collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์  (อ่าน 36507 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่ 10

          เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท  ฟังพระบุพวิสุทธิเทพ

                         บรรยายธรรมอีกครั้ง

                  วันที่  16  ตุลาคม  พ.ศ. 2522

         อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        ลาภยศศฤงคาร                  อีกวิมานล้วนอนิจจัง
ดั่งความฝันตกภวังค์                     กลางราตรีอันยาวนาน
ผู้มีจิตหรรษา                             ชราชะลอไกลกาล
เศร้าโศกเหมือนมีมาร                   พาลกระทบซ้ำจิตสะเทือน

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม...สวรรค์ละมุลวิสุทธิภูมินี้ช่างแตกต่างจากโลกมนุษย์จริง ๆ สว่างไสวราวกับกลางวันแดนมนุษย์ รัศมีเปล่งปลั่งแวววาว ข้าง ๆ ปราสาทเหล่ากุมารเทพแสดงการต้อนรับด้วยความยินดี

อรหันต์จี้กง   :  ละมุลวิสุทธิภูมิ เป็นเมืองของบุพวิสุทธิเทพ เป็นสวรรค์ที่อยู่เหนือภูมิที่ 33  ขึ้นไป พวกปุถุชนไม่อาจไปถึงภูมินี้ได้ นอกจากผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว หรือผู้ที่มีบุญบารมีสูง จึงจะมายังที่นี่ได้ ครั้งนี้เพราะได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ เป็นความเมตตาของสวรรค์ ข้า ฯ จึงสามารถพาเจ้ามาได้ อาจพูดว่ามีโชควาสนาที่สุดในสามชาติทีเดียวที่มีโอกาศอย่างนี้  สืบเนื่องจากอนุตตรวิสุทธิภูมิเป็นต้นกำเนิดของมหาสัทธรรม จึงได้ชื่อว่า  "บุพวิสุทธิเทพ"  วันนี้จะเข้าเยี่ยมท่านเทพ ขอให้บรรยายความเป็นมาของธรรมโดยละเอียด  หยางเซิงรีบกราบนมัสการท่านเทพ

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม !  ภายในปราสาทกลิ่นไอแห่งสวรรค์อบอวล เห็นท่านเทพมีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์สิงห์ทองคำ มีรัศมีวงกลมหมุนรอบ ๆ ไม่หยุดหย่อน กระผมรู้สึกมึนงงอยากจะล้มลงให้ได้...

อรหันต์จี้กง   :  จงมีความสงบ ท่านเทพกำลังใช้พลังเอกธาตุแห่งธรรมรัศมีเสกให้เจ้า  ดังนั้นเจ้าจึงมีอาการเช่นนี้

หยางเซิง   :  ขณะนี้รู้สึกว่าพลังสติเพิ่มพูนขึ้น  กราบนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพ ข้าน้อยติดตามอาจารย์มายังอนุตตรวิสุทธิปราสาทอีกครั้ง ขอท่านได้โปรดประทานโอวาทสั่งสอนด้วยเถิด ! 

บุพวิสุทธิเทพ   :  ทั้งสองท่านลำบากมากนัก เชิญนั่ง !  เหตุการณืในโลกยุ่งเหยิงมนุษย์ใจทันสมัยเสมอเลยทำให้ธาตุจิตที่มีมาแต่เดิมเริ่มเสื่อมสูญ  วิทยาการก้วหน้า ชีวิตความเป็นอยู่ก้าวหน้า แต่จิตใจของคนจมดิ่งลง บุญบารมีไม่สร้างสม ธาตุจิตแตกสลาย  จึงวนอยู่ในวัฏสงสาร วันแห่งการคืนกลับไม่มี  จิตสวรรค์เมตตาอยู่เสมอ ทนไม่ได้ที่เห็นจิตเดิมแตกสลาย ดังนั้นจึงมีบัญชาให้ศาสดา แห่งศาสนาทั้งห้าจุติสู่มนุษย์ภูมิในแต่ละภาค ช่วยชี้แนะทางขึ้นสวรรค์หลังจากพระศาสดาดับขันธ์ปรินิพพาน แม้จะมีพระสูตรเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ลูกศิษย์ก็เพิ่มหัวเพิ่มหาง ทำให้สูญหลักเดิม  ถึงแม้ปัจจุบันจะมีผู้เรียนรู้ธรรม แต่ก็มักใหญ่ใฝ่สูงไม่ตั้งอยู่ในหลักความเป็นจริง ไม่ใฝ่หาแก่นแท้ของธรรม กลับสะสม แม้จะตั้งใจศึกษาก็ตามกลับจะได้รับแต่เปลือกนอก ไม่ได้รสของแก่นแท้เลย ดังนั้น  วันนี้จึงให้แต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ขึ้น  เปิดทางสายใหม่ขึ้น เปิดเผยหลักธรรมที่แท้จริง เพื่อแก้ไขความผิดพลาด   ผู้ที่เรียนธรรมในโลกนี้จำต้องใส่ใจค้นคว้าหนังสือเล่มนี้ให้ดี  เข้าใจความหมายให้ถ่องแท้  ถือปฏิยัติสม่ำเสมอไม่เกียจคร้าน ข้า ฯ รับรองว่าจิตวิญญาณจะได้คืนสู่ต้นสังกัดเดิมโดยวิธีนี้ทางเดียว หากไม่ทำตามวิธีทางนี้แล้วก็ไม่มีทางบำเพ็ญธรรมให้สำเร็จได้

หยางเซิง   :  ขอเรียนถามว่า  ธรรมอันแท้จริงนั้นเป็นไฉน ?.

บุพวิสุทธิเทพ   :  ชาวโลกปฏิบัติธรรมตามแบบ พุทธ  เต๋า  ขงจื้อ  คริสต์  และอิสลาม  มีเป็นร้อย ๆ สำนัก พัน ๆ วิธี แต่ละศาสนาล้วนคุยว่าดิเลิศไม่มีใครเสมอเหมือน เลิศล้ำสุดยอดแต่ไม่รู้ว่า  "สูงสุด"  นั้นถึงจุดไหนขั้นไหน ?. 

        เริ่มแแรกเดิมที คำว่า  "ธรรม"  นั้นไม่มีชื่อเรียก จึงตั้งชื่อให้ว่า ธรรม  ดังนั้นจึงใช้วงกลมแทน ( O ) แทน ฉะนั้นผู้มีธรรมบนศรีษะจึงมีแสงรัศมี นั่นคือ รัศมีของวิญญาณเดิม  หากวิญญาณเดิมมืดมัวไม่มีแสง ซึ่งเรียกว่า  "เศษวิญญาณ"  หรือเรียกว่า  "มวลมนุษย์"  วิญญาณนี้เป็นพืชพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด  หากวิญญาณเดิมมีแสงรัศมี นั้นก็คือ พืชพันธุ์ไม่มีรากงอก  ไม่มีหนทางวัฏสงสาร  วิญญาณก็จะกลับคืนสู่ต้นสังกัด ดังนั้น ในพระสูตรของไท้เสียงป้อเก๊กฮุ้งง้วน  กล่าวว่า "สิ่งที่ภายนอกมีรูป  มีสมบัติเป็นร่าง  ภายในที่มีสี  มีรูปลักษณ์ ย่อมต้องกลับสู่สภาพเดิม ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ"

        เทพ  อรหันต์  ปราชญ์  ล้วนบำเพ็ญเพียรถึงขั้นคืนสู่ต้นสังกัด ดังนั้น ผู้รู้จักบำเพ็ญเพียร (ปฏิบัติธรรม)  ไม่ควรแบ่งนิกายนั้นนิกายนี้  เพราะเหตุว่าสิ่งนอกเป็นสิ่งปลอม  ภายในจิตจึงจะเป็นของแท้ ทุก ๆ สาขาวิชาชีพย่อมมีสิ่งสุดยอด ให้จดจำหลักธรรม และปฏิบัติให้จริงจัง นั่นก็คือ สัทธรรม

หยางเซิง   :  ใคร ๆ ก็ว่า มหาสัทธรรม ไม่ทราบว่า สัทธรรมที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่ 10

          เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท  ฟังพระบุพวิสุทธิเทพ

                         บรรยายธรรมอีกครั้ง

                  วันที่  16  ตุลาคม  พ.ศ. 2522

         อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        ลาภยศศฤงคาร                  อีกวิมานล้วนอนิจจัง
ดั่งความฝันตกภวังค์                     กลางราตรีอันยาวนาน
ผู้มีจิตหรรษา                             ชราชะลอไกลกาล
เศร้าโศกเหมือนมีมาร                   พาลกระทบซ้ำจิตสะเทือน

บุพวิสุทธิเทพ   :  มนุษย์หากสำเร็จเป็นหนึ่ง ย่อมศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นหนึ่ง ย่อมเป็นเอกธาตุแห่งบุพกาล  ขณะนี้ พระแม่เจ้าแห่งสระทิพย์มีพระราชเสาวนีย์ให้สะสางให้เสร็จสมบูรณ์  หมายความว่า ให้คืนสู่จิตวิญญาณเดิม ให้กลับสมบูรณ์ไม่บกพร่อง ด้วยเหตุนี้ แสงรัศมีที่ทุก ๆ คนควรบำเพ็ญ ทุก ๆ ครอบครัวก็บำเพ็ญได้  ทุก ๆ ศาสนาต้องบำเพ็ญให้สำเร็จสมบูรณ์ นำไปส่งมอบยัง  "คลังวิญญาณ"  แห่งบุพกาล ในพระสูตรเต้าเต๊กเก็ง กล่าวว่า  "ฟ้าดินแห่งบุพกาลไร้นาม มารดาแห่งสรรพสัตว์มีนามเป็นหมื่น.....สองสิ่งนี้ก่อเกิดพร้อมกันหากแต่นามต่างกัน ต่างกล่าวว่าพิศดาร  พิศดารแห่งพิศดารเป็นหนทางแห่งความพิศดารทั้งหลาย"  พระแม่เจ้าเป็นหนึ่งในห้าอาวุโส ซึ่งเป็นมารดาของจิตวิญญาณเดิมทั้งเก้าสิบหกดวง ล้วนมีนามว่า  "มารดา"  ที่ไร้นามว่า  "ธรรม"  ดังนี้  ภายหลังพระแแม่เจ้าได้รับวิญญาณเดิมกลับคืนสู่ร่างแม่แล้ว เมื่อผ่านการอวตารที่ไตรวิสุทธิภูมิแล้ว วิญญษณเดิมก็จะสะอาดบริสุทธิ์ ผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (เอกภาพ)  ดั่งนี้แล  จึงนับได้ว่าบำเพ็ญจนสำเร็จได้เต็มสมบูรณ์

หยางเซิง   :  รับฟังพระวรพจน์ด้วยความเคารพยิ่ง ได้ทราบถึขั้นตอนแห่งการบรรลุธรรม ดังประหนึ่ง "ปิรามิด" เหมือนบันไดสวรรค์ที่เห็นปลายเล็กแหลมไต่จากต่ำไปที่สูง จนกระทั่งถึงจุดสุดยอด และตั้งมั่นได้อย่างมั่นคง จึงนับว่าเสร็จสมบูรณ์

อรหันต์จี้กง   :  พระจอมมารดาแห่งไร้มหาขอบเขตภูมิ โอบอุ้มฟ้า - ดิน ไว้ในอ้อมอก ให้ไต่สู่บันไดสวรรค์พาพวกเจ้ากลับคืนสู่ พระจอมมารดาเฒ่า ดูท่านแลผ่านฤดูกาล เปล่งเสียงเรียกร้องเหลียวดูใจแม่ อยากรู้เหมือนกันว่า จะมีสักกี่คนที่ได้ยินเสียงเรียก และหวนกลับสำนึก ลองคิดดูซิ ก่อนที่พ่อแม่จะให้กำเนิดพวกเจ้าอยู่ที่ไหนกันเล่า?.  นอกจากบ้านธรรมดาสามัญ ที่พวกเจ้าได้อาศัยอยู่ในโลกนี้ไม่กี่สิบปี ยังมีวิมานทอง ที่ทั้ง  น้ำ  ลม  ไฟ  ไม่สามารถจะกระหน่ำ ทำลายได้ ที่อยู่บนสวรรค์กำลังรอพวกเจ้าอยู่ รีบ ๆ บำเพ็ญเพียรให้ได้กายทิพย์ ดุจเทพอรหันต์ที่ไม่เน่าเปื่อย จะได้เข้าอยู่บนสรวงสวรรค์ ที่ฤดูกาลทั้งหลายดุจฤดูใบไม้ผลิตลอดกาลเถิด ! 

หยางเซิง   :  โธ่ !  อาจารย์รำพันจากใจเคล้าน้ำตาอย่างนี้ กระผมฟังแล้วเหมือนใจจะขาด ! 

บุพวิสุทธิเทพ   :  ดวงตาเจ้ายังไม่เสื่อมสลายลงซึ่งสามารถจะหาข้อมูลนี้ได้ ขอเพียงให้แต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์สำเร็จลง มีเพียงวิมานทองของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น ยังสามารถช่วยชาวโลกนับหมื่น ๆ ได้สร้างวิมานสวรรค์อีกด้วย  หวังเป็นอย่างมากว่า ชาวโลกจะบำเพ็ญเพียรในเร็ว ๆ วันนี้ สร้างบุญก่อกุศล จากเล็กผสมน้อยจนได้เจดีย์ใหญ่ ตราบจนสิ้นอายุขัย ก็จะสามารถลอยขึ้นสู่สวรรค์ขั้นมหาไพศาลภูมิ วิมานเพชรนิลจินดาหลังนี้ จะมอบให้เจ้าอาศัยอยู่เสวยสุขชั่วกาลนาน

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณที่ท่านเทพได้กรุณาอธิบาย เคยได้ยินผู้ที่ปฏิบัติธรรม ที่ได้กลับไปยังพระจอมมารดาแห่งสวรรค์ไร้ขอบเขต ไม่ทราบว่าเป็นการสำเร็จธรรมแล้วใช่ไหม ?.

บุพวิสุทธิเทพ   :  คำว่่า  "บุพ" คือจักรวาลไร้นาม ส่วน  "มารดา" คือสรรพสัตว์มีนามเป็นหมื่น ๆ  ดังนั้น  "บุพมารดา"  จึงเป็นเอกภาพ ชาวโลกขนานนามว่า "พระจอมมารดา"  แสดงถึงความสัมพันธ์ชิดเชื้อของสวรรค์ต่อชาวโลก มารดาย่อมเห็นชาวโลกเหมือนลูกน้อย  ทั้งน่ารักน่าชัง !  ด้วยเหตุนี้ สวรรค์จึงดำริให้ความเมตตาของพระจอมมารดาสถิตสวรรค์แห่งห้าอาวุโส ท่านอิงประตูรออยู่  ณ  สระอโนดาษ  เฝ้ากอบกู้วิญญาณเดิมให้หมดสิ้น ดังนี้ หากชาวโลกทั้งหลายรู้สำนึกในกาลก่อน เข้าหามารดากลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมจึงนับได้ว่า  สำเร็จธรรม

        เมื่อรู้แล้วว่า มารดาให้กำเนิดลูกน้อย สวรรค์ก็ให้กำเนิดวิญญาณ พระจอมราชันคือผู้ควบคุมอำนาจของสรรพวิญญาณ หรือเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง เมื่อกราบไหว้พระจอมมารดาก็คือกรบไหว้พระวิสุทธิเทพ  พระผู้เป็นเจ้า  จึงควรระลึกเสมอว่า พี่น้องเหล่าวิญญาณล้วนมาจากต้นตอเดียวกันกับพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ควรจะแบ่งแยกให้เกิดความเย่อหยิ่งลำพองใจ อันจะทำให้เหล่าวิญญาณเดิมไม่ผสานกับไอแห่งธรรมะ หากสำคัญผิดว่า  ข้านี้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว โดยดูหมิ่นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าว่าเป็น "ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าเบื้องหลัง"  ก็จะเกิดความมืดมัวในจิตทันที ผู้ที่กีดกันผู้อื่นนั้น ตนเองก็จะถูกดีดให้ร่วงหล่นลงพึงสังวรไว้ว่า  เทพเจ้าอยู่ในใจเรา การดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เท่ากับดูถูกตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรประพฤติของผู้ปฏิบัติธรรม หากยึดมั่นในรูปลักษณ์ตนเอง เมื่อตายลง ก็ไม่สามารถจะผสานกับมหาสัทธรรมที่จะกลับสู่มารดาได้สำเร็จ

        สรรพสัตว์ใต้หล้าใช้อากาศ  (ธาตุ) เดียวกัน เมื่อลมปราณขาดลงตัวก็ต้องตาย ด้วยเหตุนี้อาจกล่าวได้ว่า สรรพสัตว์กำเนิดจาก  "เอกธาตุ"  ซึ่งเป็นเหตุที่ถูกต้องที่สุด  เมื่อวิญญาณของผู้ปฏิบัิติธรรมกลับคืนสู่ต้นสังกัดแล้ว รอคอยจนกว่าเหล่าวิญญาณทั้งหลายจะได้รับการกอบกู้หมดแล้วจึงลอยขึ้นสู่ไตรวิสุทธิ์ เป็นสามบุปผาชูช่อลอยสู่มหาไพศาลภูมิ  (สวรรค์ขั้นสูงสุด เหมือนนิพพาน)  ผสมกลมกลืนกับมหาสัทธรรม

        สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่สำเร็จมรรค - ผล ในปัจจุบันชาติ บำเพ็ญตนและรูปบารมีเต็มสมบูรณ์ เมื่อละร่างนี้ไปแล้ว ก็จะลอยขึ้นสู่มหาไพศาลภูมิเลยทีเดียว จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชาวโลกจะละโลภ  โกรธ  หลง  และรูปจอมปลอม ก็จะบรรลุมหาสัทธรรมแน่นอน 

Tags: