อวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ จัดได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่คนไทยทั่วทั้งประเทศรู้จักดีหรือเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกก็คงไม่ไกลเกินจริงกระมังครับ
เพียงแต่รู้จักกันในพระนามว่า เจ้าแม่กวนอิมบ้าง , พระโพธิสัตว์กวนอิม บ้าง , ชาวไทยเชื้อสายจีนเรียกพระนามว่า กวนอิมผ่อสัก บ้าง
กวนซื่ออิมผูซ่า บ้าง หรือ กว้านจื่ออินโม๋เหอซ่า
คำว่าผูซ่าหรือผ่อสักเป็นสำเนียงจีนที่ออกเสียงคำบาลีสันสกฤตว่า โพธิสัตว์
โม๋เหอซ่า ก็คือ พระมหาสัตว์ นั่นเอง
ตามวัดวาอารามไม่ว่าหินยานหรือมหายาน , ศาลเจ้า , โรงเจ , ตามบ้านเรือนร้านค้าทั่วไป ล้วนมีพระรูปเคารพพระโพธิสัตว์พระองค์นี้แทบทั้งสิ้น
สุดยอดก็คือภาพยนตร์จีนอมตะชุดไซอิ๋ว ดำเนินเรื่องโดยอาศัยพระบารมีของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้เป็นสำคัญ
ความเป็นมาของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ( อ่านออกเสียงว่า อะ-วะ-โล-กิ-เต-สวน)
มีความซับซ้อนอยู่มาก แล้วก็มีหลายตำนาน บ้างก็มีหลักฐานอ้างอิง
บ้างก็เป็นการเล่าต่อๆกันมาในลักษณะอิงนิยาย แต่ที่สำคัญเป็นหลักฐานมั่นคงก็เห็นจะเป็นในหลายๆพระสูตรของพุทธศาสนามหายาน
ได้กล่าวถึงพระบารมีของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์เอาไว้มากทีเดียว
ส่วนฝ่ายหินยานเถรวาท ไม่ปรากฏพระนามของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในคัมภีร์ของหินยาน
ประการแรก , พระมหาโพธิสัตว์พระองค์นี้ มีเพศเป็นหญิงหรือชายกันแน่ ?
เพราะเหตุที่พระรูปเคารพทั่วไป ตลอดจนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบศิลปะจีน ภาพวาดภาพเขียน ซึ่งพบเห็นได้ง่าย
ทั้งหมดมักจะเป็นพระรูปของสตรีเพศ และชาวบ้านหรือผู้มีศรัทธามักจะเรียกขานพระนามว่า "เจ้าแม่"
คำตอบก็คือพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์เป็น มหาบุรุษ นั่นคือ บุรุษเพศหรือเพศชายนั่นเอง
พระมหาโพธิสัตว์ที่ได้บรรลุฌานระดับสูงนั้น ย่อมถึงซึ่งภาวะที่เรียกได้ว่าไร้เพศ
เมื่อหลุดจากกองอาสวะกิเลสแล้ว นั่นก็เท่ากับหลุดพ้นจากพันธนาการทางเพศไปด้วย
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ก็ทรงอยู่ในสภาวะนั้น แต่ในทศบารมีของพระโพธิสัตว์ (ที่ได้อ้างไว้ตอนต้นๆ ของบทความนี้)
ปัญญาบารมีและอุบายบารมี เป็นส่วนสำคัญในการเผยแผ่พระสัทธรรม
ตลอดจนการโปรดหรือช่วยเหลือมนุษย์ของพระโพธิสัตว์
ด้วยถ้อยคำในหลายคัมภีร์อ้างอิงว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ว่ามหาบุรุษ
ซึ่งมีพระนามเต็มว่าพระอารยอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ( ที่จริงยาวกว่านี้ แต่ผมตัดเอาเฉพาะคำต้นๆมา)
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจึงจะเป็นสตรีเพศไปไม่ได้โดยเด็ดขาด ทั้งการบรรลุธรรมขั้นสูงเข้าสู่แดนพุทธภูมิได้นั้น
มีเพียงบรุษเพศเท่านั้น ที่จะผ่านด่านนี้ไปได้ (ในหลายคัมภีร์ไม่เคยปรากฏแม้แต่แห่งเดียวว่าสตรีเพศได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สู่ภาวะพระพุทธเจ้า)
การที่บำเพ็ญบารมีมาถึงขั้นนั้นได้ นั่นก็เท่ากับเป็นการพัฒนาหรือเจริญฌานสมาบัติควบคู่กันมาด้วย
เรียกว่าคะแนนทฤษฏีเต็มร้อย แปลว่าคะแนนปฏิบัติก็ต้องเต็มร้อยด้วยเช่นกัน
ตกหรืออ่อนอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหมดสิทธิ์ทันที ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด
อุบายบารมี จึงมีฌานระดับหนึ่งที่ควบคู่กัน มีอำนาจอันแรงกล้า เพื่อส่งเสริมให้พระโพธิสัตว์สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ไม่มีอุปสรรคใดๆมากั้นขวางได้ และส่วนหนึ่งก็มาจาก ปัญญาบารมี ซึ่งช่วยเสริมให้การปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ
ปราศจากความบกพร่องและนำไปสู่ความสำเร็จมรรคผลได้ในที่สุด
คติหนึ่งเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ เป็น ส่วนหนึ่ง ของพระฌานบารมีองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้านั่นเอง
แล้วนำมาเชื่อมโยงกับ ลัทธิตรีกาย ซึ่งเชื่อว่าพระพุทธเจ้าและมหาโพธิสัตว์พระมหาสัตว์ล้วนมี 3 กายทั้งสิ้น
โดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์นั้น ทรงมีพระนิรมาณกายถึง 32 พระกาย
จะทรงเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ด้วย อุบายบารมี เป็นสำคัญ ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด
หรือให้ความช่วยเหลือตามคำร้องขอ
หากเป็นสตรีเพศ , เด็กหรือคนชรา , ผู้สูงอายุที่มีศรัทธาในพระองค์ อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ก็จะเสด็จไปโปรดในพระนิรมาณกายเป็น สตรีเพศ
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะเมตตาธรรมได้อย่างละเมียดกว่าสภาพของบุรุษเพศ
ซึ่งมักจะมีนัยไปทางเข้มแข็งและหนักแน่น ไม่อ่อนโยนเท่าที่ควร
ตรงนี้จะไปคล้องจองกับเรื่องราวของ พระธิดาเหมี่ยวซัน ราชธิดาในกษัตริย์เหมี่ยวจวง
ในนิยายอิงประวัติศาสตร์โบราณของจีน แล้วยังผูกพันกับศาสนาเต๋าในบางแง่มุมเช่น
การไม่ทานเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัว การถือศีลเจหรือจาย แสดงถึงอิทธิพลของเต๋าที่เข้ามาสอดแทรกในพุทธมหายาน
ซึ่งต่อมาก็เชื่อกันว่า พระธิดาเหมี่ยวซันคือพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ก็เลยเรียกพระนามตามเพศพระธิดาว่า เจ้าแม่ นับแต่นั้นมา
หากเสด็จไปเพื่อปราบหรือปรามมิให้ผู้ใดกระทำความชั่ว หรือปรามให้หยุดการกระทำนั้นๆเสีย ก็จะมีพระนิรมาณกายเป็นปีศาจบ้าง ,
ยมบาลบ้าง , ยักษ์มารบ้าง , เทพอสูรบ้าง , ตามแต่สถานการณ์นั้นๆ ( ขึ้นกับว่าจะไปปราบใคร ก็จะทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในพวกนั้น)
ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่เสด็จไปโปรด แม้แต่พระอริยบุคคลหรืออริยะเทพบางพระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ก็เสด็จไปโปรด
เช่นสำแดงนิรมาณกายเป็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าบ้าง , พระไวโรจนะพุทธเจ้าบ้าง , เป็นพระสารีบุตรอรหันตเจ้าบ้าง ,
หรือเป็นเทพเป็นเซียนขั้นสูงบ้าง หรือแม้แต่เป็นสัตว์บางประเภทเช่นเสือ , ม้า , มังกร
หาข้อจำกัดประมาณมิได้
ในหลักธรรมชั้นสูงเชื่อว่าความคิดอ่านบางประการที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพียงชั่วแล่น นำไปสู่ปัญญารู้เห็นอื่นๆได้
เสมือนได้รู้ได้เห็นมาจนขึ้นใจ ความคิด ลักษณะนั้น นั่นก็เป็นพระโพธิสัตว์พระองค์นี้
เรียกว่ามาโปรดในลักษณะของ ความคิดนึก มาในรูปของนามธรรม หมายความว่าแม้จะคิดอยู่ในใจเพียงคนเดียว
รู้อยู่เฉพาะตน นั่นก็เท่ากับอยู่ในสายพระเนตรของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ด้วย
จะคิดดีคิดชั่วก็แปลว่ามีจิตพระโพธิสัตว์ทรงรับรู้อยู่ด้วยทุกเสี้ยววินาที
พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีความลับ
พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ล้วนมี อุบายบารมี เช่นนี้ทั้งสิ้น แต่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับฌานบารมีในแต่ละภูมิ
ในรัชสมัยของราชวงศ์ถัง มีการตั้งโรงทานอาหารเจ ซึ่งจำกัดจำนวนการรับอาหาร ต้องเข้าคิวรับอาหารหนึ่งที่ต่อหนึ่งคน
เรียกว่าเป็นการให้ทานที่มีเงื่อนไข
พระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระมัญชุศรีกุมารภูตโพธิสัตว์ ได้เสด็จลงมาโปรดด้วยนิรมาณกายเป็นหญิงมีครรภ์ใกล้คลอด
เข้าแถวรอรับอาหารเจที่โรงทานนี้ โดยนางร้องขอคนแจกอาหารว่า
ขออาหารเพิ่มเป็น 2 ที่ ซึ่งเป็นส่วนของลูกในครรภ์ของนางด้วย
คนแจกอาหารปฏิเสธ บอกเพียงว่าให้เด็กในครรภ์ออกมาขอเอง แล้วไล่นางออกไปจากโรงทาน
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ จึงกลับกลายร่างเป็นพระโพธิสัตว์ ปรากฏเป็นแสงสว่างสาดส่องไปทั่วทั้งโรงทาน
ชั่วครู่ก็หายวับไปในนภากาศ ผู้คนที่อยู่ในโรงทานได้เห็นเป็นที่อัศจรรย์ทุกคนในครั้งนั้น
นับแต่นั้นมา การตั้งโรงทานแจกอาหารแก่ผู้ยากไร้ จึงมีพระบรมราชโองการจากราชสำนักลงมาว่า
จะต้องแจกจ่ายอาหารโดย ไม่เลือกบุคคลและไม่จำกัดจำนวน จนกว่าอาหารทานที่ผู้มีศรัทธาได้บริจาคมานั้น
จะหมดลง
คติในการสร้างพระรูปเคารพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ก็แตกต่างกันไป หรือที่เรียกกันว่า ปาง นั่นเอง
ซึ่งมีการสร้างกันจำนวนมากมายหลายปางทีเดียว ถูกต้องตามตำราก็มี นึกเอาเองบ้างก็มาก ก็ว่ากันไปตามศรัทธา
เป็นเรื่องของศรัทธา ( ที่อาจจะขาดปัญญาไปบ้าง)โดยแท้จริง
ซึ่งว่าไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากการจัดสร้างองค์พ่อจตุคามรามเทพในวันนี้นี่แหละ
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ มีความสำคัญสูงสุดอีกประการหนึ่ง ด้วยเหตุที่ทรงได้รับปรัชญาธรรมจากพระสหัสประภาศานติสถิตยตถาคตพุทธเจ้า
ซึ่งธรรมบทที่ว่านั้นคือ มหากรุณาธารณีสูตร ( ไต่ ปุย จิว) มีคุณานุภาพเป็นอเนกประการ
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้สดับธรรมนี้แล้ว ก็เจริญฌานจากขั้นปฐม บรรลุไปถึงภูมิขั้นที่ 8 ในทันที
ปรัชญาธรรมนี้ สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเข้าถึงพุทธภูมิได้ทันที และทำให้ผู้ที่เจริญภาวนาอยู่เป็นนิจ
ปราศจากภัยต่างๆเป็นอนันต์ ทั้งปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะได้รับสมปรารถนาเสมอไป
มหากรุณาธารณี นี้ มีทั้งหมด 84 อักษร ทุกอักษรนั้นมีความหมายในทางธรรมอย่างล้ำลึก
นับเป็นรหัสธรรมที่มีความละเอียดอ่อนรอบคอบและศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เชื่อกันว่าแม้ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ,
เทวดาหรือปีศาจยักษ์มาร หากได้เจริญภาวนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็จะได้พุทธะที่มีอยู่ในตัวตนเป็นพื้นฐาน
ว่ากันว่าแม้เพียงได้ยินเสียงสวดมนต์ หรือเจริญบริกรรมพระมหากรุณาธารณีสูตรที่ว่านี้
หากมีจิตอันศรัทธาและตั้งปณิธานไว้ให้มั่นคง ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ก็จะได้อานิสงส์เหลือจะพรรณนา
ดุจดั่งแก้วสารพัดนึก บทสวดที่ว่านี้ พุทธศาสนามหายานถือเป็นพระสูตรที่สำคัญอย่างยิ่งยวด
เสมือนเป็นหัวใจของพระไตรปิฏกเลยทีเดียว
ปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มีการบันทึกเสียงลงในแผ่นซีดี
มีทั้งภาษาจีนแต้จิ๋ว , กวางตุ้ง , ภาษาจีนกลาง(แมนดาริน)
และอื่นๆเช่นเป็นภาษาสันสกฤตสวด(ขับร้อง)โดยพระสงฆ์มหายานของธิเบต
หรือสวดสำเนียงธิเบต(ตันตระนิกาย) แน่นอนครับ เป็นการสวดพระสูตรที่เข้มขลังผสมผสานด้วยดนตรี
มีท่วงทำนองที่ไพเราะน่าฟัง ให้ความรู้สึกที่เยือกเย็นผ่อนคลาย เข้าถึงความรู้สึกลึกๆได้อย่างมหัศจรรย์ !
ทั้งนี้ มีคติที่เชื่อกันว่าเป็นเพราะพระบารมีเมตตาแห่งองค์อวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์
ที่ทรงพระกรุณาประทานพระสูตรนี้ให้แก่มวลมนุษย์ และทรงช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ตามปณิธานอันแรงกล้านั่นเอง