก ผลได้กับ
ผลเสียนี้ไม่อาจคำนวณได้ถูกต้องเลย !  หากกินเจกันจริง ๆ ใจของเราก็จะมีความสงบสุขอย่างไร้ขอบเขต ทั้งยังคุณประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง ไม่กี่ปีมานี้แต่ละแประเทศมีผู้หันมาบริโภคกันมาก สาเหตุเนื่องมาจากวิทยาการก้าวหน้า มีการค้นคว้าคุณค่าในการบริโภคอาหารเจ  กับอันตรายที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งมีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้และมีข่าวร้ายต่าง ๆ ที่จะแจ้งให้ทราบ ชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมรักและหวงแหน  ดังนั้น การกินอาหารเจเริ่มถือเป็นเรื่องธรรมดา ความนิยมการกินอาหารเจนี้ที่ประเทศอเมริกันตื่นตัวมากที่สุด การกินอาหารเจนี้มีการอธิบาย และแสดงความเห็น ถึงแม้จะไม่เด็ดขาด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย การบริโภคไปในแง่ดีของสังคม ถึงแม้ชีวิตจะดับลง เราต้องยึดหลักไว้โดยไม่ยอมบริโภคเนื้อสัตว์และก็ไม่ได้ขึ้นกับที่ว่าจะถูกหลักอนามัยหรือไม่ถูกหลักอนามัย มาเป็นข้ออ้างในการบริโภคเนื้อสัตว์หรือไม่ มีการวิจารณ์อย่างหนักแน่น บริโภคผักมีประโยชน์อย่างแน่นอนเช่นกัน ดังนั้นการห้ามฆ่าสัตว์ก็มีพื้นฐานที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว เสียงโศรกเศร้าโหยหวนของสัตว์ที่ถูกฆ่าได้สะท้านสะเทือนจิตคนได้ง่ายที่สุด ในหลักวิทยาศาสตร์ได้มีการพิสูจน์ถึงผลร้ายในการบริโภคเนื้อสัตว์ ข้าใคร่นำเอา "พิษ" ต่าง ๆ ในการบริโภคเนื้อสัตว์มาอธิบายเป็นข้อ ๆ ดังนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ข้อที่ ๑.  นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส นายชารส์ ค้นพบว่าภายในเนื้อของสัตว์ มีสารพิษอยู่ชนิดหนึ่ง ตอนที่สัตว์ได้รับความเจ็บปวดทรมานก็จะเพิ่มสารพิษมากขึ้นเป็นลำดับ แล้วก็จะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าหากเรากินเนื้อชนิดนี้แล้ว ก็จะได้รับอันตรายอย่างมาก  มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ชื่อว่า ไอด์ มาไคร์ กล่าวว่า "ตอนที่ร่างกายคนเรามีอารมณ์เปล่ยนแปลงขนาดหนักอยู่นั้น ก็จะมีสารหลายชนิดระบายออกจากร่างกาย เช่น ตอนที่มีโทสะโกรธอยู่นั้นเหงื่อที่ไหลออกมา ก็จะมีสีแตกต่างจากเหงื่อที่ไหลตอนที่ร่างกายกำลังโศกเศร้า แม้แต่ลมหายใจที่เป่าออกจากร่างกายก็จะมีสารต่าง ๆ ออกมาด้วย เขาเองได้ทดลองเป่าลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วที่แช่เย็นแล้วสังเกตุดูพบว่า ตอนที่เขามีร่างกายปกติก็จะมีหยดน้ำที่ปราศจากสี แต่ตอนที่เขากำลังโกรธจัด ๆ หยดน้ำที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน หลังจากเป่าลมเข้าไปหลอดแก้วได้ห้านาที หยดน้ำที่ได้จะมีสีและสารขุ่น ๆ นั่นก็แสดงว่าตอนที่ร่างกายมีอารมณ์โกรธก็จะมีสารบางชนิดเกิดขึ้น เขาก็เลยใช้วิธีดังกล่าว ทดลองสภาพของจิตต่าง ๆ ก็พบว่า ตอนที่จิตใจโกรธก็จะมีสารสีฝ้ามัว ในขณะเศร้าเสียใจ ร่างกายจะขับสารสีเทาขาว และขณะเจ็บแค้นร่างกายจะขับสีเขียวไผ่ออกมา ต่อมาเขาได้ทดลองต่อไปพบว่า  ถ้าเอาสารฝ้ามัวที่อารมณ์โกรธของนาย ก. ฉีดเข้าไปให้นาย ข. หรือสัตว์ทดลอง  นาย ข.จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมา  แน่นอนสัตว์ก็จะแสดงอารมณ์โกรธขึ้นมาทันทีเช่นกัน เขาเอาสารที่เป่าออกจากคนที่มีอารมณ์เศร้าเสียใจ ฉีดเข้าไปให้หนู และหมู ภายในไม่กี่นาทีสัตว์ทดลองก็ตายลง  จากการทดลองต่าง ๆ พอสรุปได้ดังนี้ ถ้าร่างกายมีอารมณ์เคียดแค้น  จะสูญเสียพลังงานไปมากทีเดียว ถ้าสารพิษปะปนกัน ยิ่งมีหลายชนิดพิษร้ายก็ยิ่งมาก ในขณะที่ทารกกำลังดูดนมมารดา ประเหมาะมารดาเกิดมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงภายหลังลูกดูด  ทารกน้อยจะเกิดอาการไม่สบายเจ็บป่วยลง อันนี้ก็สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ร่างกายก็จะปล่อยพิษร้ายออกมาอย่างแน่นอน ด้วยเหตุฉะนีเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานเข้าไปในท้องทุก ๆ วัน ซึ่งมีพิษร้ายอย่างแน่นอน สัตว์ย่อมเกิดความเคียดแค้น และเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ย่อมมีสารพิษขึ้น และเจือปนอยู่ในเนื้ออย่างแน่นอน กินเข้าไปแล้วจะมีอะไรบำรุงอีกหรือ? อันตรายจริง ๆ

        ข้อที่ ๒.  ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบว่า ภายใต้กล้องจุลทัศน์ที่ส่องลงบนเนื้อสัตว์ จะพบจุลชีพชนิดต่าง ๆ  จุลชีพร้ายเหล่านี้เมื่อเข้าไปในร่างกาย ก็มีผลไม่น้อยต่อร่างกายอย่างเบา ๆ ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยอย่างหนัก ๆ ก็ถึงแก่ชีวิต ในเนื้อวัวเนื้อหมูมีเชื้อหนอนเป็นเส้น ๆ อยู่ไม่น้อย ดังนั้นจากการสำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกา เชื้อหนอนเส้นของคนที่เป็นได้ ติดมาจากเนื้อหมู และเนื้อวัว ๙๐ % และยังตรวจพบว่า วัวควายที่เป็นโรคปอดมีกว่าครึ่ง และสาเหคุคนเป็นโรคปอดก็ติดมาจากเนื้อวัวเป็นส่วนใหญ่ ในโรคท้องเสีย (อหิวาต์) เชื้อนี้ได้รับจากเนื้อหมูในประเทศอังกฤษ มีโรคลมอาการปวดมาก 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        สมัยก่อนคิดว่ามาจากพิษเหล้า แต่ปัจจุบันพบแล้วว่ามาจากบริโภคเนื้อสัตว์มากและยังพบอีกว่าพวกบริโภคเนื้อ มักจะเป็นโรคเบาหวาน การสูบฉีดของเลือดไม่ดี เป็นผลทำให้สมองผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดการช็อคขึ้น เป็นลมหมดสติไป การบริโภคเนื้อได้ลดสารต่อต้านมะเ็ร็ง จึงเกิดเป็นมะเร็งกันมาก บริโภคเนื้อดื่มเหล้ามากไป เกิดโรคไตอักเสบได้ง่าย เอาเถอะ !  ข้าจะไม่พูดเรื่องการแพทย์กับท่านมากนัก ข้าเพียงแต่อยากให้พวกท่านได้รู้ว่าปัจจุบันมีความจริงมีหลักฐานพิสูจน์กันได้เพื่อแสดงให้เห็นว่า การบริโภคเนื้อมีโทษอย่างแน่นอน มิใช่พูดลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐาน ในฤดูร้อนเนื้อก็เน่าเสียได้ง่าย พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นกินเนื้ออันตรายมากซึ่งเป็นเรื่องพื้น ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เนื้อที่เกิดหนอนขึ้นเป็นประจำนี้ ก็เข้าไปในปากของเราทุก ๆ วัน ระวังเถอะ สักวันหนึ่งก็จะเจอดีขึ้น น่ากลัวจริง ๆ !  ข้าจะพูดเกี่ยวกับการกินเจอีกครั้งหนึ่ง การกิน การดื่ม มีปัจจัยที่สำคัญคือ เพื่อการดำรงชีวิต ดังนั้นอาหารที่เรารับประทาน จำเป้นต้องหาสิ่งที่มีคุณค่าด้านพลังงาน สิ่งควรรู้ก็คือพลังงานที่ได้เป็นพลังงานจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานความร้อน ภายใต้ฟ้าดินนี้ก็มีเพียงธัญพืชที่เติบโตภายใต้แสงอาทิตย์ สามารถดูดซึมพลังงานได้มากที่สุด และสามารถให้พลังงานได้สูงสุดก็คือ พืชพวกให้เมล็ด  ถ้าหากเราแยกธาตุต่าง ๆ จากเนื้อสัตว์เราจะพบ "กรดอะิมิโน แลคโต๊ด" และเกลือเร่ต่าง ๆ พวกพืชที่ให้เมล็ดเช่น ข้าว ข้าวสาลี และถั่วต่าง ๆ  ก็มีธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ครบถ้วน แถมยังมีกรดอะมิโนซึ่งเป็นพวกโปรตีนถึง ๔๐ % มากกว่าในเนื้อสัตว์เสียอีกซึ่งมีเพียง ๒๐ % เท่านั้น โปรตีนเนื้อสัตว์ย่อยลำบาก เนื่องจากโครงสร้างประกอบการขึ้นเป็นเนื้อของสัตว์ และมีคุณค่าด้อยกว่า ดีเลว ระหว่างโปรตีนของพืชและเนื้อสัตว์แล้ว ท่านก็จะได้เห็นอย่างกระจ่างชัด ! อาหารการกินของเราที่จริง ควรเลือกจากใหม่สดมิใช่หรือ ภายใต้ฟ้าดินนี้การเจริญเติบโของธัญพืชอาศัยแสงอาทิตย์ ฝนฟ้าซึ่งบริบูรณ์ในการเลี้ยงชีวิต ไม่จำเป็นต้องไปกินของเก่าที่เน่าเปื่อยง่าย และไร้คุณค่าอย่างเนื้อสัตว์นั้นเลย ! ถ้าหากเปรียบเทียบ การกินเจกับเนื้อสัตว์ แล้วละก็ เราจะเห็นความแตกต่างได้หลาย ๆ อย่างเช่น คนกินเจจะมีอายุยืนกว่า พวกกินเนื้อสัตว์จะอ่อนแอง่าย การบริโภคเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดกามราคะมากกว่าการกินเจ พวกกินเจจะมีประสาทที่สดชื่น การบริโภคเนื้อประสาทจะขุ่นเครียด ผู้กินเจจะมีสมองที่ฉับไว ส่วนผู้ที่บริโภคเนื้อสมองจะทื่อทึบ กินเจจะมีพลังวังชายาวนาน เลือดจะสดใส ทำให้มีความต้านทานโรคสูง ผู้บริโภคเนื้อพลังวังชาจะน้อย และเส้นเลือดจะขุ่นข้นและทำให้เจ็บป่วยง่าย ในการแข่งขันกีฬานานาชาติ ผู้ที่ได้รับชัยชนะส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคพืชผัก  ซึ่งเป็นหลักฐษนยืนยันได้ เราจะพบว่าผู้ที่สามารถตั้งตัวได้ ไม่ว่าส่วนบุคคลหรือส่วนรวม ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่มีเลือดร้อน อารมณ์รุนแรง คนโบราณกล่าวได้ดีว่า "ผู้บริโภคเนื้อคนชั้นต่ำ" ถ้าหากเราจะเป็นคนมีสง่าราศีละก็ ต้องขจัดการบริโภคเนื้อเสีย หันมากินเจมันไม่เพียงแต่มีประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายเท่านั้น มันยังก่อให้เกิดสันติสุขอันไร้ขอบเขตของจิตใจด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๕ ตอนนี้เป็นบทสุดท้ายแล้ว ข้าเป็นพุทธศาสนิกชน ข้าขอใคร่วิจารณ์เกี่ยวกับศีลข้อห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มิใช่มีเพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น มันเป็นหลักข้อสำคัญที่มีอยู่ในธรรมของหลักศาสนาอื่น ๆ ทั่วไป เป็นหลักปฏิบัติของมนุษย์ธรรม ด้วยศาสนาพุทธมีข้อห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีเหตุผลที่เคร่งครัด ไม่ว่าศีล๕  ศีล๑๐ หรือศีล ๒๒๗  หรือศีลโพธิสัตว์ ต่างก็มีศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นข้อแรกด้วยกันทั้งนั้น ถ้าพร้อมที่จะก่อกุศล ต้องเริ่มจากศีลข้อนี้ อันว่าผู้คนในโลกนี้ ทุก ๆ คนก็ล้วนแล้วแต่บริโภคเนื้อกันทั้งนั้น และก้ไม่ได้รับโทษเพิ่มอะไรเลย จะไปกลัวอะไรกัน? เฮ้อ ! คนที่มีใจแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปถามเขาอะไรอีกแล้ว ลองพิจารณาพื้นจิตของพวกเขา ถ้าหากปล่อยปละละเลยศีลข้อนี้  เรื่องเกี่ยวกับชีวิตก็ไม่อยู่ในสายตาเช่นกัน แน่นอนเราต้องเข้าใจการห้ามฆ่า และการคุ้มครอง ซึ่งต้องมีอยู่ในทุกตารางนิ้วของจิตใจ โดยไม่ต้องคำนึงว่าข้างนอกจะมีกฏการห้ามฆ่าหรือไม่? หากไม่ถือโอกาสนี้ทดสอบพื้นจิตตนให้แผ่เมตตาจิตออกไปละก็ สักวันหนึ่งโอกาสนี้จะสูญไป เมื่อถึงเวลานั้นหน้าตาเปลี่ยนไป (เกิดเป็นสัตว์) แม้จะมีร่างกายก็จะทำอะไรได้? แม้จะมีหู มีตา ก็ไม่สามารถจะเห็นจะได้ยินได้ แม้มีความในใจก็ไม่สามารถจะเปิดเผยออกมาได้  ท่านทั้งหลาย ! อย่าคิดว่ามีอายุยืนได้ถึงร้อยปี ชั่วพริบตาก็จะเปลี่ยนชาติกำเนิด คิดแล้วใจหาย !  ทุกคนรู้แต่เพียงว่าชาตินี้ข้าเกิดมาเป็นคน หารู้ไม่ว่า ชาติที่แล้วมาได้เกิดเป็นสัตว์อื่นประเภทไหนบ้าง แล้วชาติต่อไปข้างหน้า จะไปเกิดเป็นอะไรอีกเล่า? ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าว "สัตว์ที่ถูกฆ่าตายในชาตินี้ ก็เป็นญาติมิตรของข้าในชาติก่อน"  กล่าวอย่างเชือดเฉือนที่สุด มิได้กล่าวเท็จ พุทธพจน์ที่ว่า "คนมีความคิดความจำดุจผืนนากุศล และอกุศลที่เกิดขึ้น เป็นเมล็ดพันธุ์ หากมีจิตคิดฆ่าเกิดขึ้น เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะฝังเข้าไปในผืนนาแห่งความคิด ความจำ กลายเป็นเคราะห์กรรม ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตายไปตลอด"  สรรพสัตว์ที่ถูกฆ่า ก็จะเกิดความเคียดแค้นขึ้น ก็จะถูกฝังเข้าไปในผืนนาแห่งความคิดความจำนี้ กลายเป็นเวรกรรมที่เคียดแค้นไปตลอดไม่มีสิ้นสุด ชาติแล้วชาติเล่า  ด้วยกฏแห่งกรรมนี้ จะตามล้างตามสนองซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเวลาที่จะสิ้นสุดลง  พระแห่งสระประทุมกล่าวว่า "ข้าร้องต่อผู้คนว่าไม่กล้าบังคับเจ้ากินเจ แต่จะเตือนเจ้าห้ามฆ่าสัตว์ ครอบครัวที่ไม่ฆ่าสัตว์ เทวดาคุ้มครอง เคราะห์กรรมลบล้างไปอายุยืนยาว ลูกหลานกตัญญู ทุกสิ่งเป็นสิริมงคล" ซึ่งไม่อาจกล่าวได้หมด  คำพูดที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เอาใจคน ความจริงเป็นกฏแห่งกรรม อะไรคือกฏแห่งกรรม?  ข้าจะกล่าวเป็นการปิดท้ายรายการนี้ ! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้  ล้วนแล้วแต่เป็นผลของกรรมเกี่ยวข้อง  การเกิดการตายในชีวิตของคนเรานั้น บุญมากหรือบุญน้อย เจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมลง อยู่ในประเทศหนึ่งหรือที่ที่หนึ่ง ที่เจริญหรือเสื่อมลง มิใช่เกิดขึ้นโดยการบังเอิญ และไม่ใช่เกิดจากการว่างเปล่า ดั่งคนโบราณกล่าวว่า "สั่งสมบุญกุศลเป็นสิริมงคลเหลือล้น สั่งสมอกุศลรับเคราะห์กรรมเหลือล้น"  คำว่า สั่งสม กับ เหลือล้น  ก็เป้นธรรมะของกฏแห่งกรรม  แล้วธรรมข้อนี้กับกฏการคำนวนเหมือนกัน  หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง สามคูณสามย่อมได้เก้า ซึ่งได้ผลลัพท์ที่แน่นอน เมื่อมีเหตุดังนี้ก็ต้องมีผลดังนี้ เนื่องจากเหตุที่มีอยู่ ผลที่ได้ย่อมปรากฏปริมาณของผลที่ได้ย่อมสมดุลกับเหตุที่มีอยู่  ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ของกฏแห่งกรรมนี้ หวังว่าผู้คนคงเข้าใจ เหตุและผลที่สับสนก็ไม่อาจเข้าใจได้ เหตุอันหนึ่งที่ปลูกลงไปไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาหากไม่สนองตอบมาให้นั้น ย่อมต้องมีเหตุการณ์อื่นสร้างไว้ปะปนเข้าไป  แต่ก็ไม่พ้นการสนองตอบให้เช่นเดียวกัน ทำให้เหตุผลอันนี้ไม่ใช่เหตุผลอันเดียวกัน แแต่กลายเป็นเหตุและผลหลาย ๆ อัน สับสนกันเท่านั้นแหละ การเปลี่ยนแปลงสับสนร้อยแปดของคนในโลกนี้ กับการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดของใจคนนั้น มีการเกี่ยวพันสนองตอบซึ่งกันและกัน ดังนั้น ในช่องทางเกิดทั้งหกช่องทางนั้น จะมีสภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ความนึกคิดของจิตใจคนนั้น ไม่เคยหยุดยั้งเลย จึงเกิดมีผลดีและผลร้ายสนองตอบซึ่งกันและกัน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ดังนั้น กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ที่สนองตอบก่อนหลัง ล้วนมาจากเหตุการณ์กระทำที่เปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนตามไปด้วย ้หตุของกรรมเทื่อมีโอกาสเปลี่ยนไปตามเวลา ผลการตอบสนองก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงนั้น  จะมีการสับสนแต่เหตุและผลเปรียบเสมือนเจ้าหนี้มาทวงหนี้  ฝ่ายใดมีกำลังกว่าก็ดึงไปเอาก่อนเท่านั้น ดังคำที่ว่า "ชั่วหรือดีย่อมตอบสนองในที่สุด"  เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น เหมือนปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว เป็นสิ่งแน่แท้ที่สุด เนื่องจากพระพุทธเจ้ามีทิพย์เนตร ส่องได้ทั่วทุกทิศแจ้งทะลุทั้งสามโลก ไม่มีสิ่งบดบังจึงกล่าวว่า การตอบสนองตามกฏแห่งกรรมล้วนยึดหลักที่แท้จริง เนื่องจากพระพุทธเจ้า ทรงแลเห็นอย่างนั้น เนื่องจากได้หลุดพ้นจากกาลสมัย  ไกลสุดถึงความเป็นมาของเคราะห์กรรม เห็นได้ชัดเจนเหมือนเราแลเห็นสิ่งของต่าง ๆ ต่อหน้าต่อตา แต่ตาเนื้อของเราเห็นเพียงสิ่งของที่วางอยู่ต่อหน้าเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถเห็นเหตุผลที่อยู่เหนือกาลเวลา ตาเนื้อแลเห็นสิ่งของไม่ว่าจะชัดเจนเพียงไร ถ้ามีกระดาษมาคั่นกลางก็ไม่สามารถเห็นของได้อีกแล้ว อย่าว่าเหตุผลที่อยู่เหนือกาลเวลาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื่องจากสรรพสัตว์อยู่ในวัฏสงสาร เวียนตายเวียนเกิดติดต่อกันไป ความจำกัดก็เปลี่ยนแปลงไป ขันธ์ห้าบดบัง เหมือนกระดาษบังตารู้แต่ชาตินี้ ชาติที่แล้วหารู้ไม่ เราควรรู้ว่า ปัญญากับความรู้นั้นต่างกัน  ปัญญาเกิดจากบรรลุฉับพลันฉายส่องไม่มีบดบัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีที่ไม่รู้เรื่องของความรู้ จะเป็นเรื่องที่มีขอบเขต เป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถจะตรึกตรองนึกคิด ซึ่งคนธรรมดาสามารถมองเห็นจับต้องได้ และคิดถึงได้ ปัจจุบันนี้ความรู้ทั้งหลายนี้ เช่น วิทยาศาสตร์ วิชาปรัชญา เราเป็นพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาไม่มีข้อขัดแย้ง ยังต้องยินดีส่งเสริมด้วยซ้ำ !  ถ้าหากคิดจะเอาความรู้ มาตำหนิพุทธศาสนา ตีคุณค่าของพุทธพจน์หรือกล่าวร้ายต่อพระธรรมซึ่งไม่สมควร
และไม่มีความสามารถด้วย พวกเราเข้าใจหลักของวิทยาศาสตร์ซึ่งหนักไปทางด้านพิสูจน์ได้ จึงจะเชื่อถือ แล้วเอาวิธีการอะไรพิสูจน์ล่ะ? ก็คงไม่พ้น อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าไปพิสูจน์ใช่ไหม? วิธีพิสูจน์จะละเอียดแค่ไหน ก็ไม่พ้นจากอวัยวะทั้งห้านี้ ขอถามหน่อยเถอะว่า อวัยวะทั้งห้านี้เชื่อถือได้มากแค่ไหน? ตัวอย่างอุจจาระ คนจะรู้สึกเหม็นจนไม่อยากเข้าใกล้  แต่สุนัขสามารถกินได้ จะพบว่าลิ้นที่ใช้ชิมรสก้ไม่สามารถเป็นมาตรฐานได้ แล้วรอยเท้าที่คนเดินผ่านไป สุนัขสามารถดมตามกลิ่นได้ แต่คนมีความสามารถไหม ?  ที่เหลืออีกมากมายก็เช่นเดียวกัน เมื่อมองดูแล้ว คำถามคำตอบของวิทยาศาสตร์ ก็ล้วยอาศัยอวัยวะทั้งห้าไปค้นคว้า จะมีความสามารถไปเสียทุกอย่าง ใครเชื่อก็บ้าล่ะ ?  ถ้าเราถอยหลังมาพูดว่า เชื่อถือวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ามานั้น เป็นสิ่งที่แน่แท้ แต่ว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล สภาพของคนนนั้นเล็กจนไม่อาจเทียมกันได้  ยิ่งความคิดเห็นของที่มีมายิ่งมีขอบเขตจำกัดเหลือเกิน แถมด้วยความคิดเห็นอันจำกัดแค่นี้ ยังยึดมั่นเชื่อถือไม่ได้ด้วย? ฉะนั้น จึงต้องใช้ปัญญาธรรม จึงจะยืนยันได้ และให้ความสว่างแจ้งถึงกฏเกณฑ์ของทุกอย่างในโลกที่เกิดขึ้น  หากใช้เอาแต่ความรู้จะทำไม่ได้แน่นอน ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ยอมเชื่อกฏแห่งกรรม ก็ยังคงยึดถือหลักของวิทยาศาสตร์ ที่ต้องพิสูจน์ได้จึงจะเชื่อ แต่ถ้าพูดถึงการพิสูจน์ ไม่ควรเพียงพิสูจน์โดยหูและตาเท่านั้น ควรจะเชื่อผลพิสูจน์จากส่วนรวมที่กว้างใหญ่ หลักฐานก็ควรเอาคำกล่าวอ้างของนักปราชญ์ตั้งแต่โบราณจนถึงนักปราชญ์ปัจจุับัน มาเป็นหลักฐานถึงจะถูกต้อง ตั้งแต่โบราณมามีหลักฐานมากมายก่ายกองให้เราได้เห็น ถ้าหากยังเหลือข้อสงสัย ยังต้องรอให้ตนเองไปพิสูจน์ค้นพบแล้วจึงจะเชื่อ แม้จะมีหลักฐานยืนยันแล้ว ก็ยังมีข้อสงสัยไม่ยอมเชื่องั้นหรือ?  พระอิ้งกวง กล่าวว่า "การสนองของกฏแห่งกรรม มีมากมายในคัมภีร์ น่าเสียดายที่นักปราชญ์ไม่ยึดถือ เป็นเรื่องเกิดเรื่องตาย" ดังนั้น การได้เห็นก็ถือว่าไม่เห็น เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีบุญกุศลดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานจึงจะยอมเชื่อถือ ส่วนพวกที่บาปหนัก ถึงแม้มีหลักฐานก็ตามก็ยังไม่เชื่อถือ แต่จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของแต่ละคน หลักฐานก็ยังเป็นหลักฐาน กรรมตามสนองเป็นของจริงที่แน่แท้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแล้วไม่ยอมรับ แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ได้ ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นเป็นเรื่องยุ่งยากเฉพาะหน้า ในที่สุดก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงผลกรรมที่ก่อไว้ได้น่าอนาถจริง ๆ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        ลังกาวตารสูตร   :   หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน

        เจ้าแม่ถือมังสวิรัติ อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาเซ่นไหว้  ประวัติเจ้าแม่เป็นชาวเมืองมี้จิว อำเภอโป้วชั้ง มณฑลฮกเฮี้ยน ในสมัยราชวงศ์ซ้อง ชื่อฮุ้งมิก แซ่ลิ้ม ตั้งแต่เล็กก็กินเจสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกฝนความเพียรจนบรรลุนิพพาน ได้รับราชโองการจากเง็กอ้วงฮ่องเต้ ให้เป็นเจ้าแม่แห่งสรวงสวรรค์ โดยปกติมักอวตารมาช่วยชาวประมงอยู่เป็นนิจด้วยเหตุฉะนี้ ชาวเมืองทางมณฑลตะวันออกเฉียงใต้ จึงนับถือยิ่งนัก เจ้าแม่มีความเมตตากรุณา ผู้สวดอ้อนวอนมักจะได้รับการช่วยเหลือ มีปรากฏหลักฐานสืบทอดกันมาเป็าร้อย ๆ ปีจึงเป็นที่นับถือของชาวประมงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  ชาวประมงจึงเซ่นไหว้นับถือเป็น "เจ้าแห่งท้องสมุทร" ไม่กี่ปีมานี้ด้วยการปกครองของรัฐบาลไต้หวัน ทำให้เศรฐกิจเจริญรุ่งเรืองประชาชนมั่งมีศรีสุข ถึงแม้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าก็ตาม แม้แต่ชาวเมืองที่ไม่ได้เป็นชาวประมงก้พากันเคารพนับถือมากมายนับไม่ถ้วน เนื่องจากคมนาคมสะดวก ศาลเจ้าทุกแห่งจะมีพวกนับถือไปกราบไหว้มากมาย โดยเฉพาะวันคล้ายวันเกิดในวันที่ ๒๓ เดือนสาม ของปฏิทินจันทรคติจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม พวกที่นับถืออย่างจริงใจ ก้ยังมีความผิดพลาดมหันต์อยู่อันหนึ่ง นั่นก็คือ เมื่อเจ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าแม่ถือมังสวิรัติ แต่ปัจจุบันพวกสาธุชนก็ยังคงฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอาสัตว์ไปเซ่นไหว้เจ้าแม่ แม้จะได้รับการเซ่นไหว้เช่นนี้  แต่เจ้าแม่รับไม่ได้ยังไม่พอ เจ้าแม่ทุกข์โศกหลั่งน้ำตา  สงสารสัตว์เหล่านั้นที่ถูกฆ่า อันนี้เป็นนิสัยที่สืบทอดกันมา  และก็ไม่มีใครแนะนำชักจูงให้ใช้ดอกไม้สด และผลไม้มาเซ่นไหว้ก็พอ เนื่องจากเจ้าแม่มีเมตตามหากรุณา ช่วยเหลือมวลมนุษย์มากมายให้พ้นจากเคราะห์กรรม ถ้าหากพวกเราจะตอบแทนบุญคุณเจ้าแม่  นับถือเจ้าแม่ละก็ พยายามทำความดีก่อกุศล ช่วยเหลือผู้คน ช่วยสังคม จึงจะเป็นที่ต้องประสงค์ ประกอบความเพียร และกินเจ  ถ้าจะมากราบไหว้ที่ศาลเจ้า ก็ควรกินเจอาบน้ำให้สะอาด  จิตใจผ่องใส สำรวมมารยาทเพียงคำนับหรือไหว้ หรือคุกเข่าไหว้ก็ตาม จิตใจเต็มไปด้วยความนับถือ เท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมต้องตัดชีวิตสัตว์มาเซ่นไหว้ ? หรือพวกที่อยากจะขอความเมตตาให้ช่วยเหลือเพียงธูปเทียนดอกไม้ และผลไม้ แล้วนั่งอธิษฐาน แสดงความในใจ เจ้าแม่ก็จะรับรู้ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมต้องฆ่าสัตว์อีกเล่า? หากว่าระลึกถึงบุญคุณ เมื่อเข้ามายังศาลเจ้าแล้วกล่าวถวายสิ่งที่ปฏิบัติดี คุณธรรมที่สร้างไว้ กราบเรียนต่อหน้าเจ้าแม่ ก็จะเป็นที่ชื่นชมของเจ้าแม่มาก ?  ดีกว่าต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อกระดาษเงินกระดาษทองมาไหว้เจ้าแม่ ซึ่งท่านไม่ได้ใช้ ? หากจะฉลองวันคล้ายวันเกิด ของเจ้าแม่ยิ่งไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอันขาด มีประวัติกล่าวว่า ตอนเจ้าแม่มีชีวิตอยู่ในโลกเป็นลูกที่กตัญญูมาก วันลาโลกของแม่ จะต้องสวดมนต์สักการะบูชาพระ เพื่ออุทิศกุศลให้พ่อแม่อายุยืนยาว  แต่ทุกวันนี้ เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่ มีการฆ่าสัตว์เป็นการใหญ่ เป็นวันที่สูญเสียชีวิตสัตว์ แล้วเอาสัตว์นั้นมาไว้บนโต๊ะบูชา เพื่อขอพรให้พ่อแม่อายุยืนยาว หรือขอพรกับเจ้าแม่ หรือเอามาแก้บนต่อเทพเจ้า ยิ่งดูน่าเศร้าสลด แม้แต่มดน้อยตัวหนึ่งที่ไร้ปัญญา เจ้าแม่ก็ยังเมตตาไม่ถือโทษ เจ้าแม่ผู้มีมหาเมตตา จะไม่เศร้าสลดใจได้อย่างไร? กับการกระทำข้างต้นนี้ เจริญพร !  สวรรค์อยากเอ่ยแต่ไม่มีวจี อยากพูดก็ไม่มีเสียง มีใครรู้บ้างไหมว่าวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่เพ่งมองมายังเบื้องล่างสรรพสัตว์ไม่ยอมฝึกฝนความเพียร เอาแต่เล่ห์เหลี่ยมต้มตุ๋นเงินทอง  "ไม่สะสมบุญบารมี ตรงกันข้ามก็เอาแต่ขอให้พระช่วยเหลือ" หรือถามหมอดูวุ่นวายไม่หยุดหย่อน สูญเปล่าไปชั่วชีวิต ตกอยู่ในทะเลทุกข์วนเวียนไม่จบ ตอนนี้จิตของเจ้าแม่คงทุกข์โศกยิ่งไม่ใช่หรือ? และยิ่งได้เห็นวันคล้ายวันเกิดของตนเอง ผู้คนกลับสร้างบาปก่อเวรหนักยิ่งขึ้น (ฆ่าสัตว์เอามาเซ่นไหว้) ชาวบ้านไม่เข้าใจ "กฏแห่งกรรม" กันเลย ตรงข้ามซากสัตว์บนโต๊ะบูชา เอามาขอบุญต่อชีวิต เจ้าแม่ก็ได้แต่เศร้าเสียใจหลั่งน้ำตามิใช่หรือ?     

Tags: