collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: กินน้ำเต้าหู้จะเป็นมะเร็งจริงหรือไม่  (อ่าน 6818 ครั้ง)

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
กินน้ำเต้าหู้จะเป็นมะเร็งจริงหรือไม่
Credit : cheewajit.com (บทความจากอาจารย์สาทิส)



เรียน อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ที่เคารพ

     ติดตามนิตยสารชีวจิตมาเป็นประจำจนตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก ทั้งได้อ่านผลงานของอาจารย์มาพอสมควร และพยายามศึกษาข้อเขียนและฟังการบรรยายเกี่ยวกับการดูแดสุขภาพและเรื่องอาหารจากผู้รู้อีกหลายคนเช่นเดียวกัน เพื่อการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว อย่างไรก็ดี ยังมีข้อสงสัยที่ดิฉันขออนุญาติเรียนถามอาจารย์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้

ทราบมาว่านมวัวไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงเด็ก เพราะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภูมิแพ้ ควรจะใช้นมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ให้เด็กรับประทานมากกว่า แต่ดิฉันเคยได้ยินได้ฟังมาอีกว่า นมถั่วเหลืองไม่เหมาะกับเด็กผู้ชาย เพราะจะทำให้เกิดความผิดปกติต่อร่างกายของเด็กผู้ชายได้ จึงทำให้เกิดความสับสนว่าจะตัดสินใจเลือกอย่างไหนดี ดิฉันใคร่ขอคำแนะนำ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจากอาจารย์ด้วยค่ะ
อยากทราบเรื่องการดื่มน้ำเอนไซม์ว่ามีวิธีการดื่มอย่างไร ทั้งปริมาณที่ควรดื่มแต่ละครั้ง เวลาที่เหมาะสมในการดื่ม
ได้รับคำแนะนำว่าการดื่มนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้นั้นควรดื่มในขณะที่ท้องว่างก่อนหรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง ถ้าหากว่าดื่มนมถั่วเหลืองแล้วตามด้วยอาหารจะมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้างคะ
การทำดีท็อกซ์โดยการสวนกาแฟในกรณีไม่ได้รับประทานอาหารชีวจิตจะทำสัปดาห์ละ 1 ครั้งได้หรือไม่ และจะมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้างคะ
     ขออวยพรให้อาจารย์ประสบแต่ความสุขความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เป็นที่พึ่งของคนรักสุขภาพตราบนานเท่านาน และขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

      ด้วยความเคารพ
            ณิชาภัทร

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม

คุณณิชาภัทรครับ

     รู้สึกว่าข่าวคราวในด้านสุขภาพซึ่งคุณณิชาภัทรได้มานั้นจะมาจากแหล่งต่าง ๆ มากมายเหลือเกิน การศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ นั้นมีคุณประโยชน์มาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นดาบสองคม ทำให้ความคิดของคุณสับสนไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี และยิ่งจะสับสนมากยิ่งขึ้นในเมื่อความเห็นของแต่ละแหล่งข่าวนั้นค้านกันเอง

     เพราะฉะนั้นก่อนจะเชื่อใครก็ขอให้สอบสวนให้แน่เสียก่อน ถามจนกระทั่งรู้แน่ใจว่าผู้ให้ข่าวเป็นใคร เขาได้เรียนเรื่องต่าง ๆ ที่เขาพูดมานั้นจริงหรือไม่ หรือมีหลักฐานของแต่ละคนให้ละเอียด แล้วคุณจะได้สามารถตัดสินใจได้แน่นอนว่าควรจะเชื่อใครดี ขอตอบดังนี้

เรื่องนมวัวนั้นไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงเด็กนั้นถูกต้องแน่นอน แต่คำถามเรื่องนมสำหรับเด็กควรจะถามกลับกันว่าทำไมจึงไม่ให้เด็กกินนมแม่ มากกว่าจะถามว่ากินนมวัวดีหรือไม่ เพราะนมที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กนั้นคือนมแม่ นอกจากนมแม่จะเป็นอาหารวิเศษสุดสำหรับลูกแล้ว นมแม่ยังมีนมเหลืองหรือ Colostrum ซึ่งเป็นตัวภูมิชีวิตหรือ Immune System ที่สำคัญที่สุดของลูกด้วย
   เคยสังเกตไหมครับ เด็ก ๆ ที่กินนมวัวโตขึ้นมักจะเป็นภูมิแพ้ นั่นเป็นเพราะเด็กไม่มีภูมิชีวิตที่แข็งแรงซึ่งแม่จะมอบให้ลูกตั้งแต่แรกเกิดซึ่งก็คือนมเหลือง หรือ Colostrum นั่นเอง
   ที่คุณณิชาภัทรถามมาว่า ควรจะใช้นมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ให้เด็กรับประทานดีหรือไม่นั้น ก็คงต้องถามกลับไปอีกเช่นกันว่าทำไมไม่ให้กินนมแม่ ถ้าคำตอบมีอยู่อย่างเดียวคือเพราะนมแม่ไม่มีหรือไม่พอจะด้วยเหตุผลหรือความจำเป็นอย่างใดก็ตาม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เห็นจะต้องยอมรับว่านมถั่วเหลืองพอจะใช้เลี้ยงเด็กได้
   แต่- - ยังมีแต่ตัวสำคัญนะครับ สารอาหารจากนมถั่วเหลืองอย่างเดียวคงจะไม่พอแน่ ผมคิดว่าน่าจะทำอาหารเหลวจากข้าว จากผัก ทำเป็นซุปต้มให้เปื่อย ผสมกับการให้น้ำผลไม้ และน้ำผึ้งปนเข้าไปด้วย เวลาให้อาหารประเภทผักต้องต้มให้เปื่อยจริง ๆ เพราะถ้าเป็นเด็กอ่อนในท้องจะยังย่อยพวกผักไม่ได้
   ส่วนที่มีความสงสัยว่า “นมถั่วเหลืองไม่เหมาะกับเด็กผู้ชาย เพราะจะทำให้เกิดความผิดปกติต่อร่างกายของเด็กผู้ชายได้นั้น” คิดว่าคุณคงไปฟังข่าวมั่ว ๆ มาจากใครคนหนึ่งที่ชอบอวดอ้าวว่ารู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทางอาหารเป็นอย่างดี ซึ่งความจริงคงรู้เรื่องไม่ดีนัก แต่ชอบจับพลัดจับผลูแสดงตัวว่าเป็นผู้รู้มากกว่า
   เขาคงจะได้ข่าวมาว่าในนมถั่วเหลืองนั้นมีสารที่เราเรียกกันว่า Phyto Estrogen พอได้ยินคำว่า Estrogen ซึ่งหมายถึงฮอร์โมนเพศหญิงเข้า เขาก็คงตกใจ นึกว่าจะเป็นตัวทำให้เด็กผู้ชายกลายเป็นผู้หญิงอะไรโน่นไปเลย
   ความจริงนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต้องมีฮอร์โมนสองเพศอยู่ในตัว สัดส่วนของฮอร์โมนสองเพศนั้นแตกต่างกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ผู้ชายก็มีฮอร์โมนเพศชาย มากกว่าฮอร์โมนเพศหญิง และผู้หญิงก็มีฮอร์โมนเพศหญิงมากกว่าฮอร์โมนเพศชาย
   Phyto Estrogen นั้นเป็นตัวหนึ่งอยู่ในสารของพืชที่เราเรียกว่า Phyto Chemicals ซึ่ง ดร.เฮิล มินเดลส์ ศาสตราจารย์ทางเภสัชกรรมได้บรรยายไว้ว่า “สาร Phyto Chemicals นี้สร้างภูมิชีวิตให้แก่พืชต่าง ๆ เป็นตัวช่วย Antioxidants  ที่สำคัญของพืช และยังเป็นตัวช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน โรคปวด รวมทั้งโรคมะเร็งด้วย”
   จากคำอธิบายของดร.มินเดลส์ ซึ่งผมนับถือความรู้และความสามารถของท่านมากนี้ จึงขอสรุปสั้น ๆ ว่าอย่าไปเชื่อข่าวมั่ว ๆ จากนักกระพือข่าวอย่างนั้นเลย เชื่อผู้รู้อย่างดร.มินเดลส์ดีกว่า เด็กผู้ชายก็กินน้ำเต้าหู้ได้

น้ำเอนไซม์ที่ผมแนะนำให้ดื่มขณะนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ น้ำแครอท และน้ำเซลเลอรี่ ทั้งสองอย่างนี้คั้นแบบแยกกาก คั้นแต่ละอย่างแยกกันอย่าปนกันนะครับ ทางที่ดีควรจะดื่มน้ำแครอทสลับกับน้ำเซลเลอรี่คนละวัน ดื่มวันละครึ่งแก้ว ดื่มตอนท้องว่างตอนเช้า (8.00-10.00 น.) จะเป็นเวลาที่ดีที่สุด

ดื่มน้ำเต้าหู้หลังอาหารประมาณ 2 ชั่วโมงกำลังดี ขอแนะนำว่าให้ดื่มน้ำเต้าหู้ชนิดเพลน ๆ (Plain) คือไม่ต้องผสมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมใด ๆ ทั้งสิ้น ดื่มจืด ๆ

การทำดีท็อกซ์โดยการสวนกาแฟนั้นมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือ ระบายท็อกซิน (TOXIN) หรือของมีพิษออกจากร่างกาย ถ้ามีท็อกซินอยู่ในตัวมาก ๆ ควรทำดีท็อกซ์สักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ ท็อกซินหมดจากตัวแล้วก็หยุดได้ไม่ต้องทำดีท็อกซ์ต่อ
   การทำดีท็อกซ์ควรจะควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารตามสูตรชีวจิต เพราะอาหารชีวจิตเป็นอาหารที่ไม่มีท็อกซิน หรือไม่มีพิษ ถ้าคุณกินอาหารอื่น ๆ เข้าไปอย่างเช่น เนื้อ นม ไข่ อาหารฟาสต์ฟู้ด ของหวานเช่น ไอศกรีม ขนมเค้ก ช็อคโกแลต พิซซ่า และแป้งขาวมาก ๆ ในร่างกายจะมีท็อกซินอยู่ในตัวมาก ๆ จะทำดีท็อกซ์อย่างไรก็ไม่มีวันหมด เพราะคุณเติมท็อกซินจากอาหารขยะเข้าไปในตัวอยู่ทุกวัน ๆ
     เคยอ่านหนังสือของผม “กูไม่แน่” บ้างหรือเปล่าครับ ในนั้นมีวิธีสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับสุขภาพง่าย ๆ โดยวิธีจัดการ “ปัญจกิจ” ในชีวิตประจำวันให้ครบถ้วน และให้ได้สัดได้ส่วนกัน นั่นคือวันหนึ่ง ๆ ต้องจัดเรื่อง กิน-นอน-ทำงาน-พักผ่อน-ออกกำลังกายให้ถูกต้อง และจัดให้ได้สัดส่วนพอดีกับความต้องการของร่างกายเรา
     ถ้าทำปัญจกิจให้ถูกต้องสมบูรณ์แล้วสุขภาพของคุณก็จะแข็งแรง มีความสุขทั้งกายและใจ รายละเอียดในการปฏิบัติตัวตามปัญจกิจที่ถูกต้องมีอยู่ในหนังสือ “กูไม่แน่” อยู่แล้ว

Tags: