ตามรอยอริยา
7 พระบรรพจารย์หวังฉงหยัง
ธรรมนิวาสของท่านจะแสดงชื่อว่า นิวาสสัทธรรม "เฉวียนเจิน หรือ นิวาสบัวทอง จินเหลียน " เพื่อแสดงความหมายว่า เป็นนิวาสถานเพื่อการบำเพ็ญจิตใจให้เที่ยงแท้ สงบ สมถะ สำรวม สมานกายใจ เพื่อฟื้นฟูจิตดั่งบัวทองบริสุทธิ์ผุดผ่องพ้นน้ำอร่ามเรือง ศิษย์ของท่านมีมากมาย บรรลุธรรมวิเศษกันไปมากมาย อาทิ ท่าน "ถันฉังเหยิน หลิวฉังเซิง ซุนปู๋เอ้อ เฮ่าไท่กู่ หวังอวี้หยัง และท่านชิวฉังชุน เป็นต้น"
เนื่องด้วยธรรมนิวาสของพระบรรพจารย์หวังฉงหยัง มีชื่อว่า สัทธรรมเฉวียนเจิน เที่ยงแท้ การเคี่ยวกรำอบรมศิษย์ก็เพื่อให้เข้าถึงความเป็นในสัทธรรมเฉวียนเจินที่เที่ยงแท้ ฉะนั้น ต่อมาการโปรดสัตว์ของท่านจึงได้รับการเทิดทูนว่า "ศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน" ศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจินมุ่งให้รักษาความสมถะ เรียบง่าย กล่อมเกลาบำรุงรักษาจิตบริสุทธิ์เที่ยงแท้ จิตใจใสนิ่ง สมาธิมั่นคง อุ้มชูจิตเดิมแท้ รักษาความเป็นหนึ่งไว้ ครองสติปัญญา รักษาพลังธาตุให้มั่นคง เป็นการบำเพ็ญภายในอันแท้จริง
ส่วนการปฏิบัติภายนอก คือ สงเคราะห์ผู้ยากไร้ ฉุดช่วยคนทุกข์ยาก คำนึงถึงผู้อื่นก่อนตนเอง ไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว การบำเพ็ญและปฏิบัติถึง
พร้อมทั้งสองประการ จึงเรียกได้ว่า "สัทธรรม"
เฉวียนเจิน จื้อไจ้โส่วผู เอี่ยงซู่เฉวียนเจิน เฉิงซินติ้งอี้ เปาเอวี๋ยนโส่วอี ฉุนเสินกู้ชี่เอว๋ยเจินกง จี้ผินป๋าขู่ เซียนเหยินโฮ่วจี่ อวี่อู้อู๋เอว๋ยเจินสิง กงสีงจวี้เฉวียนเจี้ยวเฉวียนเจิน
ระเบียบบัญญัติในการปฏิบัติบำเพ็ญของศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน ยังมีหลักใหญ่อีกสิบห้าข้อคือ
1. จงแสวงหาอาณาจักรธรรมเป็นนิวาสถานเพื่อการบำเพ็ญตลอดชีวิต อีกทั้งอาศัยผู้ร่วมบำเพ็ญในอาณาจักรธรรมนั้นส่งเสริมการบำเพ็ญแก่กัน จนถึงระดับ "ในแกร่งนอกสมาน" (เน่ยกังไอว้เหอ)
2. จงเดินทางท่องไปสุดหล้าฟ้าเขียวเที่ยวกล่อมเกลาเวไนย เพื่อทดสอบความจริงใจของตนที่มีต่อการปฏิบัติบำเพ็ญ หากจริง ก็จะไม่เหนื่อยหน่าย ไม่หวั่งเกรงต่อข้อทดสอบอุปสรรคขวางกั้น ไม่หวาดหวั่นต่ออันตราย ต่อการถูกเหยียดหยามทิ่มแทง หากไม่จริงใจก็จะได้แต่ท่องเที่ยวเพลิดเพลินชมทิวทัศน์ไป รับอุปัฏฐากโดยไม่ได้ให้คุณแก่มวลเวไนยฯ
3. จะต้องฝึกสวดท่องพระคัมภีร์อยู่ไม่ขาด อีกทั้งสุดท้าย จะต้องไม่ยึดหมายในพระคัมภีร์ณูปลักษณ์ แต่จะต้องให้เข้าถึงสัจธรรมดำริของอริยปราชญ์ อ่านพระคัมภีร์สำคัญที่จิตรู้แจ้ง มิใช่อยู่ที่อรรถรสสุนทรีย์ของพระคัมภีร์เท่านั้น
4. จะต้องหมั่นเพียรวิริยะก้าวหน้า ประหนึ่งเลือกสรรตัวยามาเข้าพิกัด ให้สรรพคุณอุ่นเย็นเข้ากันพอเหมาะ ทำให้กายใจได้รับคุณประโยชน์ถูกต้องสมดุลกัน
5. จงกำหนดการสร้างสถานปฏิบัติธรรม จะเป็นวัดเล็กหรือพระอารามใหญ่ ก็ให้สะอาด สงบ ให้มีหลังคากันแดดกันฝนได้เป็นสำคัญ แต่ไม่ให้ฟุ่มเฟือยหรูหราเพื่อความโอ่อ่ามีหน้ามีตา
6. ผู้อยู่ร่วมบำเพ็ญ จะต้องช่วยเหลือกระตุ้นเตือนปรึกษาหารืออุ้มชูกัน เพื่อการบรรลุมรรคผลพร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อมีการถูกทดสอบยิ่งจะต้องสำแดงคุณของความเป็นผู้บำเพ็ญร่วมกัน อย่าให้มีความเบื่อหน่ายถดถอยเกิดขึ้นได้
7. จงรักษาคุณลักษณะความเป็นผู้มีธรรมในการนั่ง ยืน เดิน นอน ทุกอริยาบทไว้ให้ดี อยู่ในอาการสงบเพื่อสำรวมบำเพ็ญจิต
8. จะต้องฝึกจิตปราณีต "เอาชนะมังกร สยบเสือร้ายให้ได้" นั่นคือ การตัดกิเลสตัณหาอารมณ์ให้เหลือแต่กุศลจิตบริสุทธิ์ล้วน ๆ เพียงอย่างเดียว
9. จะต้องประคองรักษาจิตเดิมแท้อันใสสงบวิเศษยิ่งอันส่องเห็นตนและคนอื่นได้ให้คงอยู่เสมอ
10. ให้ปรับกำลังธาตุทั้งห้า คือ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ลม ในตนให้สมานกันพอดี จนเป็นพลังธาตุสุขุมอันวิเศษประดุจเป็นหนึ่ง ณ จุดรวมศูนย์ต้นกำเนิดในตน
11. จงอุ้มชูรักษาจิตญาณ (ชีวิตจริง) กับกายชีพซึ่งล้วนเป็นงานอันสำคัญขอผู้บำเพ็ญจะต้องวิริยะจริงจังไม่เกียจคร้าน
12. จะต้องเอาแบบอย่างการปฏิบัติบำเพ็ญของอดีตพระอริยปราชญ์เป็นบรรทัดฐาน
13. จงศึกษาธรรมด้วยความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นจะก้าวล่วงให้พ้นจากโลกของวัตถุนามรูป ให้พ้นจากวัฏฏะสงสารให้ได้
14. ผู้ได้รับวิถีธรรม ได้ศึกษาธรรม ได้ดำเนินธรรม พึงปลูกฝังตนให้มีคุณสมบัติของผู้เป็นปากเสียงแทนฟ้า ภาพลักษณ์กิริยาอาการทุกอย่างให้รื่นตารื่นใจ เป็นสัญลักษณ์ของธรรมะ ของชาวธรรม ของหมู่คณะ จะเป็นผู้ให้ "ธรรมะ" ด่างพร้อยเสียหายมิได้เลย
15. การบำเพ็ญจนบรรลุสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิมรรค จนกระทั่งกลับคืนสู่สูญญตาภาวะนั้น เป็นเป้าหมายสุดท้ายสูงสุดของผู้บำเพ็ญ
พระบรรพจารย์หวังฉงหยัง กับ ศิษย์เอกทั้งเจ็ด ผู้บรรลุธรรมวิเศษได้พยายามแพร่ธรรมกอบกู้อุ้มชูจิตใจสาธุชนจนได้รับการเทิดทูนจารึกจากปราชญ์เอวี๋ยนอี๋ซัน ในสมัยนั้นว่า ทุกท่านในศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน พลิกฟื้นสัจธรรมในหมู่ผู้หลงด้วยจิตใจ "ในแกร่งนอกสมาน" เปิดทางบำเพ็ญโดยตรงให้แก่ทุกชนชั้นด้วยภาวะกึ่งอริยะกึ่งทางโลก บวชจิตพร้อมกับรับผิดชอบครอบครัวได้ ด้วยจิตมุ่งหมาย "นำตนบรรลุธรรม นำท่านบรรลุด้วย" ในยุคนั้น คนที่เคยผิดบาป คนยากไร้ทุกข์เข็ญต่างได้รับโอกาสกลับตัวกลับใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่กันทุกหย่อมหญ้า ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่จีน จากเหนือจรดใต้ ที่ใดมีควันไฟบ้านช่องที่นั่นก็จะมีผู้บำเพ็ญศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน จากป่าเขาจนถึงเมืองใหญ่ไม่ต่ำกว่าสิบล้านคน กระจายกันอยู่และรวมกลุ่มสามคนห้าคนส่งเสริมการบำเพ็ญแก่กันอย่างแข็งขันเคร่งครัด จึงเป็นศาสนิกที่สมัครสมานกันอย่างไม่มีอุปสรรคใดสั่นคลอนได้เลย
ศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน ได้รวมเอาแก่นแท้ของศานาพุทธ ศาสนาเต๋า และศาสนาปราชญ์ไว้ในจุดเดียวกัน นั่นคือเข้าสู่ "อนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต" ซึ่งจะกล่าวว่า พระบรรพจารย์หวังฉงหยังได้โปรดจุดคบไฟส่องทางให้แก่สาธุชนในธรรมกาลยุคขาวบัดนี้ไว้แล้ว ตั้งแต่พันกว่าปีก่อนก็ว่าได้