collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อเตือนใจ คุกสวรรค์  (อ่าน 44053 ครั้ง)

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
ข้อเตือนใจ คุกสวรรค์
« เมื่อ: 14/07/2010, 19:43 »
     
ชื่อหนังสือ  ข้อเตือนใจ คุกสวรรค์
พระโอวาทท่านผู้เฒ่าคุณฟ้า
.
ISBN
ผู้เขียน
จัดพิมพ์โดย www.mindcyber.com
ขนาดรูปเล่ม :  130 x 190 x 12 มม.
จำนวน :  235 หน้า
ชนิดกระดาษ :  กระดาษถนอมสายตา 75 แกรม
สำนักพิมพ์
เดือน/ปีที่พิมพ์
ราคา :  แจกฟรี

:: เนื้อหาโดยสังเขป
     ในหนังสือประกอบไปด้วยพระโอวาทท่านผู้เฒ่าคุณฟ้า เปิดเผยความลับสภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์สามชั้น, ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์, ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในสามด่าน,ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในนรกภูมิ และความในใจของพญาอสูรกาย

:: สารบาญ
สภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์
คุกสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง
คุกสวรรค์ชั้นที่สอง
คุกสวรรค์ชั้นที่สาม
พระโอวาทผู้เฒ่าคุณฟ้า นำญาณเดิมแสดงหลักฐาน
ประจักษ์หลักฐาน สภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์
มิจฉาเอนเอียงเข้าร่วมบำเพ็ญ ตลอดชีวิตขังคุกสวรรค์
ผิดต่ออาจารย์และพระโองการฯ
ต้องถูกเคี่ยวกรำยังคุกสวรรค์
ยึดมั่นในทิฐิของตนเอง จึงปิดบังจิตญาณอันแท้จริง
ไม่รู้จักถนอมบุญวาสนา ตัวเองจึงถูกขังคุกสวรรค์
ประจักษ์หลักฐาน สภาพความเป็นจริงในสามด่าน
จิตใจไร้เมตตากรุณา ยากที่จะสำเร็จในมรรคผล
มนุษยธรรมไม่บรรลุ ต้องขัดเกลาอยู่ที่จิ่วหยังกวน
นิสัยอารมณ์ไม่ได้แก้ไข จึงเกิดไฟเผาผลาญบุญกุศล
จิตเดิมของตนไม่กระจ่างแจ้ง
เมื่อเป็นวิญญาณจึงยากบำเพ็ญ
ถือศีลเจได้ไม่บริสุทธิ์ พลาดต่อวาระโอกาสของตน
เก็บสถานธรรมเลิกราเสียก่อน ผิดบาปที่มียากให้อภัย
ประจักษ์หลักฐาน สภาพความเป็นจริงในนรกภูมิ
เมื่อมีความคิดผิดพลาดคลาดเคลื่อน
ความดีที่ทำมาก็สูญเปล่า
ผิดต่อปณิธานให้ร้ายธรรม
ยากกลับคืนบ้านเดิมแดนนิพพาน
เมื่อยึดถือตนจึงลำพองตัว ไปยังนรกฝึกเคี่ยวกรำธรรม
ตั้งปณิธานแล้วไม่บรรลุ ถูกขังนรกน้ำแข็งหนาวเหน็บ
ความในใจของอสูรกาย
(๑) ทดสอบคน-ผี-เทพในธรรมกาลยุคขาวให้ตกหล่น
(๒) ธรรมะจริง บำเพ็ญจริง ทดสอบจริง
(๓) หนึ่งความคิดเป็นมาร ลุ่มหลงตลอดชาติ
ยาสมานจิต ของพระอาจารย์ไร้ขอบเขต (อู๋จี้)
รายชื่อผู้ร่วมบริจาคพิมพ์หนังสือเล่มนี้

:: หมายเหตุ
     ติดต่อขอรับหนังสือได้ที่ โครงการหนังสือธรรมะแจกฟรี http://shopping.mindcyber.com

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
2 : คำนำ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 14/07/2010, 20:06 »
คำนำ

     ด้วยความเมตตาของเบื้องบน ได้เปิดเผยความลับของคุกสวรรค์ให้ผู้บำเพ็ญธรรมได้ทราบ เพื่อส่งเสริมการบำเพ็ญธรรมให้มีความสำรวมกายใจมากยิ่งขึ้น และยังเปิดโอกาสให้ผู้เดินผิดทางได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น หากทำอย่างนี้ได้ คุกสวรรค์ก็จะไม่ใช่สิ่งที่น่าห่วง

     คุกสวรรค์ สามด่านเก้าทวารของพุทธาลัย และนรกภูมิมีเครื่องมือลงโทษอย่างพร้อมสรรพ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกลั่นกรองจิตใจให้ใสงามนั่นเอง

     ปุถุชนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น จิตญาณถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในร่างกายมีการตอบสนองของเหตุต้นผลกรรมได้ สามารถตัดสินใจได้เองอย่างสมบูรณ์ มีความคิดอิสระ มาบำเพ็ญแก้ไขความคิดจิตใจที่ไม่สอดคล้องต่อ "มัชฌิมาธรรม" และอุปนิสัยอารมณ์ของตนเองได้ ซึ่งเป็นการดีที่ได้กายเป็นคน

     ผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จึงควรทะนุถนอมโอกาสเวลาที่ยังคงมีกายสังขารนี้อยู่ใช้ประโยชน์จากกายนี้อย่างดีงาม หมั่นตรวจสอบพิจารณาความคิดจิตใจของตนเสมอๆ ย้อนมองส่องตนทุกขณะเวลา จึงจะไม่ผิดต่อการที่ได้มาเกิดกายบนโลก ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อสูญสิ้นร่างกายคนหมื่นกัปป์ไม่อาจฟื้นคืน ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12/10/2010, 19:49 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
3 :
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 1/08/2010, 19:22 »
     เคราะห์ภัยและโชคดีไม่มีประตู เพียงแต่คนไขว่คว้าเข้าหาตัวเอง คนเราคือผู้ที่มีร่างกาย (สังขาร)และจิตใจ(จิตญาณ) ร่วมกันเป็นหนึ่ง การที่คนตายลงจิตญาณออกจากร่างกายกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติ จึงมีคำกล่าวที่ว่า "ญาณอยู่คนอยู่ ญาณไปคนม้วย"

     ในคัมภีร์ทางสายกลาง(จงยง)ได้กล่าวว่า "ชีวิตจากฟ้าเรียกว่าจิตญาณ" จิตญาณจึงเป็นสิ่งที่มาจากพระอนุตตรธรรมมารดา เมื่อลงมาสู่โลกมนุษย์ ก็ถูกอารมณ์เจ็ด ตัณหาหก ยั่วย้อมแปดเปื้อนเอาจึงไม่สามารถกลับคืนสู่โฉมหน้าเดิมต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในชาติกำเนิดสี่ ภูมิวิถีหก

     ในหนังสือประวัติศาสตร์สื่อซู บันทึกไว้ว่า "บรรจบกาลชวดเปิดฟ้า  บรรจบกาลฉลูเบิกดิน บรรจบกาลขาลเกิดคน" มนุษย์ได้เวียนว่ายตายเกิดมาหกหมื่นกว่าปีแล้ว

     สมัยบรรพอริยกษัตริย์ฝูซี เป็นยุคเขียว สีเขียวเป็นสีที่สำคัญอุทกภัยเกิดจากน้ำมีความรุนแรงที่สุด อีกประมานสามพันปีเป็นยุคแดง สีแดงเป็นสีที่สำคัญ อุทกภัยเกิดจากไฟ(อัคคีภัย)ที่รุนแรง ปัจจุบันยุคขาว สีขาวจึงเป็นสีที่สำคัญ เป็นยุคที่สารพิษและเชื้อโรครุนแรงร้ายกาจ อุทกภัยเกิดจากวาตภัย(ลม) เราจึงสามารถบำเพ็ญในครัวเรือนร่วมกันได้สามี - ภรรยาและลูกพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อให้หลักสัมพันธ์และความดีงามในครัวเรือนสมบูรณ์

     ในบทกลอนคู่ตรุษจีนมักเขียนไว้ว่า "ฟ้าสันติ ดินสันติ สามยุคเบิกสันติ" เวลานี้คือความหมายนี้นั่นเอง บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญที่ใจ ใจเดิมดีงาม ใจเด็กทารกบริสุทธิ์ ใจธรรม แต่เมื่อลงมาเกิดกายบนโลกแห่งการเปรียบเทียบ คู่แข่งขันและการแบ่งแยกเป็นสภาวะตรงกันข้ามแล้วจึงเปลี่ยนเป็นใจคน มีดีมีชั่ว สภาวะที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย และก่อประโยชน์แต่ตนเองรู้แต่ตนเองไม่รู้ว่ามีผู้อื่นจึงกลายเป็น"ใจเลือดใจเนื้อ"ซึ่งได้ทำแต่ความชั่วช้า

     ญาติธรรมในอาณาจักรอนุตตรธรรมเป็นเพราะมีพื้นฐานของการบำเพ็ญบ่มเพาะมาก่อนแล้วสามชาติ จึงได้รับหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์นั่นเองพระอาจารย์นำพาเข้าสู่ประตูแต่การบำเพ็ญอยู่ที่แต่ละคน เมื่อได้รับรู้แล้วแต่ไม่บำเพ็ญหรือยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ความแปดเปื้อนที่มาเกาะติดอยู่ในจิตใจ ยังไม่ได้กำจัดตัดทิ้งให้สะอาดหมดจดเมื่อกลับคืนไปยังพุทธาลัยแล้วก็จะต้องไปผ่าน"สามด่านเก้าทวาร"หรือถูกคุมขังอยู่ที่ "คุกสวรรค์" เพื่อบำเพ็ญขัดเกลากันต่อบางคนยังถูกตีให้ไปลงยัง "นรกภูมิ"เพื่ออาศัยการลงทัณฆ์และเครื่องมือลงโทษต่าง ๆ มาขัดเกลาจิตญาณอีกที เหมือนน้ำที่สกปรกเมื่อผ่านการกลั่นกรองแล้วกลับคืนสู่สภาวะสะอาดใสได้เหมือนเดิม คุกสวรรค์ สามด่านเก้าทวารของพุทธาลัยและนรกภูมิมีเครื่องมือลงโทษอย่างพร้อมสรรพที่ใช้ในการกลั่นกรองจิตใจให้ใสงามนั่นเอง

     เคราะห์ภัยและโชคดีไม่มีประตู เพียงแต่คนไขว่คว้าเข้าหาตัวเอง นั้นก็คือความหมายอย่างนี้เอง ปุถุชนที่มีชีวิตอยู่นั้นจิตญาณถูกกำจัดขอบเขตอยู่ในร่างกายสามารถยึดการตอบสนองของเหตุต้นผลกรรมได้ตัดสินใจมีความนึกคิดอิสระมาบำเพ็ญแก้ไขความคิดจิตใจที่ไม่สอดคล้องต่อ"มัชฌิมาธรรม"และอุปนิสัยอารมณ์ของตนเองได้ นี่เป็นความโดดเด่นของ"ยากที่จะได้กายเป็นคน" ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลาย จึงควรถนุถนอมโอกาสเวลาที่ยังมีกายสังขารนี้อยู่ ใช้ประโยชน์จากกายนี้อย่างดีงามหมั่นตรวจสอบความคิดจิตใจของตนเสมอ ๆย้อนมองส่องตนทุกขณะเวลาจึงจะไม่ผิดต่อการที่ได้เิกิดกายบนโลกเมื่อสูญสิ้นร่างกายคนหมื่นกัปไม่อาจฟื้นคืนซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ขอให้ถือว่าเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกันเถิด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 3/08/2010, 09:08 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
4 : สภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 2/08/2010, 07:59 »
พระโอวาทท่านผู้เฒ่าคุณฟ้า
จำนวนโลกา     ที่อุบัติมา          นับไม่ถ้วนชัด
เวไนย์สัตว์       สบกับทุกข์ภัย    มากมายเช่นนี้
คุมคุกสวรรค์     กฏเหล็กที่นั่น     ไร้ความปราณี
เผยความลับนี้   เพื่อร่วมช่วยงาน   เก็บญาณสมบูรณ์

     เนื่องจากทุกคนมีบุญสัมพันธ์จึงได้อยู่ร่วมกัน จึงได้ร่วมกันฟังอริยธรรม ที่พุทธสถานนี้ได้ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกับทุกคนที่นี่ พวกเจ้าคงรู้สึกแปลกใจที่ผู้เฒ่าคนหนึ่งถือไม้เท้าแล้วยังเดินเอวงอ ๆ เราก็คือ "ผู้เฒ่าคุณฟ้า" (เทียนเต๋อเหล่าเหยิน)ใจของทุกคนได้โบยบินออกไปภายนอกหรือเปล่า อย่าได้คิดว่าฉันมีความเมตตามากที่จริงแล้วฉันปฏิบัติงานใหญ่ จากบทกลอนที่พวกเจ้าได้ดู ฉันเองดูแลควบคุมอะไร ? ในเมื่อมีนรก ก็ย่อมมีคุกสวรรค์ด้วย

     นรกมีไว้คุมขังคนชั่ว  คุกสวรรค์มีไว้คุมขังผู้บำเพ็ญที่มีความผิดบาป มีผู้บำเพ็ญมากมายเมื่อบำเพ็ญก็ต้องไปถึงคุกสวรรค์ที่ฉันดูแลอยู่ พวกเจ้าที่อยู่ที่นี่เมื่อกลับคืนไปแล้วจะไปพูดคุยกับฉันไหม ? หรือจะไปดื่มชากับฉันไหม ? ฉันจะเปิดเผยความลับสวรรค์ให้พวกเจ้ารู้กันดีไหม ? ได้ยินเรื่องคุกสวรรค์อยู่บ่อย ๆ แต่รู้ไหมว่าวิญญาณบาปที่ได้มาปรากฏกายนั้นบอกแต่เพียงว่าได้รับความทุกข์ ทั้งหนาว ทั้งร้อน ฉันหวังว่าพวกเจ้าจะนำเรื่องเหล่านี้ไปบอกเล่าให้ผู้บำเพ็ญอื่น ๆ ฟังอย่าได้ละเมิดกฏของฟ้า แล้วกระทำผิดพลาด แม้ความผิดบางอย่างจะไม่ได้เป็นความผิดมหันต์ก็ตาม แต่ผู้ที่ทดสอบให้ผู้อื่นตกหล่น ผู้ที่ก่อกรรมปาก ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญจริง ผู้ที่มีนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดี ผู้ที่นำเงินของส่วนรวมไปใช้ในเรื่องส่วนตัว ฯลฯ แต่ละอย่าง ๆ ไม่อาจหลุดลอดไปจากสายตาฉันได้ เข้าใจหรือไม่ ? ปัจจุบันนี้อาณาจักรธรรมวุ่นวายมาก สิบแปดสายธรรมวุ่นวายเหลือเกิน วุ่นวายสับสนอย่างไร ? เธอมาพุทธสถานของฉันไม่ได้ ฉันก็ไปฟังธรมะที่พุทธสถานของเธอไม่ได้ ที่เป็นอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ ? ไม่สัมพันธ์กันอย่างนี้เรียกว่า"ท้องนาไม่มีร่องน้ำ น้ำย่อมไม่อาจไหลเวียน" คือไม่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ตัวเองดูแลแต่ตัวเองยังไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ยังให้ร้ายทำลายผู้อื่นด้วย เมื่อพูดถึงฉัน ฉันเองแก่มากแล้ว ตอนที่ฉันเกิดมาบนโลก พวกเจ้าอยู่ที่ใหนกัน ? ตอนที่ฉันบรรลุธรรมพวกเจ้าอยู่ที่ใหนกัน ? พวกเจ้าช่างเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน ?

     ขอให้ฟังดี ๆ คุกสวรรค์ก็อยู่ข้างๆ กับพุทธาลัย นั่นเอง ผู้ที่บำเพ็ญได้ดีสามารถผ่านไปถึงพุทธาลัยได้เลย แต่ถ้าบำเพ็ญได้ไม่ดีก็ต้องไปถึงคุกสวรรค์ของฉัน เส้นทางเดียวแต่แยกไปเป็นสองสถานที่ คุกสวรค์กักขังใครบ้าง ? ก็คือ ศาสนิกชนในศาสนาทั้งห้า เฉียนเหยิน เตี่ยนฉวนซือ เจี่ยงซือ และญาติธรรม ที่ยังบำเพ็ญได้ไม่ดี เช่น ผิดพลาดเรื่องการเงิน ความประพฤติบกพร่อง จิตใจเลวทราม หากได้บำเพ็ญจริงขัดเกลาจริง ก็ไม่ต้องไปรายงานตัวที่คุกสวรรค์ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ต้องกลัว พูดถึงภาระหน้าที่ของฉันก็เป็นพระบัญชาของพระแม่องค์ธรรมให้ฉันไปควบคุมดูแลคุกสวรรค์ ตั้งแต่ธรมกาลยุคเขียว ยุคแดง จนถึงยุคขาว ในสมัยก่อนที่ฉันบำเพ็ญก็มีลูกประคำ ๑๐๘ เม็ด หลังจากที่พระแม่องค์ธรรมทรงมีพระบัญชา ลูกประคำก็ได้ถูกใช้งานแล้ว ลูกประคำแต่ละเม็ดก็ได้กลายเป็นถ้ำแต่ละถ้ำ ถ้ำเหล่านั้นก็คือคุกสวรรค์นั่นเอง

ยุคเขียวก็มีนรกเก้าขุม คุกสวรรค์อีกเก้าถ้ำเช่นกัน
ยุคแดงมีนรกสิบแปดขุม คุกสวรรค์สิบแปดถ้ำ เพราะจิตใจผู้คนต่ำทรามลง
ขณะนี้เป็นยุคขาวเก้าเก้าแปดสิบเอ็ด ยังเหลือลูกประคำแปดสิบเอ็ดลูก คนสมัยก่อนยังมีจิตใจที่ดีงามและบริสุทธิ์กว่าคนสมัยนี้ ไม่เหมือนกับจิตใจของคน

     ในสมัยนี้ที่ชั่วร้ายต่ำทรามและเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย คนในสมัยก่อนกินแต่พืชผัก ก็ยังสามารถบำเพ็ญได้อย่างสงบมั่นคง แต่จิตใจของคนสมัยนี้ชอบดูรูปลักษณ์ทั้งหลายคุยกันแต่เรื่องเสพสุข ถ้าให้มาบำเพ็ญเวลาที่ไม่ได้ทำอะไรเขาก็จะรู้สึกว่าไร้รสชาด ดังนั้นเบื้องบนเมตตากรุณาเป็นอย่างมากที่ให้ผู้บำเพ็ญในปัจจุบันสะดวกสบาย แต่เมื่อสะดวกสบายก็ยังเกิดปัณหานานวันเข้าก็จะสะเปะสะปะปล่อยปละละเลยคบหาเพื่อนก็ไม่รอบคอบ คบคนไม่เลือกไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว คบคนชั่วก็ย่อมทำชั่วช้าเลวทรามตามไปด้วย ผู้บำเพ็ญธรรมมากมายที่ได้รับธรรมะและบำเพ็ญธรมแต่กลับไม่ได้บำเพ็ญดี ๆ บำเพญแล้วลุ่มหลงเลอะเลือน เพราะคนไม่ได้ศึกษาค้นคว้าหลักธรรมรู้เห็นแต่เพียง ตื้น ๆ แต่คิดเอาเองว่าตัวเองรู้เห็นอย่างลึกซึ้งถ่องแท้แล้วจึงนำไปพูดกับผู้อื่นอย่างสับสนผิกพลาดพูดไปพูดมาจนตกไปสู่วิถีของมาร หนทางอันดีงามได้เอนเอียงไปแล้วแต้ก็ยังไม่รู้ตัวและยังไปบอกให้ผู้อื่นต้องติดตามบำเพ็ญกับเราจึงจะบรรลุธรรมได้ ไม่อย่างนั้นสายทองจะถูกตัดสายทองขาด สายทองต่อขาดแล้วก็ต่อขาดแล้วก็รับ ขาดแล้วก็เชื่อม ขาดแล้วก็รับ ช่างสับสนเหลือเกิน เมื่อพูดถึงอารมณ์ความเคยชินฉันจะยกตัวอย่าง สักเรื่องคือ บำเพ็ญธรรมแล้วแย่งนักธรรมผู้น้อยกับผู้อื่นไม่ได้ดูแลส่งเสริมนักธรรมผู้น้อยดีๆ โลภมากอยากได้หวังแต่จะเสพสุขทั้งยังหลอกลวงทรัพย์สินของผู้อื่น ผิดบาปอย่างนี้หนักหนายิ่งนัก เอาชื่อเสียงทางธรรมมาหลอกลวงคนอื่นๆ อย่างนี้ก็มีผิดบาป ตอนนี้จะพูดถึง"หนึ่งยอดเขาเก้าถ้ำ"  "ยอดเมฆาวายุ"  เป็นชั้นที่หนึ่ง ยอดเมฆาวายุมีอยู่ด้วยกันเก้าถ้ำ ถ้ำแรกชื่อถ้ำเมฆาวายุ - ถ้ำเมฆาอัคคี - ถ้ำเมฆาสีม่วง - ถ้ำเมฆาโบยบิน - ถ้ำเมฆาสีเขียว
ถ้ำเมฆาสีเหลือง - ถ้ำเมฆาสีแดง - ถ้ำเมฆาสีดำ - ถ้ำเมฆาสีขาว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 4/08/2010, 09:01 โดย Naktum »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
คุกสวรรค์ชั้นที่หนึ่งยอดเมฆาวายุ  

     ถ้ำเมฆาวายุ   เป็นทันฑสถานที่บำเพ็ญจิตบ่มเพาะธรรมญาณจึงแตกต่างจากนรก ผู้บำเพ็ญที่ยังมีกิเลสความคิดที่ฟุ้งซ่านสะสมในจิตใจ ยังเป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถผ่านสามด่านเก้าทวารได้จึงถูกส่งมาที่ถ้ำเมฆาวายุแห่งนี้ ต่อจากนั้น"เทพฝ่ายตรวจการ" ก็จะส่งบันทึกบุญบาป ของผู้บำเพ็ญแต่ละคนในแต่ละชาติ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงชาติปัจจุบันข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมส่งมาที่นี่ ต่อจากนั้นก็จะเริ่มพิจารณาไตร่สวนและตัดสินความ ถ้ำนี้จะกักขังคนที่ชอบนินทาให้ร้ายผู้อื่น เมื่อได้เห็นนักธรรมอาวุโส อาจารย์แนะนำ อาจารย์รับรอง เตี่ยนฉวนซือ หรือเจี่ยงซือ ทำไม่ดีแล้วนำไปนินทาลับหลัง คอยวิจารณ์ใส่ร้ายขยายความจนเกินจริง และชอบหลอกลวงผู้อื่น ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ต้องมาลงเอยที่ถ้ำเมฆาวายุแห่งนี้ นี่เป็นคุกสวรรค์ที่ทรมานเช่นกัน หนึ่งคนต่อหนึ่งถ้ำนั่งอยู่ภายในถ้ำเมฆาวายุนี้ไม่ว่าจะมีคนมากขนาดใหนขนาดของถ้ำก็ยังพอเหมาะพอดีตลอดไป มีลักษณะคล้ายกับถ้ำของพระพุทธะในอดีต ในถ้ำแต่ละถ้ำก็จะมีพระพุทธะอยู่หนึ่งองค์ แต่ละองค์ต้องนั่งบำเพ็ญขัดเกลาอยู่ในนั้นหากว่ามีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ลมนั้นก็จะเหมือนกับมีคนมาตบเข้าที่ใบหน้าของเรา หากความคิดฟุ้งซ่านยิ่งมีมาก ผิดบาปของเขาก็จะทำให้สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดสับสนวุ่นวาย ลมนั้นก็จะตบลงมาบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว ตบลงมาบนแก้มทั้งสองข้างตบทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาจนกระทั่งใบหน้าบวมซ้ำขึ้นมาไม่เพียงแค่แก้มทั้งสองจะบวมแดง แม้แต่ฟันก็หลุดล่วงด้วยและยังมีเลือดออกแต่ละคนที่โดนลมตบก็จะวิงเวียนต้องโดนตบนั้นเป็นเพราะไม่รักษาคุณธรรมปากให้ดี ไม่ยอมบำเพ็ญรักหน้ารักตาของตัวเอง จึงต้องโดนตบให้สาสมกับการกระทำของตน มีผู้บำเพ็ญที่ทุกข์ยากลำบากมากมาย ชั่วชีวิตก็ได้แต่ฉุดช่วยคนปฏิบัติธรรม จัดตั้งพุทธสถาน บุกเบิกงานธรมะ ส่งเสริมสนับสนุนบุคคลากร แต่มีบุญก็บันทึกบุญเอาไว้ มีบาปก็บันทึกบาปเอาไว้ ถึงแม้วันนี้เจ้าอาจมีสามพันบุญแต่ในขณะเดียวกันก็มีเจ็ดร้อยบาปด้วยที่ว่านี้จะจัดการอย่างไร ?แน่นอนก็ต้องว่ากันไปตามความผิดบาปนั้น ๆ

แล้วจะลบล้างความผิดบาปได้อย่างไร?

     ต้องสำนึกขอขมา สิ่งใดที่ทำไม่ถูกต้องไปต้องสำนึกขอขมาต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง หากแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ได้พระแม่องค์ธรรมก็ย่อมเมตตากรุณา เบื้องบนย่อมเมตตา พวกเจ้าไม่มีใจชั้วช้าต่ำทรามเบื้องบนก็จะนิรโทษผ่อนผันให้ ลมในถ้ำเมฆาวายุทุกครั้งที่ตีลงมาบนร่างญาณรสชาดที่ได้รับนั้นก็จะเหมือนกับมีมีดแหลมคมมาเชือดเฉือนบนร่างกายของเรานั่นเองยากที่จะทนได้ไหว ลมนี้เป็นลมที่ไม่แน่ไม่นอนหากเจ้ามีจิตสำนึกขอขมาลมก้จะพัดเบาลงความเร็วก็ช้าลง แต่ถ้าหากสำนึกขอขมาแล้วแต่ใจก็ยิ่งไม่สงบลงเมื่อนั้นลมก็จะทวีความรุุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อลมตีลงมาบนร่างญาณนั้นก็จะเจ็บปวดเหมือนกับถูกมีดชำแหละเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากแต่ว่าร่างญาณของเราไม่ว่าจะลงโทษอย่างไรก็ไม่อาจตายได้เพียงแค่เจ็บปวดทรมานเท่านั้นเบื้องบนพิจารณาบุญบาปอย่างยุติธรรมหากเราสร้างบุญกุศลเจริญปณิธาน เบื้องบนก็จะจดบันทึกลงชัดเจนแต่ถ้าเรามีผิดบาปเบื้องบนก็จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเช่นกันเมื่อมาถึงที่นี่ก็ยังต้องบำเพ็ญจนกว่าจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงจะสามารถกลับคืนสู่อนุตตรภูมิแดนนิพพานได้อยู่ข้างกายพระแม่องค์ธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือบุคลิกลักษณะที่สมบูรณ์ จึงสามารถบรรลุสภาวะศักดิ์สิทธิ์ได้เบื้องบนมีเมตตาอย่างล้นเหลือเปิดเผยความลับของสวรรค์ที่ไม่เคยเปิดเผยมาตั้งแต่ผันกู่เริ่มเบิกฟ้าจนถึงปัจจุบันวันนี้มีวาสนาพระแม่องค์ธรรมทรงมีบัญชา ให้ทำการเปิดเผยความลับสวรรค์นี้ได้ เราทุกคนจึงต้องมีจิตสำนึกคุณ ต้องตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วนเพราะทุกๆคำเป็นความลับสวรรค์ทั้งสิ้น ผู้ที่ปกติชอบด่าทอว่ากล่าวผู้อื่นก็จะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ขึ้นไปถูกตบแก้มที่เบื้องบนแต่ก็ต้องบำเพ็ญคุณธรรมปาก เช่นกัน          
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 5/08/2010, 17:07 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ถ้ำเมฆาอัคคี

     ถ้ำเมฆาอัคคี เมื่อพูดขึ้นมาแล้วก็เหมือนถูกอัคคีแผดเผา หากเป็นคนที่มีอุปนิสัยอารมณ์ไม่ดีทำงานใจร้อนจิตใจไม่สงบ เป็นนักธรรมอาวุโส เตี่ยนฉวนซือ ถันจู่ แต่ทดสอบให้คนอื่นต้องตกหล่นไป ตำหนิด่าว่าคนอื่นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ มีอารมณ์ฉุนเฉียว ก็จะต้องถูกกักขังอยู่ที่ถ้ำเมฆาอัคคีนี้ เมื่ออวิชชาผุดขึ้นมาก็จะเหมือนโดนอัคคีแผดเผาเหมือนหนึ่งอยู่ในเตาหลอมฉันใดฉันนั้น ความรุ่มร้อนเจ็บปวดนั้นทำให้เจ้าต้องครวญครางสำนึกผิด อย่างไรก็ตามการถูกลงโทษทัณฑ์ที่ว่านี้ พระแม่องค์ธรรมได้แสดงบุญญาธิการ ร่างญาณทั้งหลายจะถูกกำหนดคงที่ เวลาถูกลงทัณฑ์จึงดูเหมือนไม่มีอะไร ดูจากภายนอกจะเห็นทุกคนนั่งเรียบร้อย แต่ภายในอุณหภูมิจะสูงหรือต่ำอย่างไร ก็อยู่ที่อารมณ์ของแต่ละคน แล้วอย่างนี้ฟังเข้าใจกันหรือไม่ ? ก็เหมือนกับเจ้าทั้งหลายกำลังนั่งฟังธรรมะอยู่ บางคนฟังเข้าใจแปดส่วน แต่บางคนฟังได้แค่เพียงสองส่วน ก็ว่ากันไปไม่แน่นอน ทั้งนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับรากบุญพื้นฐานของแต่ละคน และยังเกี่ยวข้องกับบุญกุศลของแต่ละคนเองด้วยผู้ที่มีภูมิธรรมปัญญาสูง เมื่อได้นั่งอยู่ที่นี่ ก็ย่อมฟังเข้าใจได้อย่างอัตโนมัติ แต่ผู้ที่เจ้ากรรมนายเวรเร่งรัดทวงหนี้อย่างประชิดติดตัว หรือผู้ที่ยังไม่สามารถละวางเหตุปัจจัยต่าง ๆ ลงได้ ปัญญาก็จะถูกแรงกรรมที่ไร้รูปลักษณ์เหล่านี้ปิดบังครอบงำเอาไว้ ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะพูดให้โอวาทอย่างไรแต่ก็ไม่อาจฟังให้เข้าใจได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12/10/2010, 19:53 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ถ้ำเมฆาสีม่วง

      "ถ้ำเมฆาสีม่วง" ฟังดูเหมือนมีสภาวะที่สูงส่ง นั่นก็คือพระพุทธะที่เคยตั้งมหาปณิธานลงมา แต่เกิดลุ่มหลงไปนั่นเองถึงจะสามารถบำเพ็ญกลับคืนไปได้ แต่เนื่องจากได้ตั้งมหาปณิธานเอาไว้ แต่ว่ามีบุญกุศลน้อยนิดซึ่งไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ เรียกว่าปณิธานยิ่งใหญ่แต่มรรคผลน้อยนิด จึงยากที่จะคืนสู่ตำแหน่งสถานะเดิมได้

       เจ้าทั้งหลายจะเป็นเช่นนั้นไหม ? ที่ตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ แต่มรรคผลน้อยนิด บำเพ็ญจนสามารถกลับคืนได้แต่บุญกุศลไม่เพียงพอ จึงถูกกักขังในคุกสวรค์ ต้องคี่ยวกรรมบำเพ็ญต่อไป ต้องสำนึกขอขมาอีก การลงทัณฑ์ในถ้ำนี้จะเบากว่าถ้ำทั่วๆไปเพียงแต่จะรู้สึกอึดอัดใจ นั่งอยู่ในถ้ำจะรู้สึกละอายใจต่อพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนคิดอยากจะร่ำไห้ความหวั่นไหวทางอารมณ์จะประนามตัวเองให้สำนึกเสียใจ ที่ไม่สามารถเจริญปณิธานได้ดังที่ตั้งใจไว้

       หากเคยเป็นพระอรหันต์อุบัติลงมา แต่กลับบำเพ็ญปฏิบัติเพียงในหน้าที่ของญาติธรรมทั่วไปเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แย่แน่นอน เพียงแค่ตั้งปณิธานกินเจเท่านั้น ไม่มีผลงานทางธรรมใด ๆ ทั้งสิ้นเมื่อกลับคืนไป จึงต้องถูกจองจำและลงโทษ เนื่องจากเคยตั้งมหาปณิธานต่อหน้าพระพักตร์พระแม่องค์ธรรม เคยลั่นสัจวาจาที่ยิ่งใหญ่แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม หัวเป็นเสือแต่หางเป็นงู (แรงตอนต้นแต่แผ่วตอนปลาย) อย่างนี้ไม่ได้ จะหลอกเบื้องบนไม่ได้เด็ดขาด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12/10/2010, 19:55 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ถ้ำเมฆาโบยบิน

      "ถ้ำเมฆาโบยบิน"ถ้ำนี้ร้ายกาจกว่าทั่วไป ร้ายกาจตรงที่มีมีดบินตรงมาทิ่มแทงที่กลางทรวงอก สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งเพราะคนประเภทนี้อาศัยกลอุบายให้ร้ายคนอื่นต่อให้ไม่ถึงกับเข่นฆ่าชีวิตคนอื่นแต่ก็ทำลายชื่อเสียงทำลายศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของคนอื่น คนประเภทนี้ไร้มโนธรรมสำนึก ชอบวางกับดักทำร้ายคนอื่น เจ้าทั้งหลายอาจจะสงสัยว่าทำไมจึงมีผู้บำเพ็ญอย่างนี้อยู่ในอาณาจักรธรรมอีกใช่ใหม ? มีแน่นอน คนรับธรรมะมีมากมาย แต่ที่มุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรมยังต้องรอดูก่อน

ฉะนั้นอย่าได้มีจิตคิดร้ายต่อคนอื่นต้อง คิดดี ทำดี พูดในแง่ที่ดี
คนอื่นเขาทำอะไรเจ้าอย่าพึ่งไประแวงสงสัยเขา
คนอื่นทำผิด เจ้าต้องรู้จักตักเตือนเขา อย่าได้คิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ
เจ้าทั้งหลายมีความก้าวหน้าหรือไม่
เจ้าทั้งหลายรู้จักให้ทานหรือเปล่า ?
เจ้าทั้งหลายก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม ?
จะต้องรู้ด้วยตัวเองจึงจะดี คนอื่นรู้ก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเองรู้ก็เป็นของตัวเอง ถูกหรือไม่ถูก ?

     คนอื่นก็ต้องบอกว่าเจ้าก้าวหน้าอยู่แล้ว มีแต่จะก้าวหน้าจริง ๆ หรือไม่ก็ยังไม่แน่ ตัวเองก้าวหน้าหรือไม่ก็ต้องถามเอาจากตัวเอง มีอย่างที่ใหนที่ถามเอากับผู้อื่น ตัวเองก้าวหน้าหรือไม่ จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน ?
      
     ถ้ำเมฆาโบยบินนี้ เป็นถ้ำที่เจ้าทั้งหลายได้นั่งอยู่ข้างในเพื่อย้อนมองส่องตน เพื่อฝึกฝนเคี่ยวกรรมตน หากในใจยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง พิษทั้งสามนี้ยังหลงเหลืออยู่ พอมาถึงที่นี่ เมื่อใดที่กิเลสความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นเมื่อนั้นมีดก็จะโบยบินแล้วจะพุ่งเข้ามาปักกลางทรวงอก เจ็บปวดอย่างยิ่ง ถึงจะเป็นร่างญาณแต่มีดก็ไร้รูปลักษณ์ ปักลงไปเจ็บปวดเหมือนถูกมีดทิ่มแทง จะรู้สึกเจ็บเหมือนจริง จะณุ้สึกชาเหมือนจริง แล้วมีดที่ปักอยู่กลางอกจะหายไปเมื่อไหร่ล่ะ ? ก็รอจนเจ้าจิตสงบ อารมณ์เยือกเย็น กิเลสความคิดฟุ้งซ่านหายไป มีดนั้นก็จะหายไปด้วย เมื่ออารมณ์ความคิดผุดขึ้นมาอีก มีดก็จะโบยบินมาอีก ความคิดยิ่งฟุ้งซ่าน จำนวนมีดที่โบยบินมาก็จะยิ่งมาก หากอารมณ์ความคิดฟุ้งซ่านมีน้อย มีดที่โบยบินมาก็จะน้อยลง เหตุผลง่าย ๆ อย่างนี้เข้าใจไหม ?

       ส่วนที่เหลือ ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาเดิมของแต่ละคนนั่นก็คือ เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม ปัญญาธรรมและ สัตยธรรม

     เมตตาธรรม คนที่ขาดเมตตาธรรมนั้นใช่ว่าจะบกพร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่เป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่โต เช่นว่าวันนี้ฉุดช่วยคนมา ๕๐ คนช่างปะไร ไม่ต้องไปส่งเสริมเขาหรอก และหากเจ้าฉุดช่วยคน ๑๐๐ คน แต่มีเพียง ๑ หรือ ๒ คนเท่านั้นที่ตั้งปณิธานกินเจเจ้าก็มุ่งหวังโลภอยากได้หน้า โลภแต่บุญกุศลและยังยึดติดในบุญกุศล
     ไม่ตั้งใจไปส่งเสริมคนให้ดี ไม่มีเมตตาจิต คนอื่นเขาตกทุกข์ได้ยากแต่เจ้าไม่ได้ไปช่วยเขา เห็นเขาหกล้มแต่ไม่ยอมไปพยุงเขาขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่า ขาดเมตตาธรรม เจ้าทั้งหลายเป็นอย่างนี้ไหม ? อย่าเอาแต่บำเพ็ญจนอะไรก็ไม่ประสีประสาไม่รู้จักคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่การบำเพ็ญธรรมก็คือการบ่มเพาะเมตตาจิตเข้าใจหรือเปล่า?

     มโนธรรม เป็นหลักคุณธรรมระหว่างพี่น้อง ชายหญิงทั้งหลายต้องร่วมกันรักษาไว้ให้ดีคือ ต้องมีมโนสำนึกรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าได้ชิงดีชิงเด่น อย่าได้ยื้อแย่งบุญกุศลกัน หากเป็นเจี่ยงซือด้วยกัน ก็อย่าได้นินทาซึ่งกันและกัน คนอื่นดีเจ้าก็พลอยได้ดีไปด้วย หากเจ้าเก่งแต่กล่าวหาผู้อื่นไม่ดูแลพี่ๆน้องๆ ไม่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น ในทางตรงกันข้ามกลับคิดร้ายทำลายล้างคนอื่น และไม่ยอมร่วมงานกับคนอื่นในสถานธรรมอย่างนี้ไม่ถูกต้องอย่างนี้ย่อมไรัมโนธรรมสำนึก
     ที่จริงแล้ว การบำเพ็ญธรรมต้องเสมอต้นเสมอปลาย ต้องรู้จักสนองรับเบื้องสูง และนำพาเบื้องล่างใช่หรือไม่ ?
ต้องเคารพเทิดทูนอาจารย์ทั้งสาม ( พระบรรพจารย์  พระอาจารย์ชาย  พระอาจารย์หญิง ) ต้องสำนึกขอบคุณ
อาจารย์แนะนำ และอาจารย์รับรอง ทั้งหมดนี้ล้วนครอบคลุมอยู่ในมโนธรรมสำนึกทั้งสิ้น

     จริยธรรม ก็คือ จริยะพุทธระเบียบ มาถึงสถานธรรมเห็นเฉียนเหยิน หรือ เตี่ยวฉวนซือ ก็ต้องรู้จักกราบรับพระโองการสวรรค์ กราบคารวะ กราบอำลา ถึงจะไม่ได้กราบลาอย่างเป็นทางการแต่ในใจก็ยังต้องมีความเคารพนอกจากนี้ในสถานธรรมยังมีรายละเอียดของพุทธระเบียบอีกมากมายที่ต้องฝึกฝน เช่น เวลากราบไหว้พระก็ต้องช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่ากราบแบบลวกหยาบขอไปทีเหมือนกับการเคาะไม้หัวปลา (บักฮื้อ) เคาะ เคาะ เคาะ ที่ประเดี๋ยวก็เคาะเสร็จอย่างนี้ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เจ้าทั้งหลายต้องนำไปพินิจพิจารณา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ต้องเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน

     ปัญญาธรรม ผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักใช้ปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ไม่ใช่เดี๋ยวติดตามคนโน้นบำเพ็ญ เดี๋ยวติดตามคนนี้บำเพ็ญ เดี๋ยวมีอคติคนนี้พอติดตามคนผิด ก็เปลี่ยนไปติดตามคนใหม่อีก อย่างนี้ไม่นานสถานธรรมทั่วประเทศเจ้าคงไปทั่วหมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการบำเพ็ญปฏิบัติอยู่นั่นเอง

     ดังนั้นจะทำอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาดเจ้าเข้าใจไหม ? อย่าได้คลางแคลงใจว่าพระพุทธะที่คนอื่นบูชาใหญ่กว่าส่วนพระพุทธะที่เราบูชานั้นเล็กกว่า  ไม่มีเรื่องอย่างนี้หรอกที่จริงแล้วพระพุทธะอยู่ที่ใด?ก็อยู่ในพุทธจิตธรรมญาณนั่นแหละใช่หรือไม่? ทุกคนล้วนมีพุทธะจิตญาณตน ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายพึงเข้าใจว่า การบำเพ็ญธรรม ต้องรู้จักอาศัยปัญญาญาณ จงอย่าบำเพ็ญโดยอิงคนอื่น คนอื่นเขาบอกว่า "เธอติดตามบำเพ็ญกับฉันต้องบรรลุธรรมได้แน่นอน"บรรลุจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า ? จะบำเพ็ญให้สำเร็จก็ต้องอาศัยตัวเองเท่านั้น อย่าไปสนใจกับคำพูดของคนอื่น ที่ว่าเปลี่ยนธรรมกาลแล้ว ต้องรับธรรมะใหม่ ต้องเบิกจุดใหม่ เบิกที่ใต้สะดืออย่างนี้ก็จะบรรลุธรรมได้หรือ? เป็นไปไม่ได้แน่นอน ไม่ว่าเจ้าจะเคยให้ทานบริจาคทรัพย์มามากเท่าไหร่ ? ไม่ว่าเจ้าจะได้บำเพ็ญมานานแค่ใหน ?หากไม่รู้จักรักษากฏสวรรค์ ขาดซึ่งปัญญา ไมาสามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ และยิ่งไม่สามารถบรรลุสู่ฝั่งพระนิพพานได้เช่นกัน เข้าใจไหม ?

     สัตยธรรม คือการที่ต้องรักษาสัจจะ ใช่หรือไม่ ? หมายความว่าเมื่อคำพูดใดออกจากปากต้องทำตามคำพูดนั้นอย่างนี้ใช่หรือไม่ ? และอย่างเช่นตั้งปณิธานอย่างพร่ำเพรื่อตั้งไป ๑๘ ข้อแต่ทำแค่ ๕ - ๖ ข้อเท่านั้นหรือว่าเขาไม่ได้บำเพ็ญเลย ? ที่จริงก็มีบำเพ็ญแต่ทำไม่ได้เท่านั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเร่งรัดไปกระทำ ไม่ใชว่าเวไนยสัตว์ฉุดช่วยไม่สิ้นก็ไม่สามารถบรรลุสู่ความเป็นพุทธะ พระแม่องค์ธรรมไม่ไร้เมตตาถึงขนาดนั้นหรอก เพียงแต่เป็นการเตือนสติตัวเองว่าปณิธานที่ตั้งแล้วได้มุ่งมั่นไปเจริญกันหรือเปล่า ? ได้เสียสละอย่างแท้จริงหรือไม่ ? จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ต่างหาก ใช่ว่าการบำเพ็ญธรรมจะลำบากอย่างที่คิด และใช่ว่าบำเพ็ญอย่างลำบากแล้ว กลับไปยังต้องถูกกักขังที่คุกสวรรค์อีกก็หาไม่ หากแต่กรณีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หมายถึงความผิดบาปที่หนักหนาสาหัส และอารมณ์อุปนิสัยที่เร่าร้อนอย่างยิ่ง แต่หากเจ้าทั้งหลายตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติ หมั่นพิจารณาย้อนมองส่องตน มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุปนิสัยอารมณ์ไม่ดีของตนมีความเคารพนบนอบเฉียนเหยินเตี่ยนฉวนซือและผู้ร่วมบำเพ็ญอย่างจริงใจ เช่นนี้ก็เป็นบุญกุศลแล้ว

     เมื่อครู่นี้ได้พูดถึงธรรกาลยุคเขียว และธรรมกาลยุคแดง ในธรรมกาลสมัยที่ผ่านมาก็มีผู้บำเพ็ญธรรมที่ถูกจองจำในคุกสวรรค์มาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเหตุใด ?ทั้งนี้ตั้งแต่ธรรมกาลยุคเขียวมา ก็มีผู้บำเพ็ญที่ฝักใฝ่อิทธิฤทธิ์ อภิญญา คิดว่าตนมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นานา จึงมีการกดขี่รังแกผู้อื่นชอบทำลายล้างคนอื่นอย่างนี้ก็เป็นบาปกรรมเหมือนกันตัวเองต่างก็คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ต่อสู้กันไปต่อสู้กันมาในที่สุดก็ต้องมีฝ่ายแพ้  ฝ่ายแพ้ก็ต้องหาวิธีใหม่ ๆเพื่อหวังจะแก้แค้นทำให้ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง สุดท้ายความโลภ ความโกธ ความหลง ก็จะปรากฏออกมาดังนั้นคนที่เราลุ่มหลงกันไปนั้นก็เป็นเพราะตอนมีชีวิตอยู่นั้นทำสิ่งแปลก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางฝ่ายที่ต้องการปกป้องหน้าตาของตนเอง คนประเภทนี้แย่ที่สุด

     จึงเห็นได้ว่าตั้งแต่อดีตกาลมาก็มีคนบำเพ็ญธรรมจำนวนมากที่ต้องลงเอยที่คุกสวรรค์เพื่อบำเพ็ญเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นที่ที่ช่วยให้บังเกิดการสำนึกขอขมา อิทธิฤทธิ์อภิญาที่ได้มาจริงยั่งยืนหรือเปล่า ?ไม่จีรังแน่นอนสุดท้ายทุกอย่างก็ต้องจบสิ้นไป สำคัญอยู่ที่ภูมิธรรมและจริยวัตรในการบำเพ็ญปฏิบัติ เพราะการมีอภิญญาไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถกลับคืนสู่อนุตตรภูมิแดนนิพพานได้ก็หาไม่ ต่อให้มีอภิญญา เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสูญสิ้นไปเองโดยปริยาย กล่าวคือต่อให้เจ้าบำเพ็ญจนได้อภิญญา แต่หากจิตญาณแปดเปื้อนไม่บริสุทธิ์ อภิญาก็ย่อมถูกกิเลสบดบัง จึงเห็นได้ว่าผู้บำเพ็ญธรรมในอดีตที่ละเมิดพุทธระเบียบผิดต่อวินัยแห่งฟ้าล้วนต้องถูกลงโทษ

     ในเมื่อทุกคนล้วนมีปัญญาญาณก็ต้องรู้จักนำออกมาใช้ ยังมีบางอย่างที่ฉันไม่ได้กล่าวถึง นั่นเพราะฉันไม่อยากจะพูด พระแม่องค์ธรรม มีบัญชากำชับว่าให้ฉันพูดอย่างพอเหมาะพอควรก็ได้แล้วฉันจึงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ แค่พูดให้ทุกคนเข้าใจก็พอแล้ว ผู้ที่ถูกกักขังในคุกสวรรค์ เป็นนักธรรมอาวุโสในอาณาจักรธรรม เสียส่วนใหญ่ เนื่องจากนักธรรอาวุโสมักกระทำผิดได้ง่าย คำพูดเพียงคำเดียวก็เกิดข้อผิดพลาดใหญ่ได้แล้ว เอาล่ะ พูดสิ่งอื่น ๆ ให้เจ้าทั้งหลายได้หูตาสว่างบ้างดีกว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12/10/2010, 19:57 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
คุกตะกร้าไม้ใผ่

     อุปมาดั่งการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำสุดท้ายย่อมว่างเปล่า ในคุกสวรรค์นั้นมีทัณฑสถานหลายแห่ง มีคนต่างๆ นานา ที่ถูกจองจำกักขัง เช่น คนที่ผิดต่อปณิธาน คนที่ผิดศีล ฯลฯ คนบำเพ็ญที่ผิดศีลควรทำอย่างไรดี ?ก่อนอื่นต้องดูว่ามีจิตสำนึกขอขมามากแค่ใหน? มีความผิดบาปมากน้อยเท่าไหร่ ? ใช่ว่าฟ้าเบื้องบนจะละเลยในคุณงามความดีที่เจ้าเคยสร้างสมมาก็หาไม่ บุญกุศลก็ส่วนบุญกุศล ก็ต้องมอบมรรคผลให้เจ้า แต่ความผิดบาปต้องชำระสะสางให้สิ้นก่อนเท่านั้นเอง

     อะไรคือ "ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำสุดท้ายย่อมว่างเปล่า" ก็คือผู้บำเพ็ญที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาตลอดชีวิต แต่เป็นการบำเพ็ญอย่างหลับหูหลับตา เลอะ ๆ เลือน ๆ ทำไปก็รั่วไหลไป ด้านหนึ่งได้กินเจแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งก็ฆ่าไก่ ด้วยด้านหนึ่งฉุดช่วยคน แต่อีกด้านหนึ่งก็ขายเนื้อหมู คนประเภทที่ว่านี้ต้องมาสิ้นสุดลงเอยที่นี่แน่นอน หากจะถามว่าเขาบำเพ็ญได้ดีหรือไม่นั้น ? เชื่อว่าเขาบำเพ็ญได้ดีไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องเช่นกัน นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่างเท่านั้น

     โทษทัณฑ์อย่างนี้คือ การมีสระน้ำหนึ่งสระทุกคนจะได้รับตะกร้าที่ทำจากไม้ไผ่กันคนละหนึ่งใบ ให้ไปตักน้ำในสระเพื่อถ่ายไปยังอีกสระหนึ่งที่ว่างเปล่า อย่างนี้จะทำอย่างไรดี ? ให้เจ้าทำดูได้หรือเปล่า ? ใชัตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำไม่สามารถรองรับน้ำไว้ได้ใช่หรือไม่ ? น้ำในตะกร้าที่ตักจะรั่วไหลออกไปหมดใช่หรือเปล่า ?การบำเพ็ญธรมก็เช่นกัน อารมณ์อุปนิสัยไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไข ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ถึงจะไม่มีความผิดบาปร้ายแรง แต่ก็ได้สะสมความผิดบาปเล็ก ๆน้อย ๆ ก็ไม่แตกต่างอะไรกัน กรณีอย่างนี้ต้องมาฝึกฝนเคี่ยวกรำที่นี่

แล้วจะฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างไร ?

     ก็เรียกให้เอาตะกร้าไม้ไผ่ไปตักน้ำ ตักจนบาปหนี้เวรกรรมทั้งหมดถูกลบล้างไป เมื่อบาปหนี้เวรกรรมลบล้างจนสิ้นตะกร้าก็จะตักน้ำได้เองโดยปริยาย น่าอัศจรรย์จริง ๆฟังเข้าใจหรือไม่ ?นั่นก็หมายความว่าบุญกุศลของเจ้าได้ปรากฏแล้วในที่สุด แม้ตะกร้าไม้ไผ่ก็สามารถรองรับน้ำได้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งสำหรับคนที่บาปกรรมไม่มาก ทัณฑสถานที่ว่านี้ไม่ใช่อยู่ในถ้ำแต่อยู่นอกถ้ำ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12/10/2010, 19:59 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
10 : คุกสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง-คุกแบกทราย
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 4/08/2010, 13:29 »
คุกแบกทราย

        "คุกแบกทราย"
มีการลงทัณฑ์กันอย่างไร? ดูเหมือนกับการที่มีบาปกรรมสูงเยี่ยงภูเขา ซึ่งสร้างขึ้นโดยการทับถมของเม็ดทรายที่มีจำนวนมากมายประมาณไม่ได้ ความผิดบาปของเจ้าในที่นี้หมายถึงการไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ เวลาเตี่ยนฉวนซือบอกว่า"เราจะไปปฏิบัติงานธรรมกี่โมง ๆ..."เจ้าตอบว่า ครับ - ค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปตามที่รับปากคำไว้ คนอื่นให้เจ้าช่วยทำอะำไร เจ้าล้วนตกปากรับคำ แต่สุดท้ายก็เสียสัตย์ผิดคำพูด อย่างนี้ที่เรียกว่าขาดความรับผิดชอบ เบื้องบนจะคอยจดบันทึกไว้ กลับไปแล้วค่อย ๆ ให้เจ้าได้แบกรับ แบกจนเม็ดทรายบนภูเขานี้หมดไปจึงจบสิ้น เจ้าก็จะได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ซึ่งสวยงาม รอคอยเวลาไปเป็นเทพเซียน อย่างนี้ฟังเข้าใจหรือไม่ ? เรื่องราวบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เบื้องบนล้วนจดบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน

         คนอื่นเขาว่าเจ้าอย่างไรทำไมเจ้าจึงไม่ฟัง เจ้าควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข คนอื่นเขาว่าเจ้าไม่ถูกต้อง เจ้าก็ต้องสำนึกขอขมาเข้าใจหรือไม่ ? วันนี้เจ้าเป็นเจี่ยงซือ ก็ควรบรรยายธรรมให้คนอื่นฟัง อย่าได้อำพรางเก็บเนื้อเก็บตัวถ้าอำพรางเก็บเนื้อเก็บตัว ที่เบื้องบนได้ประทานโองการให้กับเจ้าไป ก็ไม่มีความหมายแล้วใช่หรือไม่ใช่อย่างนี้ ?

          เป็นถึงเตี่ยนฉวนซือแต่ไม่ออกมาปฏิบัติงานธรรม ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับบ้าน เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน กวาดบ้านถูเรือนหรือไปหาเงินหาทองนอกบ้าน ไปทำการทำงานอย่างนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าทั้งหลายฟังเข้าใจหรือเปล่า ?

          เบื้องบนประทานหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้า แต่เจ้ากลับไม่ไปกระทำตามหน้าที่ ความผิดบาปหนี้ไม่ธรรมดาเข้าใจหรือเปล่า ? เจ้าทั้งหลายได้แบกรับภาระหน้าที่หรือไม่ ? แบกรับหน้าที่อะไร ? ไม่แบกรับหน้าที่แล้วจะกลับคืนไปได้อย่างไร ?สิ่งศักดิ์สิทธิ์พุทธะอริยะเจ้า ล้วนตั้งมหาปณิธานกันทั้งนั้นเช่นเดียวกันหากเจ้าไม่ก่อคุณธรรมใหญ่และยิ่งไม่ได้แบกรับภาระหน้าที่แล้วจะกลับคืนไปได้อย่างไร ? หรือจะเป็นปุถุชนคนธรรมดาต่อไป นี่เป็นโทษทัณฑ์ที่หนักมาก ๆ พวกเจ้าอย่าได้เห็นว่า ทรายเป็นแค่ของเล็ก ๆ ที่จริงแล้วมันหนักมาก แต่จะเบาหรือหนักนั้นก็ต้องดูที่ใจของพวกเจ้าแต่ละคนเองอีกด้วย                                      
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13/10/2010, 09:29 โดย ติ๊กน้อย »

Tags: