collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (วิเคราะห์ปริศนาธรรมจากมหากาพย์ไซอิ๋ว)  (อ่าน 21974 ครั้ง)

ออฟไลน์ nakdham

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 485
บทที่ ๒ กตัญญูกตเวทิตา สนับสนุนให้ได้โพธิปัญญา


เทพเจ้าประจำดวงดาวไทเป็กแชกุน ได้ปรากฎกายในร่างของตาเฒ่า มาช่วยพระถังไห้รอดพ้นจากความตาย แล้วสั่งว่า "ถ้าท่านจะไปไซที จำต้องไม่ปริปากบ่นถึงความทุกข์ยาก ด้วยการทำอย่างนี้ ท่านจะได้สานุศิษย์ผู้มีฤทธิ์ นำทางไปถึงจุดหมายได้ "

พระถังซัมจั๋งเดินทางต่อไปแต่ผู้เดียวในป่าใหญ่ อันเต็มไปด้วยภูตผีและสัตว์ร้าย วันหนึ่งพระถังได้ถูกเสือและงูร้ายล้อมหน้าล้อมหลังจนใจสั่นระรัว ถ้ามิได้นายพรานป่าชื่อเล่าเป็กกิมมาช่วย ก็น่าที่พระถังจะสิ้นชีวิต เล่าเป็กกิมพรานป่าผู้กตัญญูต่อมารดา นิมนต์พระถังไปที่บ้านแล้วตามไปส่งพระถังที่ภูเขาโง้วเห้งซัว คือภูเขาห้ายอดที่พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วครอบทับซีเทียนไต้เซีย(ซึงหงอคง)ไว้ และสาปสั่งจนกว่าพระถังซัมจั๋งจะมาปลดปล่อย เอาไปเป็นสานุศิษย์ ไปสืบพระไตรปิฎกยังไซที

พระถังขอร้องให้เล่าเป็กกิม ไปส่งจนพ้นเขตภูเขาโง้วเห้งซัว แต่พรานกตัญญูต่อมารดาปฏิเสธ อ้างว่า " พ้นเขตภูเขานั้นแล้ว บรรดาเนื้อสิงสาราสัตว์ มิได้อยู่ในอำนาจของข้าพเจ้าแล้ว "

ขณะนั้นเอง ทั้งสองได้ยินเสียงร้องทักดังก้องฟ้าของซีเทียนไต้ซือ

" อาจารย์... ทำไมช้านักเล่า ? "

เล่าเป็กกิมเป็นคนกล้า เดินรี่เข้าไปที่ที่มาของเสียง เห็นซีเทียนไต้ซือ ถูกภูเขาทับอยู่ก็เข้าไปถามความ ครั้นรู้เรื่องกันแล้ว ก็ช่วยเอานิ้วแคะขี้ตะไคร่น้ำที่ขึ้นในหูของซีเทียน เนื่องจากถูกภูเขาครอบอยู่นานนับร้อย ๆ ปี

ซีเทียนก็ขอให้พระถังขึ้นไปปลดแผ่นยันต์มีอักขระ ๖ พยางค์ ออกจากยอดภูเขา อักขระ ๖ คำนั้นว่า " โอม มณีปัทเม ฮูม "

ครั้นแล้วซีเทียนก็แผลงฤทธิ์เสียงดังสนั่น ดีดสลัดตัวหลุดออกมาจากภูเขา มาหมอบไหว้พระถังซัมจั๋ง อาจารย์ก็ได้สานุศิษย์เอกคู่หูแต่ครั้งนั้น

เล่าเป็กกิมพรานกตัญญูก็ลากลับไป

ซีเทียนเอาตะบองยู่อี่ที่เสียบไว้ในรูหูออกมาทุบเสือตัวหนึ่งตาย แล้วถลกหนังเสือเอามานุ่งห่ม เป็นอันว่าซีเทียนได้บวชครั้งแรก พระถังตั้งชื่อใหม่ให้ว่า "ซึงเห้งเจีย'

ศิษย์จูงม้าให้อาจารย์นั่ง บ่ายหน้าเดินดุ่ม ๆ ไปในป่าใหญ่ มุ่งสู่ทิศปราจีน....



นาม : พระถังรอดจากปีศาจกิเลสมูลอย่างไรครับ ?

โหงว : เจ้าไม่ตั้งใจฟังเราเล่าเลยจริง ๆ ก็ไทเป็กแชกุนกล่าวว่าอย่างไรเล่า ?

นาม : จงทนอย่าได้บ่น แล้วจะได้ศิษย์มีฤทธิ์มาก แล้วศิษย์นั้นจะช่วย

โหงว : นั่นแหละ จงทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ไม่ยอมที่จะทำตามอำนาจของกิเลส แล้วจะพ้นจากหล่มได้เอง

รูป : เอ๊ะ ท่านครับ ถ้าพ้นจากหล่มของกิเลสมูล ๓ พระถังก็เป็นพระอรหันต์แล้วซีครับ

โหงว : นี่เธอ เราเตือนกี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่พระถังซัมจั๋งที่ใหนนะ แต่ชีวิตช่วงที่ศรัทธาขันติยังต้องล้มลุกคลุกคลาน และปีศาจกิเลสมูลมิได้ถูกฆ่าตายนี่ เพราะพระถังยังไม่ได้ศิษย์(เห้งเจีย -ปัญญา) ปีศาจมันหลบหายไปเท่านั้น แล้วมันจะมาใหม่ในรูปของปีศาจอีกหลายร้อยหลายแสนทีเดียว

รูป : เอ อยู่ดี ๆ กิเลสมูลหายไปเฉย ๆ ได้หรือครับ ในชีวิตกิเลสมันดองสันดานอยู่นี่

โหงว : อย่าสู่รู้น่า ... จงดูเข้าไปในใจ เจ้าจะพบว่า แม้สิ่งที่เรียกว่ากิเลสมูลก็หามีอยู่จริงไม่ ปีศาจทั้ง ๓ มันเป็นมายา เข้ามาเพื่อให้รู้จัก และให้เห้งเจียฆ่ามันเสีย มันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลาดอก

รูป : เล่าเป็กกิม ซีเทียนไต้เซีย เล่าครับ ?

โหงว : เล่าเป็กกิม คือ ความกตัญญูที่ไปเขี่ยตระไคร่ในหูของซีเทียน ก็คือกตัญญูกตเวทิตาคุณนั้น จะเป็นธรรมเครื่องสนับสนุนให้ ได้โพธิปัญญา เราจึงอุปมาด้วยกตัญญู เขี่ยแคะหูให้ปัญญาที่ถูกครอบงำอยู่ในชีวิต

รูป : ทำไมถึงเขต ภูเขาโง้วเห้งซัวแล้ว บรรดาเนื้อเสือจึงไม่อยู่ในอำนาจพรานกตัญญูเล่าเป็กกิม ?

โหงว : การละกิเลสในเขตนั้น เป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่กตัญญู

รูป : พระเซ็กเกียมองนีฮุดโจ๊ว ครอบซีเทียนด้วยภูเขา ๕ ยอดเล่าหมายความว่าอย่างไร ?

โหงว : เจ้าจงย้อนไปดูบทซึงหงอคง แต่เราสรุปย่อให้ฟังว่า ปัญญาสามัญนั้นถูกอุปาทานขันธ์ ๕ ครอบงำอยู่นานนัก จนกว่า...

นาม : จนกว่าขันติจะถูกกตัญญูส่งมาถึง

โหงว : อย่าสู่รู้น่า... จนกว่าจะแกะอักขระ ๖ พยางค์ คือ "โอม มณี ปัทเม ฮูม" ออกได้ เมื่อนั้นแหละ ปัญญาจึงจะเป็นอิสระและ จะนำชีวิตไปสู่นิพพาน

รูป : แกะอักขระ ๖ พยางค์ ออกหมายความว่าอย่างไร ?

โหงว : "แกะ" หมายความว่า เข้าใจอรรถซึมซาบในบทภาวนานี้ คือ "โอม มณี ปัทเม ฮูม" แปลว่า "ขอนอบน้อมแด่ดวงมณีในดอกปทุม " คือ ความประเสริฐแห่งใจ

รูป : ท่านครับ เห้งเจียทุบเสือถลกหนังมานุ่งหมายถึงการบวช ปัญญาบวชได้อย่างไรกันครับ ?

โหงว : เห้งเจีย(ปัญญา) ห่มหนังเสือ นั่นหมายถึงปัญญาที่เริ่มน้อมไปสู่เนกขัมม์เท่านั้น ส่วนการบวชจริง ๆ ของปัญญาคือ การสวมมงคล ๓ วงของพระยูไล

รูป : มงคล ๓ วง ?

โหงว : มงคล ๓ วง คือ ไตรลักษณ์ ที่นำมา " ครอบหัว " ปัญญาเข้าแล้ว นั่นคือ การบวชแท้

รูป : ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ครับ

โหงว : อยากเข้าใจก็จงเงี่ยหูฟัง เราจะเล่าในตอนต่อไป


(...จบบทที่ ๒ โปรดติดตามตอนต่อไป...)


**คัดจาก"เดินทางไกลกับไซอิ๋ว โดย "เขมานันทะ" หน้า๕ - ๙)

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 1,533
บทที่ ๓ : อินทรีย์ ๖ ดุจโจร ๖ คน


          อาจารย์ชวนศิษย์คนโปรด รอนแรมกันมาในท่ามกลางฤดูหนาว และอย่างไม่ทันคาดคิดโจร ๖ คน ได้จู่โจมเข้ามาขวางหน้า ร้องตวาดขู่ว่าจะปล้นทรัพย์และชีวิต พระถังตกใจกลัวจนตัวสั่น เห้งเจียกรากเข้าประจันหน้า ร้องถามชื่อแซ่กันขึ้นนายโจรร้องบอกชื่อดังนี้

โจรคนแรก :

ชื่องั้นขันชี้นะเจ้า.........ตาเห็นรูปใจเร้า
รุ่มร้อน ตัณหา ...........แลนา

โจรคนที่สอง :

ยี่เทียล้อหน้ากริ้ว..........หูยินเสียงใจสะยิ้ว
รุ่มร้อน ตัณหา .............แลนา

โจรคนที่สาม :

ภิชืออ้ายหน้าแปร้.........จมูกได้กลิ่นใจแพ้
รุ่มร้อน ตัณหา.............แลนา

โจรคนที่สี่ :

จิสองซื้อคือลิ้น...........ลิ้มรสแล้วใจดิ้น
รุ่มร้อน ตัณหา............แลนา

โจรคนที่ห้า :

ซิ้นปุ๊มอิ๋วที่ห้า.............สัมผัสผิวใจบ้า
รุ่มร้อน ตัณหา............แลนา

โจรคนที่หก :

อี่เกี้ยนออกหัวหน้า.......ใจรู้คิดพะว้า
รุ่มร้อน ตัณหา.............แลนา


เห้งเจียได้ยินชื่อแล้วหัวเราะก๊ากใหญ่ ร้องขึ้นว่า
"อ้ายพวกลูกหลานข้า เจ้าพวกขนหน้าแข้งของปู่ ถ้าพวกเจ้าทั้งหก ปล้นอะไรมาแล้ว ให้เรามีส่วนแบ่งด้วย ปู่ก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า "

นายโจรทั้งหก เป็นเดือดเป็นแค้นในคำสบประมาท......
โธ่อ้ายลิงหาเรื่องตาย

          ทั้งหกรุมเข้ารบเห้งเจีย เห้งเจียจึงตีตายหมด ฝ่ายพระถังเห็นศิษย์โหดร้ายก็ตำหนิ เห้งเจียก็เถียงว่า ขืนไม่ตีมัน มันก็จะตีอาจารย์ตายเท่านั้น

          ศิษย์และอาจารย์โต้เถียงด่าทอกันรุนแรง พระถังเดือดดาลขึ้น จึงออกปากขับไล่ไม่ให้ร่วมทางไปไซที เห้งเจียก็น้อยใจ จึงทิ้งอาจารย์เสีย แล้วเหาะลิ่วไปซดน้ำชากับพญาเล่งอ๋องที่ใต้บาดาล




โหงว :  เป็นไง ?

รูป :  แหมสนุกจริงๆ ครับ เห้งเจียเป็นลิง ทำไมจึงแต่งให้เก่ง ขนาดโจร ๖ คนสู้ไม่ได้

นาม :  แกลืมไปอีกแล้วซีน่า

โหงว :  โจร ๖ คน คือ ผัสสะ ๖( ตาเห็นรูป จักษุวิญญาณเกิด ฯลฯ อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา )

นาม :  วิญญาณ ๖ ที่เกิดในขณะแห่งการกระทบของอายตนะ ๖ กับ อารมณ์ ๖ นั้นคือธาตุรู้ นั้นคือธาตุรู้(วิญญาณธาตุ) ซึ่งเป็น "ขนหน้าแข้ง" ของโพธิจิต

รูป :  แท้จริง ธาตุรู้(วิญญาณธาตุ) ที่เกิดจากการกระทบทั้งหกทางนั้นมีสองชนิด ชนิดแรกคืออวิชชาสัมผัส นี้จำเป็นต้อง "ฆ่า" เสีย เอาไว้ไม่ได้ ขืนเอาไว้มันจะฆ่าพระถัง คือ ชีวิตทางธรรมจะถูกฆ่า อีกชนิดหนึ่งคือ ปฏิฆสัมผัส หรือ วิชชาสัมผัส การกระทบที่สักว่ากระทบ หรือ มีการเห็นตามอาการที่เป็นจริงของการกระทบ แล้วไม่ปรุงแต่งเป็นตัณหา เช่นนี้ย่อมให้มีการกระทบได้ การกระทบทางอายตนะนั้นดุจโจรปล้น ถ้าให้ปัญญามีส่วนในการกระทบทุกๆ ครั้งการกระทบนั้นกลับเป็นความรู้

นาม :  จึงอุปมาว่า เห้งเจีย(ปัญญา) จะไว้ชีวิต ถ้าปล้นแล้วมาแบ่งให้ตนด้วย

โหงว :  ใช่แล้ว

รูป :  ก็แล้วทำไม พระถังจึงไม่เข้าใจละครับ เห้งเจียนั้นฉลาดออก

โหงว :  นี่เธอ ขอเตือนว่าไม่มีพระถังหรือลิง พระถังคือศรัทธา ขันติ สัจจะอธิษฐานซึ่งภูมิธรรมเหล่านี้ ยังลงร่องรอยกันไม่ได้กับปัญญา

นาม :  จึงอุปมาว่า ทะเลาะกันดังลั่นไปทั้งป่า

รูป :  แล้วไง แต่งให้เห้งเจียดันเหาะลิ่วไปซดน้ำชากับพญาเล่งอ๋อง ถึงบาดาลเชียว

นาม :  เอ ?
โหงว :  เมื่อมีแต่ศรัทธา ขันตินำหน้า ปัญญาก็กบดานเสียเท่านั้น ขันติหรือศรัทธามันไม่ค่อยชอบใช้ปัญญาดอกเธอ

นาม :  จริง.....หรือแกว่าไง

รูป :  อาจารย์เล่าต่อดีกว่าครับ ว่าพระถังทำอย่างไร จึงให้ปัญญามาเป็นคนจูงม้าไปไซทีได้อีก

โหงว :  อย่ากลัวเลยเธอ ว่าแต่เห้งเจียของเธอเอง ลงไปซดน้ำชาอยู่ใหนน่ะ ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 5/07/2555, 10:58 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 1,533
บทที่ ๔ : การบวชที่แท้

          พระถังซัมจั๋งคอตก เดินจูงม้าไปในป่าใหญ่แต่ลำพัง แสนว้าเหว่ เดินมาครู่หนึ่งพบพระโพธิสัตว์กวนอิมแปลงมาเป็นแม่เฒ่า ได้สนทนาปราศรัยรู้ความกันแล้ว แม่เฒ่ากล่าวว่าจะไปไซทีโดยไม่มีเห้งเจียนั้น ย่อมไปไม่ถึงโดยแน่นอน แม่เฒ่ารับว่าจะช่วยไปตามเห้งเจียให้ นางได้มอบเสื้อและห่วงมงคลสวมหัว พร้อมทั้งมนต์สะกดหัวใจไว้ปราบเห้งเจียในเวลาดื้อหรือดุร้าย

          กล่าวฝ่ายเห้งเจีย นั่งซดน้ำชาอยู่กับพญาเล่งอ๋อง พญาเล่งอ๋องได้เตือนสติให้รำลึกถึงมรรคผล เห้งเจียจึงเหาะย้อนกลับมาหาพระถัง พระถังก็ให้เห้งเจียสวมเสื้อและห่วงมงคล โดยหลอกว่าเป็นหมวกวิเศษที่ใครใส่แล้วยิ่งฉลาดรอบรู้ในการหนังสือ ส่วนเสื้อนั้นใครสวมแล้ว จะรู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีโดยไม่ต้องเรียนต้องฝึก เห้งเจียหลงเชื่อ ครั้นแล้วพระถังก็ลองร่ายมนต์สะกด เห้งเจียก็ปวดขมับล้มม้วนกลิ้งไปมา เป็นอันว่า เจ้าลิงจอมโจกของเราก็อยู่ในกำมือของพระถังซัมจั๋งโดยสิ้นเชิง



นาม : ( หัวเราะกั๊กๆ )

รูป : แกเข้าใจรึ ?

นาม : เปล่า

รูป : แล้วหัวเราะหาอะไรวะ

นาม : หัวเราะเยาะความโง่ของคนสมัยเราที่อุตริกล่าวว่า "แต่ก่อนคนเรายังโง่" ซึ่งเรื่องจริงกลับตรงข้าม

รูป : ตรงข้ามยังไง ?

นาม : มันตรงกันข้ามว่า คนโบราณผูกปริศนาไว้ให้ คนสมัยนี้แหละโง่ แล้วยังหยิ่ง ยกตัวอีกซิ อย่างที่อาจารย์เล่ามา แกรู้รึ ?

รูป : ก็นิทานสนุก ๆ ไปคิดอะไรให้ปวดหัวทำไมเล่า อาจารย์ท่านก็แต่งไปเรื่อย ๆ นึกไหนได้ก็ว่ากันไป

โหงว : ถ้าแกขืนหมิ่นข้า ข้าจะยอมโง่โดยหยุดเฉลย เพื่อให้แกโง่สองเท่าของข้า

นาม : โธ่ อาจารย์อย่าถือสามันเลย ผมอยากทราบจริง ๆ ว่า ปัญญาที่กบดานและดื้อดุร้ายจะถูกควบคุมได้อย่างไร ?

โหงว : กวนอิมโพธิสัตว์ คือเมตตาบารมี ได้นำเสื้อวิเศษ คือการเฝ้าดูจิต โดยการทำในใจไว้อย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ซึ่งใครใส่แล้วรู้ขนบธรรมเนียมโดยไม่ต้องเรียน ขนบธรรมเนียมที่พระอริยเจ้าได้ทำทางไว้ คือการมีสติเฝ้าดูชีวิต หรือ การทำในใจไว้อย่างแยบคาย แล้วจะรู้ทาง รู้ธรรม รู้วินัย โดยไม่ต้องเรียนเลย

รูป : แล้ว มงคล ๓ ห่วงเล่าครับ ?

นาม : ผมเดาว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหมครับ ?

โหงว : ผิดถนัด เห้งเจียคือปัญญา ซึ่งเราจะได้พบ ศีล สมาธิ ในบทถัด ๆ ไป ไม่ใช่ที่นี่ ห่วงมงคล ๓ ห่วงคือ ไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ วงนี้ รวบมัดเป็นวงว่าง (สุญญตา) วงเดียวไว้สวมหัวของปัญญา นั่นคือจิตที่ดื้อรั้นกระสับกระส่าย ไหลไปตามอารมณ์นั้น ต้องให้มันกำหนดกัมมัฏฐานที่มีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์จึงจะชื่อว่าบวชจริงไม่ใช่ที่กายเท่านั้น

รูป : แล้วทำไมอาจารย์แต่งให้พระถังซึ่งเป็นพระ เที่ยวทุศีลหลอกลวงแม้กระทั่งลิงว่า ห่วงมงคลคือหมวก ก็ไม่รู้ ?

นาม : นี่ แก เลื่อนลอยอีกแล้วละซี

โหงว : จิตของคนธรรมดาจะไม่ยอมกำหนดไตรลักษณ์ จะต้องหลอกล่อ(ปัคคหะ) ว่ากำหนดไตรลักษณ์ แล้วจะรู้เรื่องปริยัติได้หมดสิ้น ที่จริงเราไม่ได้หลอกเลย ปริยัติทั้งหมดทั้งสิ้นในพระไตรปิฎก รวมลงที่ว่า สิ่งทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือสรุปว่าคือ สุญญตา อันอุปมาด้วยห่วงมงคลวงว่างครอบไว้เหนือหัวของปัญญา

นาม : แหม สนุกจริงครับ

รูป : แล้วคาถาบีบขมับเล่า ?

โหงว : ทุกครั้งที่จิตดื้อไม่ยอมทำตามในการมุ่งสู่ความหลุดพ้น มักจะวนไปสู่อารมณ์โลก ๆ ตามปรารถนา คือดันไปกำหนดว่า สิ่งทั้งปวงเป็นของเที่ยง เป็นสุข หรือเป็นตัวตนเข้า จงร่ายมนต์บีบขมับคือ กำหนดกัมมัฏฐานที่มีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ แล้ว ปัญญามันจะยอมรับใช้

นาม : เป็นอันว่า ชีวิตสามารถปลุกเร้าบังคับให้ปัญญาทำหน้าที่จูงม้าหลวง(วิริยะของศรัทธา)พาชีวิตบ่ายหน้าสู่นิพพาน อันเป็นเป้าหมาย.... โอ้โฮ วิเศษจริง ๆ

รูป : ผมฟังไม่สนุกเลย แหมคุยกันคอแห้ง ขอน้ำชามาซดกันหน่อยนา

โหงว : มัวซดน้ำชาอยู่ใต้บาดาลนั่นแหละ อีนางเง็กมิ่นกงจู๊

รูป : อาจารย์ด่าใครครับ เง็กมิ่นกงจู๊ ไหนกัน ?

นาม : อาจารย์ครับ โปรดเฉลยก่อน เพราะไซอิ๋วยาวมาก กว่าจะถึงตอนนั้น เดี๋ยวผมก็ลืมเสียเท่านั้น

โหงว : เง็กมิ่นกงจู๊ คือ กามสุขัลลิกานุโยค เมียน้อยของงูหม้ออ๋อง(มิจฉาทิฏฐิ)

รูป : อาจารย์ด่าผม

นาม : อาจารย์ครับ ได้โปรดเล่าต่อไป

โหงว : บทถัดไปหวาดเสียวมาก เพราะพระถังจะพบปีศาจร้ายตัวแรกที่อาศัยอยู่ในบึง ฟังนะ ..............

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”