collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมธาดาคู่โลกา : ปฏิปทาองค์สมเด็จพระกตธิการบรมอริยธรรมราชเจ้าผู้เฒ่าน้ำใส  (อ่าน 27514 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ใจภักดีกตัญญูของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่มีต่อพระแม่องค์ธรรม จู่ซือ ซือจุน ซือหมู่ นั้นในบทก่อน ๆ ก้ได้เกริ่นนำบ้างพอสมควร ซึ่งสำหรับมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งนั้น จักต้องมีบุคลิกภาพและทัศนะความคิดอันยิ่งใหญ่เป็นแน่ แม้นว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ  ก็ยังสามารถบำเพ็ญได้อย่างสุขุมคัมภีรภาพ โดยมิได้ปล่อยให้ห้วงคิดอันไม่ดีได้เล็ดรอดออกไปเลยแม้แต่น้อย  อีกยังสามารถดำรงเอกลักษณ์อันประเสริฐงดงาม จนได้เป็นแบบอย่างที่มั่นคงตราบนิรันดร์กาล และท่านเหล่าเฉียนเหรินของเราก้เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงขอยกตัวอย่างคุณธรรมของท่านเหล่าเฉียนเหริน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ใคร่ครวญศึกษา
       หลังจากเทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยนสร้างเสร็จ ทางด้านเรือนรับรองฝั่งซ้ายก็ได้ตกแต่งห้องพักรับรองไว้ให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินอย่างวิจิตร ซึ่งเป็นห้องชุดที่สามารถรับรองอาคันตุกะได้อย่างสบาย หลังจากที่ได้ทำพิธีเปิดสถานธรรมแล้ว อาวุโสก็ได้เชิญท่านเหล่าเฉียนเหรินเข้าพักที่นั่น แต่ใครจะทราบว่า ท่านไม่เพียงแต่มิได้ยินดีเท่านั้น หากท่านยังปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า "ในอดีต เมื่อครั้งที่ท่านซือจุน ซือหมู่ ยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังไม่เคยพักในที่สวยงามขนาดนี้เลย แล้วจะให้ศิษย์อย่างเราทำใจอยู่อย่างสุขสบายในที่นี้ได้อย่างไร"
      สำหรับใจที่เลิศด้วยคุณธรรม หาใช่สิ่งที่จะเข้าถึงได้ด้วยใจสามัญของคนธรรมดาเช่นเราได้ และนับแต่นั้นตราบจนตลอดอายุขัยของท่าน ทุกครั้งที่ท่านไปที่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน ก็หาได้เคยเข้าพักที่ห้องรับรองนั้นแม้แต่ครั้งเดียว ท่านจะพักอยู่แต่ในห้องพักที่ตบแต่งอย่างเรียบง่ายในตึกเทิดคุณเท่านั้น  ครั้นโฮว่เสวียทุก ๆ คนได้รับรู้เรื่องนี้ ก็ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้สึกละอายใจและซาบซึ้งใจเป็นล้นพ้น เพราะใจที่โลภในความสุขสบายอย่างพวกเรานั้น คงมิอาจจะบำเพ็ญให้สุขุมลุ่มลึกจนไร้มิจฉาดำริเล็ดลอดในห้วงความคิดเช่นท่านได้ และที่น่านับถือยิ่งอีกประการหนึ่งก็คือ มหาภักดีจิตของท่านที่มีต่อท่านซือจุนซือหมู่ก็มีความหนักแน่นดุจเขาไท่ซัน เที่ยงตรงดุจดาวเหนือ ที่มิอาจจะสั่นคลอนอย่างแน่นอน
      ท่านไม่เพียงแต่มีใจจงรักภักดีต่อท่านซือจุนซือหมู่เท่านั้น หากยังมีจิตใจที่ห่วงใยอาทรต่ออนุชนของท่านซือจุนอีกด้วย ในอดีต หลังจากท่านเหล่าเฉียนเหริน ได้ให้คนช่วยสืบข่าวทายาทของท่านซือจุนมาเป็นเวลานาน จนได้ทราบเบาะแสในที่สุดแล้วนั้น ความรู้สึกเสณ้าสลดระคนความดีใจที่ปรากฏบนใบหน้าของท่าน ก็ประหนึ่งว่าท่านซือจุนยังมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้ก็เป็นความรู้สึกที่เรามิอาจจะพรรณาให้ชัดเจนได้เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

          และหลังจากนั้น ท่านก็ได้อาศัยเหตุปัจจัยต่าง ๆมาปฏิบัติต่อทายาทของท่านซือจุนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อหลายปีก่อนอาวุโสจำนวนหนึ่งได้เข้าคารวะท่านเหล่าเฉียนเหริน เพื่อรายงานความคืบหน้าของงานธรรม ครั้งนั้น ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้เมตตาให้ทุกคน อยู่รับประทานอาหารกลางวัน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ท่านก็พูดทำนองเหมือนทราบว่าเหลือเวลาอีกไม่นาน ท่านได้เปรยถึงเรื่องทายาทของท่านซือจุนอยู่หลายครั้ง ซึ่งเหมือนกับกำลังบอกให้ทุกคน ต้องคอยดูแลทายาทของท่านซือจุนให้มาก ๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลมฤทัย และตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลของท่านซือจุน ณ แดนเบื้องบนนั่นเอง
       โอ้ ! อันจิตใจของอริยชนนั้น ก็ประภัสร์ดุจตะวันจันทราที่จะสาดแสงโดยไร้ความลำเอียง จนทุกแห่งหนล้วนเปล่งประกายด้วยบารมีคุณอันยิ่งใหญ่อย่างมิอาจอำพราง นับแต่อดีตเป็นต้นมา คุณธรรมด้านมหาภักดีและมหากตัญญูก้ประสานเป็นหนึ่งเดียวอย่างมิอาจแบ่งแยกเสมอมา ขุนนางผู้ภักดีล้วนเป็นบุตรกตัญญูแห่งบุพการี ผู้มีธรรมย่อมมีความรักความเมตตาอันไพศาลไร้ซึ่งคงามเห็นแก่ตัว สำหรับจิตใจของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่มีแต่มุ่งทดแทนคุณอยู่ทุกขณะเวลาเช่นนี้ ก็เพราะท่านได้ตระหนักเป็นอย่างดีว่า การปรกโปรดสามโลกไม่เคยมีปรากฏมาแต่อดีต ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายในปลายยุค ดังนั้น ผู้ทรงมหาเมตตา มหาปัญญา จึงพึงเร่งปฏิบัติซึ่งมหากตัญญู  ฉะนี้ ไม่เพียงจะสามารถฉุดช่วยบรรพชนลูกหลานของตนให้พ้นจากสังสารวัฏได้เท่านั้น หากยังสามารถโปรดพ่อแม่แห่งปวงชนได้อีกนับพันนับหมื่น ให้พ้นจากห้วงเหวได้อีกด้วย สำหรับเหตุปัจจัยอันแสนวิเศษในวาระนี้ก็เป็นวาระที่ประสบหาพบได้ยากยิ่ง ดังนั้นท่านจึงมุ่งเจริญมหาภักดี มหากตัญญู ด้วยจิตเมตตาแห่งพุทธาโดยแท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

         พระทีปังกรพระพุทธเจ้าตรัสว่า "เรามีมหาธรรม อินหยางอยู่ในกรหมื่นมณีเกิดกายา ดำรงอยู่คู่โลกาเป็นวัชระที่มิเสื่อมสลาย.....โดยเฉพาะกตัญญูเป็นต้นสายแห่งสรรพปฏิปทา ผองเราผู้บำเพ็ญ จึงถือกตัญญูเป็นสำคัญ และในความกตัญญูนี้ก็พึงรู้ซึ้งซึ่งความใหญ่ ความกว้าง ความหนัก และความไกล ผองเรานับแต่ได้แยกย้ายที่คิชกูฏบรรพตเป็นต้น ก็ลอยล่องวนเวียนอยู่ท่ามกลางสาคร เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เกิด ๆ ตาย ๆ ตาย ๆ เกิด ๆ กองกระดูกสุมกองดุจภูเขา นมมารดาที่ดูดดื่มก็ประดุจมหาสาครอันว่ายามอยู่ อันว่ายามวาย และอันว่าบรรพต ๗ ชั้น ลูกหลาน ๙ ชั้วคนนั้น ยังถือเป็นการกล่าวในขอบเขตที่ยังแคบยิ่งนัก แต่สำหรับพระโพธิสัตว์มาตรว่าจะเป็นเพียงแค่มดแมลง พระองค์ก็จะทรงถือว่าเคยได้เป็นบุพการีมาในชาติอดีต และก็จะทรงถือว่าเป็นพระพุทธาในอนาคตเบื้องหน้า
         ดังนั้นหากเป็นสัตว์โลกที่นอกเหนือจากขอบเขตของมดแมลงแล้ว ท่านคิดว่าิจิตใจแห่งพระโพธิสัตว์จะเป็นอย่างไร  และพึงทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการกตัญญูก็มีเพียงเจริญในพุทธมรรคเป็นเนืองนิจ ชั่วร้อยกัปพันชาติออกโปรดเวไนยสัตว์ทั้งทศทิศสามกาล เพื่อหนุนส่งปวงพระพุทธาให้บรรลุในมหาปณิธานตราบจนมรรคผลพูนพร้อมเพื่อให้โลกาได้แปรเปลี่ยนเป็นแดนบัวบานโดยมิได้กำจัดอยู่เพียงให้บุพการีในชาติหนึ่งชาติใดให้พ้นเวียนว่ายเท่านั้น หากคือบุพการีในทุกภพทุกชาติ และไม่เพียงแต่มิให้บุพการีของตนต้องหมุนวนจมปลักเท่านั้น หากคือ บุพการีแห่งผองชนอันไร้ขอบเขตได้ขึ้นสู่แดนวิมานจนหมดสิ้นอีกด้วย และหากเป็นฉะนี้ได้ จึงจะถือว่าเป็นความกตัญญูที่ใหญ่ กว้าง หนัก และไกล แล แต่หากลำพังถือการเลี้ยงดูด้านโภชนาอาภรณ์ในยามท่านอยู่ว่าเป็นกตัญญูแล้วไซร์ ความแตกต่างจะมีมากเป็นไฉน และสำหรับผู้ที่คิดว่าการสืบสายทายาทเป็นความกตัญญูนั้น ก็มิไยต้องกล่าวถึงอีกเลย
        ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะมีความแจ่มแจ้งในหลักธรรมอย่างสุขุม อีกยังตระหนักถึงภาระกิจที่ฟ้าทรงประทานให้เป็นสำคัญ ทั้งเห็นชัดว่าสรรพสิ่งที่ปรากฏบนโลกเหมือนภาพลวงตาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ มิอาจอยู่ยืนนาน ดังนั้นท่านจึงมุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ตั้งปณิธานและบรรลุในปณิธาน เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณและเจริญในความกตัญญูจนถึงที่สุดให้จงได้ สมดั่งพระโอวาทของพระแม่องค์ธรรมที่ตรัสว่า "บำเพ็ญธรรมจริงแท้ในโลกา ทั้งครัวเรือนสิริศรีสุดคณา ที่สุดได้เปรมปรีด์กลับเบื้องบนกันถ้วนหน้า"
        ดังนั้น ท่านจึงมักให้กำลังใจแก่ทุกคนว่าจะต้องมองให้ไกล ต้องบำเพ็ญจริง ปฏิบัติแท้ ต้องรักษาบุญวาระ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณฟ้าและพระคุณแห่งบุพการีให้จงได้ ทั้งนี้ ท่านยังปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่าง ท่านได้เปี่ยมล้นด้วยมหาปัญญา มหาวีระ มหาภักดี มหากตัญญู และได้ปฏิญาณว่า จะต้านภัยกู้โลก ไร้เริ่มไร้สุด เพื่อเป็นการฉุดช่วยชาวประชาให้หมดสิ้น ท่านเคยกล่าวว่า "พวกเธอต่างคิดจะกลับแต่เบื้องบน แต่เรากลับยังอยากจะลงมาบนโลกมนุษย์อีก ตราบจนได้ช่วยเวไนยสัตว์คนสุดท้ายจนสิ้นแล้ว เราจึงค่อยกลับขึ้นไป"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ดังนั้นภายในชีวิตประจำวัน หรือภายในชั้นเรียนประชุมธรรม ท่านก็มักจะรณรงค์เรื่องกตัญญูอยู่เสมอ โดยท่านมักจะส่งเสริมให้ทุกคนเร่งเจริญกตัญญูต่อบิดามารดา อีกทั้งเร่งภาคเพียรในการปฏิบัติธรรม รีบรักษาโอกาสที่มีอยู่ เพื่อจะได้มิต้องมาเสียใจในภายภาคหน้า  สำหรับผลงานการประพันธ์ในตลอดชีวิตของท่าน ไม่ว่าจะเป็นคติพจน์ของผู้เฒ่าน้ำใส  เกร็ดบันทึกอวี่หลิน  ประชุมคติพจน์  คัมภีร์ร้อยกตัญญูของผู้เฒ่าน้ำใส ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ล้วนได้ยกกตัญญุตาธรรมเป็นที่ตั้งทั้งสิ้น และการที่ท่านได้เผยแผ่กตัญญุตาธรรม อบรมให้ผู้คนได้ตั้งตนอยู่ในกตัญญุตาธรรมเหล่านี้ โดยส่วนตัวท่านเองก็พากเพียรในกตัญญุตาธรรม และทุ่มเทชีวิตจิตใจต่อการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ออกฉุดช่วยเหล่าผู้มีบุญสัมพันธ์ เพื่อเจริญในมหากตัญญู มหาภักดี โดยในทุกห้วงชีวีล้วนตั้งมั้นอยู่อย่างนี้ด้วยใจอันพิศุทธิ์ และหมายมั่นปฏิบัติอย่างไม่เคยเหนื่อยหน่ายย่อท้อ ผู้ที่มีใจภักดิ์ที่ยิ่งใหญ่และผู้ที่ทรงความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่นั้นก็เป็นเฉกเช่นนี้แล
       สำหรับท่านพอที่จะรู้จักท่านเหล่าเฉียนเหรินก็จะรู้ว่า ท่านเหล่าเฉียนเหรินเป็นผู้ที่มีความจำเหนือคนธรรมดา ท่านมีความสามารถในทุก ๆ ด้าน หลายสิ่งหลายอย่างเพียงแค่ได้ผ่านสายตา ท่านก็สามารถจดจำและเข้าใจในความหมายได้อย่างแม่นยำ ฟังเพียงครั้งเดียว ก็ไม่สามารถลืมเลือนไปตลอดชีวิต ครั้นท่านได้ปฏิบัติในภาระกิจน้อยใหญ่ ก็ยิ่งมีความคล่องแคล่วแม่นยำ มีสติปัญญาเฉียบแหลมเหนือคนธรรมดา อีกยังมีทั้งพระเดชพระคุณอย่างพรักพร้อม จนเป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป ซึ่งในทุก ๆรายละเอียดก็ล้วนแสดงออกซึ่งอัจฉริยภาพแห่งการเป็นผู้นำโดยแท้ หลายคนล้วนรู้สึกชื่นชมในความสามารถเหล่านี้ของท่าน แต่ความสำเร็จในด้านการนำพาอาณาจักธรรมจนเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนนั้น ก็หาได้อยู่ที่อัจฉริยภาพของท่านแต่อย่างใดไม่ หากแต่อยู่ที่เกียรติภูมิศักดิ์ศรี อยู่ที่คุณธรรมบารมีอันยิ่งใหญ่ที่สามารถค้ำจุนดินฟ้านั่นต่างหาก
     นอกจากคุณธรรมอันงดงามด้านมหาภักดี มหากตัญญูที่ได้เอ่ยถึงในเบื้องต้นนี้แล้ว ในช่วงการทดสอบหลายสิบปีืัที่่ผ่านมา อันมหาปัญญามหาเมตตาที่ท่านได้แสดงออก อีกมหาบารมีที่เหล่าชนสามัญมิอาจจะทำได้ง่ายของท่านนั้น ก็เป็นประหนึ่งปฏิปทาที่ภักดีบริสุทธิ์ดุจตะวันจันทรา เกียรติศักดาคู่ฟ้าดินยืนยง ของท่านจอมเทพกวนอู ที่ได้บรรสานกลมกลืนคู้ฟ้าดิน เป็นสดมภ์ที่ค้ำชูอยู่ใต้นภา และเป็นชายชาติวีระที่ยืนสง่าอยู่ท่ามกลางกระแสธารแห่งกลียุคนี้นั้นเอง  อย่างเมื่อครั้งที่ท่านได้รับความเมตตาจนหายจากวัณโรคระยะ ๓ อีกยังสามารถแคล้วคลาดจากโจรผู้ร้าย ที่จะจับตัวท่านเรียกค่าไถ่ในอดีตนั้นก็ได้ทำให้ท่านทุ่มเทสุดใจเพื่อทดแทนพระคุณ ชำระปณิธาน อุทิศตนเพื่องานธรรม จิตใจหมายมั่นเพื่อช่วยชาวโลกเสมอมา ด้วยที่ว่าปฏิปทาสละเป็นสละ ด้วยปฏิปทาอันมุ่งมั่นที่ท่านได้ถือครองมาตลอดชีวิตของท่านเช่นนี้ ไหนเลยที่คนสามัญอย่างเราจะสามารถกระทำได้ หากมิใช่เพราะท่านมีรากบุญอันลุ่มลึก มีสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ มีกำลังใจอันกล้าแกร่งที่สามารถตระหนักดีถึงวาระการโปรด ๓ โลก อีกสามารถกระจ่างเข้าใจว่า "โลกีย์แสงสี คือ ภาพลวง พริบตาเลยล่วงเพียงหมอกควัน ร้อยปีผันผ่านเพียงภาพฝัน อวสานจบสิ้นแค่อนิจจัง" แล้ว ไหนเลยจะสามารถตัดวางและอุทิศเสียสละมาตลอดชีวิตของท่านถึงเพียงนี้ ด้วยเพราะประการนี้ เบื้องบนจึงทรงประทานการทดสอบอย่างใหญ่หลวง ด้วยเพราะท่านเป็นสดมภ์เอกนั่นเอง พึงรู้ว่า "ธรรมจริงสอบจริงยากเปลี่ยนแต่นานมา โหดร้ายมาทั้งสอบความรู้สึกวัดรากฐาน" ครั้นฟ้าจะประทานงานใหญ่ให้แก่ผู้ใด ก็จักต้องให้จิตใจได้เคี่ยวกรำ ร่างกายได้ทรมาน สังขารได้อดอยาก เนื้อตัวได้จนยาก และการกระทำได้ถูกก่อกวนเสียก่อน ฉะนั้นจึงต้องอดทนอดกลั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อนฉะนั้น นับแต่รับธรรมะเป็นต้นมา ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงต้องประสบกับมารผจญความทุกข์ยาก จนแทบจะไม่เคยว่างเว้นในตลอดชีวิตของท่าน แต่ก็ยังโชคดีที่ท่านมีมหาปัญญามหาวีระ ซึ่งท่านได้เข้าใจอยู่ก่อนแล้วว่า ฟ้าเบื้องบนทรงมหาเมตตามหาการุณย์ และทรงห่วงใยในทุกข์สุขของเวไนยสัตว์อยู่มิเลือน ดังคำที่ว่า "ที่กดเรานั้น ก็ด้วยเพราะจะให้เราได้เติบใหญ่ ที่ขวางเรานั้นก็ด้วยเพราะจะให้เราได้สำเร็จ ที่ร้ายต่อเรานั้น ก็ด้วยเพราะจะให้เราได้ดี ที่ให้ชีพสิ้นในครานั้น ก็ด้วยเพราะจะให้เราได้เกิดความนิรันดร์ จึงมิไยต้องกล่าวถึงพระโอวาท ที่พระอาจารย์เคยทรงเมตตาว่า "ฟ้าดับโชคเรา เราก็จะเจริญธรรมเพื่อให้โชคได้จำเริญ ฟ้าตัดบูญเรา เราก็จะสร้างสมคุณธรรมเพื่อให้บุญได้เข้าหา ฟ้าเคี่ยวกรำสถานะเรา เราก็จะบำเพ็ญจิตใจเพื่อให้ได้สำราญ กสิกรผู้ปรีชาจะไม่เลือกทำนาเพราะเหตุภัยแล้ง ส่วนบัณฑิตชนจะไม่ทำลายซึ่งเกียรติยศแห่งตนเพราะเหตุลำเค็ญ"
     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ดังนั้น  ตลอดระยะเวลา ๖๐ ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ท่านจะมีมารผจญการทดสอบอย่างมากมายเพียงใด ท่านก็ยังสามารถคงความสง่ามิสั่นคลอนมาโดยตลอด และมิเคยสอบตกไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว หากแต่กลับยิ่งทุกข์ยิ่งแกร่ง ยิ่งยากยิ่งมีปัญญาอันเจิดจรัส อีกยิ่งสามารถเข้าใจในพระเจตนาแห่งฟ้าได้ดียิ่งขึ้น สำหรับมหาปัญญามหาคุณธรรม มหาเมธินมหาวีระ อย่างท่านนั้น พวกเราก็สามารถพิสูจน์และเข้าใจได้จากเหตุการณ์บางอย่าง โดยอาศัยสมุดอนุทินที่ท่านได้เขียนเอาไว้ดังต่อไปนี้
     ---ปี ๓๘ (ค.ศ.๑๙๔๙) วสันตฤดู แผ่นดินใหญ่ได้ถูกยึดครองไปจนหมดสิ้น ข่าวสารมิอาจติดต่อ ระบบปริวรรตเงินตราได้ถูกปรับเปลี่ยน ความเป็นอยู่ของทุกคนจึงประสบภาวะฝืดเคือง จนกระทั่งเดือน ๖ มีญาติธรรมมาจากอำเภอโต่วลิ่ว ชื่อหลี่ชิงเฮ่อ ข้าพเจ้าบอกกับเขาว่าจะไปฉุดช่วยคนที่นั่น ดังนั้นจึงขายบ้านที่ไทเปและไปซื้อบ้านหลังใหม่ที่โต่วลิ่ว จากนั้นได้เปิดเป็นสถานธรรม (ห้องถ่ายภาพชิงเหนียน) และทำการฉุดช่วยคนบุกเบิกเผยแพร่ธรรม แต่ในขณะที่ดำเนินกิจการไปอย่างราบรื่นนั้น  หลิวเฉวียนเสียง  ฉีอวี้ยง  หลี่อวี้หมิง  จางรุ่ยชิง  และ อวี้จวิ้นเต๋อ  ที่ไถหนันต่างประสบกับการทดสอบ ถูกตำรวจเรียกตัวไปสอบปากคำ และถูกส่งตัวไปยังสถานกักกันคนเร่ร่อนที่ไทเป  ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปถามไถ่เหตุการณ์ที่ไถนัน จากนั้นจึงเดินทางไปไทเปเพื่อหาทางแก้ไขแต่ก็ไร้ผลใด ๆ ซ้ำยังถูกจับกุมโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียอีก จนถูกขังเป็นเวลานาน ๓ เดือน จึงได้รับการปล่อยตัว พวกเขาต่างประสบต่อความทุกข์ลำเค็ญอย่างมิอาจบรรยาย ช่วงระหว่างที่ข้าพเจ้าอยู่ไทเป ดูจากเหตุการณ์แล้วความเป็นอยู่จะต้องอัตคัดขัดสนเป็นแน่ จำเป็นต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาปากท้องของทุกคน ดังนั้นจึงย้ายบ้านมาเปิดเป็นร้านค้าถงเต๋อโดยมีน้อง ๆ จำนวนหนึ่งช่วยกันดำเนินกิจการ แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้าเป็นคนใจร้อน อีกเนื่องด้วยเหน็ดเหนื่อยจนเกินกำลัง จึงได้ป่วยเป็นโรคกระบังลมอักเสบ อาการอยู่ในขั้นอันตราย ดังนั้นจึงกลับไปรักษาตัวที่ไถจง ผ่านไปหลายเดือน เพราะทุกคนต่างกราบขอพระแม่องค์ธรรมเมตตาเพิ่มอายุขัย อีกด้วยเพราะกราบขอท่านจอมเทพกวนอูเมตตา และพิมพ์คัมภีร์หมิงเซิ่งจิง อาการจึงทุเลาดีขึ้น
   ---ปี ๓๙ (ค.ศ. ๑๙๕๐)  ฉีอวี้ยง และน้อง ๆ ทั้งหลายที่ดำเนินกิจการร้านค้าถงเต๋อที่ไทเปเริ่มดีขึ้น ส่วนข้าพเจ้า  คุณนายเฉา  เฉินหงเจิน   เจ้าต้ากู ห่าวจิ้นเต๋อ  และเหล่าน้อง ๆ ที่ไถจงก็นวดแป้งทำบะหมี่ โดยส่วนหนึ่งก็ทำการหาเลี้ยงชีพ อีกส่วนหนึ่งก็ทำการเผยแพร่ธรรม ทุกคนต่างบากบั่นรวมใจอุทิศเผยแพร่ธรรม แต่ก็ด้วยภาษาที่มิอาจสื่อสาร จึงทำให้เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง ทุกหนทุกแห่งยังคงตกอยู่ในภาวะมารทดสอบ บุคลากรจึงขาดแคลนเป็นยิ่งนัก
   ---จนปีหมินกั๋วที่ ๔๐ (ค.ศ. ๑๙๕๑)  ก็ต้องประสบการทดสอบครั้งใหญอีก เนื่องจากงานธรรมที่โต่วลิ่วถูกคนใส่ร้าย จึงทำให้ ห่าวจิ้นเต๋อ  เฉินต้ากู  เจ้าต้ากู  คุณนายเฉา  หลิวเหยียนปิน  ต้องถูกทางการเรียกตัวและตัดสินจำคุกเป็นเวลา ๓ เดือน ในตอนนั้น ข้าพเจ้าออกไปทำธุระจึงมิได้ถูกจับกุม แต่เมื่อลองตรึกตรองดูแล้วหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คดีก็ยังจะค้างคาอยู่ ข้าพเจ้าจึงขอให้คนพาไปมอบตัว เรียกตัวเมื่อไหร่ก็ไปรายงานตัวเมื่อนั้น จากนั้น จึงให้คนมาประกันตัว  ดังนั้นจึงมิได้ถูกกุมขัง ผ่านไปอีกหลายเดือน เหตุการณ์คดีเก่าที่สถานีตำรวจที่ไถจงยังค้างอยู่ ข้าพเจ้าจึงถูกเรียกตัวและส่งตัวไปที่สำนักงานวินัยทหาร ถูกกุมขังอยู่ ๑๒ วันจึงถือได้ว่าชำระเสร็จสิ้น โดยข้าพเจ้าได้รู้อยู่ก่อนแล้วว่า "การทดสอบของเบื้องบนนั้นมิอาจหลีกเลี่ยง" ด้วยเหตุนี้งานธรรมจึงต้องชะงักงัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
    ---ปี  ๔๔  (ค.ศ.๑๙๕๕)  ได้ฉุดช่วยคุณลุง เจิงปิ่งเยวี๋ยน บุกเบิกอาณาจักรธรรมที่จงฮว่า ตราบจนปี ๔๕  ทั้งธุรกิจ และงานธรรมต่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น แต่มักมีการกล่าวกันว่า "เจริญจนที่สุดก็จักเสื่อม ดีจนที่สุดก็จักถอย" ดังนั้นในภายหลังจึงได้บังเกิดการทดสอบภายในขึ้นอีกมากมาย ปัญหาบุคคลในร้านค้าถงเต๋อได้ปะทุขึ้น อีกทั้งโรคเบาหวานของท่านซือหมู่ที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว ก็ทรุดหนักจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ในใจของข้าพเจ้าตอนนี้ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก ซ้ำยังมิอาจบอกกล่าวให้ใครทราบได้จนเวลาผ่านไปหนึ่งปี จึงนับว่าได้ผ่านพ้นไปด้วยดี
  ---ช่างคาดไม่ถึงว่าในปี ๕๓  (ค.ศ.๑๙๖๔) เดือน ๓ ท่านซือหมู่ต้องเจ็บป่วยเป็นโรคอัมพาตครึ่งซีก  (ต้านภัยให้ชาวโลก รับบาปแทนลูกศิษย์) เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดอย่างสุดบรรยาย มาตรว่า จะได้รับการรักษาทั้งแผนโบราณและแผลปัจจุบันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมิอาจหายเป็นปกติได้
  ---ปีที่ ๕๕  (ค.ศ.๑๙๖๖)  เดือน ๖  คุณห่าวสำเร็จธรรมเนื่องด้วยความเจ็บป่วย งานธรรมในแต่ละแห่งยังคงมีการทดสอบอยู่มิขาด อาการป่วยของท่านซือหมู่ก็ยังมิได้ทุเลา  มารทดสอบยังคงถั่งโถมไม่เคยขาด
  ---ปีที่ ๕๖  (ค.ศ.๑๙๖๗)  เดือน ๕ วันที่ ๑๔ หลิวเฉวียนเสียง ที่ไถหนัน ได้ถูกคนพาลฟ้องเอาผิดอีก จึงถูกทางสถานีตำรวจเรียกตัวไป ปัญหาเกิดขึ้นอีกแล้ว ตราบจนเดือน ๗ มารทดสอบของหลินเฉวียนเสียงจึงนับว่าสิ้นสุด แต่งานธรรมก็ต้องหยุดชะงัก งานธรรมในแต่ละแห่งล้วนมีอุปสรรคจากการทดสอบของทางการ
  ---ปีที่ ๕๗  (ค.ศ.๑๙๖๘)  เนื่องด้วยพระเมตตาของฟ้าเบื้องบน งานธรรมจึงเจริญรุ่งเรืองอย่างมากมาย ทุกคนต่างปลอดภัยสวัสดี แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้ามีความหนักอกกลุ้มใจมาเป็นเวลาหลายปี จึงทำให้เกิดเนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ขึ้น ดังนั้นจึงต้องทำการผ่าตัดเมื่อปี ๕๖ เดือน ๑๑ และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงพูดจาได้ ตราบจนปีที่ ๕๗ เดือน ๖ หลังจากได้รับการรักษาเป็นเวลานาน จากหลายสถานที่ อีกด้วยเพราะทุกคนได้ช่วยกราบวิงวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา แม้นว่าจะยังไม่หายเป็นปกติ แต่ก็พอจะมีเสียงพูดจาได้บ้าง มาตรว่างานธรรมในแต่ละแห่งจะมีมารทดสอบ แต่ก็ด้วยความศรัทธาของทุก ๆ คน ทั้งหมดจึงผ่านพ้นไปด้วยดี    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2/12/2553, 10:28 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
   ---คาดไม่ถึงว่าในปี  ๕๘  (ค.ศ.๑๙๖๙) มารทดสอบได้เกิดขึ้นในแต่ละแห่งอีก โดยได้ประทุอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ๔ จนถึงเดือน ๗ ในเดือน ๗ ขึ้น ๗ ค่ำ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เรียกตัวข้าพเจ้าไปพูดคุย ข้าพเจ้าจึงถูกกุมขังที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเวลา ๗ วัน และบอกข้าพเจ้าให้ลงนามในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าจะไม่เผยแพร่ธรรมอีก หลังจากกลับจากไทเป ข้าพเจ้าได้กล่าวได้ความสะท้อนใจว่า
      ""ข้ามสมุทรรุดไต้หวัน  ๒๑ ปี    
        เผยวจีแทนเบื้องฟ้าฉุดผู้คน
        พระคุณฟ้าปณิธานยังมิแทนคุณ
        ต้องกำสรดถูกจองจำอยู่ ๗ วัน ""

    นานาการทดสอบที่ถั่งโถมไม่หยุด การบีบคั้นจากทั้งภายในและภายนอก ก็ทำให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินที่มาอยู่ไต้หวันได้เพียง ๒๐ ปีต้องประสบต่อความขมขื่นอย่างเหลือคณา แต่ก็เนื่องด้วยมหาบารมีธรรมอันยิ่งใหญ่ ปัญญาญาณอันเฉียบคมของท่านเหล่าเฉียนเหริน จึงยังทำให้ท่านมั่นคงมิหวั่นไหว ไม่ตัดพ้อท้อถอย ไม่ถือสาหาโทษ หากแต่ยังมีจิตใจที่โอบอ้อมอันยิ่งใหญ่ มีกำลังใจอันกล้าแกร่ง ไปเผชิญกับปัญหาการทดสอบอย่างมิย่อท้อ และที่ประเสริฐที่สุดนั่นก็คือ ท่านจะไม่มีคำบ่นโทษแต่ประการใด จะมีก็แต่เพียงละอายใจที่ไร้บารมีจนไม่อาจนำพาได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นในการทดสอบที่กระหน่ำซ้ำเติมเมื่อปีที่ ๖๙ ท่านเหล่าเฉียนเหรินนอกจากจะสงบนิ่งเหมือนเช่นที่ผ่านมา ท่านยังตำหนิติโทษตนย้อนสำรวจพิจารณาตน พร้อมทั้งได้เขียนเป็นบันทึกดังต่อไปนี้ว่า ""ธรรมมีอำพราง มีปรากฏ นี่คือลิขิตแห่งฟ้า การบำเพ็ญก็จักต้องมีมารทดสอบ เหตุเพราะคนเรายังปฏิบัติไม่ดีพอ"  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยทรงเมตตาไว้ว่า ""นรปัญญายากชนะฟ้าเบื้องบน มารทดสอบนั้นแยบยลสุดคณา"" พระแม่องค์ธรรมได้ทรงเมตตาว่า
           " หากบำเพ็ญอนุตตรธรรมไร้มารสอบ  
       พวกขี้ยาคณิกาหอบกลับวิมาน"
           " ถูกทดสอบแท้นั้นคือรากบุญใหญ่
       ขัดถูไถให้พุทธญาณจรัสแสง "
            " มิใช่เขาถูกติเพราะบาปใหญ่
       รากบุญไร้ไยได้นั่งพันกลีบบัวอาสน์ "
    ฉะนั้น  หากไร้มารก็มิอาจเป็นพุทธะ หากไร้สอบก็มิอาจได้เป็นสัตบุรุษ ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องเคี่ยวหลอมตอกทุบ จนที่สุดได้เป็นเหล็กแกร่งที่สามารถแบกคลอนงานใหญ่แห่งฟ้าเบื้องบนได้ และภายใต้การตรากตรำฝึกฝนจากนานาการทดสอบของท่านเหล่าเฉียนเหรินนั้น ก็ทำให้ท่านได้เป็นเสาเอกแห่งดินฟ้า ที่ได้จรัสแสงปัญญาอันเรืองโรจน์  จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ด้วยความบังเอิญ ครั้งหนึ่งที่ท่านได้เมตตากับทุกคนท่านได้ถามกับทุก ๆ คนว่า "พวกเธอทราบไหม เหตุใดเมื่อสมัยต้น ๆ ที่มาไต้หวันจึงมีการสอบสาหัสจากทางการ อนุตตรธรรมของเราต้องถูกปิดกั้นไปหลายที่ แม้แต่ฉันเองยังถูกจับไปขังคุก จนต้องทำให้งานธรรมต้องชะงักงันถึงสิบกว่าปี" ในตอนนั้นทุกคนต่างอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงเมตตาต่อพวกเราด้วยรอยยิ้มว่า"นั่นก็เพราะเบื้องบนทรงประสงค์คุ้มครองคนดีอย่างพวกเรา ให้คนไม่ดีได้หวาดผวาจนการถูกจับกุมของตำรวจจนไม่กล้าเข้ามา อีกทั้งยังเป็นการทดสอบดูกำลังใจ คัดเลือกเมธีปราชญ์ สอบเฟ้นบุคลากร เพื่อให้เป็นแรงผลักดันงามธรรมให้รุ่งเรืองในภายหน้าสืบไป" ครั้นโฮ่วเสวียทุกคนได้ฟังจึงหูตาสว่าง อีกยังรู้สึกเลื่อมใสในสติปัญญาอันเหนือคนธรรมดาของท่านเหล่าเฉียนเหริน ที่สามารถเข้าถึงเจตนาแห่งฟ้าได้ถึงเพียงนี้ ซึ่งคำเมตตาของท่านนี้ ก็ได้ฝังจำอยู่ในหัวใจของโฮ่วเสวียอย่างมิอาจลืมเลือน  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2/12/2553, 10:34 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      อันผู้ที่เปี่ยมด้วยมหาภักดี มหากตัญญู มหาปัญญา มหาวีระนั้น จักต้องเป็นผู้ที่มีความโอบอ้อมอารีย์และจริงใจต่อผู้คนเป็นแน่ นั่นก็เพราะยามที่คนเราได้หล่อหลอมชีวิตจนถึงระดับหนึ่งแล้ว คุณธรรมที่พวกเขาได้แสดงออกย่อมต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหตุเพราะความจริงแท้แห่งชีวิตที่ได้เผยปรากฏออกมาอย่างธรรมชาตินั้น ก็จักต้องเป็นการปรากฏออกมาจากโฉมเดิมแห่งจิตใจ อันเป็นความบริสุทธิ์จากภายในที่เป็นรากแก้วแห่งชีวิต แต่ในทางตรงกันข้าม หากคนเรายังมิอาจหล่อหลอมชีวิตจนถึงขั้นคัมภีรภาพแล้ว เขาก็มิอาจปฏิบัติซึ่งคุณธรรมนั้นออกมาได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มิอาจเสแสร้งปรุงแต่งได้อย่างแน่นอน
     สำหรับบารมีธรรมอันยิ่งใหญ่ของท่าน ความโอบอ้อมอารีของท่านเราก็สามารถทำความรู้จักจากจริยวัตรของท่านได้ในต่อไปนี้  โดยก่อนอื่น คุณธรรมที่มีต่องฟ้าอันน่านับถือเป็นที่ยิ่งของท่านก็คือ "สัจจะ" ซึ่งในบทก่อน ๆ ได้กล่าวถึงตอนที่พระอาจารย์ได้ช่วยท่านเหล่าเฉียนเหริน พระอาจารย์ทรงเมตตาว่า "หากเจ้าทำงานแทนฟ้า โรคภัยเพียงแค่นี้จะนับประสาอะไรได้ ชีวิตของเจ้า สิทธิ์ขาดอยู่ที่ฟ้าเบื้องบนแม้ตายก็ยังชุบชีวิตให้ฟื้นคืนได้" และครั้นท่านเหล่าเฉียนเหรินได้สดับก็แอบตั้งปณิธานภานในใจว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะขออุทิศจิตใจทั้งหมดถวายแก่ฟ้า สำหรับจุดนี้ หากใครไม่มีจริยวัตรอันสุขุมลุ่มลึก อีกความศรัทธาอันกล้าแกร่งแล้ว โดยมากก็มักจะผิดวาจาตระบัดสัตย์ สำหรับคนที่พอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง ก็ยังน้อยนักที่จะไม่ยกยอในความสามารถของตน ดังนั้น สำหรับบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ต่อสัญญา ก็ถือได้ว่าเป็นวิญญูชนแล้ว แต่ท่านเหล่าเฉียนเหรินไม่เพียงแต่ไม่อวดความรู้ความสามารถของตนเท่านั้น ท่านยังวิริยะบากบั่น ประคองมั่นในธรรมา โดยไม่เคยหยุดเว้นนับแต่ได้เริ่มศรัทธาเป็นต้นมา สำหรับคุณธรรมอันไพสิฐที่มีต่อฟ้า ต่อผองประชา และต่อตนเองของท่านเช่นนี้ ก็ถือได้ว่าขยายขอบเขตของคุณธรรมด้าน"สัจจะ" จนถึงขั้นปริโยสานอย่างมิมีใครเหมือน ซึ่งหากมิใช่เพราะท่านมีคุณธรรมอันสุขุมแล้ว ไยท่านจึงสามารถปฏิบัติได้อย่างงดงามถึงเพียงนี้ได้
     หากเราลองถามตนเองว่า ในตลอดชีวิตของเราได้มีการปฏิบัติต่อวาจาที่ได้ลั่นไว้โดยไม่เสียคำพูดได้สักกี่ข้อ ฉะนั้น สำหรับจริยาของท่านประการนี้ ก็ทำให้อดนึกถึงปราชญ์ จี้จ๋า แห่งเมืองอู๋ในสมันชุนชิว ที่ได้ทูลถวายกระบี่คู่กายแต่ประมุขเมืองสวี อันเป็นแบบอย่างที่น่าสรรเสริญตราบจนปัจจุบันนี้เสียมิได้ และสำหรับจริยวัตรข้อใหญ่ของท่านยังเป็นเช่นนี้ แล้วสำหรับจริยวัตรข้อปลีกย่อยของท่าน ก็มิไยต้องเกรงว่าจะไร้ธรรมะอีกเลย ดังนั้นในตลอดชีวิตของท่าน หากท่านได้ลั่นวาจา ท่านต้องจักปฏิบัติตามสัญญาอย่างแน่นอน อาวุโสที่อยู่เคียงข้างท่านมักจะกล่าวเช่นนี้อยู่เสมอว่า "พวกท่านวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ขอเพียงท่านได้รับปากแล้ว ท่านจะไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาด"  ขอเพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อหมู่ชน ท่านก็จะต้องนำพาและพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถแน่นอน หากระหว่างฟ้ากับคน ระหว่างคนกับคนต่างสามารถเป็นเช่นนี้ได้ภัยพิบัติของมวลมนุษย์ก็จักลดน้อยลง จนถึงขีดต่ำสุด โดยที่ความอภิรมย์สมานสุขก็จักเพิ่มพูนจนถึงขีดสูงสุดเป็นแน่

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”