collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมธาดาคู่โลกา : ปฏิปทาองค์สมเด็จพระกตธิการบรมอริยธรรมราชเจ้าผู้เฒ่าน้ำใส  (อ่าน 27677 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        ดังนั้น  ตลอดระยะเวลา ๖๐ ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ท่านจะมีมารผจญการทดสอบอย่างมากมายเพียงใด ท่านก็ยังสามารถคงความสง่ามิสั่นคลอนมาโดยตลอด และมิเคยสอบตกไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว หากแต่กลับยิ่งทุกข์ยิ่งแกร่ง ยิ่งยากยิ่งมีปัญญาอันเจิดจรัส อีกยิ่งสามารถเข้าใจในพระเจตนาแห่งฟ้าได้ดียิ่งขึ้น สำหรับมหาปัญญามหาคุณธรรม มหาเมธินมหาวีระ อย่างท่านนั้น พวกเราก็สามารถพิสูจน์และเข้าใจได้จากเหตุการณ์บางอย่าง โดยอาศัยสมุดอนุทินที่ท่านได้เขียนเอาไว้ดังต่อไปนี้
     ---ปี ๓๘ (ค.ศ.๑๙๔๙) วสันตฤดู แผ่นดินใหญ่ได้ถูกยึดครองไปจนหมดสิ้น ข่าวสารมิอาจติดต่อ ระบบปริวรรตเงินตราได้ถูกปรับเปลี่ยน ความเป็นอยู่ของทุกคนจึงประสบภาวะฝืดเคือง จนกระทั่งเดือน ๖ มีญาติธรรมมาจากอำเภอโต่วลิ่ว ชื่อหลี่ชิงเฮ่อ ข้าพเจ้าบอกกับเขาว่าจะไปฉุดช่วยคนที่นั่น ดังนั้นจึงขายบ้านที่ไทเปและไปซื้อบ้านหลังใหม่ที่โต่วลิ่ว จากนั้นได้เปิดเป็นสถานธรรม (ห้องถ่ายภาพชิงเหนียน) และทำการฉุดช่วยคนบุกเบิกเผยแพร่ธรรม แต่ในขณะที่ดำเนินกิจการไปอย่างราบรื่นนั้น  หลิวเฉวียนเสียง  ฉีอวี้ยง  หลี่อวี้หมิง  จางรุ่ยชิง  และ อวี้จวิ้นเต๋อ  ที่ไถหนันต่างประสบกับการทดสอบ ถูกตำรวจเรียกตัวไปสอบปากคำ และถูกส่งตัวไปยังสถานกักกันคนเร่ร่อนที่ไทเป  ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปถามไถ่เหตุการณ์ที่ไถนัน จากนั้นจึงเดินทางไปไทเปเพื่อหาทางแก้ไขแต่ก็ไร้ผลใด ๆ ซ้ำยังถูกจับกุมโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียอีก จนถูกขังเป็นเวลานาน ๓ เดือน จึงได้รับการปล่อยตัว พวกเขาต่างประสบต่อความทุกข์ลำเค็ญอย่างมิอาจบรรยาย ช่วงระหว่างที่ข้าพเจ้าอยู่ไทเป ดูจากเหตุการณ์แล้วความเป็นอยู่จะต้องอัตคัดขัดสนเป็นแน่ จำเป็นต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาปากท้องของทุกคน ดังนั้นจึงย้ายบ้านมาเปิดเป็นร้านค้าถงเต๋อโดยมีน้อง ๆ จำนวนหนึ่งช่วยกันดำเนินกิจการ แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้าเป็นคนใจร้อน อีกเนื่องด้วยเหน็ดเหนื่อยจนเกินกำลัง จึงได้ป่วยเป็นโรคกระบังลมอักเสบ อาการอยู่ในขั้นอันตราย ดังนั้นจึงกลับไปรักษาตัวที่ไถจง ผ่านไปหลายเดือน เพราะทุกคนต่างกราบขอพระแม่องค์ธรรมเมตตาเพิ่มอายุขัย อีกด้วยเพราะกราบขอท่านจอมเทพกวนอูเมตตา และพิมพ์คัมภีร์หมิงเซิ่งจิง อาการจึงทุเลาดีขึ้น
   ---ปี ๓๙ (ค.ศ. ๑๙๕๐)  ฉีอวี้ยง และน้อง ๆ ทั้งหลายที่ดำเนินกิจการร้านค้าถงเต๋อที่ไทเปเริ่มดีขึ้น ส่วนข้าพเจ้า  คุณนายเฉา  เฉินหงเจิน   เจ้าต้ากู ห่าวจิ้นเต๋อ  และเหล่าน้อง ๆ ที่ไถจงก็นวดแป้งทำบะหมี่ โดยส่วนหนึ่งก็ทำการหาเลี้ยงชีพ อีกส่วนหนึ่งก็ทำการเผยแพร่ธรรม ทุกคนต่างบากบั่นรวมใจอุทิศเผยแพร่ธรรม แต่ก็ด้วยภาษาที่มิอาจสื่อสาร จึงทำให้เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง ทุกหนทุกแห่งยังคงตกอยู่ในภาวะมารทดสอบ บุคลากรจึงขาดแคลนเป็นยิ่งนัก
   ---จนปีหมินกั๋วที่ ๔๐ (ค.ศ. ๑๙๕๑)  ก็ต้องประสบการทดสอบครั้งใหญอีก เนื่องจากงานธรรมที่โต่วลิ่วถูกคนใส่ร้าย จึงทำให้ ห่าวจิ้นเต๋อ  เฉินต้ากู  เจ้าต้ากู  คุณนายเฉา  หลิวเหยียนปิน  ต้องถูกทางการเรียกตัวและตัดสินจำคุกเป็นเวลา ๓ เดือน ในตอนนั้น ข้าพเจ้าออกไปทำธุระจึงมิได้ถูกจับกุม แต่เมื่อลองตรึกตรองดูแล้วหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คดีก็ยังจะค้างคาอยู่ ข้าพเจ้าจึงขอให้คนพาไปมอบตัว เรียกตัวเมื่อไหร่ก็ไปรายงานตัวเมื่อนั้น จากนั้น จึงให้คนมาประกันตัว  ดังนั้นจึงมิได้ถูกกุมขัง ผ่านไปอีกหลายเดือน เหตุการณ์คดีเก่าที่สถานีตำรวจที่ไถจงยังค้างอยู่ ข้าพเจ้าจึงถูกเรียกตัวและส่งตัวไปที่สำนักงานวินัยทหาร ถูกกุมขังอยู่ ๑๒ วันจึงถือได้ว่าชำระเสร็จสิ้น โดยข้าพเจ้าได้รู้อยู่ก่อนแล้วว่า "การทดสอบของเบื้องบนนั้นมิอาจหลีกเลี่ยง" ด้วยเหตุนี้งานธรรมจึงต้องชะงักงัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
    ---ปี  ๔๔  (ค.ศ.๑๙๕๕)  ได้ฉุดช่วยคุณลุง เจิงปิ่งเยวี๋ยน บุกเบิกอาณาจักรธรรมที่จงฮว่า ตราบจนปี ๔๕  ทั้งธุรกิจ และงานธรรมต่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น แต่มักมีการกล่าวกันว่า "เจริญจนที่สุดก็จักเสื่อม ดีจนที่สุดก็จักถอย" ดังนั้นในภายหลังจึงได้บังเกิดการทดสอบภายในขึ้นอีกมากมาย ปัญหาบุคคลในร้านค้าถงเต๋อได้ปะทุขึ้น อีกทั้งโรคเบาหวานของท่านซือหมู่ที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว ก็ทรุดหนักจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ในใจของข้าพเจ้าตอนนี้ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก ซ้ำยังมิอาจบอกกล่าวให้ใครทราบได้จนเวลาผ่านไปหนึ่งปี จึงนับว่าได้ผ่านพ้นไปด้วยดี
  ---ช่างคาดไม่ถึงว่าในปี ๕๓  (ค.ศ.๑๙๖๔) เดือน ๓ ท่านซือหมู่ต้องเจ็บป่วยเป็นโรคอัมพาตครึ่งซีก  (ต้านภัยให้ชาวโลก รับบาปแทนลูกศิษย์) เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดอย่างสุดบรรยาย มาตรว่า จะได้รับการรักษาทั้งแผนโบราณและแผลปัจจุบันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมิอาจหายเป็นปกติได้
  ---ปีที่ ๕๕  (ค.ศ.๑๙๖๖)  เดือน ๖  คุณห่าวสำเร็จธรรมเนื่องด้วยความเจ็บป่วย งานธรรมในแต่ละแห่งยังคงมีการทดสอบอยู่มิขาด อาการป่วยของท่านซือหมู่ก็ยังมิได้ทุเลา  มารทดสอบยังคงถั่งโถมไม่เคยขาด
  ---ปีที่ ๕๖  (ค.ศ.๑๙๖๗)  เดือน ๕ วันที่ ๑๔ หลิวเฉวียนเสียง ที่ไถหนัน ได้ถูกคนพาลฟ้องเอาผิดอีก จึงถูกทางสถานีตำรวจเรียกตัวไป ปัญหาเกิดขึ้นอีกแล้ว ตราบจนเดือน ๗ มารทดสอบของหลินเฉวียนเสียงจึงนับว่าสิ้นสุด แต่งานธรรมก็ต้องหยุดชะงัก งานธรรมในแต่ละแห่งล้วนมีอุปสรรคจากการทดสอบของทางการ
  ---ปีที่ ๕๗  (ค.ศ.๑๙๖๘)  เนื่องด้วยพระเมตตาของฟ้าเบื้องบน งานธรรมจึงเจริญรุ่งเรืองอย่างมากมาย ทุกคนต่างปลอดภัยสวัสดี แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้ามีความหนักอกกลุ้มใจมาเป็นเวลาหลายปี จึงทำให้เกิดเนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ขึ้น ดังนั้นจึงต้องทำการผ่าตัดเมื่อปี ๕๖ เดือน ๑๑ และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงพูดจาได้ ตราบจนปีที่ ๕๗ เดือน ๖ หลังจากได้รับการรักษาเป็นเวลานาน จากหลายสถานที่ อีกด้วยเพราะทุกคนได้ช่วยกราบวิงวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา แม้นว่าจะยังไม่หายเป็นปกติ แต่ก็พอจะมีเสียงพูดจาได้บ้าง มาตรว่างานธรรมในแต่ละแห่งจะมีมารทดสอบ แต่ก็ด้วยความศรัทธาของทุก ๆ คน ทั้งหมดจึงผ่านพ้นไปด้วยดี    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2/12/2010, 10:28 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
   ---คาดไม่ถึงว่าในปี  ๕๘  (ค.ศ.๑๙๖๙) มารทดสอบได้เกิดขึ้นในแต่ละแห่งอีก โดยได้ประทุอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ๔ จนถึงเดือน ๗ ในเดือน ๗ ขึ้น ๗ ค่ำ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เรียกตัวข้าพเจ้าไปพูดคุย ข้าพเจ้าจึงถูกกุมขังที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเวลา ๗ วัน และบอกข้าพเจ้าให้ลงนามในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าจะไม่เผยแพร่ธรรมอีก หลังจากกลับจากไทเป ข้าพเจ้าได้กล่าวได้ความสะท้อนใจว่า
      ""ข้ามสมุทรรุดไต้หวัน  ๒๑ ปี    
        เผยวจีแทนเบื้องฟ้าฉุดผู้คน
        พระคุณฟ้าปณิธานยังมิแทนคุณ
        ต้องกำสรดถูกจองจำอยู่ ๗ วัน ""

    นานาการทดสอบที่ถั่งโถมไม่หยุด การบีบคั้นจากทั้งภายในและภายนอก ก็ทำให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินที่มาอยู่ไต้หวันได้เพียง ๒๐ ปีต้องประสบต่อความขมขื่นอย่างเหลือคณา แต่ก็เนื่องด้วยมหาบารมีธรรมอันยิ่งใหญ่ ปัญญาญาณอันเฉียบคมของท่านเหล่าเฉียนเหริน จึงยังทำให้ท่านมั่นคงมิหวั่นไหว ไม่ตัดพ้อท้อถอย ไม่ถือสาหาโทษ หากแต่ยังมีจิตใจที่โอบอ้อมอันยิ่งใหญ่ มีกำลังใจอันกล้าแกร่ง ไปเผชิญกับปัญหาการทดสอบอย่างมิย่อท้อ และที่ประเสริฐที่สุดนั่นก็คือ ท่านจะไม่มีคำบ่นโทษแต่ประการใด จะมีก็แต่เพียงละอายใจที่ไร้บารมีจนไม่อาจนำพาได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นในการทดสอบที่กระหน่ำซ้ำเติมเมื่อปีที่ ๖๙ ท่านเหล่าเฉียนเหรินนอกจากจะสงบนิ่งเหมือนเช่นที่ผ่านมา ท่านยังตำหนิติโทษตนย้อนสำรวจพิจารณาตน พร้อมทั้งได้เขียนเป็นบันทึกดังต่อไปนี้ว่า ""ธรรมมีอำพราง มีปรากฏ นี่คือลิขิตแห่งฟ้า การบำเพ็ญก็จักต้องมีมารทดสอบ เหตุเพราะคนเรายังปฏิบัติไม่ดีพอ"  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยทรงเมตตาไว้ว่า ""นรปัญญายากชนะฟ้าเบื้องบน มารทดสอบนั้นแยบยลสุดคณา"" พระแม่องค์ธรรมได้ทรงเมตตาว่า
           " หากบำเพ็ญอนุตตรธรรมไร้มารสอบ  
       พวกขี้ยาคณิกาหอบกลับวิมาน"
           " ถูกทดสอบแท้นั้นคือรากบุญใหญ่
       ขัดถูไถให้พุทธญาณจรัสแสง "
            " มิใช่เขาถูกติเพราะบาปใหญ่
       รากบุญไร้ไยได้นั่งพันกลีบบัวอาสน์ "
    ฉะนั้น  หากไร้มารก็มิอาจเป็นพุทธะ หากไร้สอบก็มิอาจได้เป็นสัตบุรุษ ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องเคี่ยวหลอมตอกทุบ จนที่สุดได้เป็นเหล็กแกร่งที่สามารถแบกคลอนงานใหญ่แห่งฟ้าเบื้องบนได้ และภายใต้การตรากตรำฝึกฝนจากนานาการทดสอบของท่านเหล่าเฉียนเหรินนั้น ก็ทำให้ท่านได้เป็นเสาเอกแห่งดินฟ้า ที่ได้จรัสแสงปัญญาอันเรืองโรจน์  จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ด้วยความบังเอิญ ครั้งหนึ่งที่ท่านได้เมตตากับทุกคนท่านได้ถามกับทุก ๆ คนว่า "พวกเธอทราบไหม เหตุใดเมื่อสมัยต้น ๆ ที่มาไต้หวันจึงมีการสอบสาหัสจากทางการ อนุตตรธรรมของเราต้องถูกปิดกั้นไปหลายที่ แม้แต่ฉันเองยังถูกจับไปขังคุก จนต้องทำให้งานธรรมต้องชะงักงันถึงสิบกว่าปี" ในตอนนั้นทุกคนต่างอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงเมตตาต่อพวกเราด้วยรอยยิ้มว่า"นั่นก็เพราะเบื้องบนทรงประสงค์คุ้มครองคนดีอย่างพวกเรา ให้คนไม่ดีได้หวาดผวาจนการถูกจับกุมของตำรวจจนไม่กล้าเข้ามา อีกทั้งยังเป็นการทดสอบดูกำลังใจ คัดเลือกเมธีปราชญ์ สอบเฟ้นบุคลากร เพื่อให้เป็นแรงผลักดันงามธรรมให้รุ่งเรืองในภายหน้าสืบไป" ครั้นโฮ่วเสวียทุกคนได้ฟังจึงหูตาสว่าง อีกยังรู้สึกเลื่อมใสในสติปัญญาอันเหนือคนธรรมดาของท่านเหล่าเฉียนเหริน ที่สามารถเข้าถึงเจตนาแห่งฟ้าได้ถึงเพียงนี้ ซึ่งคำเมตตาของท่านนี้ ก็ได้ฝังจำอยู่ในหัวใจของโฮ่วเสวียอย่างมิอาจลืมเลือน  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2/12/2010, 10:34 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      อันผู้ที่เปี่ยมด้วยมหาภักดี มหากตัญญู มหาปัญญา มหาวีระนั้น จักต้องเป็นผู้ที่มีความโอบอ้อมอารีย์และจริงใจต่อผู้คนเป็นแน่ นั่นก็เพราะยามที่คนเราได้หล่อหลอมชีวิตจนถึงระดับหนึ่งแล้ว คุณธรรมที่พวกเขาได้แสดงออกย่อมต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหตุเพราะความจริงแท้แห่งชีวิตที่ได้เผยปรากฏออกมาอย่างธรรมชาตินั้น ก็จักต้องเป็นการปรากฏออกมาจากโฉมเดิมแห่งจิตใจ อันเป็นความบริสุทธิ์จากภายในที่เป็นรากแก้วแห่งชีวิต แต่ในทางตรงกันข้าม หากคนเรายังมิอาจหล่อหลอมชีวิตจนถึงขั้นคัมภีรภาพแล้ว เขาก็มิอาจปฏิบัติซึ่งคุณธรรมนั้นออกมาได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มิอาจเสแสร้งปรุงแต่งได้อย่างแน่นอน
     สำหรับบารมีธรรมอันยิ่งใหญ่ของท่าน ความโอบอ้อมอารีของท่านเราก็สามารถทำความรู้จักจากจริยวัตรของท่านได้ในต่อไปนี้  โดยก่อนอื่น คุณธรรมที่มีต่องฟ้าอันน่านับถือเป็นที่ยิ่งของท่านก็คือ "สัจจะ" ซึ่งในบทก่อน ๆ ได้กล่าวถึงตอนที่พระอาจารย์ได้ช่วยท่านเหล่าเฉียนเหริน พระอาจารย์ทรงเมตตาว่า "หากเจ้าทำงานแทนฟ้า โรคภัยเพียงแค่นี้จะนับประสาอะไรได้ ชีวิตของเจ้า สิทธิ์ขาดอยู่ที่ฟ้าเบื้องบนแม้ตายก็ยังชุบชีวิตให้ฟื้นคืนได้" และครั้นท่านเหล่าเฉียนเหรินได้สดับก็แอบตั้งปณิธานภานในใจว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะขออุทิศจิตใจทั้งหมดถวายแก่ฟ้า สำหรับจุดนี้ หากใครไม่มีจริยวัตรอันสุขุมลุ่มลึก อีกความศรัทธาอันกล้าแกร่งแล้ว โดยมากก็มักจะผิดวาจาตระบัดสัตย์ สำหรับคนที่พอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง ก็ยังน้อยนักที่จะไม่ยกยอในความสามารถของตน ดังนั้น สำหรับบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ต่อสัญญา ก็ถือได้ว่าเป็นวิญญูชนแล้ว แต่ท่านเหล่าเฉียนเหรินไม่เพียงแต่ไม่อวดความรู้ความสามารถของตนเท่านั้น ท่านยังวิริยะบากบั่น ประคองมั่นในธรรมา โดยไม่เคยหยุดเว้นนับแต่ได้เริ่มศรัทธาเป็นต้นมา สำหรับคุณธรรมอันไพสิฐที่มีต่อฟ้า ต่อผองประชา และต่อตนเองของท่านเช่นนี้ ก็ถือได้ว่าขยายขอบเขตของคุณธรรมด้าน"สัจจะ" จนถึงขั้นปริโยสานอย่างมิมีใครเหมือน ซึ่งหากมิใช่เพราะท่านมีคุณธรรมอันสุขุมแล้ว ไยท่านจึงสามารถปฏิบัติได้อย่างงดงามถึงเพียงนี้ได้
     หากเราลองถามตนเองว่า ในตลอดชีวิตของเราได้มีการปฏิบัติต่อวาจาที่ได้ลั่นไว้โดยไม่เสียคำพูดได้สักกี่ข้อ ฉะนั้น สำหรับจริยาของท่านประการนี้ ก็ทำให้อดนึกถึงปราชญ์ จี้จ๋า แห่งเมืองอู๋ในสมันชุนชิว ที่ได้ทูลถวายกระบี่คู่กายแต่ประมุขเมืองสวี อันเป็นแบบอย่างที่น่าสรรเสริญตราบจนปัจจุบันนี้เสียมิได้ และสำหรับจริยวัตรข้อใหญ่ของท่านยังเป็นเช่นนี้ แล้วสำหรับจริยวัตรข้อปลีกย่อยของท่าน ก็มิไยต้องเกรงว่าจะไร้ธรรมะอีกเลย ดังนั้นในตลอดชีวิตของท่าน หากท่านได้ลั่นวาจา ท่านต้องจักปฏิบัติตามสัญญาอย่างแน่นอน อาวุโสที่อยู่เคียงข้างท่านมักจะกล่าวเช่นนี้อยู่เสมอว่า "พวกท่านวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ขอเพียงท่านได้รับปากแล้ว ท่านจะไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาด"  ขอเพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อหมู่ชน ท่านก็จะต้องนำพาและพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถแน่นอน หากระหว่างฟ้ากับคน ระหว่างคนกับคนต่างสามารถเป็นเช่นนี้ได้ภัยพิบัติของมวลมนุษย์ก็จักลดน้อยลง จนถึงขีดต่ำสุด โดยที่ความอภิรมย์สมานสุขก็จักเพิ่มพูนจนถึงขีดสูงสุดเป็นแน่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       สำหรับความจริงใจที่มีต่อฟ้าของท่านเช่นนี้ ความจริงในสมัยที่ท่านยังหนุ่มก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ในบทก่อน ๆ เราได้เกริ่นถึงแล้วว่า เมื่อสมัยที่ท่านเหล่าเฉียนเหรินสิริอายุได้ ๑๙ ปี ท่านก็เป็นผู้ที่มีความรักชาติ และรู้สึกอัปยศที่บ้านเมืองต้องถูกนานาประเทศข่มเหงรังแก และการที่ท่านได้มีปณิธานสรรค์สร้างกิจการให้เกริกไกร ก็ด้วยเพราะท่านไม่อยากให้ชาติบ้านเมืองต้องถูกลบหลู่เหยียดหยามจากชาติญี่ปุ่นนั่นเอง แม้ท่านอายุยังน้อย แต่ท่านก็มีจิตใจอันแกร่งกล้า มีหัวใจที่มุ่งมั่นพัฒนาและใช้อำนาจทางเศรฐกิจมาช่วยเหลือประเทศชาติ โดยท่านได้ทุ่มเทจนสุดกำลังความสามารถ ด้วยกำลังใจอันเหนือคนธรรมดา ด้วยกำลังกายที่ไม่ระย่อต่อความเหนื่อยยาก ดังนั้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงสามสี่ปี ท่านก็สามารถขยายโรงงานได้ถึงสามแห่ง บริหารพนักงานถึงสามสี่ร้อยชีวิต สำหรับจิตใจอันรักชาติบ้านเมืองของท่านดังนี้ ช่างประเสริฐจนคนสามัญยากจะเทียมทันได้ และสำหรับจิตใจอันซื่อสัตย์ภักดีต่อประเทศชาติดังนี้ ก็มิเคยได้ถดถอยเลือนหายตราบจนท่านได้สำเร็จธรรมสู่เบื้องบนและชื่อเสียงขจรก้องทั่วโลกา
 และก็ด้วยจิตใจเช่นนี้ของท่าน ท่านก็ได้แสดงออกทุก ๆ เรื่องราว ในปีหมินกั๋วที่ ๓๖ (ค.ศ.๑๙๔๗) อันเป็นปีที่ท่านซือจุนได้บรรลุธรรม ท่านเหล่าเฉียนเหรินมีคาามเศร้าโศกเสียใจอย่างยากบรรยาย ในด้านหนึ่งท่านก็ติดตามเต้าจั่ง และบรรดาเฉียนเหรินไปจัดพิธีศพที่หังโจว กระทั่งเสร็จพิธีแล้วจึงเดินทางกลับเทียนจิน ในอีกด้านหนึ่ง ท่านก็ไว้ทุกข์อาลัยรักษาพุทธระเบียบ กิจธรรมทั้งปวงก็มีแต่คอยรับบัญชาจากท่านซือหมู่ ในสมัยที่ท่านซือจุนยังทรงพระชนม์อยู่นั้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็อยู่คอยปรนนิบัติท่านซือจุนอย่างถี่ถ้วน ไม่เพียงแต่สามารถปฏิบัติตามบัญชาได้อย่างทันท่วงทีเท่านั้น หากยังสามารถล่วงรู้ในเจตนา และลงมือปฏิบัติโดยมิต้องให้ท่านซือจุนเป็นกังวลเลย สำหรับจิตใจเช่นนี้จึงนับเป็นจิตใจอันวิเศษเลอเลิศ จึงไม่แปลกที่ได้รับความโปรดปรานและความไว้วางใจจากท่านซือจันเป็นอย่างมาก
   --ปีหมินกั๋วที่ ๔๓ (ค.ศ.๑๙๕๔)  อันเป็นเวลาที่ท่านมาอยู่ไต้หวันได้เพียงไม่กี่ปี หลังจากที่ท่านได้ตรากตรำกรำงานมาหลายปีแล้ว สภาพความเป็นอยู่ก็เริ่มดีขึ้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงรีบส่งจดหมายติดต่อท่านซือหมู่  หลังจากทราบว่าท่านซือหมู่ต้องอยู่อย่างยากลำบากที่ฮ่องกง ท่านก็หาวิธีรับท่านซือหมู่มายังไต้หวัน โดยมิได้ใส่ใจต่อคำครหานินทาแต่อย่างใด ในที่สุด ฟ้าก็ทรงเป็นใจให้แก่ผู้ที่มีความพยายาม ในปีนั้นท่านจึงสามารถรับท่านซือหมู่มาไต้หวันได้สมความตั้งใจ แม้ว่าในตอนนั้นท่านจะต้องลำบากยากเข็ญสักเพียงใดหรือจะมีคำไยไพใส่ร้ายมากแค่ไหน ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็ยังคงแบกรับไว้อย่างองอาจ โดยไร้คำตัอพ้อต่อว่าใด ๆ ทั้งสิ้น  ตราบจนปีหมินกั๋วที่ ๕๓ (ค.ศ. ๑๙๖๔) เดือน ๓ ท่านซือจุนได้เห็นการทดสอบจากทางการที่กระหน่ำซ้ำเติมอาณาจักรธรรมไม่หยุด ท่านจึงตั้งปริธานเแบกรับบาปเวรแทนศิษย์ และกักบริเวณตัวเองอยู่แต่ในห้องอีกทั้งกราบขอพระแม่องค์ธรรมให้ทรงเมตตาอีกนับหมื่นกราบ เป็นประจำทุกวัน จนในที่สุดท่านถึงกับเป็นอัมพาตไม่อาจเดินเหิน และต้องเจ็บป่วยทรุดโทรม นับแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านเหล่าเฉียนเหรินรู้สึกกลัดกลุ้ม และครุ่นคิดอยู่ทุกวันคืน ซึ่งท่านก็ได้บันทึกระบายความรู้สึกในสมุดอนุทินของท่านไว้อย่างมากมายแต่เนื่องจากเป็นมหาปณิธานของท่านซือหมู่ที่ประสงค์จะต้านภัยช่วยโลก ด้วยฐานะที่เป็นลูกศิษย์จึงมิอาจกล่าวคำใด ๆ ได้ ก็มีเพียงแต่ยิ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจในการปฏิบัติธรรม และดูแลปรนนิบัติท่านให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ตราบจนปีหมินกั๋วที่ ๖๔ (ค.ศ.๑๙๗๕) เดือน ๒ วันที่ ๒๓ ท่านซือหมู่ได้อำลาจากไป ท่านเหล่าเฉียนเหรินรู้สึกโทมนัสเสียใจยิ่งนักท่านได้เขียนบันทึกไว้ว่า "อสนีฟาดเปรี้ยงในอรุณ เทพมนุษย์ร่วมอาดูรใจโหยไห้" สำหรับความเจ็บปวดภายในใจของท่าน เราก็สามารถสัมผัสได้จากอักษรที่ท่านบันทึกลงในสมุดอนุทินได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากมิใช่เป็นคนที่มีความจริงใจแล้ว ก็คงจะไม่เศร้าโศกเสียใจถึงเพียงนี้แน่
  ---ปีหมินกั๋วที่ ๘๓ (ค.ศ.๑๙๙๔) เดิอน ๘ วันที่ ๒๘ อันเป็นปีที่ครบรอบประสูติกาลหนึ่งศตวรรษของท่านซือหมู่ ที่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน ได้จัดพิธีมหารำลึกคุณเป็นเวลา ๓ วัน วันที่ ๑ ของมหาพิธี ท่านก็เพียงสวมชุดเต้าผาวและรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่ท่านใช้อยู่ประจำเท่านั้น แต่เมื่อถึงวันที่สองของมหาพิธีอันเป็นวันที่จะทำพิธีกราบอวยพรวันเกิดท่านซือหมู่ เวลานั้น หลังจากท่านเฉียนเหรินทานอาหารเช้าเสร็จ ท่านก็เดินเข้าไปในตึกเทิดคุณ และหยิบรองเท้าคู่ใหม่ในลิ้นชักที่ได้ห่อเก็บอย่างบรรจงออกมาสวมใส่ พร้อมทั้งเปลี่ยนชุดจีนชุดใหม่ที่ยังไม่เคยสวมใส่ที่ไหนมาก่อน ครั้นอาวุโสจำนวนหนึ่งที่ติดตามท่านประจำได้เห็นแล้ว ภายในจิตใจของซาบซึ้งปิติจนน้ำตารินไหล เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าปกติท่านเหล่าเฉียนเหรินจะมีความประหยัดอย่างเคร่งครัด จึงได้เห็นว่าความจงรักภักดีของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่มีต่อท่านซือหมู่ก็ยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องมิเลือนหาย แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม  
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 3/12/2010, 08:17 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      ไม่เพียงแต่ความจงรักภักดีต่อท่านซือจุน ซือหมู่ จะเป็นเช่นนี้เท่านั้น หากท่านยังมีความเคารพนบนอบต่อพุทธอริยเจ้าอย่างมากมายในกิจวัตรอีกด้วย ในทุก ๆ รายละเอียด ท่านจะมีแต่ความละเอียดรอบคอบโดยหาได้ปล่อยปละละเลยแม้แต่น้อยไม่ อย่างเช่น วันครูแห่งชาติอันเป็นวันประสูติของอริยปราชญ์ขงจื่อเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากอาวุโสในสถานธรรมต่างมีภาระกิจรัดตัว ดังนั้นผลาหารที่ตระเตรียมสำหรับถวายจึงมิได้พูนพร้อมเท่าที่ควร และครั้นท่านเหล่าเฉียนเหรินเดินเข้าไปภายในตำหนักพระ ท่านก็กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า ""ความศรัทธาของพวกเธอยังไม่พอนะ ถวายผลไม้ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หากไม่ศรัทธาก็ไม่มีความหมายแล้ว ก็เหมือนกับคนในบ้านเธอได้บูชาพระแม่องค์ธรรม พุทธสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พุทธประทีป จะต้องจัดให้ตรง กระถางธูปจะต้องวางให้ตรง ธูปก็ต้องปักให้ตรง และยิ่งต้องมีความศรัทธามั่นคง อย่างนี้จะสอดคล้องต่อจริยธรรม ดังนั้นจึงไม่ควรทำอย่างลวก ๆ "" ครั้นทุกคนได้ฟังก็รู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ว่า แม้แต่รายละเอียดของจริยธรรมท่านก็ยังมีความรอบคอบถึงเพียงนี้  ดังนั้นในส่วนของหลักใหญ่ของจริยธรรม ก็มิไยต้องกล่าวถึงอีกเลย
     แม้นว่าในเวลาเกือบ ๖๐ ปีที่ผ่านมา เพื่องานใหญ่แห่งสามโลกแล้ว ท่านอุทิศตนให้แก่เวไนยสัตว์ สละบ้านและกิจการงาน ห่างลาจากบุตร ภรรยา ปฏิบัติต่อเวไนยสัตว์เหมือนเช่นบุตรธิดา หากแต่กลับปฏิบัติต่อบุตรธิดาของท่านเหมือนเวไนยสัตว์ โดยทั้งหมดนี้ ท่านล้วนถือประโยชน์ส่วนรวมแห่งเวไนยสัตว์เป็นที่ตั้งทั้งสิ้น แต่สำหรับจิตใจที่ห่วงหาอาทรต่อเวไนยสัตว์แล้ว ท่านก็หาได้เป็นเพราะเวลาที่เปลี่ยนผันจึงผันเปลี่ยนไปเป็นอื่นไม่ โดยท่านจะดำรงความรักความอาทรอยู่ในหัวใจเช่นนี้เสมอ อย่างที่ท่านได้เดินทางกลับบ้านเกิดด้วยวัย ๘๙ ปีนั้น ท่านได้เห็นความระกำลำบากที่เกิดขึ้นแก่บ้านเกิดอย่างมากมาย ดังนั้นหลังจากกลับถึงไต้หวันแล้ว ท่านจึงยังมีอาการเศร้าโศกเสียใจอยู่ระยะหนึ่ง หรือกระทั่งน้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง แม้นอาวุโสที่อยู่เคียงข้างจะมีความรู้สึกอยากรู้ แต่ก็มิกล้าเอ่ยถามท่านแต่อย่างใด ด้วยเพราะเกรงว่าจะยิ่งทำให้ท่านต้องเสียใจมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า แม้นเราจะเห็นท่านปฏิบัติต่อส่วนรวมโดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างเคร่งครัดก็จริง แต่โดยแท้จริงแล้ว ภายในจิตใจของท่านก็ยังคงความอบอุ่นละมุนละไมแห่งความรักที่มีต่อสายโลหิต ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงใจอยู่เช่นกัน
  ---ปีหมินกั๋วที่ ๘๑ (ค.ศ.๑๙๙๒)  ๓ ค่ำ เดือน ๑๐  อันเป็นวันบุตรธิดาของท่านจะกลับเมืองจีน หลังจากได้เดินทางมาเยี่ยมท่านเหล่าเฉียนเหรินนั้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้บันทึกลงในสมุดอนุทินของท่านดังนี้ว่า "ลูกชายลูกหญิงจะกลับเมืองจีนแล้ว พบกันครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก" บันทึกสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำ แต่ความรักความอาทรก็ได้เผยปรากฏออกมาจนหมดสิ้น
    ในปีต่อมา บุตรหลานของท่านได้มาเยี่ยมท่านเหล่าเฉียนเหรินที่ไต้หวันอีกครั้ง ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็รู้สึกตัวดีว่าท่านมีอายุมากแล้ว ด้วยความรักความอาทร ท่านจึงได้เขียนบันทึกต่อไปอีกว่า "ลูกชาย วั่นฮว๋า วั่นจัง และลูกหญิงอีกสองคน หลานชายอีกสอง  หลานสาวอีกหนึ่ง ทั้งหมดมาเยี่ยมข้าพเจ้าที่ไต้หวัน แต่ข้าพเจ้ามีสุขภาพไม่สู้ดี เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงอยู่ร่วมฉลองตรุษจีนกันที่ไต้หวัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 3/12/2010, 08:22 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       เพื่อเวไนยสัตว์แล้ว ท่านยอมปล่อยวางความรักที่มีต่อครอบครัวและนำความรักทั้งหมดในหัวในอุทิศให้แก่ผืนอาณาจักรธรรม ในช่วงเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านไป ท่านได้อุทิศเพื่อส่วนรวมโดยมิได้หวังผลเพื่อส่วนตน ท่านได้มอบความรักอันเจิดจรัสให้ทุกคนโดยไร้ความลำเอียง ท่านไม่เคยใช้เวลาอยู่กับบุตรธิดา แต่ทว่า ความรักของท่านที่มีต่อบุตรหลานก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวใจมิเคยเลือน สำหรับมหาบุรุษแห่งยุคนั้น ก็เป็นเช่นนี้แล
     ส่วนความรักที่มีต่อญาติธรรมนั้น ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องสามารถประจักษ์เห็นได้กันทั้งนั้น ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ท่านก็ยังเป็นเช่นห้วหน้าครอบครัวที่คอยดูแลอาณาจักรธรรม อีกยังเป็นประหนึ่งสดมภ์เอกที่ค้ำชูฟ้าดิน ที่ได้กำบังลมฝน อุทิศทุ่มเท ชี้ทิศนำทาง พิทักษ์ธรรมมา และไม่ว่าจะเป็นหญิงชายเฒ่าวัย ญาติธรรมเก่าหรือใหม่ ท่านก็จะแบ่งบันความรักและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาค ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าท่านจะพักอยู่ที่ใด หากได้มีญาติธรรมมอบสิ่งของมาให้ ไม่ว่าจะเป็นของมีค่าราคาแพงเช่นไร ท่านก็หาเคยตัดใจทานหรือใช้แต่อย่างใดไม่ หากแต่ท่านจะแบ่งปันให้แก่ทุก ๆ คน หรือนำไปใช้สำหรับส่งเสริมญาติธรรมโดยกล่าวเพียงว่า "ขอเพียงทุกคนสบายใจ เราก็ดีใจแล้ว" และทุกครั้งที่ท่านส่งแขกที่มาเยี่ยมท่านที่ฝูซัน ก็ยิ่งเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจอย่างที่สุด ขอเพียงแต่ท่านมีเวลา ไม่ว่าจะเป็นญาติธรรมใหม่หรือเก่า ก็ไม่มีครั้งใดที่ท่านจะไม่ส่งจนถึงหน้าประตู และยืนรอจนรถแล่นออกไปไกลแล้วจึงค่อยกลับเข้าในเรือน
     แม้ท่านจะสิริอายุสูงถึง ๙๐ ปีแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติต่อทุกคนโดยมิแบ่งชั้นวรรณะ มิเคยเปลี่ยน สำหรับคุณธรรมประการนี้ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ผู้คนคนึงหามิเคยเลือน และทุกครั้งที่ได้ร่วมเดินทางไปกับท่าน ขอเพียงมีญาติธรรมขับรถตามหลัง ก็ไม่มีเวลาใดที่ท่านจะไม่คอยเหลียวหลังมองหาและเตือนสติคนขับรถเสมอว่า "ดูรถข้างหลังหน่อยซิว่ายังขับตามอยู่หรือเปล่า" แม้จะเป็นคำพูดที่แสนธรรมดา แต่ก็เปี่ยมล้นด้วยความรักความเมตตาอย่างมากมาย และแน่นอนว่า สำหรับอาวุโสที่เคยร่วมบุกเบิกกรุยทาง ร่วมทุกข์ ร่วนสุขในการแพร่ธรรมที่ไต้หวันเหล่านั้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็ยิ่งให้ความเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ โดยพวกเราสามารถเห็นถึงความจริงใจจากบันทึกที่ท่านได้ถ่ายทอดเอาไว้อย่างแจ่มชัด ซึ่งในที่นี่เราจะขอหยิบยกตัวอย่างให้ท่านได้เห็นเพียงสามเหตุการณ์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ปีหมินกั๋วที่ ๖๑ (ค.ศ.๑๙๗๒) ท่านหลิวเฉียนเหริน (ต้าเต๋อเจินจวิน) ได้ถึงแก่มรณกรรม ร่างของท่านได้ฝังอยู่ ณ ฝูซันหรงเยวี๋ยน ปกติท่านเหล่าเฉียนเหริน และท่านหลิวเฉียนเหริน ต่างมีมิตรภาพอันแนบแน่น ในตอนที่ท่านหลิวเฉียนเหรินยังมีชีวิตอยู่ ท่านมีความเสียสละทุ่มเทต่องานธรรม อีกในด้านอาจาริยวัตร (กิจที่ควรประพฤติปฏิบัติต่อครูบาร์อาจารย์) ที่ปฏิบัติต่อท่านเหล่าเฉียนเหรินก็เป็นแบบอย่างอันดีที่รู้กันโดยทั่ว ดังนั้นในตอนที่ท่านหลิวเฉียนเหรินได้ถึงแก่อาสัญ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินต้องเศร้าโศกจาบัลย์อย่างเหลือประมาณ จนถึงกับลั่นวาจาอย่างทุกข์ระทมว่า "สูญเสียเสาหลักไปอีกคนหนึ่งแล้ว" แม้นจะเป็นคำพูดอันธรรมดา แต่สำหรับผู้ที่สามารถเป็นเสาหลักภายในใจของท่านได้นั้น จะมีสักกี่คน ดังนั้นสำหรับมิตรสัมพันธ์และธรรมสัมพันธ์ระหว่างท่านทั้งสองก็สามารถรู้ได้จากจุดนี้ได้เป็นอย่างดี
     อีกท่านหนึ่งคือท่านจางเฉียนเหริน เต๋อฮุ่ยผูซ่า เมื่อตอนที่ท่านจางเฉียนเหรินยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ปฏิบัติต่อท่านเหล่าเฉียนเหรินอย่างซื่อสัตย์นบนอบ และก็เป็นแบบอย่างอันงดงามในหมู่สตรี ท่านจางเฉียนเหรินได้ซักผ้าทำอาหารให้ท่านเหล่าเฉียนเหริน อีกทั้งยังร่วมทุกข์ร่วมสุขบุกเบิกแพร่ธรรมร่วมกับเหล่าอาวุโสถึง ๒๐ กว่าปี  เมื่อปีหมินกั๋วที่ ๗๙ (ค.ศ.๑๙๙๐) อันเป็นปีที่ท่านจางเฉียนเหรินได้สำเร็จธรรมนั้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้เดินทางมาเป็นประธานในมหาอวมงคลพิธีให้กับท่านจางเฉียนเหริน โดยเฉพาะในตอนที่จะทำพิธีปลงศพนั้น ท่านยังได้คุกเข่ากราบสามกราบให้กับท่านจางเฉียนเหรินอีกด้วย เรื่องนี้ได้สร้างความตกตลึงให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก โดยภายในใจต่างคิดกันว่า ด้วยธรรมวุติและวัยวุติอย่างท่านเหล่าเฉียนเหรินนี้ อย่างไรก็มิควรทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเกรงว่าผู้เป็นโฮ่วเสวียจะรับไม่ไหว แต่ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็ยังคงกล่าวยืนยันกับทุกคนว่า "ซักผ้าทำอาหารให้เราถึง ๒๐ กว่าปีเรากราบขอบคุณเขาก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว"
    สำหรับผู้ทรงมหาบารมี ก็จะมีแต่ความรำลึกตรึกพระคุณอยู่ทุกเมื่อ อันจริยาที่ท่านแสดงออกก็ควรค่าถือการเป็นแบบอย่าง และสำหรับความจริงใจอันบริสุทธิ์ ก็ยิ่งทำให้ญาติธรรมที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างประทับใจกันโดยถ้วนหน้า
   ในปีหมินกั๋วที่ ๘๑ (ค.ศ.๑๙๙๒) เดือน ๑๒ วันที่ ๓ ท่านเหล่าเฉียนเหริน ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดสถานธรรมฃงเมี่ยวที่เมืองไทย อีกทั้งยังเป็นประธานในพิธีเบิกหน้าดิน สถานพักเลี้ยงคนชรา และเปิดชั้นขมาสำนึกบาป โดยมีกำหนดจะเดินทางต่อไปยังฮ่องกงในวันที่ ๑๘  หลังจากที่ได้เสร็จธุระทางเมืองไทยแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าในวันที่ ๑๖ ก็ได้รับข่าวร้ายของฉีเฉียนเหรินอย่างกระทันหัน ในขณะที่ท่านกำลังเสร้าโศกเสียใจอยู่นั้น ท่านได้รีบจองที่นั่งเดินทางกลับไต้หวันทันที และก็ด้วยความศรัทธาจริงใจ เบื้องฟ้าทรงพระเมตตา ท่านจึงสามารถจองที่นั่งกลับไต้หวันในวันที่ ๑๗ ได้อย่างราบรื่น ในขณะนั้นท่านได้บันทึกถ้อยคำอันสะเทือนใจเช่นนี้ว่า "โอ้ จากเทียนจินมาไต้หวันสิบกว่าคน เพื่อธรรมะได้อุทิศจนธรรมขจรไปทั่วโลก ทุกคนต่างทุกข์ยากแสนลำบาก ตราบจนบัดนี้ ที่สำเร็จธรรมกลับเบื้องบนก็หลายคนแล้ว คงเหลือเพียงข้าพเจ้ากับเฉินหงเจินที่ต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่สุด อนาคตจะเป็นเช่นไร ข้าพเจ้ามิกล้าคาดคิด ก็มีเพียงถอนใจเศร้าเท่านั้นเอง" สำหรับมิตรไมตรีที่มีต่อโฮ่วเสวียอันกระชับแน่นเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องที่เราทุกคนต่างรู้สึกเลื่อมใสและประทับใจอย่างที่สุด
    มีคนกล่าวว่า ท่านเข้มงวดจนไม่มีคความเข้าใจจิตใจมนุษย์เอาเสียเลย ท่านมีแต่วิจารย์ข้อเสียตั้งมากมาย แต่คำให้กำลังใจกลับมีน้อย เสียเหลือเกิน ดังนั้นจึงมักทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงจนกลายเป็นความเหินห่าง โดยที่ทุกคนหารู้ไม่ว่า "เมื่อหนักน้ำใจสายใยธรรมก็บอบบาง อันกวดขันแท้คือรัก ใครกระจ่าง หากลำพังถือน้ำใจไร้ธรรมชัก น้ำใจหนักจักอยู่ได้สักกี่ครา " "ไม่ขัดเกลาก็ยากเป็นเสาคานหลัก"
       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      โดยเฉพาะท่านได้ผ่านประสบการ์ชีวิตมาแล้วอย่างโชกโชน บวกกับปัญญจักษุอันเฉียบคมของท่าน เพียงพริบตาก็สามารถมองทะลุในข้อบกพร่อง เห็นกระจ่างในหลายเรื่องราว ดังนั้นท่านจึงหวังให้พวกเราหนักแน่นมั่นคง ปฏิบัติบำเพ็ญอย่างซื่อตรง ชำระปณิธานสรรค์สร้างบุญกุศล จนที่สุดได้กลับคืนสู่เมืองฟ้าอมร ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นให้เติมใหญ่ ใจรักที่คาดหวังให้สำเร็จ ดังนั้นจึงมักจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา อบรมสอนสั่งอยู่ทุกเมื่อเวลา โดยท่านจะปฏิบัติต่อทุกคนเฉกเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อตัวท่านเอง ท่านมิเคยแสวงหาความสุขให้กับตัวเอง หากจะคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งเวไนยสัตว์เป็นที่ตั้ง สำหรับจิตใจอันตรงไปตรงมาจนดูเสมือนว่าเคร่งครัดเช่นนี้ โดยแท้แล้วก็เป็นความรักอาทรที่หวังให้ทุกคนได้หลุดพ้นเท่านั้น และผู้ที่สามารถเข้าถึงจิตใจของท่านได้นั้น ย่อมต้องรู้สึกซาบซึ้งประทับใจเป็นแน่แท้ เพราะหากมิใช่จิตใจอันเมตตาอาทรอย่างแท้จริงแล้ว ไฉนท่านจึงสามารถอบรมสอนสั่งโดยมิแหนงหน่ายถึงเพียงนี้ได้
     ท่านมักจะกล่าวกับพวกเราอยู่เสมอว่า "เมื่อรู้ว่าธรรมะนี้ดี ก็จงนำไปบอกเล่าให้ผู้อื่นรู้" "พวกเราจะต้องช่วยเหลือผู้คนอยู่ทุกขณะ" "หากวันนี้เราทำความดี ก็คือคนดี แต่หากพรุ่งนี้ไม่ทำ นั่นก็ไม่ใช่แล้ว" เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดอันแสนธรรมดาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ที่ล้วนเป็นคติอุทาหรณ์อันมีค่าสำหรับผู้บำเพ็ญทุก ๆ คน ซึ่งหากผู้คนในสังคมทุกระดับล้วนสามารถปฏิบัติได้ดังนี้โลกใบนี้ก็คงกลายเป็นสันติภาพไปนานแล้ว
    สำหรับญาติธรรมที่เคยไปพักที่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน จะทราบดีว่าคำพูดที่มักจะได้ยินท่านกล่าวยามเช้า หลังจากทักทายอรุณสวัสดิ์กับท่านนั้นก็คือ "ตื่นเช้าได้ดื่มน้ำหรือยัง"" หลังตื่นนอนจะต้องดื่มน้ำสักแก้ว จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพนะ มิเช่นนั้น เราคงอยู่ไม่ถึงอายุปูนนี้หรอก" จากรายละเอียดเพียงเล็กน้อยจุดนี้ พวกเราก็สามารถสัมผัสถึงความห่วงใยที่มีต่อญาติธรรมอย่างไม่เคยเปลี่ยนของท่านได้เป็นอย่างดี
    ครั้งหนึ่งจำได้ว่า โฮ่วเสวียหลายคนกำลังจัดเรียงเอกสาร มีอาวุโสท่านหนึ่งเมตตาให้ขนมเปียะมาเป็นของกินเล่น แต่ทุกคนง่วนอยู่กับงาน ยังไม่ว่างกิน พอดีท่านกลับมาได้เห็นขนมเปียะวางอยู่ ท่านไม่ถามอะไร แต่ขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขึมว่า "อย่ากินอะไรจุกจิกจะทำให้เสียสุขภาพได้" โฮ่วเสวียทุกคนไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ก้มหน้าขานรับเท่านั้น บุคคลที่ไม่เข้าใจจิตใจท่าน มักเห็นว่าท่านเข้มงวดจนเกินเหตุแค่กินขนมของว่างก็ยังถูกตำหนิ อีกทั้งไม่ใช่จัดหามาเอง อาจจะต้ดพ้อในใจบ้างแต่ทว่าผู้ที่เข้าใจท่านจริง ๆ  กลับรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณด้วซ้ำ ! หากมิใช่ท่านห่วงพวกเราด้วยเหมือนห่วงตัวท่านเองแล้วไยต้องใส่ใจรายละเอียดถึงเพียงนี้ เกรงว่าพวกเราจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ดุจเหมือนคุณปู่คุณตารักหลานใส่ใจทุกกระเบียดนิ้วจึงระวังทุกเวลา ! เมื่อเปรียบเทียบพวกเรากับตัวท่านเหล่าเฉียนเหรินแล้ว พวกเรามีข้อบกพร่องมากมายเสียจริง ๆ จึงไม่แปลกเลยที่ท่านต้องห่วงใยเช่นนี้ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       สำหรับบุคคลทั่วไป โดยมากมักจะเห็นเพียงด้านที่เข้มงวดคอยอบรมสอนสั่งของท่าน ในลิ้นชักของท่านนั้น ท่านมักจะเตรียมซองอั่งเปาและเงินสดไว้อยู่เสมอ หากเมื่อใดที่มีญาติธรม กระทั่งสามคุณมาหา ขอเพียงท่านทราบว่าเป็นญาติธรรมที่ทุ่มเทอุทิศทั้งหมดภายในอาณาจักรธรรม และกำลังประสบปัญหาเรื่องเงินทองอยู่ ท่านก็มักจะมอบเงินเหล่านี้ให้ตามความเหมาะสมอยู่เสมอ พร้อมทั้งกล่าวว่า "ผู้ใหญ่ให้ ผู้เยาว์มิควรปฏิเสธ" เมื่อท่านยืนยันในเจตนาเช่นนั้น โฮ่วเสวียหลายๆ คนจึงได้แต่สำนึกพระคุณโดยมิอาจปฏิเสธน้ำใจของท่านได้ และถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ท่านก็มิเคยเอ่ยปากบอกบุญแก่ญาติธรรม อีกทั้งยังห้ามมิให้ใครทำการเรี่ยไรเงินบริจาคอีกด้วย หากอาณาจักรธรรมมีงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผู้เข้าใจหลักธรรมก็ทำบุญเองเจริญปณิธาน ชำระหนี้กรรมต้องมีความศรัทธาจริงใจด้วยตัวเอง จึงเป็นบุญจริงกุศลแท้ ดังนั้นท่านจึงปฏิบัติตามพุทธระเบียบ ไม่บังคับให้ใคร ๆ บริจาค ทุกอย่างเป็นไปตามอัธยาศัยขอเพียงได้ทำเต็มที่ก็พอแล้ว
      เมื่อปีที่แล้ว ท่านประสงค์จะซื้อที่ดินไว้สำหรับไว้เป็นอริยาณาจักรยุคขาวที่ผูหลี่ เนื่องจากที่นั่นมีภูมิโหราศาสตร์อันงดงาม อีกเพราะท่านประสงค์จะบรรลุความตั้งใจของท่านซือจุนที่เคยวาดหวังไว้ในอดีต ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจซื้อที่ดินผืนดังกล่าว แต่เนื่องจากเป็นเงินก้อนโต ท่านจึงไม่สามารถรวบรวมให้ครบตามจำนวนในทันใดได้ ในตอนนั้นมีอาจารย์อยู่ท่านหนึ่ง ที่ไม่อยากให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินต้องกลัดกลุ้มกับเรื่องเงินค่าที่ดิน อาจารย์ท่านนั้นจึงไปรวบรวมเงินมาจนได้จำนวนหนึ่งแสนเหรียญ และคุกเข่าอ้อนวอนให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินรับไว้ด้วยความจริงใจ แต่ไม่ว่าท่านเหล่าเฉียนเหรินจะขาดแคลนเงินทองอย่างไร ท่านก็จะไม่ยอมให้ญาติธรรมต้องเดือดร้อนอย่างเด็ดขาด ดังนั้นท่านจึงปฏิเสธอาจารย์ท่านนั้น พร้อมทั้งเมตตาด้วยน้ำตาว่า "เธอก็ไม่ได้ทำงาน ตอนนี้ก็อุทิศทุ่มเททั้งหมดให้แก่อาณาจักรธรรมอยู่แล้ว จะทำอย่างนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะนี่เป็นเงินญาติธรรม เป็นหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขา เราจึงไม่ควรรบกวนพวกเขาให้ทำบุญ"  อาจารย์ท่านนั้นรู้สึกซาบซึ้งและละอายใจจนน้ำตานองหน้า
     ในเวลาต่อมา มีอาจารย์อาวุโสในอาณาจักรธรรมหลายท่านต้องการเผยแพร่ข่าวสารนี้ผ่านนิตยสารกวงหมิง เพื่อให้ทุกคนได้พร้อมใจกันแบ่งเบาภาระของท่านเหล่าเฉียนเหริน ดังนั้นจึงได้ร่างบทความสำหรับลงพิมพ์ในนิตยสารกวงหมิงให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินพิจารณา แต่ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็ยืนยันให้ลบหมายเลขบัญชีของกวงหมิงเหรินอ้ายจือเจีย (บ้านสว่างอาทรรัก) ออก พร้อมทั้งสั่งกำชับไว้คำหนึ่งว่า "อริยาณาจักรยุคขาวผืนนี้ เราตั้งใจจะมอบให้แก่ทุกคน ตั้งใจจะให้เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน" ครั้นโฮ่วเสวียทุกคนได้รับรู้ มีหรือที่จะไม่ซาบซึ้งใจ
     ไม่เพียงเท่านี้ สำหรับจิตใจอันบริสุทธิ์จริงใจของท่าน ก็น้อยคนนักที่จะได้พบเห็น แมันท่านจะรู้ดีว่าทุกคนต่างรักและยำเกรงในตัวท่าน แต่เพื่อผดุงความมั่นคงของอาณาจักรธรรมโดนรวมแล้ว ท่านยิ่งจำเป็นต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ต้องปฏิบัตตนให้เป็นแบบอย่าง ต้องอบรมสอนสั่งอย่างเคร่งครัด เพราะใจคนนั้นปล่อยง่ายแต่หากเก็บยากยิ่งนัก สำหรับผู้ที่เคยติดตามท่านเหล่าเฉียนเหรินจะรู้ดีว่าท่านมีความเมตตาเป็นอย่างมาก ท่านจะคิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ ท่านจะมีความเป็นกันเองและเป็นคนใจดี ปกติท่านนอกจากจะคุยสัพเพเหระกับทุกคน บางครั้งท่านยังจะเล่านิทานหรือเกล็ดความรู้ให้พวกเราฟัง ดังนั้นจึงทำให้พวกเราได้มีความรู้อันกว้างขวาง หรือกระทั่งในบางโอกาสที่ท่านอบรมสอนสั่งพวกเรา ท่านก็จะมีความดีใจจนถึงกับลืมอายุและฐานะของตนไปเลย สำหรับจิตใจอันบริสุทธิ์เรียบง่ายของท่านดวงนี้ ได้สร้างความประทับใจให้กับทุกคนมากมาย
    ครั้งหนึ่งเมื่อปลายปีที่แล้ว ทุกคนต่างนั่งล้อมท่านเหล่าเฉียนเหรินดูรายการข่าว ในขณะที่ได้เห็นกลุ่มนักศึกษากำลังรับการฝึกอบรมและทำการสาธิตท่าวิดพื้นอยู่นั้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินที่ปกติจะดูโทรทัศน์อย่างเงียบสงบก็พูดโพร่งขึ้นในทันใดว่า "พวกเขาไม่เข้าใจ" ทุกคนต่างงงวยจนทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่ทุกคนยังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีนั้น ท่านได้กล่าวต่อไปอีกว่า "พวกเธอก็ไม่เข้าใจที่ฉันพูดอยู่ละซิ" ทุกคนไม่เข้าใจจริง ๆ ท่านเหล่าเฉียนเหรินเป็นคนที่พูดไวทำไว ยังไม่ทันที่พวกเราจะตอบ ชายชราวัย ๙๔ ก็หมอบลงกับพื้นพร้อมกับทำท่าวิดพื้นให้ดูอย่างคล่องแคล่ว ท่าวิดพื้นมีความถูกต้องตามมาตรฐาน ท่านได้วิดพื้นให้พวกเราดูอยู่หลายครั้ง ทั้งยังสามารถพูดไปพร้อมกับการวิดพื้นในขณะเดียวกันอีกด้วย "ท่าวิดพื้นที่ถูกต้องจะต้องเป็นแบบนี้ ร่างกายไม่ควรแนบติดไปกับพื้น" ทุกคนต่างรู้สึกกระดากใจจนต้องรีบพากันหมอบลงหัดทำตามท่่านบ้าง แต่ทำได้เพียงไม่กี่ครั้งก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือกำลัง ในตอนนั้นทุกคนจึงเข้าใจความหมายของท่านว่ากำลังหมายถึง ท่าวิดพื้นของเหล่านักศึกษาที่ไม่มีความถูกต้องนั่นเอง หลังจากที่ท่านได้ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม ทุกคนต่างก็เหงือโทรมกายกันถ้วนหน้า เมื่อคิดแล้วก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก เพราะคนหนุ่มสาวยังมิอาจสู้คนแก่อย่างท่านได้เลย
    ในครั้งนั้น ทุกคนต่างชื่นชมในท่าวิดพื้นอันคล่องแคล่วงดงาม และความละเอียดรอบคอบในการบำเพ็ญที่จะไม่ยอมให้เกิดการปล่อยปละละเลยของท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ในอีกส่วนหนึ่งนั้น พวกเราต่างแอบรู้สึกดีใจอยู่ลึก ๆ เพราะท่านยังมีสุขภาพอันแข็งแรง ซึ่งถือว่าเป็นบุญวาสนาของพวกเราทุกคน อาวุโสต่างกล่าวกันอยู่เสมอว่า "วันหนึ่งที่ท่านอยู่ ก็ถือว่าเป็นวันแห่งวาสนาของทุกคน" ยิ่งมีคนกล่าวว่า "หนึ่งวันที่ผู้ทรงบารมียังอยู่ ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่โลกจะสันติสุข" (ซึ่งก็เป็นดังที่กล่าวเช่นนั้นไม่ผิด เพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เมืองที่ท่านอยู่ยังมิเคยปรากฏหายนะภัยจากธรรมชาติเลยแม้สักครั้ง แต่เพียงท่านได้สำเร็จธรรมจากไปแล้วเท่านั้น เมืองนั้นก็มักจะประสบหายนะภัยอยู่เนือง ๆ นั่นก็เพราะเมืองนั้นได้สูญเสียผู้ทรงธรรมไปแล้วนั่นเอง"
    แต่โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความอนิจจัง หลายสิ่งมักจะเกิดขึนอย่างเหนือความคาดหมาย เพราะอีกเพียงไม่กี่เดือน ท่านก็อำลาจากพวกเราไปอย่างมิอาจหวนคืน แม้นว่าการเกิดตายของชาวโลกจะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลื่องได้ แต่สำหรับจิตใจอันบริสุทธิ์เป็นกันเองพร้อมบารมีอันประเสริฐที่ไม่มีการถือสาแบ่งแยกนั้น ก้เป็นความทรงจำที่พวกเราไม่มีวันลบลืมได้ ในวันที่ท่านอำลาจากไป พวกเราทุกคนต่างเศร้าโศกร่ำไห้เสียใจ บรรยายกาศทั่วเทียนเอวี๋ยนฝอเยวี้ยนล้วนสลดหดหู่อย่างน่าใจหาย แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าทั่วหุบเขาก็ยังแสดงอาการเศร้าสลดอย่างมิเคยเป็นมาก่อน ในตลอด ๒๐กว่าวัน ท้องฟ้าได้โปรยละอองฝนร่วมแสดงความเสียใจอย่างมิเคยปรากฏไปทั่วตัวเมือง นั่นเพราะเวไนยสัตว์ได้สูญเสียมหาบุุรุษผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้วนั่นเอง

Tags: