collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมธาดาคู่โลกา : ปฏิปทาองค์สมเด็จพระกตธิการบรมอริยธรรมราชเจ้าผู้เฒ่าน้ำใส  (อ่าน 27672 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       ครั้นกล่าวถึงความวิริยะใฝ่ศึกษาของท่านเหล่าเฉียนเหรินแล้ว ก็ยิ่งคู่ควรแก่เกียรติคุณนี้อย่างมิต้องสงสัย นอกจากการปฏิบัติธรรมและการต้อนรับญาติิธรรมแล้ว ครั้นมีเวลาว่าง มือของท่านก็แทบจะไม่เคยว่างเว้นจากหนังสือแต่อย่างใด และไม่ว่าจะเป็นหนังสือประเภทใด ท่านก็จะทุ่มเทศึกษาให้รู้ซึ้งอย่างแตกฉาน สำหรับคนที่ติดตามท่านเหล่าเฉียนเหริน ต่างก็ทราบดีว่า ท่านจะมีความรอบรู้เสียเกือบทุกเรื่อง โดยไม่จำกัดเฉพาะศิลปวรรณกรรมหรือพระสูตรคัมภีร์ของแต่ละศาสนาเท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงวิชาดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เศรษศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ ตลอดจนการเขียนภู่กันจีน ดีดลูกคิด เย็บปักถักร้อย คหกรรมต่าง ๆ ท่านล้วนชำนาญจนถึงขั้นแตกฉานทั้งสิ้น จนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังเคยตรัสชมท่านว่า "ความรู้ลุ่มลึก รู้อดีตแจ้งปัจจุบัน" ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นทุกประการ
      และเหตุที่ท่านมีภูมิธรรมความรู้อันสุขุม ลายมือภู่กันอันวิจิตรนั้นเพราะ ท่านเป็นผู้ที่มีความขยันร่ำเรียนอย่างเหนือคนธรรมดามาแต่เยาว์วัย โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านได้รับธรรมะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระสูตร พระโอวาท หรือหนังสือธรรมะต่าง ๆ ขอเพียงท่านมีเวลาท่านก็จะตั้งใจศึกษาค้นคว้า หรือกระทั่งดิ่งความคิดอยู่กับสิ่งที่ศึกษาอยู่มิขาด ไม่ว่าจะอยู่ที่ฝูซันก็ดีหรือที่เทียนฝอเยวี้ยนก้ดี บนหัวเตียงของท่านจะมีหนังสือจัดเป็นแถวยาวเพื่อที่จะสะดวกในการหยิบอ่านได้ทุกเวลา และครั้นท่านได้อ่านพบคติธรรม ความรู้ดี ๆ ข้อใด ท่านก็จะนำมาบอกเล่าแบ่งปันให้กับทุกคนโดยมิหวงแหนแต่อย่างใด ทั้งนี้ท่านยังมักสนับสนุนให้ทุกคนมีความสนใจใฝ่ศึกษาอยู่มิขาด ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา พุทธโวาทของแต่ละชั้นเรียนที่ญาติธรรมได้ส่งมาให้อย่างมากมายนั้นท่านจะรับมาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดทุกฉบับ สำหรับจิตใจที่แน่วแน่ของท่านเช่นนี้ก็เป็นจิตใจที่น่าเคารพยิ่ง
      สำหรับความตั้งอกตั้งใจ ความวิริยะพากเพียรในการศึกษาเล่าเรียนของท่าน ก็หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามัญจะสามารถทัดเทียมได้ไม่ โดยจะขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งมาเล่าสู่กันฟัง ท่านเคยเขียนบทนำใน"คัมภีร์หมิงเซิ่งจิง" โดยมีเนื้อหาดังนี้ว่า "ข้าพเจ้ามาไต้หวันในปีหมินกั๋วที่ ๓๗ (ค.ศ.๑๙๔๘) ตราบจนฤดูสารทในปีหมินกั๋วที่ ๓๘ (ค.ศ.๑๙๔๙) เหตุด้วยความเหน็ดเหนื่อยกรำงานกับการบริหารร้านค้า จึงทำให้เจ็บป่วยเป็นโรคกระบังลมอักเสบซึ่งเป็นอันตรายยิ่งนัก และการรักษาใด ๆ ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลทั้งสิ้น จนกระทั่งวสันตฤดูในปีหมินกั๋วที่ ๔๐ (ค.ศ.๑๙๕๑) อาการเจ็บป่วยก็หาได้ดีขึ้นแต่อย่างใดไม่ และด้วยเหตุที่ได้ค้นหนังสือที่นำมาจากเทียนจินขึ้นอ่านพบว่าเป็น "คัมภีร์หมิงเซิ่งจิง"  ดังนั้นจึงทำการจัดพิมพ์จำนวนหนึ่งพันฉบับออกแจกจ่าย และนับแต่นั้น ข้าพเจ้าก็สวดท่องอยู่ทุกวันด้วยความศรัทธา ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน อาการเจ็บป่วยของข้าพเจ้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ตราบจนบัดนี้ ข้าพเจ้าอายุ ๗๑ ปีแล้วแต่สุขภาพก็ยังคงแข็งแรง นั่นก็เพราะอานุภาพแห่ง "คัมภีร์หมิงเซิ่งจิง" นั่นเอง...

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        สำหรับคัมภีร์เล่มนี้ ท่านได้ท่องมาตลอดสามสี่สิบปี เรียกได้ว่าท่านไม่เคยว่างเว้นแต่อย่างใด และแม้นงานธรรมจะรัดตัวมากเพียงใดท่านก็หาได้หยุดหย่อนแต่อย่างใดไม่ สำหรับจิตใจวิริยะพากเพียรของท่านดั่งนี้ ก็เป็นจิตใจที่ทำให้พวกเรารู้สึกนับถือและละอายใจยิ่งนัก อย่างเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นท่านสิริอายุสูงถึง ๙๔ ปี ในเดือน ๖ ท่านได้รับเชิญให้ไปยังประเทศมอริเซียส ซึ่งเป็นการเดินทางไกลครั้งสุดท้ายในชีวิตของท่าน ในตอนนั้นท่านก็ยังคงพกคัมภีร์" หมิงเซิ่งจิง" ติดตัวไปอ่านถึงที่นั่นด้วย ในวันที่ ๔ เดือน ๗ ท่านเดินทางกลับไต้หวันเมื่อตอนที่ท่านลงจากเครื่องกลับถึงฝูซันก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว แม้ตอนนั้นท่านจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลมากเพียงใด แต่สิ่งแรกที่ท่านทำหลังจากกลับเข้าห้องนอนก็คือหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ดังนั้นการที่พวกเราได้มีเหล่าเฉียนเหรินที่มีความวิริยะใฝ่ศึกษามากเช่นนี้ จึงนับเป็นวาสนาอันสูงยิ่งของพวกเราทุกคน
      นอกจากความขยันอ่านแล้ว ท่านก็ยังมุ่งมั่นฝึกฝนลายมือพู่กันอยู่เสมอ ลายมือของท่านนั้นหมดจด มีพลัง แม้นท่านจะมีภารกิจงานธรรมอันมากมายก็จริง แต่ท่านก็ยังตกทอดผลงานศิลปะพู่กันนับเป็นพัน ๆ ฉบับซึ่งก็ได้กลายเป็นที่ระลึกอันอมตะ และทรงคุณค่าที่สุดของญาติธรรมจำนวนมาก  สำหรับปฏิปทาอันงดงามของท่านดังนี้ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในหมู่คนมากมาย ซึ่งปฏิปทาดังนี้ไม่เพียงแต่สามารถทำให้ท่านมีความรู้ที่แตกฉานในทุก ๆ เรื่องราวเท่านั้น หากยังเสริมส่งให้ท่านมีบารมีอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร และประสบผลสำเร็จในการนำพาอาณาจักรธรรมอันยิ่งใหญ่อีกด้วย ในคัมภีร์ทางสายกลางมีบันทึกไว้ว่า "หากไร้ซึ่งวรบารมี วิสุทธิธรรม มิอาจได้บรรลุ" อันเรื่องใหญ่แห่งการฉุดช่วยเวไนยสัตว์ มีฤาที่จะสำเร็จได้ด้วยง่าย
     ครั้นกล่าวถึงความงดงามด้านการประหยัด ก็เป็นจริยวัตรที่ผู้คนในอาณาจักรธรรมล้วนทราบเป็นอย่างดี เฉิงจื่อกล่าวว่า "ประหยัดเรียบง่าย คือคุณธรรมอันงดงามแห่งมนุษย์"  อันวัตรปฏิบัติในด้านความมัธยัสถ์ของท่านนั้นงดงามจนถึงขั้นคัมภีรภาพ จนทำให้ผู้คนที่คิดว่าได้ประหยัดแล้วยังต้องละอายแก่ใจนอกจากท่านจะไม่สิ้นเปลืองเงินทองเท่านั้น แม้นเพียงเศษกระดาษท่านก็ยังคงทะนุถนอมมิสิ้นเปลือง ส่วนเงินทองทุกบาททุกสตางค์ท่านก็จะใช้ให้เกิดคุณค่าเป็นเท่าตัว ดังนั้น เมื่อท่านได้เห็นเศรธกิจพัฒนาล้ำหน้าไปไกล วัตถุสิ่งของล้วนอุดมสมบูรณ์ แต่เหล่าคนหนุ่มสาวต่างฟุ้งเฟ้อโดยไม่รู้คุณค่าของความประหยัด หรือกระทั่งยังมีทัศนคติที่เมินเฉยไม่นำพาเสียอีก เหตุการณ์เหล่านี้จึงมักทำให้ท่านถอนหายใจเสมอ โดยเฉพาะหากเป็นของชิ้นน้อยด้อยค่าที่สามารถหาซื้อได้โดยไม่ยาก เช่น เข็ม ด้าย เป็นต้น คนทั่วไปก็มักจะทิ้งส่วนที่เหลือจากการปะเย็บไปโดยไม่ไยดี แต่สำหรับผู้ที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงามเช่นท่านเหล่าเฉียนเหริน จะหาเป็นเช่นนั้นไม่ กล่าวคือ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีอาวุโสหญิงท่านหนึ่งอาสาจะเย็บกระดุมให้ท่าน ท่านกล่าวว่า "เธอเย็บไม่เป็นหรอก" อาวุโสท่านนั้นรู้สึกแปลกใจ เพราะว่าเขาถนัดเรื่องเย็บปักถักร้อยอยู่แล้ว เหตุใดท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงกล่าวว่าเขาเย็บไม่เป็นเล่า จึงกล่าวว่า "ท่านเหล่าเฉียนเหรินเมตตา โฮ่วเสวียปะเย็บอยู่บ่อย ๆ ขอให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินเมตตาให้โอกาสโฮ่วเสวียศึกษาด้วยเถิด" ท่านเหล่าเฉียนเหรินไม่อาจปฏิเสธ จึงยื่นเสื้อให้อาวุโสท่านนั้น ครั้นได้รับเสื้อ อาวุโสท่านนั้นก็ดึงด้ายเตรียมร้อยเข็มอย่างคล่องแคล่ว แต่ยังไม่ทันจะเริ่มลงมือ ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็ท้วงขึ้นว่า " บอกแล้วว่าเธอเย็บไม่เป็นก็ไม่เชื่อ เย็บกระดุมแค่นี้ไม่จำเป็นต้องใช้ด้ายยาวขนาดนี้หรอก ใช้เพียงแค่นี้ก็พอ" ท่านเหล่าเฉียนเหรินรับเสื้อมาเย็บเอง ซึ่งท่านก็สามารถใช้ด้ายเย็บกระดุมได้อย่างพอดีไม่มีเหลือทิ้ง ไม่เพียงแค่ด้ายเท่านั้น แม้กระทั่งน้ำถูพื้นก็เช่นกัน ท่านมักกล่าวว่า "การถูพื้น ต้องกะดูว่ามีพื้นที่เท่าไรก็ต้องใช้น้ำเท่านั้น หากน้ำน้อยไปก็จะไม่สะอาด หากน้ำมากไปก็จะเป็นการสิ้นเปลือง ดังนั้นต้องกะเกณฑ์ให้พอดี" หรืออย่างซองเอกสารที่ใช้จนเก่า เราเห็นว่าเก่าแล้วก็มักจะทิ้งไป แต่ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะนำซองเหล่านั้นมาเลาะพลิกด้านในออกและทากาวใหม่ ซองเก่าที่เราเห็นว่าหาประโยชน์ไม่แล้วก็จะกลายเป็นซองใหม่ในพริบตา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
    อย่างเช่นที่ฝูซัน อาวุโสจำนวนหลายท่านที่ไปอาจจะมิได้สังเกตุเห็นคือ ใต้อ่างล้างมือที่อยู่หน้าทางเข้าจะต้องมีถังรองน้ำอยู่ทุกแห่ง น้ำล้างมือทั้งหมดที่ไหลรวมลงไปในถังนั้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะนำไปรดต้นไม้ แปลงผัก หรือชำระสิ่งสกปรกในที่ต่าง ๆ โดยท่านจะไม่ยอมให้เกิดการสิ้นเปลืองน้ำแม้แต่หยดเดียว หรือแม้แต่สมุดเซ็นเยี่ยมท่านก็ต้องตัดเย็บจากกระดาษโฆษณาหรือกระดาเหลือทั้งสิ้นและไม่เพียงแค่นี้เท่านั้นเพราะที่ฝูซันแห่งนี้ อาวุโสและสามคุณ จะเดินเก็บหาฟืนไฟในสวนมาใช้สำหรับหุงต้มโดยไม่มีใครสั่ง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเพราะบารมีของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่ได้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของอนุชนรุ่นหลังนั่นเอง ท่านเหล่าเฉียนเหรินเคยกล่าวว่า "ในอดีต ครั้นท่านซือจุนเห็นผักที่ลอยทิ้งในคูน้ำครำ ขอเพียงแต่ยังสามารถทำได้ ท่านจะต้องเก็บขึ้นมาทุกครั้ง ที่ทำเช่นนี้มิใช่ว่าจะถนอมสิ่งของ หากเป็นการถนอมบุญ อันเป็นใจจริงที่ไม่อยากให้เกิดการสิ้นเปลืองนั่นเอง"
     ในพุทธวิหารเทียนฝอเยวี่ยนก็เช่นกัน ทุกครั้งที่ท่านมาถึงท่านจะต้องเข้าตรวจห้องครัว เพื่อสำรวจดูว่ามีการสื้นเปลืองข้างของเครื่องใช้หรือไม่ ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบงานครัวจะต้องระมัดระวังเรื่องนี้เสมอ  ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการให้ท่านกังวลใจนั่นเอง มีบางครั้ง เนื่องจากท่านเห็นว่าใช้น้ำมันสิ้นเปลืองจนเกินไป ท่านจึงลงมือผัดกับข้าวให้พวกเราชิมด้วยตัวท่านเอง ซึ่งแม้จะเป็นเพียงกับข้าวง่าย ๆ แต่ท่านก็สามารถปรุงเป็นอาหารเลิศรสและประหยัดได้โดยไม่ยาก พวกเราทุกคนต่างได้ประจักษ์แก่สายตา และก็ได้ชิมฝีมือการทำอาหารของท่านมาแล้ว ซึ่งทุกคนต่างรู้สึกยกย่องท่านเป็นอย่างยิ่งเพราะท่านไม่เพียงแต่มีความสามารถอันรอบด้านเท่านั้นหากท่านยังมีความละเอียดรอบคอบในทุกสิ่งอีกด้วย ดังนั้นตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะอยู่ที่ฝูซันก็ดีหรือที่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยนก็ดี ขอเพียงเป็นสถานที่ที่ท่านอยู่ เราก็จะหาถังทิ้งเศษอาหารสักใบก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย และในโลกใบนี้ ณ กาลปัจจุบัน การที่เราจะพบคนปฏิบัติตนด้วยความประหยัดอย่างเคร่งครัด ไม่ละโมบในความสุขความสบาย มีความสมถะเรียบง่ายในการกินอยู่เยี่ยงท่านเหล่าเฉียนเหรินนั้น ก็หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ ไม่เพียงด้านการกินการใช้เท่านั้น ในเรื่องของการสวมใส่ ท่านก็ยังมีความประหยัดไม่แพ้กัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 7/12/2010, 08:44 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       ท่านเหล่าเฉียนเหริน มักจะตำหนิญาติธรรมหญิงว่ามีเสื้อผ้ามากจนเกินไปเสมอเพราะแต่ละคนมักจะสะสมเสื้อผ้าไว้ตั้งหลายสิบชุด แต่สำหรับเสื้อผ้าที่แขวนอยูไว้ในตู้ของท่านเหล่าเฉียนเหรินนั้น ก็ยังคงแขวนชุดจีนและเต้าผาว เพียงไม่กี่ชุดเช่นนั้นมาตลอด มาตรว่าเวลาจะผ่านไปแล้วหลายสิบปี ท่านก็ยังคงปฏิบัติเช่นนี้มิเคยเปลี่ยน ครั้งหนึ่งหลังจากที่ท่านกลับมา ท่านได้เห็นญาติธรรมหญิงสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงถือโอกาสอบรมว่า "พวกเธอใส่เสื้อผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าไม่ควรซักบ่อยนัก เสื้อผ้าของพวกเธอหากมิใช่ใส่ขาด ส่วนใหญ่ก็ซักขาด หากเสื้อผ้าไม่เปื้อน ก็ไม่ควรซักบ่อยนัก ตรงไหนเปื้อนมากก็ออกแรงขยี้หน่อย ส่วนที่ไม่เปื้อนขยี้เบา ๆ ก็พอ พวกเธอดูซิ อย่าเห็นว่าเสื้อผ้าของเราดูออกใหม่ แต่ก็ใส่มายี่สิบสามสิบแล้วนะ"เพียงโอวาทอันแสนธรรมดา แต่ก็ทำให้ญาติธรรมละอายใจยิ่งนัก แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ท่านก็ยังคงมีความละเอียดรอบคอบ ดังนั้นสำหรับรายละเอียดการบำเพ็ญแห่งจิตใจยังมิต้องกล่าวถึงอีกเลย และอีกเรื่องที่ประเสริฐยิ่งก็คือ เหตุที่ท่านประหยัดถึงเพียงนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านให้ความเคารพต่อฟ้าเบื้องบนอย่างที่สุด อีกส่วนหนึ่งก็เพราะท่านรักใคร่เอ็นดูต่ออนุชนรุ่นหลัง โดยประสงค์จะเหลือบุญให้แก่เวไนยสัตว์นั่นเอง ท่านกล่าวว่า "พระแม่องค์ธรรมทรงดูแลสรรพสิ่ง ทุกสิ่งล้วนเพราะเบื้องบนทรงประทาน พวกเราทุกคนจึงควรถนอมรักษา เพราะการรักสรรพสิ่งก็คือการรักฟ้า เคารพฟ้าก็จะถนอมสรรพสิ่งนั่นเอง" ท่านยังกล่าวอีกว่า "ใช้บุญก็หมดบุญ ถนอมบุญจึงจะเหลือบุญให้แก่ชนรุ่นหลัง" ด้วยจิตใจอันยิ่งใหญ่นี้ ก็เป็นสิ่งที่น่านับถือยิ่งนัก
       และก็ด้วยความจริงใจของท่านเช่นนี้ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าท่านจะรอนแรมเหนื่อยยากกับงานธรรมมากเพียงใด ในขณะที่พักผ่อนตามจุดริมทาง ท่านก็เคยหาซื้อเครื่องดื่มหรือขนมขบเคี้ยวทานไม่ หากท่านจะเตรียมแต่เพียงอาหารแบบเรียบง่าย และน้ำดื่มขวดใหญ่เท่านั้น ท่านกล่าวว่า "ทุกบาททุกสตางค์ล้วนเป็นหยาดเหงื่อแรงกายของเวไนยสัตว์ดังนั้นจึงไม่กล้าสิ้นเปลือง" ครั้นโฮ่วเสวียทุกคนได้ยินต่างก็รู้สึกประทับใจยิ่งนัก และในความเป็นจริง ท่านก็เคร่งครัดในการแบ่งขอบเขตระหว่างทางธรรมกับทางโลกอย่างชัดเจน ในตลอดชีวิตของท่าน ท่านจะไม่เคยนำเงินของเวไนยสัตว์ไปใช้กับลูกหลานของท่านเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด สำหรับสาราณียวัตรอันยิ่งใหญ่ของท่านเช่นนี้ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาก็เคยหาแปรเปลี่ยนแต่อย่างใดไม่ ซึ่งจุดนี้ เราทุกคนควรศึกษาเป็นแบบอย่าง
      แม้ว่าสาราณียวัตรด้านการประหยัดอย่างเคร่งครัดของท่านจะมิใช่สิ่งที่วัยรุ่นหนุ่มสาวจะรับกันได้ง่าย ๆ แต่สำหรับคุณธรรมด้านนี้ก็เป็นคุณธรรมอันงดงามที่เราควรจะรณรงค์ให้แพร่หลาย โดยเฉพาะในยุคที่คุกรุ่นด้วยกระแสวัตถุนิยม และเสรีนิยมที่ทุกคนมีแต่ชิงไหวชิงพริบและเห็นแก่ตัวเช่นปัจจุบัน หากทุกคนสามารถมีปฏิปทาเช่นท่านเหล่าเฉียนเหรินที่ถนุถนอมทรัพยากร เคร่งครัดในความประหยัด ไม่คล้อยตามกระแสทะยานอยากแห่งวัตถุเช่นนี้แล้ว คิดว่าจะสามารถลดภาวะสงครามและภัยพิบัติทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งเพิ่มพูนบุญปัญญาให้แก่ชาวโลกอย่างมากมาย
    โดยเฉพาะในคุณธรรมเช่นนี้ หากมิใช่ได้หยั่งลึกถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจอย่างแท้จริงแล้ว มันก็ง่ายแก่การละเลยพลาดพลั้งจนมิอาจควบคุมกิเลสความกระหายแห่งจิตใจได้อย่างแน่นอน ในทางตรงข้าม หากคุณธรรมประการนี้ได้ปลูกฝังอยู่ในจิตใจของคนเราอย่างมั่นคงแล้ว มันก็จะเผยปรากฏออกมาในทุกขณะเวลา จากจริยวัตรหลายสิบปีที่ผ่านมาของท่านเหล่าเฉียนเหริน เราต่างก็ประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า ธรรมะได้หยั่งรากฝังลึกลงในจิตใจของท่านมากเพียงใด  มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากท่านเหล่าเฉียนเหรินได้ตราจลายพู่กันของสามคุณที่เขียนไว้ในพิธีประทานโอวาทกระบะทราย ท่านได้ชี้แนะทักษะการเขียนไว้โดยละเอียดก่อน จากนั้นท่านก็ถอนใจและชี้ไปที่กระดาษแผ่นนั้นว่า "ต้องตั้งใจเขียนหน่อยนะ แม้นจะเป็นกระดาษแค่แผ่นเดียวก็จริง แต่ก็ซื้อมาด้วยเงินทองนะ" ปกติตอนที่สามคุณฝึกพู่กัน ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะกำหนดให้หัดฝึกเขียนตัวใหญ่ก่อน ส่วนช่องว่างที่เหลือก็ให้หัดเขียนหนังสือตัวเล็กเติมลงให้เต็ม โดยจะไม่ยอมให้สิ้นเปลืองอย่างเด็ดขาด ท่านกล่าวว่า "สรรพสิ่งฟ้าทรงประทาน ถนอมบุญเพื่อตกทอดให้คนรุ่นหลัง" ครั้งโฮ่วเสวียที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยิน ก็รู้สึกละอายใจอย่างมาก เพราะในอดีตมีแต่สิ้นเปลืองทรัพยากรกระดาษไปไม่รู้เท่าไร ซึ่งล้วนเป็นการทิ้งบุญไปโดยมิได้ถนอมรักษาเลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ทั้งนี้ ท่านเหล่าเฉียนเหรินยังกำชับกับคณะอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอยู่เสมอว่า "พวกเธอมีฐานะเป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม พวกเธอจะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น มิใช่ว่าหลังจากเสร็จพิธีปั้นเต้าแล้วยังรั้งรอให้ญาติธรรมเชิญทานข้าว ตอนที่เขาเชิญพวกเธอนั่งลง ทำไมไม่ลองคิด ๆ ดูบ้างว่า กิน ! กิน ! กิน ! กินจนบุญกุศลหมดแล้ว" คำพูดที่พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ฟังดูแล้วเหมือนไม่ไยดีในน้ำใจ การที่ทานข้าวหลังปั้นเต้าก็เป็นเรื่องปกติของสังคมอยู่แล้ว โดยเฉพาะถันจู่และญาติธรรมต่างก็มีน้ำใจ ปฏิเสธน้ำใจก็จะเป็นการหมางใจกันเปล่า ๆ ทานข้าวสักมื้อก็ไม่น่าจะผิดจนถึงกับกินบุญกุศลหมดหรอก ท่านเหล่าเฉียนเหรินกล่าวหนักเกินไปแล้ว แต่เมื่อเราลองมาใคร่ครวญดู จึงได้ทราบเจตนาของท่านเหล่าเฉียนเหรินเป็นอย่างดี นั่นก็เพราะท่านเกรงว่าพวกเราจะถูกยกย่องเทิดทูนจนเป็นนิสัยแล้วยึดติดไปนั่นเอง
     ในพุทธคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า "เกิดจิตที่จะรับการสักการะบูชาเช่นนี้จัดตกสู่ทุคติภูมิ" โดยเฉพาะจิตใจของคนเรานั้นอันตรายยิ่ง ส่วนจิตธรรมนั้นก็สุดแสนจะบอบบาง และการที่จะบำเพ็ญจนถึงขั้นจิตหนึ่งใจเดียวและมีความยึดมั่นในทางสายกลางได้นั้นก็หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ นั่นเพราะจิตคนเรานั้นเปลี่ยนง่ายหากเก็บกลับได้ยากนัก และผู้ที่สามารถถือความรู้แจ้งเป็นสัตถา (ครู ผู้สอน) นำพาในการประคองจิตเอก และรอบคอบในดำริได้ทุกขณะจิตนั้นก็มีไม่มากเลย ในทางกลับกัน สำหรับผู้ที่ลุ่มหลงงงวย และกระทำไปโดยไร้สติสัมปชัญญะก็มีอยู่มากมายยิ่งนัก ดังนั้นจะมีสักกี่คนที่สามารถประคองดำริให้อยู่ในทางสายกลางอย่างเคร่งครัดได้ทุกขณะ ดังเช่นท่านเหล่าเฉียนเหริน ท่านเหล่าเฉียนเหรินมักจะตักเตือนพวกเราด้วยความเมตตาอยู่เสมอว่า "อย่าตามใจกิเลส อย่าปล่อยปละอารมณ์ ในเมื่อมีฐานะเป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม ก็ถือว่าเป็นตัวแทนของท่านซือจุนซือหมู่ ดังนั้นจึงควรรอบคอบในทุกดำริกิริยาจึงจะถูก"  แม้ว่า ท่านจะไม่ค่อยได้ใช้คำพูดอันแสนเมตตาอ่อนหวานมาให้กำลังใจเราก็จริง แต่ความรักอันจริงใจที่แฝงเร้นในโอวาทของท่านนั้น เราก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้เป็นอย่างดี
     สำหรับจิตใจอันเสมอภาคของท่านเราก็ควรจะมุ่งมั่นศึกษาเป็นแบบอย่าง อย่างเช่น ท่านทราบดีว่าทุกคนต่างยำเกรงท่านจนมิกล้าเข้าใกล้ ดังนั้นในเวลาที่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ท่านจึงมักทานอย่างรวดเร็วและลุกจากที่นั่งก่อนเสมอ ทั้งนี้เพราะไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดในการรับประทานนั่นเอง และก็มีบางครั้งที่ท่านจะนั่งคอยพวกเราทานข้าวเสร็จนั่นก็เพราะท่านกำลังสังเกตุดูรายละเอียดด้านกิจวัตรการบำเพ็ญของทุก ๆ คน เพื่อดู่ว่ายังมีข้อใดที่ท่านพอจะอบรมส่งเสริมแก่พวกเราได้บ้าง เพื่อให้ทุกคนสามารถสำรวมจิตใจอันฟุ้งซ่านนั่นเอง
    และที่น่านับถือเป็นอย่างยิ่งก็คือ ท่านไม่เคยให้ใครมายืนคอยปรนนิบัติท่าน แม้ท่านจะอายุสูงถึง ๙๐ ปีแล้วก็ตาม ในชีวิตประจำวันท่านจะไม่เคยให้ญาติธรรม ยกสำรับอาหารไปบริการท่านที่ห้องแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะฝนตกฟ้าร้องอย่างไร ท่านก็จะต้องเดินเข้าไปในโรงอาหารนั่งร่วมรับประทานพร้อมกับทุกคน อีกยังคอยสังเกตุว่ากับข้าวของทุกคนพอทานหรือไม่ ในบางครั้งที่ท่านมีภารกิจงานธรรมรัดตัวจนไม่อาจร่วมรับประทานอาหารพร้อมกับทุกคนได้ท่านก็จะคอยกำชับให้ทุกคนทานก่อนว่า "พวกเธอควรทานได้แล้ว ถึงเวลาก็ควรทานไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรอเราหรอก" สำหรับความรักความเมตตาของท่านเช่นนี้ก็ทำให้เราทุกคนรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เปิดชั้นประชุมธรรม เหตุด้วยมีนักเรียนจำนวนมาก จึงได้มีการแจกข้าวกล่องให้นักเรียนทาน ส่วนท่านเหล่าเฉียนเหรินและเหล่าคณาจารย์ก็จะมีการจัดโต๊ะอาหารไว้ต่างหาก อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทั้งหลายต่างมิอาจปฏิเสธน้ำใจของถันจู่จึงนั่งลงทานกันหมด แต่คิดไม่ถึงว่าพอท่านเหล่าเฉียนเหรินเดินเดินเข้ามาในโรงอาหาร ท่านก็ตำหนิอย่างรุนแรงว่า "อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน คนอื่นทานข้าวกล่อง ส่วนพวกเราจัดโต๊ะนั่งทาน" (นี่ก็คือ วัตรที่เสมอภาคของท่านเหล่าเฉียนเหริน จึงเห็นได้ว่าจิตใจของท่านไร้การแบ่งแยก ไร้การเปรียบเทียบ ไม่ว่าญาติธรรมจะมีฐานะยากดีมีจนอย่างไร หรือญาติธรรมจะมีคุณวุติสูงต่ำเช่นไร ท่านล้วนปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาค ดังนั้นในตลอดชีวิตของท่าน ท่านจะปฏิบัติต่อเวไนยสัตว์โดยไร้ฉันทาคติ โมหะคติ และสิ่งนี้ก็คือจิตใจของพระพุทธาแล)
    แต่ก่อนที่ท่านจะอบรมสอนสั่งเราในรายละเอียด แน่นอนว่าท่านจะต้องสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เราได้ก่อน ซึ่งเราทุกคนต่างทราบดีว่าท่านจะประหยัดเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อนำมาทำนุบำรุงอาณาจักรธรรม เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่อนุชนรุ่นหลังเป็นสำคัญ แม้จะเป็นเพียงของขวัญชิ้นเล็กน้อยที่ญาติธรรมนำมามอบให้ ท่านก็หาเคยเก็บไว้ใช้เป็นการส่วนตัวไม่ หากท่านจะนำไปมอบให้แก่ญาติธรรม ส่งเสริมญาติธรรม หรือใช้ต้อนรับอาคันตุกะอยู่เสมอ และนี่ก็คือจิตใจอันเปี่ยมด้วยเมตตากรุณาอันไร้ขอบเขต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านมักจะตระหนักอยู่เสมอว่าจะต้องประหยัดบุญวาสนาทั้งหมดให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้มีโอกาสพัฒนางานธรรมและฉุดช่วยเวไนยสัตว์นั่นเอง และสำหรับบุคลากรอันมากมายในสังกัดของท่าน ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ท่านก็หาเคยคิดที่จะเหนี่ยวรั้งไว้ข้างกายไม่ ขอเพียงทุกคนมีใจคิดจะบุกเบิกงานธรรม ท่านก็มักจะสนับสนุนให้ทุกคนออกไปบุกเบิกฉุดช่วยผู้มีบุญอยู่ทุกเวลา สำหรับจิตใจอันยิ่งใหญ่ที่มีแต่ทำเพื่อส่วนรวมเช่นนี้ ก็หาได้แตกต่างจากแสงสุริยันจันทราที่สาดส่องแสงไปในพื้นพิภพไม่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        ในคัมภีร์อี้จิงกล่าวว่า "วิญญูชนผู้สุภาพ จะอ่อนน้อมบำเพ็ญตน" ไม่ว่าจะเป็นวิญญูผู้ทรงธรรมท่านใดก็ตาม ก็ล้วนปฏิบัติตนด้วยคุณธรรมอันนอบน้อม ซึ่งท่านเหล่าเฉียนเหรินได้กล่าวอยู่เสมอว่า "มหาธรรมแฝงอยู่ ณ ที่ต่ำ" ภายใต้ใบหน้่าอันเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังของท่าน หากมิใช่เป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดหรือเป็นคนที่เข้าใจท่านเป็นอย่างดีแล้ว ก็มิอาจเข้าถึงความอ่อนน้อมและความสุขุมในการบำเพ็ญของท่านได้อย่างแน่นอน ซึ่งในตลอดชีวิตของโฮ่วเสวียนั้น ท่านคือผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
       หลายปีก่อน มีอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมที่ติดตามท่านนานถึงสิบกว่าปีท่านหนึ่งได้เรียบเรียงชีวประวัติสังเขปของท่าน เพื่อใช้การประกอบบรรยายจริยประวัติ หลังเรียบเรียงเสร็จก็ได้ถ่ายสำเนาและนำมาให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินพิจารณาแก้ไข เนื่องด้วยอาจารย์ท่านนี้ได้ติดตามท่านเหล่าเฉียนเหรินมานาน จึงได้รู้ซึ้งถึงคุณธรรมอันงดงามและยิ่งใหญ่ของท่านเหล่าเฉียนเหรินเป็นอย่างดี ดังนั้นในขณะที่เรียบเรียงจึงได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่เคารพต่อท่านเหล่าเฉียนเหริน ผ่านปลายปากกาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง แต่พอท่านเหล่าเฉียนเหรินอ่านเสร็จ ท่านก็ใช้ปากกาขีดกากบาทและเขียนคำว่าเพ้อเจ้อ ไม่จริงต่าง ๆลงบนเอกสารทุก ๆ หน้า ส่วนในหน้าสุดท้าย ท่านยังได้เขียนคำว่า "เอาหน้าเอาตา" ตบท้ายไว้อีกด้วย หลังจากอาวุโสหลายท่านได้ทราบเรื่องนี้ ต่างก็นำมาเป็นหัวข้อพูดคุยอย่างสนุกสนานว่า "ท่านเหล่าเฉียนเหรินไม่ชอบให้ใครสรรเสริญหรอกนะ" แต่เมื่อโฮ่วเสวียได้ทราบเรื่องนี้ก็รู้สึกประทับใจยิ่งนัก เพราะสำหรับผู้คนทั่วไปแล้ว ใครบ้างที่ไม่ชอบคำสรรเสริญเยินยอ และจะมีสักกี่คนที่ไม่ยึดติดในชื่อเสียงคำยกย่องบ้าง แต่สำหรับท่านเหล่าเฉียนเหรินแล้ว ท่านมีความอ่อนน้อมถ่อมตนโดยมิได้ยึดติดในชื่อเสียงเกียรติคุณ ทั้ง ๆ ที่ท่านก็สมควรได้รับอย่างยิ่งแล้วก็ตาม
     ในปีก่อน ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบประสูติกาลหนึ่งศตวรรษของท่านซือหมู่ อาณาจักรธรรมแต่ละแห่ง ได้ร่วมกันจัดทำสมุดอนุสรณ์ในวาระพิเศษนี้ขึ้นด้วยเหตุนี้ อาจารย์ท่านหนึ่งจึงได้นำฉบับร่างเสนอให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินพิจารณาแก้ไข แค่เพียงท่านเหล่าเฉียนเหรินเปิดไปที่หน้าแรก ซึ่งเป็นภาพถ่ายที่ท่านได้เข้ารับเหรียญอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดจากประธานาธิบดีในปีหมินกั๋วที่ ๘๒ (ค.ศ.๑๙๙๓) ท่านก็ขีดกากบาทตัวใหญ่ลงไปโดยไม่รีรอ พร้อมทั้งกล่าวว่า "นี่คืออนุสรณ์ที่รำลึกถึงพระธรรมบารมีของท่านซือหมู่ ไฉนจึงมาสดุดีที่เราได้ เราผู้บำเพ็ญธรรมมิควรยกย่องความดีของตน พึงรู้ว่าธรรมนั้นจะต้องเร้นอยู่ ณ ที่ต่ำเราจึงควรทำอย่างเงียบ ๆ มิเปิดเผยจึงจะถูก" ครั้นโฮ่วเสวียที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้สดับก็ยังให้รู้สึกละอายใจยิ่งนัก
     หลังจากนั้นอีกสองวัน โฮ่วเสวียได้เปิดสมุดอนุสรณ์ที่ผ่านการพิจารณาแล้วอีกครั้ง พบว่าในส่วนที่เทิดทูนเกียรติคุณของท่าน ล้วนถูกกาออกทั้งสิ้น และในส่วนสรรพนามที่ยกย่องท่านว่า "ท่านเหล่าเฉียนเหรินผู้ทรงบารมี" ก็ล้วนถูกกากบาทจนเหลือแต่เพียงคำว่า "เหล่าเฉียนเหริน" เท่านั้น ตลอดจนรูปถ่ายที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานในมหาพิธีบวงสรวงจอมปราชญ์ขงจื่อแห่งชาติก็ยังถูกกาทิ้งด้วยเช่นกัน
    ในตลอดหลายสิบปีแห่งการบำเพ็ญของท่านเหล่าเฉียนเหริน ท่านได้บำเพ็ญจนถึงขั้นคัมภีรภาพดุจทองนพคุณที่สุกอร่าม ดุจหยกงามที่ผ่องอำไพ ฉะนั้นในช่วงปัจฉิมวัย ท่านจึงได้รับคำตรัสชมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมาก อย่างเช่นในปีหมินกั๋วที่ ๘๒ (ค.ศ.๑๙๙๓) ชั้นประชุมธรรมอันมากมายในเขตเอเซียอาคเนย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า บรมครูแห่งยุค พระอริยชนแห่งกาล จอมปราชญ์ขงจื่อแห่งสมัย ผู้ช่วยชนโปรดเกล้า พระพุทธาบนแดนดิน เป็นต้น พร้อมยังมีพระโอวาทประกาศสดุดีอีกว่า "เด่นสง่าคือสัตถาแห่งสมัย คือจอมปราชญ์ขงจื่อบนไผท คือน้ำใสผู้รู้พอ รู้อดีตแจ้งกาลปัจจุบัน เมตตาโปรดชีวัน คอนงานใหญ่สามโลกบนกายา"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       จึงเห็นได้ว่า ไม่เพียงแต่ชาวโลกที่นับถือและยกย่องในบารมีของท่านเท่านั้น หากยังรวมถึงพระพุทธโพธิสัตว์บนแดนวิมานอีกด้วย ดังนั้นจึงมีอาจารย์ผู้หวังดีจำนวนหนึ่ง มีความประสงค์ที่จะรวบรวมเกียรติประวัติของท่านเหล่าเฉียนเหรินให้เป็นรูปเล่มไว้เพื่อเผยแพร่แก่สารณะต่อไป จึงได้นำเรื่องนี้มาปรึกษากับท่านเหล่าเฉียนเหริน แต่ท่านปฏิเสธโดยทันควันว่า "ไม่ได้ พระโอวาทเหล่านี้เป็นพระวจนะที่ให้กำลังใจแก่ฉันให้สู้ต่อไป ไฉนจึงนำไปประกาสโฆษณาเช่นนั้นได้" ท่านหยุดอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าอันจริงใจของทุกคนแล้ว จึงกล่าวถนอมน้ำใจว่า "อย่างน้อยก็ต้องรอฉันจากไปแล้ว เวลานั้นจะดำเนินการพิมพ์หรือไม่อย่างไรก็สุดแต่พวกเธอเถอะ" ทุกคนต่างรู้สึกเคารพนับถือในความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่านเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ในคุณธรรมประการนี้จากท่านในอีกทางหนึ่งด้วย
       อันพระอริยเจ้าผู้ทรงธรรมทั้งปวง ที่มีปณิธานเมตตาโปรดสรรพสัตว์เขาจะไม่ให้สภาวะแวดล้อมภายนอก มาเปลี่นแปรซึ่งอุดมการณ์ความมุ่งมั่นของตนอย่างเด็ดขาด เพราะเขาคือผู้ที่ไม่ทะเยอทะยานไขว่คว้าในความสำเร็จทางโลก หากคือ การบ่มเพาะคุณธรรมปัญญาภายในให้ปรากฏ ดังนั้นแม้นจะปลีกสันโดษจนไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน เขาก็หาได้รู้สึกทุกข์ร้อนอนาทรแม้แต่น้อยไม่ ในคราวที่สบโอกาสก็จะออกสร้างสรรค์คุณงานตามที่ใจหมาย หากแม้นไร้โอกาสก็จะย้อนกลับบำเพ็ญจิตใจให้อำไพ และที่หาได้ยากยิ่งนักก็คือ ความมั่นคงแห่งอริยภาพภายในของท่านจะมิเคยหวั่นไหวไปตามสภาวะแวดล้อมภายนอกแต่อย่างใด เพราะท่านได้บำเพ็ญปฏิบัติจิตใจจนถึงขั้นสุขุมคัมภีรภาพแล้วนั่นเอง
      สำหรับวิญญูผู้ทรงธรรมจะมีแต่บำเพ็ญตนมิเปิดเผย หากเหล่าคนพาลจะเที่ยวโฆษณาพาที ให้ชาวโลกรับรู้ถึงคุณธรรมความดีของตนสำหรับจุดนี้ ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะตระหนักรู้เป็นอย่างดี ดังนั้นท่านจึงมีแต่โทษรำพันตนว่ายังบกพร่อง โดยหาได้ยกย่องคุณความดีของตนแต่อย่างใดไม่ และสำหรับผู้ทรงธรรมบารมีนั้น ก็พึงเป็นเช่นนี้มิใช้ฤา ในภายหลัง โฮ่วเสวียทุกคนต่างสังเกตุเห็นว่า ทุกครั้งที่มีญาติธรรมมารายงานเรื่องงานธรรม ในเอกสารมักจะเกริ่นนำว่าขอกราบเรียนเชิญท่านเหล่าเฉียนเหรินผู้ทรงธรรมบารมีเมตตา ซึ่งท่านเหล่าเฉียนเหรินก็มักขมวดคิ้วบอกพวกเราทุกคนว่า "แค่รายงานอย่างเดียวก็พอแล้วเขียนพวกนี้ทำไมกัน" อันผู้ทรงธรรมบารมีพึงเป็นเช่นนี้ที่มิถือตัวมิใช่ฤา
     จำเดิมแต่เยาว์วัย ท่านได้รับการอบรมสอนสั่งจากคุณตาคุณยายและคุณแม่มาเป็นอย่างดี ดังนั้นท่านจึงแตกฉานในจตุรปกรณ์ (คัมภีร์ 4 เล่มแห่งศาสนาปราชญ์ คือ หลุนอวี่  เมิ่งจื่อ  ต้าเสวีย  จงอยง ) และพระสูตรของทั้งห้าศาสนา อีกยังมีความชำนาญในแก่นของศาสตร์จีนโบราณ ดังนั้นท่านจึงซึมซาบในคุณธรรมเรื่องความอ่อนน้อมได้เป็นอย่างดี
    ตามพุทธคัมภีร์ที่บันทึกไว้ หากผู้ใดสามารถบำเพ็ญจนถึงขั้นไร้อัตตา เขาผู้นั้นจำต้องปฏิบัติจนถึงขั้นเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาต่อผู้คน และก็มีเพียงการรู้จักให้เกียรติต่อผู้อื่นโดยไม่ถือตนเท่านั้น จึงจะถือว่าบรรลุถึงสภาวะปห่งการไร้อัตตาได้และสำหรับการบำเพ็ญในด้านนี้ของท่านเหล่าเฉียนเหรินนั้น หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถปฏิบัติได้โดยง่ายไม่ลำพังแค่เกียรติคุณที่ได้รับอิสริยาภรณ์อันสูงสุดของประเทศ ญาติธรรมต่างรู้สึกภูมิใจยกย่อง แต่อาวุโสที่อยู่ติดตามท่านมานานก็ยังมิเคยเห็นท่านประกาศยกย่องตนต่อผู้คน ไม่ว่าจะอยู่ ณ สถานที่ใด หรือเหตุปัจจัยใดแม้แต่น้อย
    ท่านมักกำชับเราอยู่เสมอว่า "ธรรมะแฝงอยู่ ณ ที่ต่ำ"  " เราทุกคนควรอุทิศช่วยเหลือผู้อื่นอย่างปิดทองหลังพระ" "เอาแต่ทำที่เปลือกนอกนั้นไร้ประโยชน์"  "ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ฟ้าจะมอบความยุติธรรมให้เอง"
    จริยวัตรอันงดงามของท่านได้เป็นที่ยกย่องของผู้คนอย่างกว้างขวาง แต่ท่านมักจะกล่าวว่า "ทุกสิ่งที่เราทำ ก็มีแต่ร่วมมือกับเจตนาฟ้าโดยมิต้องเอ่ยใด ๆ ครั้นเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ก็กลับคืนเบื้องบนกราบองค์มารดาเท่านั้น" จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า จิตใจภายในของท่านได้ตระหนักเป็นอย่างดีว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกล้วนเป็นเพียงมายา ฟองน้ำ รูปเงา ซึ่งมีเพียงบ้านเกิดดั้งเดิมที่แท้จริงของเราเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่เราควรมุ่งหมาย เพราะนั่นคือ สิ่งแท้จริงเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้นั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
   
        เจิงกั๋วฝัน (๑๘๑๑ - ๑๘๗๒ เป็นขุนนางฝ่ายกิจการตะวันตกและแม่ทัพทหารเซียงจวินในปลายราชวงศ์ชิง) เคยกล่าวว่า "ปราชญ์วีระอริยเจ้าแต่นานมาหากประสงค์จะยืนหยัดท่ามกลางโลกหล้า ก็จำต้องเพียบพร้อมด้วยความวิริยะ ส่วนบัณทิตผู้สราญในธรรมา ก็พึงพร้อมพรั่งด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน" ท่านเหล่าเฉียนเหริน ไม่เพียงแต่ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจอ่อนน้อมเท่านั้น ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ท่านก็มักตำหนิอย่างละอายใจที่ยังมิอาจปฏิบัติได้อย่างดีพออยู่เสมอ เมื่อปีที่แล้ว เฉินเฉียนเหรินได้เปิดชั้นประชุมธรรมสำหรับนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวะ ในตอนนั้นพระมหาพฤฒาชันษาเจ้าและพระพุทธจี้กงต่างเสด็จประทับญาณพร้อมกันทั้งสองพระองค์ อาวุโสจึงรีบลงจากอู่จี๋กงไปรายงานท่านเหล่าเฉียนเหรินที่ตึกเทิดคุณโดยทันทีว่า "ท่านเหล่าเฉียนเหรินเมตตา ตอนนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เสด็จมาประทับญาณ ทุกคนจึงอยากเรียนเชิญท่านเหล่าเฉียนเหรินเมตตากับทุกคนด้วยครับ" แต่ท่านกลับกล่าวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายว่า "ไม่ได้ เรายังปฏิบัติไม่ดีพอ รู้สึกผิดต่อฟ้าเบื้องบนยิ่งนัก เราไม่กล้าไปพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรอก" ครั้นโฮ่วเสวียได้ยินก็รู้สึกละอายใจเป็นยิ่งนัก เพราะปกติหากเราได้มีโอกาสเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเมตตา พวกเราจะรู้สึกยินดีปรีดาอย่างหาที่เปรียบมิได้ จนอาจจะบ่อยครั้งที่เกิดใจลำพองว่าเป็นเพราะความศรัทธาของเราที่ได้ซาบซึ้งถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนมาเมตตา โดยน้อยคนนักที่จะคิดถึงความบกพร่องของตนว่ายังไม่คู่ควรที่จะพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างท่านเหล่าเฉียนเหรินได้เลย
      โบราณกล่าวว่า "อริยเจ้านั้นผิดมาก ปราชญ์เมธานั้นผิดน้อย ส่วนปุถุชนนั้นไร้ผิด" คำ ๆ นี้ช่างมีเหตุผลยิ่งนัก และสำหรับคำตอบอันแสนจะธรรมดาของท่านเหล่าเฉียนเหรินนี้ เราก็สามารถเห็นความเคร่งครัดของการปฏิบัติและการตำหนิติโทษตนด้วยความละอายใจได้เป็นอย่างดี แม้นว่าในหลายปีที่ผ่านมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยกย่องชมเชยท่านอย่างมากมายก็จริงแต่ท่านก็หาเคยยกคำตรัสชมเหล่านั้น มาเอ่ยให้ใครทราบแต่อย่างใดไม่ หากท่านกลับยิ่งมุ่งบำเพ็ญเพื่อยกระดับตนให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น อันเป็นดั่งที่ว่า "เคร่งครัดตน ผ่อนปรนผู้อื่น" นั่นเอง และนี่ก็คือจริยวัตรที่ท่านได้ปฏิบัติเสมอมา
      ในปีหมินกั๋วที่ ๕๒ (ค.ศ.๑๙๖๓) ภาวะกิจการของร้านค้าถงเต๋อประสบปัญหา กอปรกับปัญหาด้านการเงินที่รุมเร้า การทดสอบจึงได้ประทุขึ้นทั้งภายในและภายนอก แม้นว่าท่านจะเจ็บปวดทรมานเช่นไร แต่ท่านก็หาได้ตัดพ้อต่อว่าใด ๆ ไม่ หากท่านยังคงสำนึกในพระมหากรึณาธิคุณเบื้องบนพระคุณพระอาจารย์อยู่มิเคยขาด พร้อมทั้งยังตำหนิติโทษตนดังนี้ว่า "เมื่อข้าพเจ้าลองคิดดูแล้ว ทั้งหมดก็ล้วนเพราะข้าพเจ้านำพาไม่ดี ไร้บารมี ความสามารถ มีกรรมหนักบาปหนาต่างหาก แต่ก็ยังโชคดีที่ฟ้าทรงพระเมตตา ในตลอดหนึ่งที่ผ่านมาหนี้สินที่ติดค้างก็ล้วนชำระคืนจนหมดสิ้น งานธรรมจึงเริ่มกระเตื้องขึ้น" สิ่งที่ท่านห่วงใยก็คือ งานธรรม และภาวะหนี้สินของร้านค้า ไม่ว่าคนอื่นจะผิดต่อท่านเช่นไร แต่ภายในใจของท่านจะไม่โทษใครอย่างเด็ดขาด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       ไม่เพียงเท่านี้ ปกติพวกเรามักจะเห็นแต่ใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังของท่าน น้อยนักที่เราจะได้เห็นด้านที่ตำหนิติโทษตนอย่างเคร่งครัดของท่านวงการพุทธศาสนาในสมัยนั้นได้มีพระเถราจารย์ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งนาม "หงอีฝ่าซือ" สำหรับพระคุณเจ้าท่านนี้ ท่านจะถือคติว่า "หากศิษย์ผิดเพราะครูทำ" ดังนั้นหากลูกศิษย์ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ท่านก็จะรับผิดขังตนอดอาหารแต่ในห้อง จนกระทั่งลูกศิษย์ได้สำนึกแก้ไขแล้วจึงยุติ แต่สำหรับคุณธรรมด้านนี้ของท่านเหล่าเฉียนเหริน ก็หาใช่ด้อยกว่าแต่อย่างใดไม่ ทุกครั้งที่มีอาวุโส อาจารย์ถ่ายทอดธรรม หรือโฮ่วเสวียทั้งหลายกระทำผิด ท่านก็จะเรียกผู้กระทำมาเมตตาอบรม แต่หลังจากญาติธรรมได้กลับออกไปแล้ว ท่านก็จะเดินกลับห้องตบปากตัวเองอย่างแรง พร้อมทั้งบริภาษตนว่าไร้บารมีความสามารถต่าง ๆ นาๆ  การที่ท่านกล่าวโทษตนอย่างเจ็บปวดเช่นนั้น โฮ่วเสวียทั้งหลายได้เห็นต่างก็อดห่วงใยท่านเสียมิได้ แต่ก็มิทราบว่าจะกล่าวเช่นไรดี อันธรรมจรรยาที่เคร่งครัดตนโดยไม่ถือโทษใครของท่านเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้รู้เห็นรู้สึกละอายใจยิ่งนัก
      การที่ท่านเหล่าเฉียนเหรินต้องรับผิดชอบต่อปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าทั้งนี้เพราะท่านต้องการนำพาอาณาจักรธรรมให้อยู่มนสัมมาวิถีนั่นเอง ในยามที่ประสบปัญหาการทดสอบ ท่านก็จะแบกรับปัญหาและคอยประคับประคองจิตใจของทุกคนให้มั่นคงมิถดถอย ด้วยเพราะหน้าที่ที่ท่านรับผิดชอบคือ งานใหญ่แห่งสามโลก ซึ่งความกดดันตรงนี้ก็หาใช่สิ่งที่เราจะสามารถสัมผัสได้ไม่ แต่จากบทความตอนหนึ่งของท่านต้าเต๋อเจินจวิน ก็พอจะแย้มพรายให้เราได้รับรู้ถึงภาระหน้าที่อันหนักหน่วงของท่านได้บ้าง
    โดยเฉพาะในช่วงที่วาระฟ้ายังกึ่งแฝงกึ่งแจ้งอยู้นั้น พวกเราโชคดีมากเป็นพิเศษที่สามารถขึ้นสู่ธรรมนาวาได้ ทั้งนี้ล้วนเพราะพระคุณของท่านเหล่าเฉียนเหรินทั้งสิ้น หากมิใช่เพราะท่านอุทิศเสียสละ ฝ่าคลื่นลมฝนกระหน่ำ บุกเบิกเผยแพร่ยังถิ่นไกลที่ไต้หวันเพื่อฉุดช่วยเหล่าสรรพสัตว์โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคขวากหนาม ต้องคอยบอกกล่าวตักเตือนจนน้ำลายเหือดแห้งลำบากยากแค้นถึงเพียงนี้ก็ยังมิเป็นที่ยอมรับของสังคม อีกยังไม่เป็นที่เข้าใจของทางการอีกต่างหาก ดังนั้นจึงต้องลำบากตรากตรำอย่างมากมาย ยังจำได้ว่าที่อาณาจักรธรรมแห่งหนึ่ง ท่านเหล่าเฉียนเหรินเห็นทุกคนที่นั่นต่างย่อท้อถดถอย ท่านจึงเมตตาคัดลอกพระโอวาทของพระธรรมาจารย์รุ่นที่ ๑๕ ทิ้งไว้บนโต๊ะหนังสือเพื่อเป็นกำลังใจแก่ทุกท่านว่า.....

อันถูกผิดดีชั่วมิต้องกล่าว            อันสั้นยาวกล่าวโทษไยต้องสน
หากลำบากตรากตรำแล้วพ้อบ่น    ธีรภาพบารมีตนจักสิ้นไป 
ลุยธาราฝ่าอัคคีลุปณิธาน            ผจญมารการทดสอบมิแปรผัน
แม้นเสือร้ายฝูงหมาป่ามาประจัน    ผู้อื่นพรั่นแต่มีเรามุ่งหน้าเดิน 
ท่านงักฮุยฟงปอถิงถูกใส่ไคล้      ท่านกวนอูต้องชีพวายที่ตงอู๋
ปณิธานหาญกู้ชาติมิอาจลุ          เพียงใจภักดิ์ได้เชิดชูลุอริยา
ยิ่งเฉพาะทำงานฟ้าให้พระแม่ฯ     โปรดแผ่พุทธประยูรที่เวียนวน
พวกเราต่างคนสามัญปุถุชน         กลับได้ยลรับธรรมะทำงานฟ้า
อันธรรมาลึกซึ้งสุดวิเศษ             คนทั่วไปมิอาจเห็นเจตกระจ่าง
วิญญูชนอย่าถือสาจิตสล้าง         ต้องใจกว้างอย่างอุปราชปราดเปรื่องชน
ได้ตรากตรำลำบากจากทดสอบ    จึงรู้รอบเหนือฟ้ายังมีฟ้า
ทั่วแผ่นดินยังมีธรรมพิเชฐ           ทั้งบนฟ้าใต้หล้าธรรมยิ่งยง
พึงรู้ว่าทรัพย์ต้องจางห่างราคะ      ทนทุกขเวทนาได้ลิ้มหวาน
หากใจจริงรู้สำนึกอย่างอาจหาญ    จักแปรเคราะห์พาลเป็นสิริสวัสดี
มหาธรรมจำเดิมคืองานแห่งฟ้า      เราช่วยฟ้าแพร่ธรรมาฟ้าประสิทธิ์
อำนาจคนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต           ใครอาจชิตฝืนลิขิตแห่งฟ้าได้
มรสุมมีวันเกิดมีวันสิ้น                 เกิดหรือสิ้นล้วนลิขิตด้วยเบื้องฟ้า
เราทั้งหลายอย่าเสียสัตย์ปณิธาน   เร่งกายาด้วยใจหาญองอาจเดิน   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      โอวาทท่านเหล่าเฉียนเหรินเหล่านี้ ช่างซาบซึ้งกินใจยิ่งนัก เราซึ่งเป็นอนุชนของท่านทั้งหลายจะไม่ทำความเข้าใจในเจตนาของท่านเลยหรือ ครั้นกล่าวถึงตรงนี้ ก็ทำให้นึกถึงพระอริยาในอดีต เช่น พระเยซูที่ต้องธรรมพลีบนไม้กางเขน ท่านจอมปราชญ์ขงจื่อที่ถูกดักล้อมอดอาหาร ทั้งหมดเหล่านี้ ฤามิใช่เพราะต้องการฉุดเหล่าเวไนยหรอกหรือ
     พระอาจารนย์เคยทรงเมตตาว่า "ศิษย์จะต้องจดจำไว้ให้มั่น ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะลำบากหรือสุขสบาย ทั้งหมดล้วนเป็นลิขิตแห่งฟ้า ดังนั้นพวกเราจะต้องเรียนรู้การสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน" สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยเมตตาว่า "มารทดสอบพึงรอบคอบซึ้งเจตนา การหมุนเวียนในใต้หล้าฟ้าประสิทธิ์ ฟ้าทดสอบมีสุขใจและทุกข์จิต ไม่ทดสอบมิสัมฤทธิ์เป็นพุทธา" ในขณะที่ถูกทดสอบ ก็คือ เวลาที่ให้เราได้กระจ่างในความจริงภายในตัวเรา และเป็นห้วงโอกาสที่ให้พวกเราได้สำแดงซึ่งคุณธรรมอันแท้จริง แต่การเคี่ยวกรำหล่อหลอมเช่นนั้นก็หาใช่จะฝ่าฟันได้ง่ายไม่และสำหรับโอวาทท่านต้าเต๋นเจินจวิน ที่ได้บันทึกไว้ ก็ยิ่งเป็นบทสะท้อนให้เราได้เข้าถึงความเมตตากรุณาของผู้ทรงคุณธรรมได้ดียิ่งขึ้น
    ทั้งนี้ ในด้านปฏิสัมพันธ์ของท่านเหล่าเฉียนเหริน ท่านจะเมตตาต่อผู้อื่นและเข้มงวดต่อตนเองอยู่เสมอ ท่านจะมิใช่คนที่สักแต่พูด หากจะปฏิบัติออกมาให้เราได้เห็นอย่างแท้จริง แม้นท่านจะอายุถึง ๙๐ กว่าแล้ว แต่ท่านก็มิเคยเอ่ยว่าตนแก่เลยสักคำ ในยามว่างท่านมักจะถือกรรไกรคอยตัดแต่งกิ่งไม้ ดูแลพืชพันธุ์ไม้ดอกอย่างขะมักเขม้น เมื่อญาติธรรมมาท่านจะวางงานไปต้อนรับญาติธรรมอย่างอบอุ่น ครั้นญาติธรรมกลับ ท่านก็จะพับแขนเสื้อและทำงานสวนของท่านต่อไป สำหรับจิตใจอันมานะบากบั่นของท่านดังนี้ก็ได้เป็นแบบอย่างจริยวัตรอันงดงามแก่เราเสมอมา โบราณกล่าวว่า "ธาราไหลน้ำไม่เสีย กายาเพียรใจไม่ท้อ" ดังนั้นแม้นท่านจะสูงวัย ๙๐ กว่า แต่กำลังใจของท่านก็ยังคงแข้มแข็ง และจิตใจของท่านก็ยังคงผ่องใสอยู่ทุกเวลา
    ในด้านการบำเพ็ญปฏิบัติอย่างเคร่งครัดของท่าน เราทุกคนต่างสามารถประจักษ์เห็นในกิจวัตรของท่านได้เป็นอย่างดี โฮ่วเสวียจึงขออนุญาตยกเพียงหนึ่งตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟังดังนี้...ในโลกนี้ ผู้ชราที่อายุสูงถึง ๙๐ กว่าแล้วยังไม่เคยฟันหักหรือทำฟันเลยแม้แต่ครั้งเดียวนั้น คงจะหาได้น้อยเต็มที ซึ่งหนึ่งในจำนวนคนที่หาได้ยากยิ่งนั้นก็คือท่านเหล่าเฉียนเหรินของเรานั่นเอง ทั้งนี้เพราะท่านมีความเสมอต้นเสมอปลายเป็นกิจวัตร มีความมานะบากบั่นเป็นนิสัย ทักเช้าท่านจะต้องดื่มน้ำต้มสุก ออกกำลังกาย  และทำกายบริหาร ๘ กระบวนท่าที่แสนลำบากเป็นประจำทุกวัน สำหรับเยาวชนอย่างเราจะเห็นท่าบริหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยุ่งยากและน่าเบื่อหน่าย แต่ท่านกลับสามารถบริหารท่าเหล่านี้มาตลอดหลายสิบปี ท่านจะไม่ทานขนมขบเคี้ยว ไม่ดื่มน้ำสีหรือน้ำอัดลม ท่านจะทานแบบเรียบง่าย เสื้อผ้าอาภรณ์และเคหะสถานของท่านล้วนธรรมดาไร้ความหรูหรา ท่านมีความสมถะร่าเริง ทั้งหมดล้วนเพราะท่านบำเพ็ญปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดนั่นเอง และเมื่อย้อนมองดูการบำเพ็ญของอนุชนรุ่นหลังอย่างเรา ความมานะบากบั่นอย่างเสมอต้นเสมอปลายเช่นท่านนี้ นับวันก็มีแต่เหลือน้อยลงไปทุกที
   

Tags: