collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋  (อ่าน 29666 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      ทุกอย่างล้วนมีฐาน ฐานของชมรมคุณธรรมคือ หญิงชายเพราะนั่นหมายถึงพลโลก (หญิงชายเป็นต้นกำเนิด) จากนั้นจึงจำแนกเป็นสามีภรรยา พ่อแม่ลูก พี่น้อง เพื่อนพ้อง ฮ่องเต้กับไพร่ฟ้า (ผู้ใหญ่กับผู้น้อย) อันเป็นคุณสัมพันธ์ต่อกัน (คุณสัมพันธ์ห้า)
      สามี-ภรรยาเป็นจุดเริ่มต้นของคุณสัมพันธ์ ชมรมคุณธรรมของเราจะปรับแปรสังคม จะต้องเริ่มต้นจากหญิง-ชายให้ต่างเที่ยงตรงอยู่บนฐานของตนหยัดยืนด้วยตน
      คุณสัมพันธ์ห้ามีระเบียบ ครอบครัวพร้อมพรัก บ้านเมืองย่อมปกครองได้ดี คำว่าชมรมคุณธรรม เป็นแต่นามรูปว่างเปล่าจะต้องมีคนคุณธรรม พูดคุณธรรม ทำการคุณธรรม มาประจุเต็ม จึงจะเป็นชมรมคุณธรรมอย่างแท้จริง เหมือนตุ่มใส่น้ำ เรียกตุ่มน้ำ ใช้หมักเต้าเจี้ยวเรียกตุ่มเต้าเจี้ยว ชื่อจะต้องตรงต่อความเป็นจริง
      คนในชมรมคุณธรรม จะต้องเผยแพร่คุณธรรมได้ ผู้ที่แพร่นำแบบแผนคุณธรรมได้คือห้วหน้าผู้มีคุณ หากตรงกันข้าม ก็จะเป็นหัวหน้าของโทษผิด ปลายราชวงศ์ชิง บ้านเมืองปฏิรูปการศึกษาไม่สำเร็จแต่ฉันรู้ว่าภายหน้าคนเล่าเรียนจะรวมกันเป็นสถาบัน(โบราณต่างคนต่างเรียน) ฉันรู้ล่วงหน้าว่าอีกห้าหกสิบปีจะเปลี่ยนเป็นวงการเป็นศึกษาใหญ่(มหาวิทยาลัย) คนเล่าเรียนสมัยราชวงศ์ชิงชอบเล่นมิจฉาศาสตร์(วิชาอาคม) พอเป็นวงการศึกษาใหม่ก็เล่นศาสตร์ระราน (ยกตนข่มท่านทำลายล้างศาสตร์ต่าง ๆ ) ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นมันจบไปแล้ว
      ชมรมคุณธรรมมุ่งสอนความราบรื่นต่อทุกอย่างที่ผิดแผกเข้ามา หากชมรมคุณธรรมไม่อาจแบกรับความเป็นธรรมะ ขึ้นมาได้ในที่สุดก็จะต้องประสบภัยพิบัติเช่นกัน
      คุณธรรมกับกฏหมายบ้านเมืองเป็นคุณสมบัติใหญ่ของ อิน-หยาง พึงมีคู่กัน คนสมัยนี้ว่าคุณธรรมเติมเต็มส่วนขาดพร่องของกฏหมาย ช่างไม่รู้ว่า กฏหมายต่างหากที่เติมเต็มส่วนขาดพร่องของคุณธรรม ถ้าไม่เอาคุณธรรมเป็นหลักแม้กฏหมายจะเคร่งครัดเพียงใดก็ล้มเหลว
       ตัวไหมสร้างรังเป็นดักแด้ มิใช่หวังจะอาศัยอยู่ในนั้นตลอดไปเพียงเพื่อปรับแปรเป็นผีเสื้อออกบิน คนทำการก็พึงเป็นเช่นนี้ ก่อตั้งชมรมหนึ่ง โรงเรียนแห่งหนึ่ง ทำการค้าหนึ่ง แวะไปที่บ้านหนึ่ง ไม่ใช่จะตายตัวอยู่ที่นั่น แต่เพียงเพื่ออาศัยจุดนั้นให้ได้เจริญธรรม คนสมันนี้จับอะไรขึ้นมาได้ก็คิดว่าจะอิงอาศัยไปจนแก่เฒ่า โง่แท้
       คุณจางอย่าเซวียน ก่อตั้งโรงเรียนสงเคราะห์สตรี ที่อำเภอไห่เฉิง ได้รับผลสำเร็จมาก บุคคลากรเกิดขึ้นมากมาย โรงเรียนยืนอยู่มั่นคง ฉันเตือนเขาให้ผละออก ครูอาจารย์เจ้าหน้าที่ต่างรั้งตัวไว้ เขาเองก็ไม่อยากจากไป  ฉันบอกพวกเขาว่า โง่แท้ เขาเป็นผู้นำส่งเสริมพวกคุณขึ้นมาแล้ว ถ้าไม่ออกบุกเบิกขยายงาน ภายหน้าพวกคุณก็จะเน่าอยู่ที่นี่ ฉันเร่งรัดเขายี่สิบกว่าวัน เขาจึงจากไป มุ่งสู่มณฑลทางแถบเหนือ เพื่อกล่อมเกลาคุณธรรมแก่คนทั้งหลายต่อไป จากนั้นคุณจางอย่าเซวียนจึงได้เข้าใจธรรมะของโลกทั้งสี่คือ ความมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ กาย โรงเรียนสตรีสงเคราะห์จึงได้ขยายกว้างออกไปอีกมากมายนี่คือตัวอย่าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        บรรพบุรุษสร้างงานไว้ดีอย่างไร สุดท้ายมักจะเสียหายไปในมือของลูกหลาน แม้ศาสนาก็เช่นกันฝ่าด่านของศิษย์ไปไม่พ้นฉันจึงไม่เป็นอาจารย์ไม่รับศิษย์ ในชมรมคุณธรรมฉันไม่ให้ใครเรียกฉันว่าอาจารย์ ฉันไม่ยึดหมายในนามรูป ธรรมะเป็นความเสมอภาคไม่เป็นอาจารย์ไม่ต้องแบกรับความผิดที่ศิษย์ทำ ไม่รับศิษย์ไม่ต้องเหนื่อยใจ เป็นธรรมชาติจึงจะเป็นธรรมะ เจาะจงก็จะเป็นความตายตัว
        คนที่ศึกษาธรรมะกับฉัน ควรจะเชื่อคำที่ฉันพูด แต่คนก็ยังคงเชื่อความเคยชินของตัวเองเช่นเดิม นี่คือ ยังเชื่อไม่ถึงแก่น จึงไม่ได้รับความเป็นธรรมะ คนหากมีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง เมื่อเป็นคำพูดแท้จริง (สัจธรรม) ควรจะเชื่อ ถ้าเธอจริงแล้วแม้เท็จก็จะกลายเป็นจริงได้ แต่หากเธอไม่จริง แม้จริงก็จะกลายเป็นเท็จได้
        เรื่องในโลกนี้มักจะมีสิ่งจริงเปลี่ยนเป็นเท็จ เรื่องเท็จกลายเป็นจริงได้ เหมือนวอนขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ศรัทธาก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะเห็นว่าจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่อยู่ที่คนไม่อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
        พระเยซูฯโปรดว่า ผู้ที่เชื่อมั่นในพระเจ้าจะได้รับการช่วย ฉันว่าหนึ่งจริงทุกสิ่งจริง เมื่อพูดธรรมกล่อมเกลาชาวโลกอยู่สี่สิบปีใครเชื่อใครไม่เชื่อฉันรู้ได้หมดบ้างเชื่ออยู่สิบปี บ้างแปดปี ไม่เชื่อฉันก็ไม่นำพาต่อไป
        ฉันนำพาคน นำพาให้สูงขึ้น แต่ทางโลกนำพาคนให้ต่ำลงด้วยการจดจ้องมองดูเขา ควบคุมบงการเขา สุดท้ายทั้งโกรธเคือง ทั้งโกรธแค้น ดูเผิน ๆ คือจับตาแท้จริงแล้วรังแกเขา ฉันเองนั้นแม้แต่ลูกเมียก็ไม่จับตา ไม่จับตาขณะนี้แต่จับตาอนาคต (ดูแลให้เขาเดินถูกทางตลอดไป) นำพาให้เขาไปสวรรค์ได้ ไปพุทธภูมิได้
        คนที่ไม่เชื่อวิถีธรรม เพราะบุญน้อยจะโกรธแค้นเขาไม่ได้ ฉะนั้นฉุดช่วยคนก็จะต้องพิจารณาดูแรงไฟสุขุมกุศลมูลในตัวของเขาด้วย ฉันได้รับธรรมะแล้วก็ออกแพร่ธรรม ถ้าไม่แพร่ออกไปเท่ากับแบกรับบาปเวรใหญ่ของชาวโลก แม้ฉันจะได้รับธรรมะแต่ไม่ขายธรรมะคือ หนึ่ง ไม่อาศัยธรรมะเลี้ยงชีพกายทางโลก สอง ไม่อาศัยธรรมะเรียกเอาเงินทอง ฉันไม่กลัวจะต้องขอเขากินอาศัยแต่บุญบันดาล แต่ก่อนเข้าร่วมชมรมคุณธรรม ทางชมรมจะต้องเก็บค่าสมาชิก ฉันคัดค้านจึงยกเลิกไป ปีที่แล้วประชุมมีผู้เสนอจะเก็บค่าสมาชิกอีก ฉันว่าถ้าทำอย่างนี้จริง ๆ ในชมรมนี้จะต้องไม่มีฉัน ทุกคนจึงเลิกล้ม เราทำงานธรรมะอย่าแตกกิ่งนอกตา (ออกนอกทาง) หาทางเอาเงินเขา ฉันพูดเสมอว่า พลิกโลกสร้างมหาเอกภาพ ใคร ๆ ก็หัวเราะว่าฉันคุยโว แท้จริงคำพูดนี้ไม่อวดใหญ่เลย เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะพลิกจึงว่าฉันคุยโว
         เรื่องใหญ่ทำให้เล็ก เรื่องเล็กทำให้ใหญ่ นี่ก็เป็นคำที่แฉันพูดอยู่เสมอ พลิกโลกแม้จะเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะต้องทำจากส่วนเล็ก เล็กจนเหมือนฝุ่นธุลี ความคิดของคนที่ละเอียดประณีตไงล่ะ จะต้องพลิกความคิดของคนขึ้นมาเห็นแก่ตัวให้กลายเป็นเห็นแก่ส่วนรวม ชั่วร้ายให้กลายเป็นเที่ยงตรง อย่างนี้โลกก็จะถูกพลิกขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ
        ฉันพูดเสมอว่าเรื่องใหญ่ให้ทำเล็ก เรื่องเล็กให้ทำใหญ่ สร้างสันติสุขแก่ชาวโลกเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องเป็นเรื่องจากบ้านเมืองไปสู่ครอบครัว จากครอบครัวสู่ตัวตน สู่จิตใจ สู่เจตนา สู่รู้แท้ สู่พิจารณา ปลงเห็นความเป็นจริง อย่างนี้ย่อลงจนเล็กมากแล้วใช่ไหม ฉันเป็นชาวนา โง่เขลาที่สุด ไม่เคยเรียนหนังสือสักวันเดียว แต่พูดอยู่ร่ำไปว่าจะพลิกโลก สร้างมหาเอกภาพ ทุกคนหัวเราะว่าฉันคุยโว แท้จริงแล้วเขาไม่เข้าใจข้อความในคัมภีร์มหาบุรุษที่ว่าเริ่มทำจากจุดเล็กนิดเดียวก่อนคือ ให้เจตนาศรัทธา จากนั้นจะให้โลกเกิดความสงบสุขราบเรียบมันจะยากอะไร คนทั่วไปมักจะคิดว่าทำโลกให้เกิดความสงบ ความสงบสุขราบเรียบมันเรื่องของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่ฉันคิดว่ามันจะต้องเริ่มจากตัวของเด็กน้อยเลยทีเดียว ตั้งแต่เล็กก็ป้อนความคิดจิตใจคุณธรรมแก่เขาแผ่กว้างออกไปจนทั่วโลก อย่างนี้โลกนี้จะยังไม่สงบสุขราบเรียบได้หรือ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      ธรรมะต้องดำเนินการ คุณธรรมจะต้องปฏิบัติสร้างสม ไม่ดำเนินการจะไม่ได้ธรรม ไม่ปฏิบัติจะไม่มีคุณธรรม เบื้องบนโปรดกำหนดชื่อตามหลักของเบื้องบน คนจะต้องทำตามสถานภาพของตนจึงจะสอดคล้องกับวิถีธรรม
      สร้างสมความดีตามวิถีธรรมก็คือคุณธรรมฟ้าก็จะได้รับคุณจากวิถีและคุณธรรมนั้นโดยไม่ต้องคะนึงหา คนสมัยนี้ดีแต่ภาวนาเงินทอง ไม่รู้จักสั่งสมคุณธรรมนั่นคือทิ้งต้นไปหาปลาย เท่ากับออกดอกลวงตา แต่ต้นไม้ไม่หยั่งรากจะตกผลได้หรือ คุณธรรมเป็นราก เงินทองเป็นผล อยากร่ำรวยก็ต้องสร้างสมคุณธรรม คุณธรรมเป็นเมล็ดพันธ์ของต้นไม้เงินต้นไม้ทองนั่นเอง จึงกล่าวว่าผู้มีมหาบารมีคุณ ย่อมได้รับลาภสักการ
      คุณธรรมไม่มีที่โลภเอาไว้ คุณความดีไม่มีที่ชิงเอาได้ บุญวาสนาไม่มีที่ควานเอาได้ ทำการให้ดี ช่วยคนให้ได้สำเร็จเป็นคุณความดี ผู้มีคุณความดีย่อมเป็นผู้มีสิทธิอำนาจในมือ หากได้แต่อวดโอ้ชิงเอา หรือกายได้กระทำคุณความดีแต่ในใจขัดข้อง อย่างนั้นก็เหนื่อยเปล่าไม่ได้คุณความดี สละทรัพย์สร้างบุญหรือเตือนใครให้สร้างบุญกุศล ชาติหน้าเกิดใหม่ได้วาสนา ได้รวย แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร แต่หากสอนเขาให้ละจากนิสัยเคยชินที่ไม่ดี ปรับแปรอนุสัยคั่งค้าง ขจัดความหม่นหมองในจิตญาณ อย่างนี้เรียกว่าฉุดช่วยจิตญาณ ช่วยจิตญาณคือช่วยนิรันดร์นานนั่นคือคุณธรรม วิญญาณใสจึงจะดำรงรักษาคุณธรรมไว้ได้
      คนกระจ่างใจ เทิดชูคนโง่เขลาได้ เรียกว่าคุณธรรม คนโง่เขลาเชื่อฟังคำพูดของผู้กระจ่างใจเรียกว่ามีคุณธรรม คนที่เกิดมาชาญฉลาด ก็เพื่อจะได้เทิดชูคนโง่เขลา คนกระจ่างใจแม้ไม่เทิดชูคนโง่เขลาก็คือผิดต่อชีวิตจากฟ้า (เทียนมิ่ง) คนโง่เขลาไม่เชื่อถือทำตามคนกระจ่างใจก็ขัดต่อชีวิตจากฟ้าเช่นกัน
      แม้ฉันจะกล่อมเกลาชาวโลกมาหลายปี แต่ยังคงรู้สึกผิดต่อเขา เพราะเขาเหล่านั้นไม่อาจกระจ่างใจยิ่งกว่าฉัน หากมีใครกระจ่างใจยิ่งกว่า ฉันจึงจะวางใจ ฉันมักได้ยินเขาว่า""ชายชาตรี (ใจกว้าง)ขดน้อมได้ ยึดยื่นได้ (สูงได้ต่ำได้) ในความคิดของฉันคือ เมื่อพบคนโง่เขลา รองรับเขา เทิดชูเขาได้ เรียกว่าขดน้อมได้ เมื่อพบคนสูงส่งกว่า จิตมุ่งมั่นจะต้องทะยานไกล มิควรหดหายถูกข่มไว้ เรียกว่า ยึดยื่นได้
     สร้างงานที่เป็นคุณประโยชน์ให้มาก ผูกบุญสัมพันธ์กับใคร ๆ ให้มาก นี่เป็นคุณความดี เมื่อมีคุณความดีภายนอก ย่อมจะมีผลของคุณความดีภายใน คุณสัมพันธ์ต่อกันทำให้ดีที่สุด งานกุศลประโยชน์ทำให้ดีที่สุดเป็นคุณความดีภายนอก อุปมา ต้นไม้รากงอกออกก้าน ยื่นกิ่งผลิใบออกดอก นี่เป็นคุณความดีภายนอก คุณความดีภายนอกพร้อมแล้วจึงตกผล คือคุณความดีภายใน
     คน ถ้าไม่สร้างคุณความดีภายนอก จะไม่ตกผลคุณความดีภายใน เช่นเดียวกัน การพูดธรรมะพูดอย่างเดียวกันแต่บางคนไม่ทำตามที่พูด พูดดีเพียงใรคนก็ไม่สนใจอีกทั้งยังจะถูกว่าร้าย คนที่พูดแล้วทำพูดหนึ่งคำเขาก็เชื่อหนึ่งคำ แม้จะเป็นภาษาชาวบ้านผู้ฟังก็ยังได้ธรรมะ ทำให้เห็นถึงคุณความดีภายนอกที่ตกผลภายใน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        มีผู้ยอมรับนับถือเพียงไรก็คือมีคุณธรรมเพียงนั้น มีผู้เคารพเชื่อถือเท่าไร ก็มีคุณความดียิ่งใหญ่เพียงนั้น ชาวโลกกลัวตายในภาวะสงคราม ในน้ำลึกไฟร้อนแรงช่างไม่รู้เลยว่า ใฝ่ชื่อ เสี่ยงตายในชื่อเสียง ใฝ่ผลประโยชน์ เสี่ยงตายในผลประโยชน์ หารู้ไม่ว่าอย่างนี้เท่ากับอยู่ในภาวะน้ำลึกไฟร้อนเหมือนกัน
       ฉันพูดธรรมะไม่ต้องการชื่อเสียงคือ"ตกไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่จม" คุณธรรมสืบสายไหลรินตั้งแต่โบราณกาลจนถึงบัดนี้ไม่มีขาดสาย แต่น่าใจหายที่ยิ่งไหลยิ่งต่ำลงจนถึงใต้น้ำ ใต้น้ำคืออะไรก็""น้ำเงิน""ที่ผู้คนชื่นชอบกันนักน่ะสิ ชื่นชอบน้ำเงินกันจนหมดสิ้นมโนธรรมน้ำใจกันแล้ว ธรรมะก็ถูกโยนทิ้งไปด้วย ที่ฉันเป็นนักบุญได้ เพราะทุกคนยอมรับนับถือฉันที่ตัดขาดจากเงินทองได้
       ผู้เรียนรู้ธรรม ไม่ไปเรียนรู้ความเป็นพุทธะ แต่ไปซ่อมสร้างวัดเสียก่อนเท่ากับพระพุทธะใช้งานเขาจนต้องห่างไกลไปจากพุทธะ คนเล่าเรียน เอาแต่อ่านไม่ปฏิบัติตาม เท่ากับตำราเรียนทำให้เขาต้องห่างไกลไปจากความรู้จริง
       คนในชมรมคุณธรรม เอาแต่พูดธรรมไม่ดำเนินธรรม เท่ากับธรรมะใช้งานเขาจนต้องห่างไกลไปจากคุณธรรม ที่ฉันรู้มาคือ คนโบราณหนึ่งท่านจะเจริญรอยตามคนโบราณหนึ่งท่าน
       คนปัจจุบัน ก็เอาแบบอย่างคนมีธรรมปัจจุบันหนึ่งคนเรียนรู้อักษรหนึ่งตัวก็ปฏิบัติตามความดีในหนังสือตัวนั้น อย่างนี้เรียกว่า ""รู้กับทำประกอบกันเป็นหนึ่งเดียว""
       หลอกลวงรังแกคนเป็นกรรมที่ผูกเวรเหนื่อยหนักแก่เขาเป็นผิดต่อเขา บาปแก่ตน ช่วยเหลือคนเป็นคุณความดี ช่วยคนให้สำเร็จความดีเป็นคุณธรรม ตนเองจะต้องคิดดูเสมอ เราเองกำลังทำหน้าที่เป็นคนอย่างไร

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       จิตมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ กาย เป็นสี่โลกใหญ่ คนหลง งมงายจะพูดว่า บนสะพานอนิจจังในนรกมีสามเส้นทาง ทางหนึ่งเป็นทอง ทางหนึ่งเป็นเงิน ทางหนึ่งเป็นนรก ฉันว่า ใช้จิตมุ่งมั่นตั้งตนเป็นเส้นทางทอง ใช้เจตนาดำริวางตัวเป็นเส้นทางเงิน ใช้กายใจทำการ (ตามอารมณ์ความเคยชิน) ก็คือเส้นทางนรก
       คนในโลกของจิตมุ่งมั่น ใครจะอย่างไรก็ไม่ว่ากระไร (รับได้ไม่ว่ากัน) คนในโลกเจตนาดำริรู้พอเพียง คนในโลกของใจจะโลภอยาก คนในโลกของกายจะชอบต่อสู้ คนที่ไม่ว่ากระไรเรียกว่าไม่มีใจ(ไม่ยึดหมาย) คนรู้เพียงพอเรียกว่าหมดจดใจ คนที่ชอบโลภเรียกว่ากังวลใจ คนที่ชอบต่อสู้เรียกว่ากากใจ กากใจคือผี กังวลใจคือคน หมดจดใจคือเทพยดา ไม่มีใจคือพุทธะ คนในโลกของ""กาย""รู้แต่จะทำเพื่อกายมีตนเองไม่มีใครอื่นใด ไม่คำนึงเหตุผลเห็นอะไรก็อยากได้ไว้ครอบครองเอาเปรียบเขาไม่ได้ก็โกรธพาลชกต่อย หม่นหมองข้องใจอยู่เสมอจึงเรียกว่า""ผี" คนในโลกของ""ใจ"" โลภมากอยากได้ไม่รู้จักพอคิดฟุ้งซ่าน ชอบคิดวางแผน ฉ้อฉลกลอุบาย เป็นจัณฑชนคนใจแคบต่ำทราม คนในโลกของ ""จิตมุ่งมั่น"" ทุกอย่างจะไม่พูดรู้ซึ้งถึงเหตุต้นผลกรรม ไม่หาเหตุให้ตนและใคร ๆ ต้องเวียนว่ายเกี่ยวกรรมอีก คนที่ไม่ว่ากระไรก็คือ""พุทธะ"" คนหากคิดที่จะล่วงพ้นเข้าสู่อริยภาวะ ก็จะต้องย้ายโลกให้เป็น  ฉันพูดเสมอว่าคนจะต้องจำแนกโลกใหญ่ทั้งสี่ให้ชัดเจน หากจิตวิสัยตนราบเรียบไม่หวั่นไหว เทิดชูคนโง่เขลาในโลกขึ้นมาได้ ให้พวกเขาเป็นผู้มีปัญญา (รู้ชีวิต กำหนดชีวิตตนได้) ก็จะเป็นคนในโลกของความมุ่งมั่น อยู่ในโลกของพุทธะ หากใจว่างวางทุกอย่างลงได้ ไม่ตกค้างสิ่งใดเลย เบิกบานสบาย ไม่ทุกข์กังวล เป็นคนมุ่งมั่นจะบรรลุสู่โลกสวรรค์ หากอยากได้ไม่หน่าย จะทุกข์กังวลห่วงใยอยู่ในโลกของใจในโลกของทะเลทุกข์
        แต่หากแย่งชิงเพื่อลาภสักการะ ซ่องเสพกิเลสอบายพนันขันต่อ ใช้กำลังรุนแรงอยู่ในโลกของกาย ก็จะเป็นคนในโลกของนรก จึงกล่าวว่า โลกของจิตมุ่งมั่นคือโลกของพุทธะ โลกของเจตนาดำริ(มีเป้าหมายดี)คือโลกของสวรรค์ โลกของใจ(ปรุงแต่ง)คือทะเลทุกข์ โลกของกาย(ไม่สำรวม)คือนรก
        มั่นคงในโลกพุทธะจะไม่ไหวเอน ไม่ว่าสภาพความเป็นไป จะบั่นทอนกระทบดีร้ายอย่างไรรู้แต่จะส่งเสริมคนให้สำเร็จด้วยจิตมุ่งมั่น มั่นคงในโลกของเจตนาดำริ เป็นโลกสวรรค์เหมือนเทพยดาเิดินดิน โลกของใจคือคนกลัวได้กลัวเสียทะเลทุกข์กว้างใหญ่ คนสมัยนี้เอาใจตนเป็นหลัก อย่างนี้จะบรรลุพุทธะได้อย่างไรกัน กายเกิดจากครรภ์มีวันเสื่อมสลาย จึงอย่าได้เห็นจริงจะต้องสร้างความดี สร้างคุณธรรม ไม่เข้าช่องทางนี้มีหรือจะบรรลุธรรม
        คนในโลกของจิตมุ่งมั่น เหมือนฤดูใบไม้ผลิจะพูดเพื่อก่อเกิด งอกเงยไม่พูดแก้แค้นตอบโต้ โบราณว่า มีโทสะแต่ไม่เกิดจะลบล้างมารผจญ มีแค้นไม่ชำระคือการบำเพ็ญ ในโลกของเจตนาดำริเหมือนฤดูร้อนกุก่อง ฟูมฟัก บำรุงเลี้ยงให้สรรพสิ่งเจริญงอกงามดังคำที่ว่า กัลยาณชนช่วยคนให้งดงามสำเร็จการ  คนในโลกใจเหมือนฤดูใบไม้ร่วงกวาดเก็บจะเห็นแก่ตัวตัวใครตัวมันกระจัดกระจาย  คนในโลกกายเหมือนฤดูหนาวกักกลบชอบทำลายล้าง แห้งแล้ง รุนแรงน่ากลัว
        ฉันจึงกล่าวเสมอว่า คนในโลกจิตมุ่งมั่น กัน เจตนาดำริ เป็นผู้สร้างสรรค์โลก ส่วนคนในโลกใจกับกายเป็นผู้ทำลายโลก จิตมุ่งมั่นมีคุณสมบัติเป็นผู้ให้ทุกอย่าง แต่ปล่อยวางเหมือนไม่ได้ให้ ด้วยไม่ได้ยึดหมายเจาะจงการให้นั้น  เจตนาดำริมีคุณสมบัติไว้วางใจยินดี สละสิ่งดีให้แก่คนทั้งหลายทุกโอกาส  ใจแฝงนิสัยโลภอยาก เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว  กายมีความเคยชินเหยียบย่ำทำลาย ฉะนั้นจึงว่า ใจ กาย (แม้จะเป็นของเราเอง) จะให้มันเป็นหลักเป็นใหญ่ในตัวเราไม่ได้ ต้องให้ใจ กายฟังคำสั่งรับบัญชาจากจิตมุ่งมั่นกับเจตนาดำริสูงส่งของเรา
        เกิดเรื่องชั่วร้าย เราไม่ชั่วร้ายไปตามเขาเรีกยว่าจิตมุ่งมั่น (ใฝ่ดีคงที่)  โลกของความมุ่งมั่นจะไม่ข้องแวะกับอะไรเลย  โลกของเจตนาดำริจะเป็นโลกกว้างที่เต็มไปด้วยมโนธรรมสำนึก  โลกของใจจะคิดเล็กคิดน้อย  โลกของกายจะอิจฉาตาร้อนโมโหโทโส  พุทธะว่ามีสามพันมหาสัพพโลก ฉันว่ามีสี่มหาโลก ผู้ได้รับธรรม (กระจ่างธรรม) มองใครก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนโลกใหนเอากายมาเป็นคนไม่ว่าทำอะไรเขาจะต้องเป็นดาวมฤตยู ดาวร้าย ดาวพิฆาต  เอาใจมาเป็นคนไม่ว่าทำอะไรเขาจะวุ่นวายกังวล  เอาเจตนาดำริมาเป็นคนแม้เขาจะมีเรื่องมากยุ่งยากเพียงไรก็ไม่เหนื่อยหน่าย ไม่หงุดหงิด  เอาจิตมุ่งมั่นมาเป็นคนเขาจะไม่หวั่นไหวแม้สภาพการณ์จะเลวร้ายเพียงไรจะนิ่งเฉยได้เหมือนพระพุทธรูปบูชา
         คำพูดของคนในโลกของกาย พูดผ่านไปไม่เหลือแก่นสาร  คำพูดของคนในโลกของใจพูดไปตามอารมณ์มักไม่เป็นจริงอีกทั้งหลอกลวง  คำพูดของคนในโลกของเจตนาดำริพูดแล้วจะจดจำทำให้เป็นจริง  คำพูดของคนในโลกของจิตมุ่งมั่นแน่นเหมือนตอกตะปูจะสัตย์จริง
         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
         กายเสียหายเรื่อยไป  ใจปรุงแต่งเป็นเท็จ  เจตนาดำริคิดดีงาม  จิตมุ่งมั่นจริงแท้แน่ชัด  คนถ้าจริงแท้แน่ชัดจะซาบซึ้งถึงพุทธะ เทพยดา ผู้คน ภูตผี อย่างนี้เรียกว่าหนึ่งจริงทุกอย่างจริง ถ้าเธอไม่จริงทุกอย่างไม่จริงแม้แต่เรื่องดีก็จะกลายเป็นเท็จ ฉะนั้นกัลยาณชนเรียกร้องจากตัวเองจะไม่ขัดเคืองโทษโพยใคร ต้องสำนึกว่าใครเขาไม่จริงเป็นเพราะเราเองไม่จริง ใครเขาไม่ดีเป็นเพราะเรายังไม่ดีหรือดีไม่พอ โลกไม่ดีก็เพราะไม่ดี ในคัมภีร์มหาบุรุษกล่าวไว้ว่า หนึ่งครอบครัวมีกรุณาธรรม หนึ่งบ้านเมืองจะประเทืองกรุณาธรรม ฉันจึงยอมรับ (ไม่โทษ) ความไม่ถูกต้องของโลกนี้  คนทำผิดชอบผลักไสให้พ้นตัวไม่รู้สำรวจตนจึงเกิดเหตุขัดแย้ง คนในโลกของกายไม่รู้ว่าตนมีความผิดใครตำหนิติติงจะโกรธจนตายไม่แก้ไข คนในโลกของใจเอาหน้าเอาตาใครว่าผิดจะปิดบังอำพรางรู้ผิดไม่แก้ไข  คนในโลกของเจตนาดำริจะน้อมใจใครว่าผิดจะดีใจแก้ไขตน  คนในโลกของจิตมุ่งมั่นรู้ความผิดตนจะกราบไหว้จะสำนึกขอบคุณรับผิดตั้งแต่ในใจไม่ใช่รับแต่ปากรับผิดจริงๆ ขอขมาสำนึกจริง
          จิตมุ่งมั่นเหมือนรากของต้นไม้  เจตนาดำริเหมือนสาขาใหญ่  ใจเหมือนกิ่งแขนง  กายเหมือนกิ่งใบ  กิ่งแขนงกิ่งใบจะต้องตัดแต่งที่เรียกว่า""ให้ใจตรง สำรวมกาย"" ระหว่างจิตมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ กาย สี่โลกใหญ่นี้ มีระยะห่างกันสิบหมื่นแปดพันลี้ (ที่จิตเดิมแท้ ณ จุดญาณทวาร)
           คนในโลกของกายทำความชั่วร้ายได้ทุกอย่าง แม้บางครั้งเขาอยากกลับตัวกลับใจ พวกพ้องร่วมก๊วนจะฉุดรั้งตามติดทำให้เขาก้าวหน้าไม่ได้ ฉะนั้นย้ายโลกจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา  คนในโลกของใจใคร่จะก้าวขึ้นสู่โลกของเจตนาดำริก็จะถูกพวกพ้องคนในโลกใจฉุดดึงไว้เช่นกัน  คนในโลกของเจตนาดำริจะก้าวขึ้นสู่โลกของจิตมุ่งมั่นเพื่อนพ้องในโลกเจตนาดำริก็จะดึงไว้ฉะนั้นจะต้องแยกทั้งสี่โลกนี้ออกให้ชัดเจนจึงจะบรรลุธรรมได้
           โลกใหญ่ทั้งสี่ กำหนดสถานภาพคน หากเข้าใจก็จะรู้จักคนทั้งหมดรู้ว่าเขามาจากโลกใดในสี่โลกใหญ่ ขณะนี้เขาตกอยู่ในโลกใดทำการด้วยโลกใด (ทำการโดยจิตมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ หรือกาย ) มีสันดาน มีเวรกรรมอย่างไร จิตใจดีงามหรือเลวร้ายล้วนอยู่ในจิตใจนั้น ดังคำที่ว่า""ศรัทธาภายใน แสดงออกภายนอก"" จิตใจใสสะอาดดูออกได้ทันทียังจะดูออกอีกว่าชาติก่อน ชาติหน้า เขามาจากภาวะใด จะพ้นภาวะใด
           ผู้อรรถาพุทธธรรมว่าคนตายแล้วจะต้องเวียนสู่หกวิถี ฉันว่าหกวิถีล้วนอยู่บนตัวของเราเอง  จิตมุ่งมั่นคือวิถีพุทธะ  เจตนาดำริคือวิถีเทพฯ  ใจคือวิถีมนุษย์  โลภอยากดื้อร้ายวิถีเดรัจฉาน  อารมณ์ร้อนพลุ่งพล่านวิถีเปรต  โทสะวิถีผี  หกวิถีนี้วนเวียนอยู่บนตัวเราทุกวันไม่ต้องรอหลังการตายเลย
           เข้าถึงปรุโปร่งย่อโลกใหญ่ทั้งสี่ลงจึงจะฉุดช่วยผู้คนได้ รู้เพียงว่าพุทธะบรรลุได้อย่างไร คนเกิดได้อย่างไร แต่ไม่รู้ว่า เดรัจฉานมาจากใหน (เหตุใดจึงต้องเกิดเป็นเดรัจฉาน) เมื่อไม่รู้ก็ฉุดช่วยเดรัจฉานไม่ได้ ในสันดานของวัวควายมีธาตุไฟของความโง่ ในสันดานของสุนัขมีธาตุไม้พลังอับเฉา ในสันดานของไก่มีธาตุทองพลังอับเฉา  ขาดธาตุทองชาติก่อนขาดความสัตย์จริงจึงต้องเกิดกายรับทุกข์ในสภาพนั้น ๆ หากเราไม่รู้ความเป็นมาของสัตว์ จะช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้อย่างไร
           จิตมุ่งมั่นเป็นธรรมะของพุทธะ  เจตนาดำริเป็นธรรมะของเทพยดา  ใจเป็นธรรมะระดับคน  ชอบใช้อารมณ์คือธรรมะระดับผี  พอใช้อารมณ์พลังเทพยดาก็กระจาย  พอตั้งจิตมุ่งมั่นพลังพุทธะก็มาถึง  หากธรรมะระดับผีไม่มีความสว่างจะไม่รู้จักใฝ่ความเป็นคน  เข้าไม่ถึงธรรมะของความเป็นคนจะไม่รู้จักเทพยดา  ธรรมะของเทพยดาไม่ชัดแจ้งจะไม่รู้จักพุทธะ
            คนหากฟื้นฟูจิตญาณจากฟ้าได้จะรู้ไปทั่วถ้วนลบล้างเภทภัยไปสิ้น รักษาจิตศรัทธาไว้ให้มั่นทุกอย่างศักดิ์สิทธิ์ปราศจากความทุกข์กังวลทั้งปวง รักษาใจไว้มั่นคงจะเข้าถึงทุกอย่างความยากลำบากไม่มี รักษากายฝึกฝนดีทำงานสุจริตได้ไม่เลือกไปถึงไหนก็มีบุญสัมพันธ์ โลกของพุทธะจะอยู่ตรงหน้า 
            คนที่รู้จักใช้จิตมุ่งมั่นยิ่งเจอสภาพขัดยิ่งเบิกบาน  คนที่รู้จักใช้เจตนาดำริเจตนาสูงส่งเพียงไรพลังมโนธรรมก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น  คนที่รู้จักใช้ใจตนให้เป็นคุณ ใจจะปรับสภาพใช้การได้วิเศษแยบยลไม่รู้จบ รู้จักใช้กายตนให้เป็นคุณทำงานมากมายได้ไม่สาหัส  ตอนที่ฉันเฝ้าสุสานบิดาจนถึงวันที่หนึ่งร้อย เฝ้าจนจิตญาณศักดิ์สิทธิ์ในตนเข้าถึงสามโลก พุทธะอริยเจ้ามาโปรด จิตมุ่งมั่นจริงจังศรัทธาเหล่าพุทธาจึงจะมาชุมนุม เจตนาดำริจริงจังศรัทธาเทพยดาจึงจะมาชุมนุม ใจจริงจังศรัทธาผู้คนจึงจะมาชุมนุม กายทำได้จริงจังสรรพสิ่งจึงจะมาชุมนุม จริงใจศรัทธาในโลกใดโลกนั้นก็จะศักดิ์สิทธิ์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        ฉันคำนึงถึงสวรรค์ นรก ทบทวนวันละไม่รู้กี่รอบ (คนไม่คำนึงถึงจึงทำเรื่องนรกไว้มากมาย) ลูกจะเอาเงินจากฉัน ฉันว่าได้ไม่โกรธ ไม่สุข ไม่ว่ากระไร เพราะอยู่ในโลกจิตมุ่งมั่น  ลูกของคุณสวียุ่ยหลิน เรียกร้องเงินทองจากเขา เขาหัวเราะแล้วว่า"ถ้าพ่อมีเงินไม่ให้เธอแล้วจะให้ใคร แต่เสียดายที่พ่อไม่มี" อย่างนี้เขาเป็นคนในโลกเจตนาดำริ  ลูกชายของหวังกั๋วฮว๋าซึ่งเป็นลูกชายของฉันจดหมายจะมาเอาเงิน หวังกั๋วฮว๋าลูกชายของฉันเดือดดาลมาก ฉีกจดหมายทิ้ง หวังกั๋วฮว๋าลูกชายฉันเป็นคนในโลกของใจ  ลูกชายของถูอย่งเหนียนจะเอาเงินจากพ่อเขาไม่เพียงไม่ให้ ยังเดือดดาลโมโหจนตัวตาย เขาเป็นคนในโลกของกาย
        กายเป็นตัวรับทุกข์ภัย คนกลับจะเชิดชูมันทำทุกอย่างเพื่อกาย เมื่อมีชีิวิตอยู่รักทะนุถนอม เมื่อตายต้องทำศพให้งดงามหรูหราใส่หยกใส่ทอง เพื่อรักษาเนื้อกาย จึงเกิดการขุดคุ้ยสุสานขึ้น ชาวโลกช่างโง่แท้ รูปวัตถุมีหรือจะไม่เสื่อมสภาพ กายเป็นวัตถุธาตุรับทุกข์ภัย เสียแล้วก็ล่มสลายไม่เป็นแก่นสารเรียกว่าเสียเปล่า หมดสิ้นไปจึงจะหมดทุกข์ภัย ปรนเปรอให้มันเสพสุขจะพ้นโทษได้อย่างไร ชาตินี้ไม่จบสิ้นยังจะต้องเวียนว่าย
        ใจก็คือมาร สำแดงตนไปทุกแห่ง ครุ่นคิดไปหมื่นพันฟุ้งซ่านเกินตัว คือมารก่อกวนใจ เป็นทุกข์กังวล พลุ่งพล่านโกรธแค้นคือมารก่อกวนจิตญาณ เกียจคร้านชอบเที่ยวแตร่เสเพล อบายมุขเต็มตัวคือมารก่อกวนกาย โทษร้ายของมารทำให้สะท้าน โชคดีที่ฉันรู้ตื่นได้เร็วจับเค้นใจให้มันตายดับ (หมดสิ้นอยากใคร่) เอาจิตมุ่งมั่นเป็นหลักจึงพ้นทุกข์ได้สุข
         ฤดูใบไม้ผลิก่อเกิดให้ดูเมล็ดพันธุ์  ฤดูร้อนกุก่องให้ดูต้นกล้าถ้าเมล็ดพันธุ์ดี 60% ปลูกลงดินจะงอกงามเจริญเติบโตได้ดี แต่พอถึงฤดูผลัดใบกวาดเก็บกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ลีบ แคระเกร็น เมล็ดพันธุ์ลีบแคระเกร็นจะร่วงหล่นลงดินก่อนเก็บเกี่ยว ปีถัดไปที่ผืนนั้นก็จะไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่ดีก่อเกิด ชาวโลกที่ทำการด้วยใจ ก็คือเมล็ดพันธุ์ที่ไม่งอกเงยได้
        คนสมัยนี้ล้วนกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ลีบ แคระเกร็น โลกจะไม่ยุ่งเหยิงได้อย่างไร ไม่พอใจเกิดอิจฉาตาร้อนเสียแล้ว เจตนาดำริเหมือนลูกบอลมีรูรั่วเพียงเท่าปลายเข็มลมก็รั่วไหล จิตญาณเป็นฐานหลัก  จิตมุ่งมั่นเป็นต้นราก เป็นต้นรากของสรรพสิ่ง ต้นรากอุปมาสายฝนชะโลมมิได้เจาะจง แต่สาลี่โดนฝนจะเปรี้ยว ชะเอมโดนฝนจะหวาน
        จิตมุ่งมั่นอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน อุปมาดั่งฝนชะโลมให้ (ให้อย่างเดียวกัน ผลของผู้รับต่างกัน) เราพิจารณาดูปฏิบัติการของคนโบราณจะต้องรู้ว่าท่านใช้จิตมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ กายปฏิบัติอย่างไรจึงบรรลุธรรม เช่น ท่านมารดาเมิ่งสอนลูกด้วยเจตนาดำริท่านเมิ่งจื่อจึงบรรลุความเป็นอริยปราชญ์จรรโลงธรรม ท่านมารดาซันเหนียงสอนลูกก็ใช้เจตนาดำริจึงได้ธรรมะ  ส่วนมารดาเซวียคุนเจี๋ย กับไป๋โสว่คุนแม่บ้านของฉันเข้าถึงธรรมะจากการใช้ใจจัดการกับครอบครัว (จึงวุ่นวายไปตามอารมณ์)
        เอาละ ๆ จบสิ้นไปหนึ่งคน ดีไปหนึ่งคน ดีไปหนึ่งคน เบิกบานใจไปหนึ่งคน แต่ก็มีที่กาย ใจวางไม่ลง มีที่ใจกับเจตนาดำริวางไม่ลงและเจตนาดำริกับจิตมุ่งมั่นวางไม่ลง
        คนอยู่ใกล้แต่ไกลกันคือโลกของใจ (หมางเมิน)  คนอยู่ไกลแต่ใกล้กันคือเจตนาดำริ (อุดมคติ) ส่วนเทพยดานั้นคนใกล้(ด้วยกาย)จะไกล คนไกล(ใจถึง)จะใกล้ พุทธะนั้นจะไกลไปหมดแต่ไกลก็ดั่งไม่ไกล เหมือนผู้คนที่พูดกับฉันว่า บัดนี้เป็นคนใกล้(ใจถึง)หมดแล้วไม่ใช่หรือ
         เจตนาดำริเป็นเทพยดาศรัทธามั่นไว้อย่าให้กระจายไปกล่อมเกลารักษา นานวันเข้าก็จะเหมือนเทพยดาไปเอง เทพยดายิ่งใหญ่ร่วมอยู่ในฟ้าดินเรียกท่านที่ใหนก็มีท่านที่นั่น ใครเรียกใครก็ได้ความศักดิ์สิทธิ์ เจตนาดำริเป็นแสงตะวันส่องความมืดให้กระเจิงไปกำจัดตัณหาหน้ามืดได้ หลักธรรมฟ้าย่อมแพร่หลาย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        จิตวิสัยสัญญาความจำปรับแปรไปได้แล้วก็คือเจตนาดำริ เราจะปรับแปรโลก เบาๆก็คือใช้เจตนาดำริ หนัก ๆก็ใช้จิตมุ่งมั่น ใช้จิตมุ่งมั่นได้บาปเวรในอดีตก็จะลบล้างได้หมดสิ้น แต่ถ้ามารถึงตัวเธอจะต้องมีสมาธิหนักแน่นจริง ๆ จิตมุ่งมั่นสั่นคลอนเพียงนิดเดียวบาปเวรนั้นก็จะเป็นเมล็ดพันธุ์ต่อไป คนจะรักษาตนดำเนินธรรมจะต้องเคร่งครัดระมัดระวัง คนในโลกจิตมุ่งมั่น หากจิตมุ่งมั่นล้มลง ภาวะจิตก็จะตกไปสู่โลกของกาย คนในโลกเจตนาดำริพอพลาดเท้าก็จะตกไปสู่โลกของใจ
         ใคร่จะมั่นคงอยู่ในโลกของจิตมุ่งมั่น จะต้องเอาทั้งสามโลกประคองคุ้มอุ้มชูกาย เริ่มแรกจะต้องกำหนดพื้นฐานให้มั่นคง เช่นคนที่เป็นครูก็จะต้องศึกษาค้นคว้าธรรมะของการสอนหนังสือ เข้าใจหลักหนังสืออย่างปรุโปร่ง พื้นฐานย่อมมั่นคงอยู่ได้แน่นอน
          คนหากมั่นคงอยู่ในโลกของจิตมุ่งมั่น ไม่สั่นคลอนไม่ต้องไปแสวงหาพระพุทธะที่ไหน พระพุทธะก็จะมาหาเธอเองแต่หากเธอมั่นคงอยู่กับจิตมุ่งมั่นไม่ได้ แม้จะวอนขอต่อพระพุทธะทุกวันพระองค์ก็ไม่สนใจเธอเพราะหากเธอเจอเรื่องดีก็จะชอบใจ อย่างนี้เท่ากับเธอถูกมารของเรื่องดีทำให้ล้มเสียแล้ว ตรงข้ามพอเจอเรื่องไม่ดีจะเป็นทุกข์ เท่ากับเธอถูกมารร้ายทำให้ลืม แต่หากเธอขึ้นไปถึงโลกของจิตมุ่งมั่น เรื่องดีเรื่องร้ายล้วนไม่หวั่นไหว จะถูกหรือผิด จิตญาณสงบมารกลับจะช่วยให้เธอบรรลุพุทธะ
         ผู้บำเพ็ญธรรมกลัวการแปดเปื้อน จึงออกห่างหลีกเลี่ยงจากโลกโลกีย์ หารู้ไม่ว่าฝุ่นโลกีย์อยู่ที่ใจมิได้อยู่ที่กายภายนอก แต่จะอยู่ที่กายภายใน ในใจจะมีฝุ่นโลกีย์ไม่ได้ ภายนอกกายไม่อาจปราศจากฝุ่นโลกีย์ ไม่หลงมัวเมา ไม่แปดเปื้อน แม้มารถึงตัวก็ไม่เสียใจ ถูกปรักปรำก็ไม่ขัดเคืองใจจะได้หรือเสีย จะทุกข์หรือสุขล้วนสงบใจไม่ไหวคลอน จึงจะเป็นคนในโลกจิตมุ่งมั่น
         ใจตายแล้วจึงอาจปรับแปรจิตวิสัยได้ จิตวิสัยสัญญาความจำปรับแปรได้แล้ว จากนั้นเจตนาดำริจึงจะศรัทธาจริงแท้ เจตนาดำริศรัทธาจริงแท้แล้ว จากนั้นจิตมุ่งมั่นจึงจะจริงแท้ นี่เป็นหลักแน่นอน แรกทีเดียวฉันกำหนดตนอยู่ในโลกเจตนาดำริจนเกิดภาวะศักดิ์สิทธิ์ได้ดังกล่าว ฉันยังว่าน้อยไปจึงตั้งปณิธานอีก ให้อยู่บนจิตมุ่งมั่นตั้งแต่นั้น ทุกอย่างไม่พูด ไม่ว่า ไม่อยากได้เงินทอง ไม่จับจ่ายเงินทอง ตั้งหน้าตั้งตาพูดแต่ธรรมะ ทุกอย่างแสวงได้จากธรรมะ มีชีวิตอยู่กับธรรมะ ตายก็จะตายอยู่กับธรรมะ
         ใช้ใจมุ่งมั่นจะต้องเริ่มจากที่ใกล้ ฉันใกล้ชิดกับใคร ก็จะทำการรู้แจ้งต่อธรรมะของผู้นั้นเสียก่อน รู้จิตวิสัยธาตุแท้ของเขาเสียก่อนช่วยเขาขึ้นมาได้ให้เขายอมรับนับถือ จึงจะถือว่าได้ใช้จิตมุ่งมั่นแล้ว เริ่มจากหนึ่งคนสองคนยอมรับนับถือ ต่อไปก็เป็นร้อยพันคนอย่างนี้จึงจะเรียกว่าใช้จิตมุ่งมั่นจริง
         ใช้จิตมุ่งมั่นครองตนจะไม่พูดไม่รวนเรเปลี่ยนใจด่าทอฉันคือส่งเสริมฉัน หลอกลวงฉ้อฉลฉันคือส่งเสริมฉัน แม้แต่ฆ่าฉันก็ยังเป็นการส่งเสริมฉัน เช่นเดียวกับที่จอมทัพงักฮุยถูกสำเร็จโทษ ก็เพราะทรราชฉินไคว่ ส่งเสริมใส่ร้ายให้บรรลุ
         เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่ช่วยคน ผีทำหน้าที่ก่อกวนรังควาน หากกำหนดจิตมุ่งมั่นไว้ได้ไม่สั่นคลอน ไม่เพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพยดาจะอารักษ์ ผีก็ยังจะอารักษ์ เพิ่มพูนพลังแก่เราในทางตรงกันข้าม จิตมุ่งมั่นจะต้องสูง เจตนาดำริจะต้องยิ่งใหญ่ ใจจะต้องราบเรียบ กายจะต้องน้อมต่ำ
         พระศาสดาทุกศาสนาไม่มีท่านใดที่ไม่เอาจิตมุ่งมั่นเป็นหลัก ท่านขงจื่อถูกกักล้อมให้อดอาหาร แต่ท่านยังสุขสำราญเป็นปกติ  พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนสามวัน กลับฟื้นคืนชีพมาช่วยชาวโลก พระผู้มีพระภาคเจ้าในครั้งที่เสวยพระชาติเป็นฤาษีกษานติวาทิน ถูกพระเจ้ากลิงค ตัดหู ตัดจมูก ตัดแขน พระองค์ยังโปรดว่า"หากเราบรรลุจะโปรดท่านเป็นคนแรก" ชีวิตจิตใจเช่นนี้เป็นอย่างเดียวกันหรือมิใช่ล่ะ ฉันจึงว่า รูปแบบของแต่ละศาสนา แม้จะดูต่างกันแต่ขวัญวิญญาณเป็นเช่นเดียวกัน หากรังเกียจเดียดฉันท์แบ่งแยกกันก็จะไม่ถูกต้อง
        ถ้าเข้าถึงโลกของจิตมุ่งมั่นแล้วจริง ๆ ไฟโทสะจะดับสิ้นเหลือแต่ความเบิกบานใจที่แท้จริง   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        เมื่อครั้งยังเยาว์วัยได้ยินญาติเพื่อนพ้องคุยกันเสมอว่าปู่กับพ่อของฉันล้วนเป็นคนร่ำเรียน ปู่ทวดของฉันได้ตั้งชื่อว่า"หนังสือธรรมะ" (ตู้อภิธรรมเคลื่อนที่ ) แต่ฉันไม่เคยได้เรียนหนังสือสักวันเดียว เรียกได้ว่า""บอดหนังสือ"" ต่อไปจะมีหน้าอะไรไปพบบรรพบุรุษในปรโลกได้ คิดถึงตรงนี้ฉันละอายใจนัก จึงได้ตั้งความมุ่งมั่นว่าจะยากจนข้นแค้นเพียงใด ฉันก็จะให้ลูกเรียนหนังสือให้ได้ลูกชายฉันจึงได้เข้าโรงเรียนตั้งแต่แปดขวบ (เร็วมากสำหรับคนสมัยนั้น) ฉลาด เรียนไว ได้รับคำชมจากครู
        ฉันเห็นคนแต่ก่อนคนภายหลังได้เล่าเรียนกันอย่างนี้แล้ว ฉันจะไม่ก่อตั้งโรงเรียนได้อย่างไร ฉันจึงตั้งจิตปณิธานต่อตนเองว่าฉันจะไม่เล่าเรียนไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อฉันอายุสามสิบแปดปีเป็นต้นมา ฝึกพูดหนังสือธรรมะ ต่อมาได้รู้จักอักษรบางตัว ยังฝึกพูด(อ่าน)หนังสือธรรมะให้สาธุชนศึกษาคุณธรรมกัน คิดขึ้นมาแล้วเบิกบานใจแท้ เหล่านี้ล้วนเกิดได้จากการตั้งความมุ่งมั่น
        คนมักจะพูดว่า จะต้องมีกุศลมูลใหญ่ พลังใหญ่คืออย่างไรหรือ เมื่อยังเยาว์วัยฉันเป็นคนงานรับจ้าง ได้ยินเขาว่ามโนธรรม "สามก๊ก" ว่ากวนกงถูกจับเป็นเฉลยในค่ายโจโฉ ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจให้เป็นพวกแตกวนกงจงรักภักดีมีมโนธรรมยิ่ง ก่อนจะหนีศรัตรูไปยังคิดว่า"" แม้ยังไม่ได้สร้างความดี (คืนสนอง) สักเล็กน้อยจะไม่ออกจากค่ายโจโฉ (ที่กักกันอย่างยกย่อง)""
        ฉันจึงตั้งจิตมุ่งมั่น "ไม่ว่าจะรับจ้างทำงานแก่บ้านใดแม้ยังมิได้สร้างความดี (คืนสนองนายจ้าง)จะไม่ออกจากค่ายโจโฉ (ที่กักกันทำงาน) เช่นกัน ตั้งจิตมุ่งมั่นก็คือ""กุศลมูลใหญ่""  บุคลากรใหญ่คือทำการใดจะต้องคิดว่าจะผลักดันความดีนี้ไปทั่วโลกได้ไหม ถ้าได้จะได้เผยแพร่หลายไปสู่ทุกคนทำเช่นนี้จึงเป็น""บุคลากรใหญ่"" แต่คนเดี๋ยวนี้ผิดพลาดที่เห็นอิทธิพลเป็นบุคลากรใหญ่ คิดผิดมหันต์
         เมื่อตอนที่ฉันอายุสามสิบห้าปี ก็รู้แล้วว่าโลกโลกียะจะถึงวาระสุดท้ายแล้ว ภายหน้าจะเป็นโลกโลกุตตระ สองโลกจะต่างกันมาก ผู้ที่ใส่ใจแต่ลูกเมียตน ก็คือคนในโลกโลกียะ ผู้ที่ไม่ใส่ใจส่วนตนแต่มุ่งทำเพื่อสวัสดิการส่วนรวมเท่านั้นจึงจะเป็นคนในโลกุตตระ เมื่อฉันอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีรับจ้างทำงาน เห็นพี่น้องเขาแตกแยกครอบครัว ใช้อาวุธมีดพร้าจะเข่นฆ่าแย่งชิงสมบัติกัน ที่ถึงตายก็มี ฉันแอบคิดอยู่ในใจ พวกเขาแย่งชิงกันเพื่อใครหรือ ครุ่นคิดพิจารณาอยู่หนึ่งวัน ทันใดก็เข้าใจชัด อ้อ!!เขาแย่งชิงเพื่อลูกเมีย  ขณะที่คิดได้ ฉันกำลังหาบปุ๋ยมูล ฉันโยนหาบปุ๋ยลงบนกองมูล ตะโกนว่า"ฉันจะต้องเป็นคนพิเศษกว่าใครๆให้ได้ (ไม่แย่งชิง) เพื่อนร่วมงานที่หาบตามกันมาพากันค้อนฉัน เขาไม่รู้ว่าฉันกำลังกระอักใจเรื่องอะไร จนกระทั่งฉันอายุสามสิบแปดปี ไว้ทุกข์เฝ้าสุสานบิดาจึงพูดกับภรรยาว่า""จากนี้ไปฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องวุ่นวายทางบ้านของพวกเธออีกแล้ว""
         พอครบกำหนดวันเฝ้าสุสาน ฉันก็ทำหน้าที่ของฟ้าด้วย การพูดธรรมะเตือนใจให้ใฝ่ศึกษาเป็นกิจวัตร จนบัดนี้สามสิบปีผ่านมา  ที่อำเภอจิ่นซี หมู่บ้านเมิ่งเจีย  ทำการซ่อมแซมศาลบูชาจอมมารดาเมิ่ง มารดาของท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ เป็นโครงการยิ่งใหญ่มโหฬาร ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว ฉันไปเที่ยวชมปูชนียสถานนั้น ได้พบผู้จัดการศาลบูชาแห่งนี้ ท่านชื่อว่า เมิ่งเหล่าเฟิง ฉันน้อมคารวะท่านด้วยความเคารพยิ่ง (ที่ท่านแซ่สกุลเดียวกับท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ ) ท่านเมิ่งเหล่าเฟิงไม่แยแส ฉันพูดด้วยก็ไม่ตอบ ออกจากศาลบูชา ฉันตั้งจิตมุ่งมั่นว่า"ถือดีว่าตระกูลเมิ่งของตนได้ให้กำเนิดอริยะ จึงวางท่ายโสโอหังดั่งนี้ ตระกูลแซ่หวังของเราไม่กำเนิดอริยบุคคลได้บ้างก็ให้มันรู้ไป" ฉันจึงตั้งความมุ่งมั่นจะเริ่มเรียนรู้ความเป็นอริยะให้ได้ คนรอบข้างยิ้มเยาะฉันว่า"จะตามทันหรือ (อายุมากไม่ได้เล่าเรียน) ฉันตอบว่า"ตามไม่ทันก็จะตาม ได้กี่ก้าวก็ยังดี"
         ฉันได้ยินเขาอรรถาคัมภีร์ทางสายกลาง (จง-อยง ) ประโยคหนึ่งว่า ""ผู้มีความกตัญญูนั้นสามารถยิ่งต่อการสืบสานจิตมุ่งมั่น สามารถยิ่งต่อการสาธยายปฏิปทาท่าน"" นั่นคือทำตามบรรพบุรุษตน ฉันว่าน่าจะขยายขอบข่ายไปถึง"ท่าน"อื่น ๆ ที่เป็นแบบอย่างด้วย ฉันได้ยินเรื่องราวที่"หยังเจี่ยวไอ สละชีวิตทั้งหมดให้" (ประวัติพิมพ์อยู่ในหนังสือ"ใครกำหนด"ชุดที่สี่ หน้า๗๑ ในเรื่องกัลยาณมิตร ) ฉันสืบสานจิตมุ่งมั่นนั้นไปช่วย นักบุญหยังป๋อ สหายธรรม ให้พ้นจากถูกจองจำ
          ฉันสาธยายเรื่องราวนี้ทำตามความจริงใจนี้ฉันจึงเปลี่ยนจากโง่เขลาเป็นสว่างปัญญา จิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์ใครจะสืบสานไม่ได้หรือไร สืบสานจิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์พระองค์ใด จะไม่ใช่ลูกกตัญญูหรือ (สืบสานทุกพระองค์ได้ไม่จำกัด)
          โลกยุคปัจจุบันพระพุทธสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทุกสากลโลกล้วนอยู่ในโลกมนุษย์ มิได้หมายความว่ามาเกิดกาย แต่หมายความว่า"ใครจริงจังประกบอยู่กับจิตมุ่งมั่นเยี่ยงพระองค์ใดแสงญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้นก็จะประกบอยู่ในจิตญาณหรือมาถึงผู้นั้นอย่างจริงจัง ไม่ว่าพุทธะ อริยะ ปราชญ์ เมธี โพธิสัตว์
          เมื่อมีเหตุอันใดเราก็จะเรียนรู้ได้จากท่านนั้น พระองค์นั้น เหมือนเราเป็นตัวแทนแต่ละท่าน แต่ละพระองค์ ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่า "ทุกคนล้วนเป็นอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น ได้) ก็คือบอกให้ทุกคนประกบญาณจริงจัง (ดั่งช่วงชิง)กับจิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์ สามัญชนไม่รู้จักจะช่วงชิงจิตมุ่งมั่นดังนี้ จึงต้องเป็นสามัญชนอยู่ตลอดกาล
          ลองถามตนเอง  ทั้งหมดนี้  มีสักกี่ข้อ  ที่เราทำได้
 
  :}  หมายเหตุท้ายเล่ม  
          ท่านเจิ้งจื่อตง  ผู้รวบรวมคติพจน์ของท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ ด้วยความซาบซึ้งเคารพรักยิ่ง เจริญรอยตามปฏิปทาอรรถาธรรมสืบต่อ สร้างโรงเรียนสงเคราะห์  สร้างสถานอภิบาลผู้สูงวัย  ท่านพูดเสมอว่า""จะอยู่กับธรรมะ ตายกับธรรมะ"" ปีหมินกั๋วที่ ๖๒ เดือน ๘ ท่านป่วยถูกสหายธรรมนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ถามว่า "ท่านไม่สบายตรงใหน" ท่านตอบเรียบ ๆ อารมณ์ดีตามปกติว่า""ตั้งแต่ป่วยมา ไม่เพียงไม่รู้สึกว่าไม่สบาย ยังกลับมีความสุขจริง ๆ "" ว่าแล้วก็หัวเราะเบิกบาน ท่านตายกับธรรมะ ไม่มีใครโศรกเศร้าอาดูร สภาพของท่านเหมือนคนแก่ใจดีที่หลับสบาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 4/09/2010, 18:10 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ลูกชายคนที่สามคหบดีเฉิง ชื่อจิ่งเอี๋ยง เป็นโรคเกี่ยวกับตา ขณะที่เข้าฟังธรรมได้ยินข้าพูดว่า "ข้าดูโลกเรานี้น่าขำสิ้นดี ไม่บังคับกวดขันเมีย ก็บังคับกวดขันลูก และบังคับกวดขันแม้กระทั่งพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว จนกระทั่งเพื่อนสนิท มิตรสหาย ขอให้มีความเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น ก็จะเข้าถือศิษย์บังคับกวดขัน แต่แปลกที่ไม่รู้จักบังคับกวดขันตัวเองบ้าง ทำราวกับว่า ตัวเองเท่านั้นที่อยู่ในสายตา เพราะตัวเองมิอาจบังคับความโกรธอารมณ์ตนได้ ยามโกรธตาก็โตแดงก่ำก็จะเริ่มปวดตา  ร้องเรียกหาบุพการี ถึงยามนี้จะบังคับตนก็บังคับไม่ได้อีกแล้ว จะบังคับไม่ให่เจ็บปวดก็ไม่ได้ ฉะนั้นคนที่มีธรรมแล้ว เขาจะรู้จักบังคับกวดขันตนก่อน ต้องบังคับไม่ให้อารมณ์ตนเองเกิดขึ้น จึงจะนับว่าเป็นคนดี
     คนปัจจุบันนี้ เพียงแค่กินเจก็ถือว่าตัวเองเป็นคนดี ซึ่งความเป็นจริงแล้วการกินเจหมายถึงเป็นไปโดยหลักธรรมชาติ เพราะเราไม่กินเขา เขาก็ไม่กินเรา จะมีคุณความดีอะไรที่น่าได้ ในเมื่อไม่กินสิ่งนั้น ก็คือเรากั้นกำแพงขวางสิ่งนั้นแล้ว เมื่อไม่กินเนื้อ ก็คือกั้นกำแพงขวางกั้นกับสัตว์เดรัจฉานแล้ว
    คำพูดนี้ที่บันดาลใจเฉิงจิ่งเอี๋ยง ทำให้ตัดสินใจกินเจ และติดตามเขาไปฝึกฝนปฏิบัติธรรม และต่อมาได้มาถึง  "เหอเป่ย บุกเบิกแปรเปลี่ยนสู่วัฒนธรรมที่ดีงาม และอาสาเป็นผู้บรรยายธรรมประจำที่ ธรรมศึกษาเทียนจิน ที่สุดก็เป็นครอบครัวที่มีคุณธรรมโดยสมบูรณ์แบบ
    บทแทรก  ธรรมศึกษาฮูหลัน
    เผยฉงเหวียน ชื่อเล่นเฮว่ยชิง ชาวฮูหลัน เป็นคนใจบุญชอบทำทานเมื่อถึงสิ้นปี ผู้เช่าทำนามาจ่ายข้าวเป็นค่าเช่า เขาก็จะต้อนรับขับสู้ยิ้มแย้มแจ่มใส และไม่เคยตรวจของเลยว่าค่าข้าวที่ให้มาครบหรือไม่ ดีหรือไม่ดี หากปีใดแห้งแล้งเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล เขาก็จะยกเลิกค่าเช่าปีนั้น เมื่อถึงเทศกาลไหว้เจ้าปลายปี เขาก็จะนำเอาสัญญาเช่าออกมาเผา โดยไม่ดูว่า สัญญาเช่าฉบับใดยังมีผลหรือไม่
    เขาได้เปิดธรรมสถานขึ้นก่อน จากนั้นได้เป็นนายกสมาคมธรรมสถานนี้ เมื่อได้ข่าวว่าท่านหวังเปิดโรงเรียนธนนมสตรีขึ้น จึงไปร่วมสังเกตุการณ์ทั้งที่เมืองฟง และจี๋ สองแห่ง และต่อมาได้เปิดโรงเรียนธรรมสตรีที่ ฮูหลัน

Tags: