collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร  (อ่าน 22402 ครั้ง)

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 1,533
ลังกาวตารสูตร
« เมื่อ: 5/04/2554, 20:23 »
     
ชื่อหนังสือ  ลังกาวตารสูตร
หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน
.
ISBN :  *
ผู้เขียน :  *
ผู้แปล :  ท่านพุทธทาสภิกขุ
ขนาดรูปเล่ม :  * มม.
จำนวน :  96 หน้า
ชนิดกระดาษ :  ปก 4 สี  เนื้อในกระดาษถนอมสายตา
สำนักพิมพ์ :  บุญศิริการพิมพ์ 02-561-1379, 02-9416650-1
เดือน/ปีที่พิมพ์ :  พิมพ์ครั้งที่ *
ราคา :  XXX บาท
อ่านหนังสือไฟล์ PDF คลิ๊กที่นี่
สนใจติดต่อ mindcyber.com

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : mindcyber.com



ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 1,533
Re: ลังกาวตารสูตร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 5/04/2554, 20:35 »
คำนำ

          สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยพระมหาเมตตากรุณาธิคุณ ต่อเวไนยสัตว์ทั่วไป แต่ละชีวิตมีค่ายิ่งนัก สัตว์โลก ทั้งหลายมีความรักตัวกลัวตาย เกลียดความทุกข์ รักความสุข ไม่ยอมให้ผู้อื่นใดมารังแกข่มเหง ถ้าแม้นว่าผู้อื่นใดมารังแกข่มเหง มันก็จะต่อสู้อย่างสุดความสามารถทีเดียว อันความสำนึกเช่นนี้นั้นอยู่ในสำนึกของสามัญสัตว์ทั่วไป ดังนั้น พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติสิกขาข้อปาณาไว้ เพื่อคุ้มครองความสวัสดิภาพแห่งชีวิตทั้งมวล จะด้วยตนเองฆ่าก็ดี จะด้วยเสี้ยมสอนให้ผู้อื่นฆ่าก็ดี จะด้วยเห็นดีเห็นชอบในการฆ่าก็ดี ทั้งสามข้อนี้เป็นการกระทำที่ละเมิดผิดต่อพุทธสิกขาบัญญัติ ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลายควรละเว้นพฤติกรรมเหล่านี้เสียหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะมีส่วนช่วยเปิดความเมตตาที่ปิดตายมานาน หากท่านไม่เจริญเมตตาจิต ไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แล้วจะเรียกร้องขอความเห็นใจจากใครได้

โครงการหนังสือธรรมะแจกฟรี
เดือน สิงหาคม 2552

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 1,533
Re: ลังกาวตารสูตร
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 5/04/2554, 20:36 »
สารบัญ

ลังกาวตารสูตร ท่านพุทธทาสภิกขุ 4
ข้อคิดพิจารณาธรรม ท่านพุทธทาสภิกขุ 15
ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เจ๋ง 25
หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน 61
สารจากยมบาล 70
ภาพแห่งความเมตตา 74
บทกลอนเตือนให้กินเจ 95
คำเตือนจากพระอินทร์ 96
รายนามผู้ร่วมบริจาคพิมพ์ 97

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 1,533
Re: ลังกาวตารสูตร
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 5/04/2554, 20:39 »
ลังกาวตารสูตร
แปลโดย “ท่านพุทธทาสภิกขุ”

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสพระสูตรนี้ไว้ที่เกาะลังกาเพื่อที่จะโปรดคน ให้ได้สติสำนึกรู้ถึงเวรภัยแห่งการฆ่าฟัน และเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อซึ่งกันและกันท่านอริยะครูหลาย ๆ ยุค ท่านกล่าวว่าถ้าใครอ่านพระสูตรนี้ครบ ๑๐ จบ แล้วจิตใจไม่เศร้าสลด ยังแข็งกระด้างอยู่ ใจยังไม่อ่อนลงแล้วบุคคลนั้น ชาติหน้าจะมีหวังที่จะเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือ?

          กรรม ผูกมัดกายเนื้อดึงดูดวิญญาณธรรมชาติแห่งจิตหรือกรรมร่วมบังคับตัวไว้แล้วลังกาวตารสูตร เป็นพระคัมภีร์หลัก (Text)ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นหนึ่งในเก้าคัมภีร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญที่เรียกว่า “สูตร” สูตรหนึ่งนั้นมิใช่สั้น ๆ เช่นที่เราเข้าใจกัน แต่เป็นหนังสือเล่มขนาดใหญ่หรือคัมภีร์หนึ่งนั่นเอง ลังกาวตารสูตรพิมพ์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต เมื่อ ค.ศ.๑๗๒๒ โดยท่าน Bunyin Nangio. M.A. (oxon) D.Litt. Kvoto. สูตรนี้แปลเป็นภาษาจีนครั้งแรก เมื่อ
ค.ศ. ๔๓๓ โดยท่านคุณภัทรแห่งอินเดีย ครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ. ๕๑๓ โดยท่านโพธิรุจิแห่งอินเดียและครั้งที่สามเมื่อ ค.ศ. ๗๐๐ โดยท่านศึกษานันทะแห่งอินเดียเช่นกัน เป็นสูตรที่ว่าด้วยศึกษาด้วยศีลธรรมล้วน ๆ ภาคที่แปดแห่งลังกาวตารสูตรนี้ กล่าวถึงเรื่องการกินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะ เรียกว่า ภาคมางสภักษนปริวรรตจากข้อความในภาคนี้ ย่อมเป็นการพิสูจน์ไว้อย่างเต็มที่ว่า สาวกในพระพุทธศาสนาจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาสก็ตาม จะไม่รับประทานเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์ ชนิดใดชนิดหนึ่งเลยต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอน ซึ่งตัดตอนมาจากข้อความในภาคนั้น ๆ โดยเห็นว่าพวกเราแม้เป็นฝ่ายเถรวาท (หินยาน) ก็ควรได้อ่านฟังกันไว้บ้างเป็นการประกอบการศึกษาเรื่องนี้ ด้วยใจอันเป็นอิสระ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     ลังกาวตารสูตร  :  พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์

             ข้อความในพระสูตรนั้นมีดังนี้  :

        พระตถาคตเจ้า ผู้ทรงอรหันต์ได้ตรัสรู้อย่างดีถ้วนแล้ว และได้ตรัสความเป็นกุศลหรืออกุศลแห่งการบริโภคเนื้อสัตว์แก่เรา เพื่อว่าเราและสาวกอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนาทั้งในปัจจุบันและอนาคตจะได้ประกาศสัจธรรมอันนี้แก่เขาเหล่านั้นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการทมำลายความอยากในเนื้อสัตว์ของเขาเหล่านั้นเสีย

        พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า  :  โอ มหาบัณฑิต !  ด้วยน้ำหนักแห่งเหตุผลอันมากมายเหลือจะประมาณ บ่งแสดงว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธ โดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้มีใจเปี่ยมด้วยความกรุณาสำหรับเขาเหล่านั้น เราจักกล่าวแต่โดยย่อ ๆ ดังนี้  โอ มหาบัณฑิต ! ในวัฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้ สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการเวียนว่ายตายเกิด  ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียวที่บางสมัยไม่เคยเป็นแม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง  ลูกชาย  ลูกหญิงหรือเครือญาติอย่างอื่น ๆ แก่กัน สัตว์ตัวเดียวกันย่อมถือปฏิสนธิในภพต่าง ๆ เป็นกวางหรือสัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้าอื่น ๆ หรือเป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง สาวกแห่งพระพุทธศาสนา จะทำลงไปได้อย่างไรหนอ จัดเป็นผู้สำเร็จแล้วหรือยัง ? เป็นสาวกธรรมดาอยู่ก็ตาม ผุ้เห็นอยู่ว่าเป็นสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นภราดร (พี่ชาย น้องชาย) ของตนแล้ว จะเชือดเนื้อเถือหนังของมันอีกหรือ ?  โอ มหาบัณฑิต !  เนื้อสุนัข เนื้อลา อูฐ ม้า โค และเนื้อมนุษย์ ฯลฯ เหล่านี้เป็นเนื้อที่ผู้คนไม่รับประทาน แม้กระทั่งเนื้อของสัตว์เหล่านี้ถูกนำมาปลอมขาย ในนามของเนื้อแกะ ฯลฯ เพราะเห็นแก่เงิน ด้วยเหตุนี้เนื้อสัตว์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรกินโดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา  โอ มหาบัณฑิต ! เพราะว่าเนื้อย่อมเกิดมาจากเลือดและน้ำอสุจิ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค สำหรับสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์ต่อธรรมอันบริสุทธิ์ และเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในระหว่างกันและกัน  โอ มหาบัณฑิต ! เพราะฉะนั้น เนื้อจึงเป็นของที่ไม่ควรบริโภค  โดยบรรพชิตแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์เพื่อนมิตรภาพในสัตว์ด้วยกันถ้วนหน้า ตัวอย่างอันประจักษ์ เช่น เมื่อสัตว์ได้เห็นนายพรานป่า ชาวประมงหรือนักกินเนื้ออื่น ๆ เดินมาแม้ในระยะอันไกล สัตว์ทั้งหลายก็สะดุ้งกลัวเสียแล้ว บางครั้ง สัตว์บางชนิดก็ขาดใจตาย เพราะความกลัว เนื่องจากมันรู้ดีว่าเขาจะฆ่ามัน ทำนองเดียวกันกับสัตว์ตัวน้อยอื่น ๆ ในท้องฟ้า บนบกหรือในน้ำก็ตาม เมื่อได้เห็นนักกินเนื้อแต่ที่ไกล หรือได้กลิ่นด้วยจมูกอันไวของมันก็จะพากันวิ่งหนีไปไกล พร้อมกับความรู้สึกอยู่ในใจว่า เขาเหล่านั้นเป็นผี ยักษ์ อสูรกาย ( คือสัตว์ที่เกิดในอบายภูมิพวกหนึ่ง คล้ายเปรต ) ผู้ล้างผลาญนั่นเป็นเพราะ ความกลัวต่อความตายของมัน  เนื้อ เป็นสิ่งที่ควรกินสำหรับผู้ใจดำอำมหิต เป็นสิ่งที่มีกลิ่นอันน่ารังเกียจ เป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสีย และเป็นสิ่งที่ถูกห้ามกินโดยสัตบุรุษ โอ มหาบัณฑิต !  เนื้อนี้เป็นของไม่ควรบริโภคโดยพุทธสาวก  โอ มหาบัณฑิต ! สัตบุรุษย่อมบริโภคแต่อาหารที่สมควรแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่ยอมบริโภคเนื้อและเลือด เพราะฉะนั้น... ควรที่สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ลังกาวตารสูตร  :  พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์

             ข้อความในพระสูตรนั้นมีดังนี้  :

        พระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเยือกเย็นไปด้วยพระมหากรุณา มีพระทัยเปี่ยมล้นไปด้วยความเป็นที่พึ่ง ที่ป้องกันแก่ดวงใจของปวงสัตว์น้อยใหญ่และมีพระสัมปชัญญะ(ความรู้ตัวอยู่เสมอ ความไม่เผลอตัว) สมบูรณ์ พอที่จะไม่ปล่อยให้เป็นโอกาสสำหรับความเสื่อมเสียระบาดขึ้นได้เลยนั้น ย่อมจะทรงบัญญัติเนื้อสัตว์ว่าเป็นสิ่งไม่ควรบริโภค  โอ มหาบัณฑิต ! ในโลกนี้มีคนอันมากได้กล่าวคำเท็จเทียมต่อพระพุทธดำรัส ให้ผิดไปจากความจริง เขากล่าวกันว่าบรรดาผู้ซึ่งคัดค้านอาหารอันสมควรแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ แห่งสมัยบรรพการนั้น ก็กินอาหารเหมือนนักกินเนื้อเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมเที่ยวสร้างความทุกข์ความเจ็บปวดให้แก่สัตว์น้อยใหญ่ ที่มีชีวิตอยู่ในอากาศ บนบก และในน้ำ  พวกเขารบกวนรังควานมันอยู่เสมอ สมณภาพ (คือภาวะผู้สงบกิเลสแล้ว) ของเขาถูกทำลายเสียย่อยยับแล้ว พราหมณ์ภาพของเขาถูกทำให้เศร้าหมองเสียแล้ว เขามิได้ประกอบด้วยศรัทธา และสมาจาร ( คือ ความประพฤติที่ดี ธรรมเนียม ประเพณี ) คนชนิดนี้แหละที่กล่าวคำเท็จเทียมมากมายหลายชนิดแก่พระพุทธวจนะ  โอ มหาบัณฑิต ! มีกลิ่นที่น่ารังเกียจ ไม่น่าบริโภคอยู่ในเนื้อสัตวืเช่นเดียวกัน กับกลิ่นแห่งศพ แม้เหตุผลเพียงเท่านี้ เนื้อสัตว์ก็เป็นสิ่งของไม่ควรบริโภค สำหรับพุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าศพถูกเผา และเนื้อสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกเผา มันก็จะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจไม่แตกต่างอะไรกันเลย  ดังนั้น  บรรพชิตในพระพุทธศาสนา ผู้หวังความบริสุทธิ์จะไม่บริโภคเนื้อใด ๆ เลย เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรังเกียจกันแล้ว สำหรับท่านผู้บริสุทธิ์ และสาวกของท่าน ในกรณีที่จะพยายามเพื่อโมกษะและความตรัสรู้ เพราะฉะนั้น สาวกผู้เดินตามทางอันสูงยิ่งนี้ ทั้งครอบครัวลูกหญิงชาย ย่อมอยู่อย่างเต็มใจ ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรังเกียจกันในทุก ๆ กรณีที่พยายามเพื่อสมาธิ  โอ มหบัณฑิต !   เพราะฉะนั้น เนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค สำหรับพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นผู้ที่ปรารถนาจะมีสาธุคุณในทางจิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นักกินเนื้อย่อมเป็นเหยื่อแห่งโรคหลายชนิด เช่น โรคไส้เดือน โรคพยาธิ โรคเรื้อน โรคเจ็บในท้อง ฯลฯ  โอ มหาบัณฑิต ! เรากำลังประกาศว่าการกินเนื้อสัตว์ เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ ดังนี้แล้ว จะกล่าวไปอย่างไรได้ ที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์  ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับของพวกคนใจดำอำมหิต เป็นของควรห้ามโดยท่านสัตบุรุษทั่วไป เต็มไปด้วยมลทินปราศจากคุณใด ๆ ไม่เหมาะที่จะบริโภค สำหรับผู้บริสุทธิ์ และเป็นของควรห้ามเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง  โอ มหาบัณฑิต !  เราได้บัญญัติไว้แล้วว่า สำหรับอาหารอันสมควร ซึ่งได้กำหนดนิยมกันมาแล้ว โดยบรรดาท่านบริสุทธิ์แห่งสมัยบรรพกาลได้แก่ อาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าว ลูกเดือย ข้าวสาลี สารแห่งหญ้ามุญชะ ( คือพืชจำพวกหญ้าปล้อง )  อูรทะและมสุร นมส้ม น้ำนม น้ำตาลสด น้ำตาลกรวด ฯลฯ  โอ มหาบัณฑิต ! ในกาลก่อน มีพระราชาครองราชสมบัติอย่างผาสุก พระองค์หนึ่ง นามว่าราชาสิงหะเสาทโส ต่อมาได้กลายเป็นผู้ละโมบในการบริโภคเนื้อ จนในที่สุดถึงกับใช้เนื้อคนเป็นอาหาร เนื่องจากความอยากเป็นไปแก่กล้าหนักเข้า เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงถูกปลดออกจากความเป็นพระราชา โดยพระสหายเสนาบดี และ พระประยูรญาติของพระองค์เอง พร้อมทั้งคนอื่น ๆ  จนกระทั่งต้องสละราชสมบัติและถูกเนรเทศ ออกไปจากแคว้นของพระองค์โดยประชาชนต้องรับทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวง เนื่องจากเนื้อสัตว์เป็นเหตุ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ลังกาวตารสูตร  :  พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์

             ข้อความในพระสูตรนั้นมีดังนี้  :

        โอ มหาบัณฑิต ! ก็ในปัจจุบันชาตินี้เองเขาเหล่านั้น ซึ่งเคยชินกับการกินเนื้อสัตว์ในมาตรฐานนี้ เมื่อความอยากเป็นไปรุนแรงเข้าก็กินเนื้อคนได้ ย่อมเป็นผู้ละโมบในการกินและเป็นเหมือนยักษ์ ปีศาจร้าย ครั้นถึงอนาคตกาลเพราะอำนาจจิตติดฝังแน่นในการอยากกินเนื้อสัตว์ เขาย่อมตกไปสู่กำเนิดแห่งสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ จรเข้ สุนัขจิ้งจอก แมว นกเค้าแมว ฯลฯ  โอ มหาบัณฑิต ! มิใช่เพราะเนื้อจะเป็นของที่ต้องกินหรือการฆ่าเป็นของต้องทำก็หามิได้ ในกรณีนั้น ๆ ส่วนมากทั้งหมดเป็นเพราะการเห็นแก่เงินจึงฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต ถึงแม้จะเป็นสัตว์เชื่องและปราศจากอันตรายแต่อย่างใดก็ถูกฆ่า  การฆ่า เพราะเหตุอื่นมีน้อยที่สุดมันเป็นการทรมานเขามาก ในเมื่อใจเต็มไปด้วยความอยากกินเนื้อ อย่างแรงกล้า คนก็กินเนื้อคนได้อยู่เสมอจะต้องกล่าวไปทำไมกับเนื้อสัตว์ เนื้อนก ฯลฯ โดยส่วนมาก ก้เนื่องจากความโง่เขลาเข้าใจผิด มนุษย์จึงได้รับ "กรรมเกิดความกระวนกระวาย" โดยความอยากในเนื้อสัตว์ คนฆ่านก ฆ่าแกะ และปลา โดยใช้ข่ายหรือเครื่องกลการฆ่ามันเหล่านั้น ซึ่งเป็นสัตว์ที่เชื่องและหาอันตรายมิได้ นั่นก็ดพื่อหวังจะให้ได้เงิน  โอ มหาบัณฑิต ! กรณีแห่งอาหารที่ "เราได้บัญญัติแก่สาวกนั้น มิใช่เนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งเลยซึ่งเป้นของควรกิน สัตว์ซึ่งเป็นของไม่ควรกิน" ไม่เป็นเหตุควรถูกกิน ไม่ใช่่สิ่งที่ควรสมมุติว่าควรกินในอนาคตกาลสงฆ์สาวกของเรา จะเกิดมีคนบางคน ซึ่งกำลังสมาทานข้อปฏิบัติแห่งบรรพชิตและกำลังปฏิญาณตนเป็นศากยบุตรกำลังครองผ้ากาสาวพัตร์สีแดงหม่น จะเป็นผุ้มัวเมาและประกอบตนคลุกเคล้า อยู่ในความเพลิดเพลิน เขาจะมีจิตที่เต็มไปด้วยความปรารถนาลามกบัญญัติข้อปฏิบัติที่ผิดแบบนแผนขึ้นใหม่ เขาเหล่านั้นเป็นผุ้อยากเสพเะราะติดรส และจะเรียบเรียงพระคัมภีร์ให้มีข้อความเท็จ อันจะเป็นเครื่องยืนยัน และโต้แย้งอย่างพอเพียง สำหรับการกินเนื้อสัตว์กัน เขาจะบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ เขาจะกล่าวข้อความที่ส่งเสริมการกินเนื้อสัตว์ เขาจะกล่าวว่าเราตถาคตได้บัญญัติไว้ในเรื่องนี้ และว่าเราตถาคตนับมันเข้าไว้ในสิ่งทั้งหลายที่ควรกิน และว่าพระภควันต์ (ภควา..ภควาน..นามพระผู้เป็นเจ้า) ก็ได้ทรงเสวยเนื้อสัตว์ด้วยพระองค์เอง แต่ โอ มหาบีณฑิต ! เรามิได้เคยบัญญัติเนื้อสัตว์ไว้ในสูตรใด ๆ  หรือกล่าวว่ามันเป็นของควรกิน หรือนับมันเข้าประเภทของดีที่ควรกิน  โอ มหาบัณฑิต ! อริยสาวกทั้งหลายไม่บริโภคแม้แต่สิ่งที่คนธรรมดาชอบกินนิยมกันว่าดี เขาเหล่านั้นจะมาบริโภคเนื้อและเลือดซึ่งเป็นของควรปฏิเสธได้อย่างไรเล่า ? เหล่าสาวกของตถาคตเป็นผู้เดินตามแนวสัจธรรม คนผู้มีปัญญาเป็นเครื่องคิดค้นของตนเอง และบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายอื่น ๆ (แห่งพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ) ก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาเหล่านั้นมิใช่ผู้กินเนื้อสัตว์ พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ในกาลก่อน ๆ ก็เป็นดังนี้ พระตถาคตเจ้าทั้งหลายมีสัจธรรม เป้นพระกายของพระองค์ ทรงดำรงค์พระชนชีพอยู่ด้วยสัจธรรมไม่ทรงดำรงกายด้วยเนื้อสัตว์ ท่านเหล่านั้นไม่เคยเสวยเนื้อสัตว์ พระองค์ทรงเพิกถอนความอยากในโลกีย์วัตถุได้ทั้งหมดแล้ว ท่านเหล่านั้นปราศจากมลจิตอันเป็นมูลแห่งความทุกข์ ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณอันไม่ขัดข้อง ในอันจะหยั่งทราบสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศล ทรงทราบสิ่งทั้งปวง เห็นแจ้งสิ่งทั้งปวง พระองค์ทรงมองไปที่สรรพสัตว์ คล้ายกับบุตรของพระองค์เอง ทรงกอปรด้วยมหาเมตตามหากรุณา โดยทำนองเดียวกัน เราตถาคต สรรพสัตว์เช่นเดียวกับบุตรของเราเอง เราจะบัญญัติให้สาวกของเราบริโภคเนื้อลูกของเราได้อย่างไรเล่ามันไม่มีข้อควรสงสัยเลย ในเรื่องที่ว่าเราบัญญัติให้สาวกบริโภค หรือเราได้บริโภคมันโดยตนเองหรือไม่ ? (ในที่สุด ได้ตรัสคำที่ผูกเข้าเป็นคาถา ซึ่งจะยกมาในที่นี้แต่บางคาถา มีใจความว่า)  โอ มหาบัฯฑิต ! พระชินวร ได้ตรัสไว้แล้วว่า "สุรา เนื้อและหอม กระเทียม " เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนไม่ควรบริโภค บรรพชิตควรละเว้นเสมอจากเนื้อสัตว์ หัวหอม กระเทียม และนานาประเภทแห่งเครื่องดื่มอันมึนเมา  เขาผู้่ฆ่าสัตว์ชนิดใด ๆ ก็ตามเพื่อเงินและเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินเพื่อซื้อเนื้อนั้น  ทั้งสองพวกได้ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบ "อกุศลกรรม" และจักจมลงสู่โรรุวะนรกและนรกอื่น ๆ เราบัญญัติ ห้ามกินเนื้อสัตว์ไว้ในข้อความแห่งคัมภีร์ เหล่านี้คือ 1. หัสติกักสยะ  2. มหาเมฆะ  3. นิรวาณางคลีมาลิกา  4. ลังกาวตารสูตร  ฉันเดียวกันกับที่ ความถูกพันธธนาการเป้นข้าศึกของความหลุดพ้นเป็นอิสรภาพ เนื้อสัตว์ สุรา ฯลฯ ก็เป็นข้าศึกของนิรวาณ (นิพพาน) ฉันนั้น  ดังนั้น เนื้อสัตว์ซึ่งเป็นของดูน่ากลัวแก่สรรพสัตว์ และเป็นอุปสรรคแก่การปฏิบัติเพื่อ " วิมุตติ " จึงเป็นของไม่ควรกิน นี่คือ ธงชัยแห่งอารยชน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                 ลังกาวตารสูตร  :  พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์

        ข้อคิดพิจารณาธรรม : ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์  (ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกข์ จังหวัดสุราษฏร์ธานี)

        เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมากทางใจ

ประโยชน์ทางฝ่ายธรรม  :

        ข้อที่ 1. เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น  เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวาย เพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบ ๆ เคียง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อย ๆ ญา๖ืโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวาย ศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลางเคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย  หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมาก ๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผัก แต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรา มีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อทดลองทำไปได้ ๒ - ๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อ มีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลัง เฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า "คนกินเนื้อสัตว์  เพราะแพ้รสตัณหา  กินเพราะตัณหา  ไม่ใชเพราะเลี้ยงง่าย"

        ข้อที่ 2. เป็นการฝึกในส่วน " สัจธรรม "  คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตนเอง สัจจะในการกินผักนั้น เป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง "ดวงธรรมแห่งสัจจะ" ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้น การฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยม กว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่น ๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึก ทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุก ๆ วัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรม ต้องฝึกทุกวัน จึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้ การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืม พระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า " สัจจะเป็นคู่กับกาสาวพัสตร์ "

        ข้อที่ 3 . เป็นการฝึกในส่่วน "ทมะ" ธรรม   "ทมะ" คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อ ง่าย ๆ เช่น ข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูง ๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้ง ๆ จากชาวบ้านริมทะเลขึ้นไปกินทั้ง ๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวัน ๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าว ฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้ง ๆ  และขึ้นรา ที่พวกเขาอุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหน ๆ  ดังนั้น... ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวัน การข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน  โปรดทราบ ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมา จงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิด การเลี้ยงพระในงานต่าง ๆ ข้าพเจ้าเคยเห็น เคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อ ส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แม้กระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อ คงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ควรรู้ไว้ด้วยว่า บรรดาพ่อครัวแม่ครัว และเจ้าภาพ เขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อ ชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิต ทั้งหลายร่วมมือกัน "แบ่งอิทธิพล"

        ข้อที่ 4 . เป็นการฝึกในส่วน " สันโดษ "     สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวช ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลยเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และ ถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษและถ่อมตน  ดังนั้น... การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่าย ๆ จะแก้ได้หมด "สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต"

        ข้อที่ 5 . เป็นการฝึกในส่วน " จาคะ "    จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไป กว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย  ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่น ๆ

      ข้อที่ 6 . เป็นที่ฝึกในส่วน " ปัญญา "    ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษ ของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้  ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อ เพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาต่อเติม ปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่ไปนิพพาน ได้เพราะกินผัก แต่เป็นการกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุก ๆ วัน   แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่า ฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผัก ความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลว หรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผักเพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉยๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี !  เพราะฉะนั้น ฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้  และมีความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ  ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่ ?   เรื่องนี้ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่า อาหารผัก จะทำให้ผุ้บริโภคมีกำลังแข็งแรง โรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”