collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมธาดาคู่โลกา : ปฏิปทาองค์สมเด็จพระกตธิการบรมอริยธรรมราชเจ้าผู้เฒ่าน้ำใส  (อ่าน 27680 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

     นอกจากนี้แล้ว จิตใจอันเคารพนบนอบต่อฟ้าของท่านก็สามารถประจักษ์เห็นได้จากสิ่งก่อสร้างที่ท่านออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน หรือฝูซันหรงเยวี่ยน ก็มิมีสถานที่ใดที่มิใช่เมืองแมนแดนสวรรค์เลย ภายในอาคารมิเพียงได้ประดิษฐานบูชาพระแม่องค์ธรรม พระบรรพจารย์จินกง พระพุทธาจารย์เทียนหรัน พระอริยมาตาจงฮว๋า เท่านั้น หากชื่ออาคาร สวนสนามที่ท่านตั้ง ก็ล้วนบ่งบอกถึงความระลึกตรึกพระคุณฟ้าบารมีอาจารย์ทั้งสิ้น อย่างเช่น ที่ฝูซันก็มี ตำหนักเทียนเอวี๋ยน อนุสรณ์บรรพจารย์ ห้องสมุดศิลปวิทยาคารกวงหมิง ฯลฯ  ที่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยนก็เป็นดังนี้คือ...ภายในนอกจากจะบูชาพระศรีอาริย์ พระพุทธบรรพจารย์เทียนหรัน พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ท่านยังได้ก่อสร้างอนุสรณ์ไตรอริยาแห่งยุคขาว และยังได้ก่อสร้างเจดีย์ตะวัน เจดีย์จันทรา ไว้สำหรับบรรจุพัตราภรณ์ของท่านซือจุน ซือหมู่  ส่วนที่พักของท่านก็ตั้งชื่อว่าตึกเทิดคุณ  อาคารกวงหมิงที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ ๆ ก็จะใช้เป็นสำหรับอนุสรณ์รำลึกพระบรรพจารย์ยุคขาว โดยเจตนาของท่านนั้นก็เพื่อให้ญาติธรรมที่ครั้นได้เข้าสู่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน ก็จะได้พระบารมีอาบทจากท่านซือจุน ซือหมู่ อีกทั้งให้พุทธรัศมีบริราชสาดแสงแก่หนทางอนาคตของลูกศิษย์ทุกคนให้สว่างเฉิดฉาย ตั้งแต่เริ่มต้น อีกทั้งให้เราได้มีโอกาสนบไหว้ใฝ่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระอนุตตรธรรมมารดา พระพุทธบุพพจารย์ พระธรรมาจารย์ และ พระธรรมจาริณี ในวิหารอันสงบและศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ตลอดไป แต่ก็มิใช่เพียงเท่านี้ เพราะอักษรคำว่า "ดื่นน้ำรู้ตรึกคุณต้นธาร" ตัวใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของวิหารธรรมนั้น ก็เป็นประจักษ์แล้วของจิตสำนึกคุณที่ท่านมีต่อฟ้า และต่อท่านซือจุนซือหมู่ ได้เป็นอย่างดี และสำหรับคุณธรรมบารมีในด้านการสำนึกพระคุณของท่านนั้น ก็เป็นจริยวัตรที่เราควรจะถือเป็นแบบอย่างยิ่งนัก
      และในช่วงหลายสิบปีมานี้ ไม่ว่าท่านจะมีงานธรรมที่รัดตัวและเหนื่อยยากปานใด หลังจากท่านได้ท่องคัมภีร์หมิงเซิ่งจิงจบ ท่านก็จะถวายธูปเช้าโดยมิเคยละเว้นเลยในแต่ละวัน ในปีหมินกั๋วที่ ๗๓ (ค.ศ.๑๙๘๔) หลังจากทั่วทั้งไต้หวันได้เปิดชั้นขมาสำนึกบาปแล้ว ด้วยเหตุที่ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้รับเคราะห์กรรมแทนเวไนย์ ในปีหมินกั๋วที่ ๗๕ (ค.ศ.๑๙๘๖) เดือน ๓ วันที่ ๒๐  ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้หกล้มจนขาหักและต้องผ่าตัดดามเหล็กที่โรงพยาบาลฉางเกิง ๒ อาทิตย์ผ่านไป ท่านก็เริ่มกายภาพบำบัดอย่างขยันขันแข็ง และเมื่อท่านพอจะเริ่มคกเข่าได้ ท่านก็รีบคุกเข่าประณตบูชาธูปหอม และกราบกรานอยู่เบื้องพระแท่นพระแม่องค์ธรรมในทันที โดยมิได้ไยดีต่อความเจ็บปวดของบาดแผลแต่อย่างใด และเมื่อโฮ่วเสวียทุกคนได้เห็นซึ่งความจริงใจความเคารพนบนอบต่อฟ้าของท่านเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกละอายใจเป็นยิ่งนัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      สำหรับจิตใจที่เคารพเทิดทูนต่อฟ้าของท่านดวงนี้ ก็มิเคยได้ว่างเว้นและมิเคยห่างหายเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างเช่น เมื่อมีคนมาขอเรียนถามจากท่านว่า"ในวันที่ ๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือ วันเฉลิมฉลองพระแม่องค์ธรรม วันสำคัญของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จะมีญาติธรรมคนทำงานบางส่วนที่ไม่สะดวกในการถวายผลาหารในตอนเช้า มิทราบว่าจะเปลี่ยนเวลามาถวายในตอนเที่ยงคืนที่ย่ำวันใหม่ได้หรือไม่" ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็ตอบว่า "อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ก็เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ที่เข้านอนแล้ว  พวกเจ้ายังจะปลุกให้ท่านทั้งสองขึ้นมาทานข้าวไหม" คำตอบอันเรียบง่ายอย่างนี้ ก็ไม่เพียงแต่เตือนให้สติให้รู้ถึงความหมายที่แท้จริงแห่งพุทธระเบียบเท่านั้น หากแต่ท่านยังได้แสดงออกซึ่งความเคารพนบนอบที่มีต่อฟ้าเบื้องบนออกมาอย่างหมดสิ้น
     และก็ด้วยความจริงใจที่พิศุทธิ์ที่มีต่อฟ้าดวงนี้ของท่าน หากมีงานสำคัญ ๆ ท่านก็มักจะเลือกมงคลฤกษ์ในวันรำลึกสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ อย่างเช่น วันประดิษฐานอนุสรณ์บรรพจารย์ของเทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน ท่านก็จะเลือกวันสำเร็จธรรมของท่านซือจุน ซึ่งตรงกับปีหมินกั๋วที่ ๗๙ (๕.ศ.๑๙๙๐) เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ส่วนวันบรรจุอาภรณ์ในอนุสรณ์เจดีย์ของท่านซือหมู่ ก็ย่อมเลือกวันประสูติของท่านซือหมู่ ในปีหมินกั๋ซที่ ๘๐ (ค.ศ.๑๙๙๑) เดือน ๘ วันที่ ๒๒ ตามจันทรคติ ส่วนวันประดิษฐานอนุสรณ์เจดีย์ตะว้นจันทรานั้น ก็เลือกลักคนาฤกษ์ในวันเฉลิมฉลองพระแม่องค์ธรรม ฤดูสารท ซึ่งตรงกับเดือน ๙ วันที่ ๑๕ ของปีเดียวกัน สาราณียกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ นักธรรมอาวุโสทุกท่านล้วนสามารเห็นประจักษ์ได้ทั้งสิ้น
    และในส่วนงานเฉลิมฉลองพระแม่องค์ธรรม วันรำลึกจู่ซือ ซือจุน และ ซือหมู่ เหล่านี้ ท่านก็ยิ่งมีความระมัดระวังในการอภิวันท์สำนึกพระคุณและสำรวจตรวจตราว่าตนได้ผิดต่อฟ้าหรือไม่เคยขาด
    เราทุกคนต่างรู้สึกสำนึกในตัวท่าน ต่างประสงค์เรียนรู้เอาอย่างท่าน แต่ก็หาควรเอาอย่างเฉพาะอิริยาภายนอก หรือเอาอย่างเพียงแค่สาราณียวัตรภายนอกของท่านไม่ หากควรจะทำความเข้าใจ ในใจจริงแท้ของท่านและเอาอย่างห้วงชีวิตจิตใจของท่าน ฉะนี้ จึงจะถือเป็นการสืบสานเจตนารมณ์ของท่านให้โชติช่วงนิรันดรได้  เมื่อเราลองตรองดูว่า เหตุใดท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงได้รับความโปรดปราน เอ็นดู และเกียรติภูมิจากเบื้องฟ้า จนได้รับการยกย่องเทิดทูนให้เป็นพระพุทธะเดินดิน ปรมาจารย์แห่งยุคสมัย ขงจื่อบนแดนดินไวโรจนอุดรดารา อริยเจ้าแห่งยุค หรือกระทั่งในชั้นขอขมาสำนึกบาป ในปีหมินกั๋วที่ ๗๓ (ค.ศ.๑๙๘๔) ๔ ค่ำ เดือน ๔ ท่านเทียนหรันซือจุนยังทรงประทานเป็นพระโอวาทตรัสชมท่านในบทโอวาทเปิ่นเอวี๋ยน (ต้นสายเดิม) ว่า หนึ่งสายโยงใยเทียนเอินถัง เสาหลักค้ำฟ้าแบกคลอนงาน ด้วยเพราะเบื้องฟ้า คือ ผู้ที่ทรงโรจนปัญญาที่สุด ซึ่งหากท่านเหล่าเฉียนเหรินมิได้มีใจจริงแลคุณธรรมบารมีจริงฉะนี้แล้ว ไยจึงสามารถเป็นถึงเพียงนี้ได้
     ฉะนี้ สำหรับสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างฟ้าและคนของท่าน ก็เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดของศิษย์อนุตตรธรรม และเป็นสิ่งที่ผองเราควรจะศึกษาและนำพา เพราะอานุภาพแห่งมนุษย์นั้นมีจำกัด  หากพระเมตตาแห่งฟ้านั้นไร้ขอบเขตนั่นเอง ""มีคุณธรรมจักสื่อถึงฟ้า"" ""ผู้ตามเจตน์ฟ้าจักจำเริญ"" ดังนั้นตลอดชีวิตของท่านจึงได้ทุ่มเทสุดใจถวายฟ้าโดยไร้ซึ่งอัตตาตัวตน อีกยังหมั่นระลึำกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน และถวิลหาพระคุณอาจารย์อยู่มิเคยเลือน จนที่สุดได้ซาบซึ้งถึงดวงฤทัยแห่งฟ้า และได้กลายเป็นดาวเหนืออันแจ่มจรัสในท่ามกลางมหาจักรวาล ที่ได้สืบสานต่อจากตะวันจันทรา แห่ง ซือจุนซือหมู่ นั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       ท่านเหล่าเฉียนเหรินมีนามว่า เอินหรง  นามรองเจี๋ยชิง (เกียรติพิศุทธิ์) สมญานามว่า อวี่หลิน อีกนามว่า เจี๋ยชิง (สะอาดบริสุทธิ์) ในช่วงปัจฉิมวัยได้เรียกตนว่า "ผู้เฒ่าน้ำใส" อีกสมญาว่า "เจ้านิเวศตึกเทิดคุณ" ท่านเป็นคนมณฑลเหอเป่ย อำเภอเหนิงเหอ ตำบลพันจวง  ได้กำเนิดเมื่อปีศักราชชิงกวงซวี่ที่ ๒๗ เดือน ๓ วันที่ ๒๒ ตกฟากยามวอก
       สถานการณ์แผ่นดินในตอนนั้นกำลังวิกฤตอย่างหนัก เหล่ามหาอำนาจต่างคอยจ้องเขมือบดุจสัตว์ร้าย คิดแต่จะหาเรื่องระรานแผ่นดินจีนอยู่เนือง ๆ ดังนั้นจึงเป็นที่แค้นเคืองของชาวประชายิ่งนัก ต่อมาจึงได้เกิดเหตุการณ์เผาโบสถ์จากฝีมือของสมัชชาอี้เหอถวน ที่มีความเคียดแค้นชาวต่างชาติเป็นอย่างมากในปีค.ศ.๑๙๐๐ ซึ่งก็ส่งผลให้ ๘ ชาติพันธมิตรรวมกำลังพลบุกเข้าสู่เมืองหลวง จนทำให้สถานการณ์บ้านเมืองตกต่ำถึงขั้นระส่ำระสาย
       กระทั่งปี ค.ศ.๑๙๐๑  เดือน ๓ ทั้งแผ่นดินยังคงมีทหารต่างชาติเข้ารุกรานอยู่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ประชาราษฏร์ต่างอกสั่นขวัญแขวน ต้องคอยระวังระวัยตื่นตระหนกไปทั่วทุกหัวระแหง    ดังนั้น  หลังจากท่านเหล่าเฉียนเหรินเกิดได้เพียง ๑ วัน คุณแม่และคุณยายของท่าน จึงต้องอุ้มท่านหนีภัยไปหลบซ่อนในหมู่บ้านที่คุณตาอาศัยอยู่ โชคดีที่เบื้องบนทรงคุ้มครอง ในระหว่างการหนีภัยสงคราม ทั้งสามจึงมิได้เจ็บไข้ได้ป่วยแต่อย่างใด
      เวลานั้น คุณพ่อของท่านเหล่าเฉียนเหรินกำลังทำธุรกิจอยู่ที่เทียนจิน เวลากลับบ้านในแต่ละปี ก็ไม่สามารถอยู่เกินหนึ่งเดือนได้ ด้วยเหตุนี้  สองแม่ลูกจึงต้องอยู่ประจำที่บ้านของคุณตา จนกระทั่งท่านเหล่าเฉียนเหรินได้เจริญวัยจนครบ ๘ ขวบ ซึ่งเข้าสู่วัยเรียนแล้ว ท่านจึงได้ย้ายกลับมาพักที่หมู่บ้านพันจวงดังเดิม   ดังนั้นในระยะเวลาแห่งการเจริญเติบโต นับแต่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่นของท่านนั้น ท่านได้รับการอบรมบ่มสอนจากคุณตา คุณยาย และคุณแม่มาอย่างลึกซึ้ง จึงได้ส่งอิทธิพลมาตลอดชีวิตของท่าน และก็เนื่องด้วยคุณตา คุณยาย และคุณแม่ต่างเป็นคนที่สมถะเรียบง่าย มึความมัธยัสถ์หมั่นเพียร มีศีลธรรมจรรยา มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน อีกมีการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัด  ดังนั้น  ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงได้ถูกปลูกฝังคุณธรรมจรรยามาแต่เยาว์วัย บวกกับคุณตา คุณยาย และคุณแม่ของท่านต่างสามารถปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้เห็น และประสิทธิ์ประสาทวิชาแห่งอริยเมธีให้กระจ่าง โดยเฉพาะในด้านสัตถคัมภีร์โบราณด้วยแล้ว ก็ยิ่งได้รับการอบรมถ่ายทอดอยู่มิเคยขาด ด้วยเหตุนี้ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงถูกปลูกฝังให้เป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์ รักเรียนใฝ่ศึกษา นำพาในงานสาธารณกุศลมาแต่ยังเยาว์ ซึ่งท่านก็ได้สืบสานมั่นคงในคำสอน มุ่งเจริญในมรรคาแห่งอริยเมธาเจ้า ตราบจนถึงปัจฉิมกาลของท่านมิเคยขาด ในสายธารแห่งวันเวลาหลายสิบปีนี้ คนที่อยู่ใกล้ชิดท่านก็จะรู้ดีว่า ท่านมักจะรำพันถึงคำสอนและความรักของคุณตาคุณยาย และคุณแม่เมื่อครั้งยังเยาว์วัยอยู่มิเคยขาด โดยในทุกห้วงแห่งความทรงจำนั้น ท่านก็ยังคงฝังจำรำลึกอยู่เสมอ จนบางครั้งถึงกับน้ำตาไหลริน และจากตรงนี้ก็ทำให้เราได้ประจักษ์เห็นถึงจิตใจอันกตัญญูของท่านได้จนหมดสิ้น
        และที่หาได้ยากยิ่งก็คือ ความกตัญญูของท่านยังสามารถธำรงคงไว้เช่นนี้มาตลอดหลายสิบปี โดยหาได้เลือนหายไปกับการเปลี่ยนแปลงแห่งกาลเวลาแม้แต่น้อยไม่  จากการที่ท่านยืนยันไม่ยอมจัดงานวันเกิดเลยแม้สักครั้งเดียว ก็เป็นหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ในประเพณีของชาวจีนโดยทั่วไป หากถึง ๖๐ ก็ถือว่าเป็นมงคล ซึ่งควรจะจัดงานฉลองวันเกิด แต่ท่านเหล่าเฉียนเหรินที่สิริอายุจนถึง ๙๐ กว่า ก็ยังมิยอมจัดงานฉลองวันเกิดเลยแม้สักครั้ง ทั้งนี้เพราะเหตุใดหรือ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

  ท่านเหล่าเฉียนเหรินเคยกล่าวว่า "ในสมัยที่ท่านซือจุน ซือหมู่ ยังอยู่ ยังไม่เคยมีศัพท์คำว่าฉลองวันเกิดเลย และพระอาจารย์มักกล่าวอยู่เสมอว่า "ในวันเทศกาลและวันเกิดห้ามจัดพิธีฉลองอย่างเด็ดขาด" เพราะเหตุเมื่อคนเราสนุกสนานในวันเทศกาล ก็มักจะมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จนทำให้สรรพสัตว์ต้องเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง เราทุกคนต่างมีจิตเมตตามาแต่กำเนิด แล้วจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเช่นนี้ทำไม อีกอย่างคนโบราณก็มักกล่าวอยู่เสมอว่า "วันเกิดของลูก คือ วันทุกข์ของแม่" ในวันที่แม่ได้ให้กำเนิดเรา ท่านก็ต้องประสบภยันตรายเสมือนหนึ่งได้เข้าสู่ประตูผีปานนั้น ส่วนคุณพ่อก็ต้องคอยห่วงใยกระสับกระส่าย กระทั่งเราได้เกิดมาแล้วนั่นแหละ และไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงขอเพียงแต่แม่ลูกปลอดภัย ทุกคนก็จะดีใจกันทั้งครอบครัว
     พวกเราลองคิด ๆ ดูถึงความทุกข์ยากลำบากของคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเรา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรายังจะสนุกสนานในวันเกิดได้ลงคอเชียวหรือ ในสมัยที่พระอาจารย์ยังอยู่ ทุกครั้งที่ถึงวันเกิดของท่าน ทุกคนจะมิกล้าเอ่ยถึงเรื่องวันเกิด  และมิกล้าผัดหมี่สั่วเพื่อฉลองวันเกิดให้ท่านแต่อย่างใด ที่ทุกคนพอจะทำได้ก็เพียงแค่กราบอวยพร ๓ กราบให้ท่านซือจุนเมื่อตอนถวายธูปเท่านั้น
    ในด้านหนึ่งนั้น ก็เพราะท่านเหล่าเฉียนเหรินสำนึกในพระทัยของพระอาจารย์ เคารพในโอวาทของพระอาจารย์ มีความจงรักภัคดีต่อพระอาจารย์ จนแม้นท่านจะจากไปแล้วก็มิได้ทำตัวแตกต่างจากเดิมแต่อย่างใด ส่วนในอีกด้านหนึ่งนั้น เพราะท่านเหล่าเฉียนเหรินได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของมารดา ตระหนักในความเหนื่อยยากแห่งการเลี้ยงดูของมารดา โดยเฉพาะในวันที่มารดาให้กำเนิดท่านเสมือนหนึ่งได้ผ่านประตูผีมา ดุจผจญผ่านแดนนรก ด้วยจิตแห่งความกตัญญูกตเวทิตาของท่านเหล่าเฉียนเหรินนี้ ท่านเคยกล่าวไว้ดังนี้ว่า "ทุกครั้งที่นึกถึงตรงนี้ จิตใจก็มีความรู้สึกละอายและสำนึกในพระคุณของมารดาอยู่มิขาด เพราะในวันที่เราเกิด เราก็เกือบจำทำให้คุณแม่ต้องตาย แล้วเรายังจะมีอารมณ์จัดงานวันเกิดได้อีกหรือ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       ดังนั้น ในวันที่ ๒๒ เดือน ๓ ของทุกปี ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะกำชับให้นักธรรมที่อยู่ใกล้ชิดไปปิดประตูฝูซันตั้งแต่เช้าตรู่ และจากนั้นท่านก็จะเก็บตัวสำนึกในพระคุณ สำนึกในความผิดบาป และสำนึกในความรักของบิดามารดาในห้องอย่างเงียบงันแต่เพียงผู้เดียว
      ท่านไม่เพียงไม่มีใจที่ยึดติดในรสชาดอาหาร และความสนุกสนานในวันเกิดอย่างที่ชาวโลกทำกัน หากท่านยังมักสำนึกในพระคุณของบิดามารดา พระคุณของคุณตาคุณยายอย่างเงียบสงบ โดยท่านจะดื่มเพียงน้ำเปล่าและทานหมั่นโถเพียงลูกเดียวในวันเกิดของท่านเท่านั้น
     ด้วยเกียรติฐานะ กิตติคุณ ความสำเร็จ และมนุษย์สัมพันธ์ของท่านเหล่าเฉียนเหรินในอาณาจักรธรรมแล้ว การที่จะจัดงานวันเกิดก็หาใช่เรื่องยากไม่ แต่ด้วยเพราะท่านมีจิตกตัญญูอันผุดผ่อง มีความถวิลหามารดาอย่างอาลัย มีความกวดขันหมั่นเพียรอย่างเคร่งครัด ท่านจึงยึดมั่นในจริยวัตรโดยมิยอมแปรเปลี่ยนไปตามกระแสชาวโลกแต่อย่างใด หรือแม้แต่ท่านสิริอายุครบ ๙๐ ปี แล้วก็เช่นกัน ในปีนั้น เฉินเฉียนเหริน หรืออาวุโสอีกจำนวนหลายท่านได้ร่วมเดินทางไปอวยพรวันเกิดของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่ฝูซัน แต่คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้กลับทำให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินต้องโกรธ และปิดประตูห้องนั่งเสียใจว่า "ในวันทุกข์วันยากของแม่จะให้จัดงานฉลองวันเกิดได้อย่างไร" ในภายหลัง อาวุโสต่างช่วยกันอธิบายว่า "คนเราเกิดมาหายากนักที่จะมีอายุถึง ๙๐ ได้ จึงขอให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินเมตตาให้โอกาสพวกเราได้จัดงานฉลองให้ด้วยเถิด"
     ด้วยเหตุที่ท่านเห็นทุกคนต่างมีความจริงใจ ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงเดินออกจากประตูห้อง แต่แล้วทุกคนต่างก็ต้องตกใจกันไปหมด เพราะท่านเหล่าเฉียนเหรินได้คุกเข่าโขกศรีษะขอบคุณน้ำใจทุกคนในทันทีที่เดินออกมา สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันเช่นนี้ ก็ทำให้ทุกคนต่างตกใจจนต้องรีบคุกเข่าสำนึกเสียใจ และมิกล้าทำเช่นนี้อีกต่อไป
     ปีหมินกั๋วที่ ๘๓  (ค.ศ.๑๙๙๔) เดือน ๓ วันที่ ๒๒ อันเป็นปีสุดท้ายของท่าน และก็เป็นวันเกิดสุดท้ายของท่าน ท่านก็ยังคงทำเหมือนเช่นอดีตคือ ท่านจะไม่รบกวนผู้อื่นและนั่งเขียนบันทึกอย่างเรียบง่ายและจริงใจว่า เดือน ๓ วันที่ ๒๒ วันนี้เป็นวันอัปยศของข้าพเจ้า เมื่อคิดถึงคุณแม่ที่ให้กำเนิดข้าพเจ้า เวลายามวอกที่ข้าพเจ้าได้ถือกำเนิดในวันนี้ คุณยายต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และตอนรุ่งสางของวันที่ ๒๓ ทุกคนจะต้องข้ามแม่น้ำและต่อรถหนีภัยไปยังหมู่บ้านของคุณตา เพราะ ๘ ประเทศพันธมิตรได้บุกโจมตีประเทศจีน ตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ด้วยความรักความเอ็นดูของแม่ที่มีต่อลูก จึงทำให้ท่านต้องลำบากเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวี ท่านต้องคอยเลี้ยงดูฟูมฟักจนลูกเติบใหญ่ วันนี้เมื่อคิดถึงคราใดก็ให้รู้สึกปวดร้าวใจยิ่งนัก บัดนี้ลูกอยากเลี้ยงดูแต่ท่านก็จากไปเสียแล้ว ตอนนี้ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนไม้ที่ใกล้ฝั่ง ที่ทำได้ก็มีเพียงตั้งปณิธานและบรรลุในปณิธาน เพื่อทดแทนพระมหากรุณาธิคุณของแผ่นฟ้าพระบารมีแห่งพระอาจารย์ให้เต็มที่เท่านั้น ไฮ ! ไฮ !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       เพียงหนึ่งบทบันทึกที่แสนสั้น ทว่าก็ได้พรรณนาถึงใจอันระลึกตรึกคุณของท่านเหล่าเฉียนเหรินออกมาจนหมดสิ้น ในช่วงเวลาอันเนิ่นนานถึง ๘๐-๙๐ ปีก็มิเคยได้ลบเลือนซึ่งความทรงจำและความอาลัยรักที่มีต่อมารดาของท่านเลยแม้แต่น้อย ด้วยวัย ๙๐ อย่างท่านเช่นนี้ ในยามที่ท่านได้ถวิลหาอาลัยต่อมารดาแล้ว ก็ยังคงมีความบริสุทธิ์ไร้เรียงสาที่ห่วงหาอาวรณ์อยู่มิขาดถึงเพียงนี้ได้ ดังนั้นในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ขอเพียงท่านได้ทานอาหารที่เอร็ดอร่อย ท่านก็มักจะรำพันอย่างเสียใจอยู่เสมอว่า " ของอร่อยอย่างนี้ ตอนที่คุณแม่ยังอยู่ไม่เคยได้ทานเลย"  เมิ่งจื่อกล่าวว่า " มหากตัญญูนั้น ชั่วชีวีจักถวิลหาอาวรณ์บุพการี" และท่านเหล่าเฉียนเหรินก็สามารถทำเช่นนี้ได้จริง ๆ
      มาตรแม้นประเทศชาติจะมีภัย อีกความพลัดพรากต่าง ๆ จะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่ท่านอย่างมากมายก็จริง แต่ความเด็ดเดี่ยวในปณิธานที่มุ่งมาดแทนพระคุณฟ้าบารมีอาจารย์ของท่านเช่นนี้ ก็เป็นเพราะความปรารถนาอย่างแรงกล้าในความกตัญญูที่มุ่งครองตนมั่น และเจริญในธรรม ประกาศเกียรติศักดิ์สู่ชนรุ่นหลัง เพื่อเป็นเกียรติคุณแห่งบิดามารดรด้วยเช่นนี้ ท่านจึงมุ่งมั่นหาญทะยานตนให้เป็นมหาบุรุษสำเร็จในมหากิจ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณฟ้า ตอบแทนพระคุณบิดามารดา ตราบจนสิ้นอายุขัยนั่นแล้วจะถือว่าไม่เสียชาติเกิดนั่นเอง
     นอกจากความอาลัยรักที่มีต่อมารดาอย่างประมาณมิได้แล้ว ท่านยังมีใจที่เคารพรักต่อบิดาอย่างมากมาย แม้ว่าท่านทั้งสองจะมีเวลาที่อยู่ด้วยกันน้อยมากก็ตาม แต่จิตรู้คุณแห่งบุตรกตัญญูอย่างท่านนี้ ก็มิได้มีความแตกต่างผันแปรไปเป็นอื่นเลย
     ในปีหมินกั๋วที่ ๓๖ (ค.ศ.๑๙๔๗) เดือน ๘ วันที่ ๑๕ อันเป็นวันที่ท่านซือจุนได้สำเร็จธรรม ท่านเหล่าเฉียนเหรินพร้อมด้วยเต้าจั่ง (ธรรมปรินายก)และเฉียนเหรินจำนวนหนึ่ง ได้ร่วมเดินทางไปจัดพิธีศพให้ท่านซือจุนที่หังโจว หลังจากเสร็จสิ้นพิธีก็เดินทางกลับเทียนจินในกลางเดือน ๑๐  แต่คาดไม่ถึงว่าบิดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่วันที่ ๑๓ เดือน ๙ เสียแล้ว และครั้นท่านเหล่าเฉียนเหรินได้ทราบข่าว ท่านก็มีความโทมนัสเสียใจอย่างที่สุด และได้เขียนบันทึกอย่างสุดเศร้าเสียใจดังนี้ว่า "มิได้อยู่ดูใจครั้งสุดท้าย คือ เรื่องสุดเสียใจชั่วชีวี พ่อแก้วแม่แก้วจากไปลับแล้ว ในฟ้าดินนี้ได้ลาคลาดแคล้ว แม้นแว่วถามก็สิ้นทาง" ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวที่ได้สูญเสียบิดาผู้บังเกิดเกล้าเช่นนี้ หากมิได้ประสบด้วยตน ก็มิอาจที่จะรับรู้ซึ่งความระทมทุกข์ได้อย่างแน่นอน    พ่อนั้นแลให้กำเนิด
         แม่นั้นแลฟูมฟักชูเชิด
         แม้ดวงใจอยากทูนเทิด
         ก็หาเกิดโอกาสมี
         ความรักแสนลึกซึ้ง
         ตรึงดวงจิตชั่วชีวี
         บุตรกตัญญูอย่างท่านนี้
         ยิ่งไม่มีทางลืมเลือน
     
      ในปีหมินกั๋วที่ ๗๖ (ค.ศ.๑๙๘๗) เดือน ๕ วันที่ ๑๕ อันเป็นวันที่ท่านเหล่าเฉียนเหริน ได้เดินทางไปพบบุตรหลานที่ไม่ได้พบหน้ากันมามากกว่า ๔๐ ปีที่ฮ่องกงเป็นครั้งแรก ครั้งนั้นท่านได้ข่าวว่าสุสานบรรพชนได้ถูกดันจนราบเรียบ อีกป้ายบรรพชนได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น ท่านมีความเศร้าโศกเสียใจและคอยห่วงใยในเรื่องนี้อยู่มิขาด และทุกครั้งที่ท่านคิดถึงตัวเองที่ต้องจากลาบ้านเกิดจนมิอาจทำหน้าที่แห่งบุตรที่ควรทำได้แล้ว ก็ทำให้ท่านรู้สึกเศร้าโศกจาบัลย์จนน้ำตาคลอเบ้าอยู่เสมอ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจทุ่มเทสุดความสามารถและวิริยะพากเพียรต่อไป
      ในปีหมินกั๋วที่ ๗๘ (ค.ศ.๑๙๘๙) แม้นในตอนนั้นท่านเหล่าเฉียนเหรินจะสิริอายุสูงถึง ๘๙ ปีแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังคงออกเดินทางไกลโดยมิได้ระย่อต่อหนทางอันทุรกันดาร ทั้งนี้ก็เพื่อจัดการเรื่องสุสานบรรพชนของท่านโดยเฉพาะ แม้นว่าการกลับไปในครั้งนี้ ผู้คนบ้านช่องและตำแหน่งที่ตั้งสุสานจะเปลี่ยนไปจนมิอาจบรรลุในความตั้งใจที่มุ่งหวังไว้ก็ตาม แต่ด้วยจิตกตัญญูที่ไม่เคยเหือดหายไปไหนดวงนี้ ก็ได้ฝังรากหยั่งลึกสู่ห้วงดวงใจของท่านจนมิอาจสั่นคลอนได้ หลังจากท่านได้เดินทางกลับมาแล้ว ท่านได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางของท่านโดยสังเขป ซึ่งก็มีอยู่บางประโยคที่ท่านได้ระบายความรู้สึกออกมาอย่างปวดร้าวเมื่อได้รู้ว่ามิอาจบรรลุความตั้งใจดังหมายเช่นนี้ว่า "ได้แต่กล้ำกลืนความปวดร้าว เมื่อเรื่องราวมิได้สมใจหมาย ได้แต่กลืนน้ำตาลงทรวงใน" เป็นต้น...    โลกหล้าแตกแยกเลือนหาย
                     จิตรักใจหมายยากสมหวัง
                     เก้าสิบน้ำตาไหลหลั่ง
                     ประดังถั่งโถมน่าเศร้าใจ
    ไม่ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปเช่นไร ก็มิอาจจะพัดพาจิตคะนึงหาด้วยความกตัญญุตาอันนิจนิรันดร์ของท่าน ให้เลือนหายตามไปด้วยได้     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        ใจภักดีกตัญญูของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่มีต่อพระแม่องค์ธรรม จู่ซือ ซือจุน ซือหมู่ นั้นในบทก่อน ๆ ก้ได้เกริ่นนำบ้างพอสมควร ซึ่งสำหรับมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งนั้น จักต้องมีบุคลิกภาพและทัศนะความคิดอันยิ่งใหญ่เป็นแน่ แม้นว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ  ก็ยังสามารถบำเพ็ญได้อย่างสุขุมคัมภีรภาพ โดยมิได้ปล่อยให้ห้วงคิดอันไม่ดีได้เล็ดรอดออกไปเลยแม้แต่น้อย  อีกยังสามารถดำรงเอกลักษณ์อันประเสริฐงดงาม จนได้เป็นแบบอย่างที่มั่นคงตราบนิรันดร์กาล และท่านเหล่าเฉียนเหรินของเราก้เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงขอยกตัวอย่างคุณธรรมของท่านเหล่าเฉียนเหริน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ใคร่ครวญศึกษา
       หลังจากเทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยนสร้างเสร็จ ทางด้านเรือนรับรองฝั่งซ้ายก็ได้ตกแต่งห้องพักรับรองไว้ให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินอย่างวิจิตร ซึ่งเป็นห้องชุดที่สามารถรับรองอาคันตุกะได้อย่างสบาย หลังจากที่ได้ทำพิธีเปิดสถานธรรมแล้ว อาวุโสก็ได้เชิญท่านเหล่าเฉียนเหรินเข้าพักที่นั่น แต่ใครจะทราบว่า ท่านไม่เพียงแต่มิได้ยินดีเท่านั้น หากท่านยังปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า "ในอดีต เมื่อครั้งที่ท่านซือจุน ซือหมู่ ยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังไม่เคยพักในที่สวยงามขนาดนี้เลย แล้วจะให้ศิษย์อย่างเราทำใจอยู่อย่างสุขสบายในที่นี้ได้อย่างไร"
      สำหรับใจที่เลิศด้วยคุณธรรม หาใช่สิ่งที่จะเข้าถึงได้ด้วยใจสามัญของคนธรรมดาเช่นเราได้ และนับแต่นั้นตราบจนตลอดอายุขัยของท่าน ทุกครั้งที่ท่านไปที่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน ก็หาได้เคยเข้าพักที่ห้องรับรองนั้นแม้แต่ครั้งเดียว ท่านจะพักอยู่แต่ในห้องพักที่ตบแต่งอย่างเรียบง่ายในตึกเทิดคุณเท่านั้น  ครั้นโฮว่เสวียทุก ๆ คนได้รับรู้เรื่องนี้ ก็ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้สึกละอายใจและซาบซึ้งใจเป็นล้นพ้น เพราะใจที่โลภในความสุขสบายอย่างพวกเรานั้น คงมิอาจจะบำเพ็ญให้สุขุมลุ่มลึกจนไร้มิจฉาดำริเล็ดลอดในห้วงความคิดเช่นท่านได้ และที่น่านับถือยิ่งอีกประการหนึ่งก็คือ มหาภักดีจิตของท่านที่มีต่อท่านซือจุนซือหมู่ก็มีความหนักแน่นดุจเขาไท่ซัน เที่ยงตรงดุจดาวเหนือ ที่มิอาจจะสั่นคลอนอย่างแน่นอน
      ท่านไม่เพียงแต่มีใจจงรักภักดีต่อท่านซือจุนซือหมู่เท่านั้น หากยังมีจิตใจที่ห่วงใยอาทรต่ออนุชนของท่านซือจุนอีกด้วย ในอดีต หลังจากท่านเหล่าเฉียนเหริน ได้ให้คนช่วยสืบข่าวทายาทของท่านซือจุนมาเป็นเวลานาน จนได้ทราบเบาะแสในที่สุดแล้วนั้น ความรู้สึกเสณ้าสลดระคนความดีใจที่ปรากฏบนใบหน้าของท่าน ก็ประหนึ่งว่าท่านซือจุนยังมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้ก็เป็นความรู้สึกที่เรามิอาจจะพรรณาให้ชัดเจนได้เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

          และหลังจากนั้น ท่านก็ได้อาศัยเหตุปัจจัยต่าง ๆมาปฏิบัติต่อทายาทของท่านซือจุนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อหลายปีก่อนอาวุโสจำนวนหนึ่งได้เข้าคารวะท่านเหล่าเฉียนเหริน เพื่อรายงานความคืบหน้าของงานธรรม ครั้งนั้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้เมตตาให้ทุกคน อยู่รับประทานอาหารกลางวัน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ท่านก็พูดทำนองเหมือนทราบว่าเหลือเวลาอีกไม่นาน ท่านได้เปรยถึงเรื่องทายาทของท่านซือจุนอยู่หลายครั้ง ซึ่งเหมือนกับกำลังบอกให้ทุกคน ต้องคอยดูแลทายาทของท่านซือจุนให้มาก ๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลมฤทัย และตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลของท่านซือจุน ณ แดนเบื้องบนนั่นเอง
       โอ้ ! อันจิตใจของอริยชนนั้น ก็ประภัสร์ดุจตะวันจันทราที่จะสาดแสงโดยไร้ความลำเอียง จนทุกแห่งหนล้วนเปล่งประกายด้วยบารมีคุณอันยิ่งใหญ่อย่างมิอาจอำพราง นับแต่อดีตเป็นต้นมา คุณธรรมด้านมหาภักดีและมหากตัญญูก้ประสานเป็นหนึ่งเดียวอย่างมิอาจแบ่งแยกเสมอมา ขุนนางผู้ภักดีล้วนเป็นบุตรกตัญญูแห่งบุพการี ผู้มีธรรมย่อมมีความรักความเมตตาอันไพศาลไร้ซึ่งคงามเห็นแก่ตัว สำหรับจิตใจของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่มีแต่มุ่งทดแทนคุณอยู่ทุกขณะเวลาเช่นนี้ ก็เพราะท่านได้ตระหนักเป็นอย่างดีว่า การปรกโปรดสามโลกไม่เคยมีปรากฏมาแต่อดีต ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายในปลายยุค ดังนั้น ผู้ทรงมหาเมตตา มหาปัญญา จึงพึงเร่งปฏิบัติซึ่งมหากตัญญู  ฉะนี้ ไม่เพียงจะสามารถฉุดช่วยบรรพชนลูกหลานของตนให้พ้นจากสังสารวัฏได้เท่านั้น หากยังสามารถโปรดพ่อแม่แห่งปวงชนได้อีกนับพันนับหมื่น ให้พ้นจากห้วงเหวได้อีกด้วย สำหรับเหตุปัจจัยอันแสนวิเศษในวาระนี้ก็เป็นวาระที่ประสบหาพบได้ยากยิ่ง ดังนั้นท่านจึงมุ่งเจริญมหาภักดี มหากตัญญู ด้วยจิตเมตตาแห่งพุทธาโดยแท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

         พระทีปังกรพระพุทธเจ้าตรัสว่า "เรามีมหาธรรม อินหยางอยู่ในกรหมื่นมณีเกิดกายา ดำรงอยู่คู่โลกาเป็นวัชระที่มิเสื่อมสลาย.....โดยเฉพาะกตัญญูเป็นต้นสายแห่งสรรพปฏิปทา ผองเราผู้บำเพ็ญ จึงถือกตัญญูเป็นสำคัญ และในความกตัญญูนี้ก็พึงรู้ซึ้งซึ่งความใหญ่ ความกว้าง ความหนัก และความไกล ผองเรานับแต่ได้แยกย้ายที่คิชกูฏบรรพตเป็นต้น ก็ลอยล่องวนเวียนอยู่ท่ามกลางสาคร เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เกิด ๆ ตาย ๆ ตาย ๆ เกิด ๆ กองกระดูกสุมกองดุจภูเขา นมมารดาที่ดูดดื่มก็ประดุจมหาสาครอันว่ายามอยู่ อันว่ายามวาย และอันว่าบรรพต ๗ ชั้น ลูกหลาน ๙ ชั้วคนนั้น ยังถือเป็นการกล่าวในขอบเขตที่ยังแคบยิ่งนัก แต่สำหรับพระโพธิสัตว์มาตรว่าจะเป็นเพียงแค่มดแมลง พระองค์ก็จะทรงถือว่าเคยได้เป็นบุพการีมาในชาติอดีต และก็จะทรงถือว่าเป็นพระพุทธาในอนาคตเบื้องหน้า
         ดังนั้นหากเป็นสัตว์โลกที่นอกเหนือจากขอบเขตของมดแมลงแล้ว ท่านคิดว่าิจิตใจแห่งพระโพธิสัตว์จะเป็นอย่างไร  และพึงทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการกตัญญูก็มีเพียงเจริญในพุทธมรรคเป็นเนืองนิจ ชั่วร้อยกัปพันชาติออกโปรดเวไนยสัตว์ทั้งทศทิศสามกาล เพื่อหนุนส่งปวงพระพุทธาให้บรรลุในมหาปณิธานตราบจนมรรคผลพูนพร้อมเพื่อให้โลกาได้แปรเปลี่ยนเป็นแดนบัวบานโดยมิได้กำจัดอยู่เพียงให้บุพการีในชาติหนึ่งชาติใดให้พ้นเวียนว่ายเท่านั้น หากคือบุพการีในทุกภพทุกชาติ และไม่เพียงแต่มิให้บุพการีของตนต้องหมุนวนจมปลักเท่านั้น หากคือ บุพการีแห่งผองชนอันไร้ขอบเขตได้ขึ้นสู่แดนวิมานจนหมดสิ้นอีกด้วย และหากเป็นฉะนี้ได้ จึงจะถือว่าเป็นความกตัญญูที่ใหญ่ กว้าง หนัก และไกล แล แต่หากลำพังถือการเลี้ยงดูด้านโภชนาอาภรณ์ในยามท่านอยู่ว่าเป็นกตัญญูแล้วไซร์ ความแตกต่างจะมีมากเป็นไฉน และสำหรับผู้ที่คิดว่าการสืบสายทายาทเป็นความกตัญญูนั้น ก็มิไยต้องกล่าวถึงอีกเลย
        ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะมีความแจ่มแจ้งในหลักธรรมอย่างสุขุม อีกยังตระหนักถึงภาระกิจที่ฟ้าทรงประทานให้เป็นสำคัญ ทั้งเห็นชัดว่าสรรพสิ่งที่ปรากฏบนโลกเหมือนภาพลวงตาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ มิอาจอยู่ยืนนาน ดังนั้นท่านจึงมุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ตั้งปณิธานและบรรลุในปณิธาน เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณและเจริญในความกตัญญูจนถึงที่สุดให้จงได้ สมดั่งพระโอวาทของพระแม่องค์ธรรมที่ตรัสว่า "บำเพ็ญธรรมจริงแท้ในโลกา ทั้งครัวเรือนสิริศรีสุดคณา ที่สุดได้เปรมปรีด์กลับเบื้องบนกันถ้วนหน้า"
        ดังนั้น ท่านจึงมักให้กำลังใจแก่ทุกคนว่าจะต้องมองให้ไกล ต้องบำเพ็ญจริง ปฏิบัติแท้ ต้องรักษาบุญวาระ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณฟ้าและพระคุณแห่งบุพการีให้จงได้ ทั้งนี้ ท่านยังปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่าง ท่านได้เปี่ยมล้นด้วยมหาปัญญา มหาวีระ มหาภักดี มหากตัญญู และได้ปฏิญาณว่า จะต้านภัยกู้โลก ไร้เริ่มไร้สุด เพื่อเป็นการฉุดช่วยชาวประชาให้หมดสิ้น ท่านเคยกล่าวว่า "พวกเธอต่างคิดจะกลับแต่เบื้องบน แต่เรากลับยังอยากจะลงมาบนโลกมนุษย์อีก ตราบจนได้ช่วยเวไนยสัตว์คนสุดท้ายจนสิ้นแล้ว เราจึงค่อยกลับขึ้นไป"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        ดังนั้นภายในชีวิตประจำวัน หรือภายในชั้นเรียนประชุมธรรม ท่านก็มักจะรณรงค์เรื่องกตัญญูอยู่เสมอ โดยท่านมักจะส่งเสริมให้ทุกคนเร่งเจริญกตัญญูต่อบิดามารดา อีกทั้งเร่งภาคเพียรในการปฏิบัติธรรม รีบรักษาโอกาสที่มีอยู่ เพื่อจะได้มิต้องมาเสียใจในภายภาคหน้า  สำหรับผลงานการประพันธ์ในตลอดชีวิตของท่าน ไม่ว่าจะเป็นคติพจน์ของผู้เฒ่าน้ำใส  เกร็ดบันทึกอวี่หลิน  ประชุมคติพจน์  คัมภีร์ร้อยกตัญญูของผู้เฒ่าน้ำใส ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ล้วนได้ยกกตัญญุตาธรรมเป็นที่ตั้งทั้งสิ้น และการที่ท่านได้เผยแผ่กตัญญุตาธรรม อบรมให้ผู้คนได้ตั้งตนอยู่ในกตัญญุตาธรรมเหล่านี้ โดยส่วนตัวท่านเองก็พากเพียรในกตัญญุตาธรรม และทุ่มเทชีวิตจิตใจต่อการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ออกฉุดช่วยเหล่าผู้มีบุญสัมพันธ์ เพื่อเจริญในมหากตัญญู มหาภักดี โดยในทุกห้วงชีวีล้วนตั้งมั้นอยู่อย่างนี้ด้วยใจอันพิศุทธิ์ และหมายมั่นปฏิบัติอย่างไม่เคยเหนื่อยหน่ายย่อท้อ ผู้ที่มีใจภักดิ์ที่ยิ่งใหญ่และผู้ที่ทรงความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่นั้นก็เป็นเฉกเช่นนี้แล
       สำหรับท่านพอที่จะรู้จักท่านเหล่าเฉียนเหรินก็จะรู้ว่า ท่านเหล่าเฉียนเหรินเป็นผู้ที่มีความจำเหนือคนธรรมดา ท่านมีความสามารถในทุก ๆ ด้าน หลายสิ่งหลายอย่างเพียงแค่ได้ผ่านสายตา ท่านก็สามารถจดจำและเข้าใจในความหมายได้อย่างแม่นยำ ฟังเพียงครั้งเดียว ก็ไม่สามารถลืมเลือนไปตลอดชีวิต ครั้นท่านได้ปฏิบัติในภาระกิจน้อยใหญ่ ก็ยิ่งมีความคล่องแคล่วแม่นยำ มีสติปัญญาเฉียบแหลมเหนือคนธรรมดา อีกยังมีทั้งพระเดชพระคุณอย่างพรักพร้อม จนเป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป ซึ่งในทุก ๆรายละเอียดก็ล้วนแสดงออกซึ่งอัจฉริยภาพแห่งการเป็นผู้นำโดยแท้ หลายคนล้วนรู้สึกชื่นชมในความสามารถเหล่านี้ของท่าน แต่ความสำเร็จในด้านการนำพาอาณาจักธรรมจนเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนนั้น ก็หาได้อยู่ที่อัจฉริยภาพของท่านแต่อย่างใดไม่ หากแต่อยู่ที่เกียรติภูมิศักดิ์ศรี อยู่ที่คุณธรรมบารมีอันยิ่งใหญ่ที่สามารถค้ำจุนดินฟ้านั่นต่างหาก
     นอกจากคุณธรรมอันงดงามด้านมหาภักดี มหากตัญญูที่ได้เอ่ยถึงในเบื้องต้นนี้แล้ว ในช่วงการทดสอบหลายสิบปีืัที่่ผ่านมา อันมหาปัญญามหาเมตตาที่ท่านได้แสดงออก อีกมหาบารมีที่เหล่าชนสามัญมิอาจจะทำได้ง่ายของท่านนั้น ก็เป็นประหนึ่งปฏิปทาที่ภักดีบริสุทธิ์ดุจตะวันจันทรา เกียรติศักดาคู่ฟ้าดินยืนยง ของท่านจอมเทพกวนอู ที่ได้บรรสานกลมกลืนคู้ฟ้าดิน เป็นสดมภ์ที่ค้ำชูอยู่ใต้นภา และเป็นชายชาติวีระที่ยืนสง่าอยู่ท่ามกลางกระแสธารแห่งกลียุคนี้นั้นเอง  อย่างเมื่อครั้งที่ท่านได้รับความเมตตาจนหายจากวัณโรคระยะ ๓ อีกยังสามารถแคล้วคลาดจากโจรผู้ร้าย ที่จะจับตัวท่านเรียกค่าไถ่ในอดีตนั้นก็ได้ทำให้ท่านทุ่มเทสุดใจเพื่อทดแทนพระคุณ ชำระปณิธาน อุทิศตนเพื่องานธรรม จิตใจหมายมั่นเพื่อช่วยชาวโลกเสมอมา ด้วยที่ว่าปฏิปทาสละเป็นสละ ด้วยปฏิปทาอันมุ่งมั่นที่ท่านได้ถือครองมาตลอดชีวิตของท่านเช่นนี้ ไหนเลยที่คนสามัญอย่างเราจะสามารถกระทำได้ หากมิใช่เพราะท่านมีรากบุญอันลุ่มลึก มีสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ มีกำลังใจอันกล้าแกร่งที่สามารถตระหนักดีถึงวาระการโปรด ๓ โลก อีกสามารถกระจ่างเข้าใจว่า "โลกีย์แสงสี คือ ภาพลวง พริบตาเลยล่วงเพียงหมอกควัน ร้อยปีผันผ่านเพียงภาพฝัน อวสานจบสิ้นแค่อนิจจัง" แล้ว ไหนเลยจะสามารถตัดวางและอุทิศเสียสละมาตลอดชีวิตของท่านถึงเพียงนี้ ด้วยเพราะประการนี้ เบื้องบนจึงทรงประทานการทดสอบอย่างใหญ่หลวง ด้วยเพราะท่านเป็นสดมภ์เอกนั่นเอง พึงรู้ว่า "ธรรมจริงสอบจริงยากเปลี่ยนแต่นานมา โหดร้ายมาทั้งสอบความรู้สึกวัดรากฐาน" ครั้นฟ้าจะประทานงานใหญ่ให้แก่ผู้ใด ก็จักต้องให้จิตใจได้เคี่ยวกรำ ร่างกายได้ทรมาน สังขารได้อดอยาก เนื้อตัวได้จนยาก และการกระทำได้ถูกก่อกวนเสียก่อน ฉะนั้นจึงต้องอดทนอดกลั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อนฉะนั้น นับแต่รับธรรมะเป็นต้นมา ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงต้องประสบกับมารผจญความทุกข์ยาก จนแทบจะไม่เคยว่างเว้นในตลอดชีวิตของท่าน แต่ก็ยังโชคดีที่ท่านมีมหาปัญญามหาวีระ ซึ่งท่านได้เข้าใจอยู่ก่อนแล้วว่า ฟ้าเบื้องบนทรงมหาเมตตามหาการุณย์ และทรงห่วงใยในทุกข์สุขของเวไนยสัตว์อยู่มิเลือน ดังคำที่ว่า "ที่กดเรานั้น ก็ด้วยเพราะจะให้เราได้เติบใหญ่ ที่ขวางเรานั้นก็ด้วยเพราะจะให้เราได้สำเร็จ ที่ร้ายต่อเรานั้น ก็ด้วยเพราะจะให้เราได้ดี ที่ให้ชีพสิ้นในครานั้น ก็ด้วยเพราะจะให้เราได้เกิดความนิรันดร์ จึงมิไยต้องกล่าวถึงพระโอวาท ที่พระอาจารย์เคยทรงเมตตาว่า "ฟ้าดับโชคเรา เราก็จะเจริญธรรมเพื่อให้โชคได้จำเริญ ฟ้าตัดบูญเรา เราก็จะสร้างสมคุณธรรมเพื่อให้บุญได้เข้าหา ฟ้าเคี่ยวกรำสถานะเรา เราก็จะบำเพ็ญจิตใจเพื่อให้ได้สำราญ กสิกรผู้ปรีชาจะไม่เลือกทำนาเพราะเหตุภัยแล้ง ส่วนบัณฑิตชนจะไม่ทำลายซึ่งเกียรติยศแห่งตนเพราะเหตุลำเค็ญ"
     

Tags: