collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: อวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์  (อ่าน 2251 ครั้ง)

ออฟไลน์ nakdham

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
อวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ 
 
     พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ จัดได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่คนไทยทั่วทั้งประเทศรู้จักดีหรือเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกก็คงไม่ไกลเกินจริงกระมังครับ   
เพียงแต่รู้จักกันในพระนามว่า เจ้าแม่กวนอิมบ้าง ,  พระโพธิสัตว์กวนอิม บ้าง ,  ชาวไทยเชื้อสายจีนเรียกพระนามว่า กวนอิมผ่อสัก บ้าง   
กวนซื่ออิมผูซ่า บ้าง   หรือ กว้านจื่ออินโม๋เหอซ่า

คำว่าผูซ่าหรือผ่อสักเป็นสำเนียงจีนที่ออกเสียงคำบาลีสันสกฤตว่า “ โพธิสัตว์ ”     

โม๋เหอซ่า  ก็คือ พระมหาสัตว์ นั่นเอง
 
ตามวัดวาอารามไม่ว่าหินยานหรือมหายาน ,  ศาลเจ้า ,  โรงเจ ,  ตามบ้านเรือนร้านค้าทั่วไป   ล้วนมีพระรูปเคารพพระโพธิสัตว์พระองค์นี้แทบทั้งสิ้น   
สุดยอดก็คือภาพยนตร์จีนอมตะชุดไซอิ๋ว   ดำเนินเรื่องโดยอาศัยพระบารมีของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้เป็นสำคัญ

ความเป็นมาของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ( อ่านออกเสียงว่า อะ-วะ-โล-กิ-เต-สวน)   
มีความซับซ้อนอยู่มาก   แล้วก็มีหลายตำนาน   บ้างก็มีหลักฐานอ้างอิง   
บ้างก็เป็นการเล่าต่อๆกันมาในลักษณะอิงนิยาย   แต่ที่สำคัญเป็นหลักฐานมั่นคงก็เห็นจะเป็นในหลายๆพระสูตรของพุทธศาสนามหายาน   
ได้กล่าวถึงพระบารมีของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์เอาไว้มากทีเดียว   

ส่วนฝ่ายหินยานเถรวาท   ไม่ปรากฏพระนามของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในคัมภีร์ของหินยาน



ประการแรก ,  พระมหาโพธิสัตว์พระองค์นี้   มีเพศเป็นหญิงหรือชายกันแน่ ? 

เพราะเหตุที่พระรูปเคารพทั่วไป   ตลอดจนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบศิลปะจีน   ภาพวาดภาพเขียน   ซึ่งพบเห็นได้ง่าย   
ทั้งหมดมักจะเป็นพระรูปของสตรีเพศ และชาวบ้านหรือผู้มีศรัทธามักจะเรียกขานพระนามว่า "เจ้าแม่"

คำตอบก็คือพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์เป็น มหาบุรุษ   นั่นคือ บุรุษเพศหรือเพศชายนั่นเอง

พระมหาโพธิสัตว์ที่ได้บรรลุฌานระดับสูงนั้น   ย่อมถึงซึ่งภาวะที่เรียกได้ว่าไร้เพศ   
เมื่อหลุดจากกองอาสวะกิเลสแล้ว   นั่นก็เท่ากับหลุดพ้นจากพันธนาการทางเพศไปด้วย   
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ก็ทรงอยู่ในสภาวะนั้น   แต่ในทศบารมีของพระโพธิสัตว์ (ที่ได้อ้างไว้ตอนต้นๆ ของบทความนี้)   
ปัญญาบารมีและอุบายบารมี เป็นส่วนสำคัญในการเผยแผ่พระสัทธรรม   
ตลอดจนการโปรดหรือช่วยเหลือมนุษย์ของพระโพธิสัตว์

ด้วยถ้อยคำในหลายคัมภีร์อ้างอิงว่า   พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ว่ามหาบุรุษ   
ซึ่งมีพระนามเต็มว่าพระอารยอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ( ที่จริงยาวกว่านี้ แต่ผมตัดเอาเฉพาะคำต้นๆมา)
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจึงจะเป็นสตรีเพศไปไม่ได้โดยเด็ดขาด   ทั้งการบรรลุธรรมขั้นสูงเข้าสู่แดนพุทธภูมิได้นั้น   
มีเพียงบรุษเพศเท่านั้น ที่จะผ่านด่านนี้ไปได้ (ในหลายคัมภีร์ไม่เคยปรากฏแม้แต่แห่งเดียวว่าสตรีเพศได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สู่ภาวะพระพุทธเจ้า)

การที่บำเพ็ญบารมีมาถึงขั้นนั้นได้   นั่นก็เท่ากับเป็นการพัฒนาหรือเจริญฌานสมาบัติควบคู่กันมาด้วย   
เรียกว่าคะแนนทฤษฏีเต็มร้อย   แปลว่าคะแนนปฏิบัติก็ต้องเต็มร้อยด้วยเช่นกัน   
ตกหรืออ่อนอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหมดสิทธิ์ทันที   ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด

อุบายบารมี จึงมีฌานระดับหนึ่งที่ควบคู่กัน   มีอำนาจอันแรงกล้า   เพื่อส่งเสริมให้พระโพธิสัตว์สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนไปได้ตลอดรอดฝั่ง   
ไม่มีอุปสรรคใดๆมากั้นขวางได้   และส่วนหนึ่งก็มาจาก ปัญญาบารมี ซึ่งช่วยเสริมให้การปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ   
ปราศจากความบกพร่องและนำไปสู่ความสำเร็จมรรคผลได้ในที่สุด

คติหนึ่งเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์   เป็น “ส่วนหนึ่ง” ของพระฌานบารมีองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้านั่นเอง   
แล้วนำมาเชื่อมโยงกับ ลัทธิตรีกาย ซึ่งเชื่อว่าพระพุทธเจ้าและมหาโพธิสัตว์พระมหาสัตว์ล้วนมี 3 กายทั้งสิ้น   
โดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์นั้น   ทรงมีพระนิรมาณกายถึง 32 พระกาย   
จะทรงเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ด้วย อุบายบารมี เป็นสำคัญ   ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด   
หรือให้ความช่วยเหลือตามคำร้องขอ

หากเป็นสตรีเพศ ,  เด็กหรือคนชรา ,  ผู้สูงอายุที่มีศรัทธาในพระองค์   อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน     
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ก็จะเสด็จไปโปรดในพระนิรมาณกายเป็น สตรีเพศ
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะเมตตาธรรมได้อย่างละเมียดกว่าสภาพของบุรุษเพศ   
ซึ่งมักจะมีนัยไปทางเข้มแข็งและหนักแน่น ไม่อ่อนโยนเท่าที่ควร
 
ตรงนี้จะไปคล้องจองกับเรื่องราวของ พระธิดาเหมี่ยวซัน   ราชธิดาในกษัตริย์เหมี่ยวจวง   
ในนิยายอิงประวัติศาสตร์โบราณของจีน   แล้วยังผูกพันกับศาสนาเต๋าในบางแง่มุมเช่น   
การไม่ทานเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัว   การถือศีลเจหรือจาย   แสดงถึงอิทธิพลของเต๋าที่เข้ามาสอดแทรกในพุทธมหายาน   
ซึ่งต่อมาก็เชื่อกันว่า   พระธิดาเหมี่ยวซันคือพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์   ก็เลยเรียกพระนามตามเพศพระธิดาว่า เจ้าแม่ นับแต่นั้นมา
 
หากเสด็จไปเพื่อปราบหรือปรามมิให้ผู้ใดกระทำความชั่ว   หรือปรามให้หยุดการกระทำนั้นๆเสีย   ก็จะมีพระนิรมาณกายเป็นปีศาจบ้าง , 
ยมบาลบ้าง ,  ยักษ์มารบ้าง ,  เทพอสูรบ้าง ,  ตามแต่สถานการณ์นั้นๆ ( ขึ้นกับว่าจะไปปราบใคร   ก็จะทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในพวกนั้น)

ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่เสด็จไปโปรด   แม้แต่พระอริยบุคคลหรืออริยะเทพบางพระองค์   พระมหาโพธิสัตว์ก็เสด็จไปโปรด   
เช่นสำแดงนิรมาณกายเป็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าบ้าง ,  พระไวโรจนะพุทธเจ้าบ้าง ,  เป็นพระสารีบุตรอรหันตเจ้าบ้าง , 
หรือเป็นเทพเป็นเซียนขั้นสูงบ้าง   หรือแม้แต่เป็นสัตว์บางประเภทเช่นเสือ ,  ม้า ,  มังกร   
หาข้อจำกัดประมาณมิได้

ในหลักธรรมชั้นสูงเชื่อว่าความคิดอ่านบางประการที่เกิดขึ้นในจิตใจ   เพียงชั่วแล่น   นำไปสู่ปัญญารู้เห็นอื่นๆได้   
เสมือนได้รู้ได้เห็นมาจนขึ้นใจ   ความคิด ลักษณะนั้น   นั่นก็เป็นพระโพธิสัตว์พระองค์นี้   
เรียกว่ามาโปรดในลักษณะของ ความคิดนึก มาในรูปของนามธรรม   หมายความว่าแม้จะคิดอยู่ในใจเพียงคนเดียว   
รู้อยู่เฉพาะตน   นั่นก็เท่ากับอยู่ในสายพระเนตรของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ด้วย   
จะคิดดีคิดชั่วก็แปลว่ามีจิตพระโพธิสัตว์ทรงรับรู้อยู่ด้วยทุกเสี้ยววินาที   
พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีความลับ
 
พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ล้วนมี อุบายบารมี เช่นนี้ทั้งสิ้น   แต่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับฌานบารมีในแต่ละภูมิ

ในรัชสมัยของราชวงศ์ถัง   มีการตั้งโรงทานอาหารเจ ซึ่งจำกัดจำนวนการรับอาหาร ต้องเข้าคิวรับอาหารหนึ่งที่ต่อหนึ่งคน 
เรียกว่าเป็นการให้ทานที่มีเงื่อนไข
 
พระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระมัญชุศรีกุมารภูตโพธิสัตว์ ได้เสด็จลงมาโปรดด้วยนิรมาณกายเป็นหญิงมีครรภ์ใกล้คลอด   
เข้าแถวรอรับอาหารเจที่โรงทานนี้   โดยนางร้องขอคนแจกอาหารว่า   
ขออาหารเพิ่มเป็น 2 ที่   ซึ่งเป็นส่วนของลูกในครรภ์ของนางด้วย

คนแจกอาหารปฏิเสธ บอกเพียงว่าให้เด็กในครรภ์ออกมาขอเอง  แล้วไล่นางออกไปจากโรงทาน

พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ จึงกลับกลายร่างเป็นพระโพธิสัตว์  ปรากฏเป็นแสงสว่างสาดส่องไปทั่วทั้งโรงทาน   
ชั่วครู่ก็หายวับไปในนภากาศ   ผู้คนที่อยู่ในโรงทานได้เห็นเป็นที่อัศจรรย์ทุกคนในครั้งนั้น
 
นับแต่นั้นมา  การตั้งโรงทานแจกอาหารแก่ผู้ยากไร้  จึงมีพระบรมราชโองการจากราชสำนักลงมาว่า
จะต้องแจกจ่ายอาหารโดย ไม่เลือกบุคคลและไม่จำกัดจำนวน   จนกว่าอาหารทานที่ผู้มีศรัทธาได้บริจาคมานั้น
จะหมดลง
 
คติในการสร้างพระรูปเคารพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร   ก็แตกต่างกันไป   หรือที่เรียกกันว่า “ ปาง ” นั่นเอง   
ซึ่งมีการสร้างกันจำนวนมากมายหลายปางทีเดียว   ถูกต้องตามตำราก็มี   นึกเอาเองบ้างก็มาก ก็ว่ากันไปตามศรัทธา   
เป็นเรื่องของศรัทธา ( ที่อาจจะขาดปัญญาไปบ้าง)โดยแท้จริง   
ซึ่งว่าไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากการจัดสร้างองค์พ่อจตุคามรามเทพในวันนี้นี่แหละ

พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์   มีความสำคัญสูงสุดอีกประการหนึ่ง   ด้วยเหตุที่ทรงได้รับปรัชญาธรรมจากพระสหัสประภาศานติสถิตยตถาคตพุทธเจ้า
ซึ่งธรรมบทที่ว่านั้นคือ มหากรุณาธารณีสูตร ( ไต่ ปุย จิว) มีคุณานุภาพเป็นอเนกประการ   
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้สดับธรรมนี้แล้ว  ก็เจริญฌานจากขั้นปฐม  บรรลุไปถึงภูมิขั้นที่ 8 ในทันที

ปรัชญาธรรมนี้   สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเข้าถึงพุทธภูมิได้ทันที   และทำให้ผู้ที่เจริญภาวนาอยู่เป็นนิจ   
ปราศจากภัยต่างๆเป็นอนันต์   ทั้งปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง   ก็จะได้รับสมปรารถนาเสมอไป

มหากรุณาธารณี นี้   มีทั้งหมด 84 อักษร   ทุกอักษรนั้นมีความหมายในทางธรรมอย่างล้ำลึก   
นับเป็นรหัสธรรมที่มีความละเอียดอ่อนรอบคอบและศักดิ์สิทธิ์สูงสุด   เชื่อกันว่าแม้ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ , 
เทวดาหรือปีศาจยักษ์มาร   หากได้เจริญภาวนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน   ก็จะได้พุทธะที่มีอยู่ในตัวตนเป็นพื้นฐาน   

ว่ากันว่าแม้เพียงได้ยินเสียงสวดมนต์   หรือเจริญบริกรรมพระมหากรุณาธารณีสูตรที่ว่านี้   
หากมีจิตอันศรัทธาและตั้งปณิธานไว้ให้มั่นคง   ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว   ก็จะได้อานิสงส์เหลือจะพรรณนา   
ดุจดั่งแก้วสารพัดนึก   บทสวดที่ว่านี้   พุทธศาสนามหายานถือเป็นพระสูตรที่สำคัญอย่างยิ่งยวด   
เสมือนเป็นหัวใจของพระไตรปิฏกเลยทีเดียว

ปัจจุบัน   ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี   มีการบันทึกเสียงลงในแผ่นซีดี   
มีทั้งภาษาจีนแต้จิ๋ว , กวางตุ้ง ,  ภาษาจีนกลาง(แมนดาริน)   
และอื่นๆเช่นเป็นภาษาสันสกฤตสวด(ขับร้อง)โดยพระสงฆ์มหายานของธิเบต   
หรือสวดสำเนียงธิเบต(ตันตระนิกาย)   แน่นอนครับ   เป็นการสวดพระสูตรที่เข้มขลังผสมผสานด้วยดนตรี   
มีท่วงทำนองที่ไพเราะน่าฟัง   ให้ความรู้สึกที่เยือกเย็นผ่อนคลาย   เข้าถึงความรู้สึกลึกๆได้อย่างมหัศจรรย์ !

ทั้งนี้   มีคติที่เชื่อกันว่าเป็นเพราะพระบารมีเมตตาแห่งองค์อวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์   
ที่ทรงพระกรุณาประทานพระสูตรนี้ให้แก่มวลมนุษย์   และทรงช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ตามปณิธานอันแรงกล้านั่นเอง
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16/04/2008, 19:45 โดย Naktum »

Tags: