collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมจากพระไตรปิฏก ตอนที่ 2: สุริยเปยยาลที่ ๖ : ปฐมกัลยาณมิตตสูตร  (อ่าน 2965 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
11 สิงหาคม 2556

ธรรมจากพระไตรปิฏก ( ตอนที่ 2: สุริยเปยยาลที่ ๖: ปฐมกัลยาณมิตตสูตร )...

.....มิตรดีเป็นนิมิตรแห่งอริยมรรค...

.....จากพระไตรปิฏก ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓o หน้า ๗๔...

.....เป้าหมายสูงสุดของการบวชเป็นพระในพุทธศาสนา คือ การบรรลุอรหันต์ โดยการเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘...

.....พระพุทธองค์ ได้ตรัสในพระสูตรนี้ว่า...

....."ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี...

.....ฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘"...

.....ถ้าจะว่าไปแล้ว ปัจจัยนี้ เป็นปัจจัยแรกของเงื่อนไขแห่งความสำเร็จ ( key success factors) ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการบวช หรือไม่...

.....พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญกับปัจจัยนี้มาก มิตรดี สังคมดี สิ่งแวดล้อมดี...

.....ในพระไตรปิฏก จึงปรากฎว่า พระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้มาก โดยเฉพาะ ในเรื่องที่เกี่ยวกับมิตร ซึ่งผมจะทยอยนำมาเสนอในโอกาสต่อไป...

.....ถ้าท่านเป็นนักศึกษา ท่านควรจะไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ตั้งใจเรียนหนังสือ ถ้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่เล่น เอาแต่เที่ยว แล้วจะเรียนจบ หรือเรียนได้ดีได้อย่างไร ตั้งใจไปเรียนปริญญาตรี แต่กลับได้ปริญญาโท...

.....ถ้าท่านทำธุรกิจ ก็ควรจะอยู่ในธุรกิจที่ดี มีเพื่อนที่ดี ท่านจึงจะประสบความสำเร็จได้ดี ถ้าท่านอยู่ในแวดวงธุรกิจที่ไม่ดี ท่านจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร...

.....ถ้าท่าน อยู่ในแวดวงเพื่อน ที่มีแต่การพนัน การเที่ยวกลางคืน การทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ท่านก็คงจะไม่มีอนาคต...

.....ถ้าท่านเป็นข้าราชการ ไปคบกับนักการเมืองและพ่อค้า แล้วมาช่วยกันคอรัปชั่น สักวันหนึ่งก็คงจะติดคุก...

.....ถ้าท่านเป็นนักการเมือง แล้วอยู่ในพรรคการเมือง และหมู่พวกที่จ้องแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ก็คงเป็นบาปหนักหนา สุดท้าย อาจจะต้องติดคุก หรือไม่มีแผ่นดินอยู่ก็ได้...

.....การบวชเป็นพระ มีเป้าหมายสูงสุด คือ การบรรลุเป็นพระอรหันต์ ถ้าบวชแล้ว ได้อยู่ในหมู่เหล่าที่ดี สังคมดี มีมิตรดี มีกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือ ในการเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ สักวัน ก็คงบรรลุเป้าหมาย เป็นพระอรหันต์ได้...

.....แต่ถ้าบวชเป็นพระแล้ว อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี สังคมไม่ดี มีมิตรไม่ดี วันๆ ไม่ในเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ให้มากเข้าไว้ วันๆเอาแต่แข่งกันด้วยลาภสักการะ แข่งกันว่า ใครจะมีเงินฝากมากกว่ากัน ใครขับรถรุ่นใหม่กว่ากัน ใครมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวดัว ฯลฯ แล้ว โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเป็นพระอรหันต์ คงไม่มี...

.....ตลอดชีวิตผม ตั้งแต่ เรียนหนังสือ รับราชการ ทำธุรกิจ ผมจะยึดหลักตามพระสูตรนี้มาตลอด และอีกตลอดไป...

.....แสงเงินแสงทองไม่มี สุริยาไม่มา...

.....มิตรดี สังคมดี สิ่งแวดล้อมดี...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร      ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
13 สิงหาคม 2556

ธรรมจากพระไตรปิฏก ( ตอนที่ 3: อันนนาถสูตร: ว่าด้วยสุข ๔ ประการ )..

.....จากพระไตรปิฏก ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๕ หน้า ๒o๕-๒o๗...

.....มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่า ที่เราทำงานกันทุกๆวันนั้น ความหวังสุดท้ายจริงๆแล้วคือ ต้องการความสุข...

.....เรายอมทำงานกันชนิดเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าแลก บางคนยอมแม้กระทั่งเอาชีวิตเข้าแลก (แล้วก็ได้ตายสมใจ...) ก็มี เพราะมีความหวังว่า สุดท้ายแล้ว จะมีความสุข จากผลของงานนั้นๆ...

.....ครั้งหนึ่ง อนาถบิณฑิกคฤหบดี ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสกับท่านเศรษฐี เกี่ยวกับความสุข ๔ ประการ ว่ามีดังนี้...

.....๑ สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์...

.....๒ สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค...

.....๓ สุขเกิดแต่ความไม่ต้องการเป็นหนี้...

.....๔ สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ...

.....๑ สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ นั้นเป็นอย่างไร: พวกเราที่เป็นปุถุชน คนกิเลสหนา ย่อมจะเคยมีประสบการณ์นี้ เราตั้งหน้าตั้งตา ทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ ขยันทำมาหากินโดยชอบธรรม ทรัพย์สมบัติย่อมงอกเงยเพิ่มพูน เราย่อมมีความสุขโสมนัสจากการเพิ่มพูนของทรัพย์...

.....๒ สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค นั้นเป็นอย่างไร: เราตั้งหน้าตั้งตา ทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ ขยันทำมาหากินโดยชอบธรรม ทรัพย์สมบัติย่อมงอกเงยเพิ่มพูน เราย่อมที่จะบริโภคใช้สอยโภคทรัพย์บ้าง ทำบุญบ้าง เราย่อมมีความสุขโสมนัสจากการใช้สอยทรัพย์นั้นๆ...

.....๓ สุขเกิดแต่ความไม่ต้องการเป็นหนี้ นั้นเป็นอย่างไร: เนื่องจากไม่กู้หนี้ยืมสินใครเลย ไม่ว่าจะมากจะน้อย ย่อมไม่ต้องมีภาระในการคืนหนี้ ว่าจะคืนทันหรือไม่ทัน ย่อมไม่ต้องถูกทวงหนี้ เราย่อมมีความสุขโสมนัสจากการที่ไม่เป็นหนี้...

.....๔ สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ นั้นเป็นอย่างไร: อริยสาวกในศาสนานี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม(การงานทางกาย) ที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยวจีกรรม (การงานทางวาจา) ที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยมโนกรรม (การงานทางใจ) ที่ไม่มีโทษ ย่อมได้สุขโสมนัสที่ยิ่งๆขึ้น...

.....สรุปแล้ว ในฐานะฆราวาส ปุถุชนธรรมดา การใช้ชีวิตให้มีความสุข โดยการประกอบอาชีพที่ชอบธรรม เป็นสิ่งที่สมควรจะได้ตามกาลเวลา...

.....แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ สุขทั้ง ๓ ประการขั้นต้น ก็ยังเป็นสุขแบบหลอกๆ ไม่ใช่สุขที่แท้จริงในสาระสัจจะ การได้สุขทั้ง ๓ ประการขั้นต้น สุดท้าย ก็เวียนกลับมาเป็นทุกข์อีกอยู่ดี เวียนกันอย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด...

.....การที่เราจะได้สุขแบบยั่งยืน คงต้องเป็นสุขเกิดแต่การประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ถ้าในทางธรรม สูงสุดคือ การเจริญรอยตามพระพุทธองค์ แต่ในฐานะฆราวาส เราก็นำมาประยุกต์ใช้ได้ครับ ศึกษาดูดีๆครับ...

.....พระองค์ ได้ตรัสสรุปในพระสูตรนี้ว่า...

.....ดูก่อนคฤหบดี สุข ๔ ประการนี้แล อันคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ควรจะได้รับตามกาล ตามสมัย...

....." บุคคล ผู้มีปัญยาดีรู้ว่า ความไม่เป็นหนี้เป็นสุข และระลึกรู้ว่า ความมีทรัพย์ก็เป็นสุข เมื่อได้จ่ายทรัพย์บริโภคเป็นสุข อนึ่ง ย่อมพิจารณาเห็น (สุขที่ยิ่งหย่อนกว่ากัน) ด้วยปัญญา เมื่อพิจารณาดู ก็ทราบว่าสุข ๔ นี้เป็น ๒ ภาค สุขทั้ง ๓ ประการข้างต้น นั้นไม่ถึงส่วนที่ ๑๖ แห่งสุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ"...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
16 สิงหาคม 2556

ธรรมจากพระไตรปิฏก (ตอนที่ 4: ภริยาสูตร: ภริยา ๗ ประเภพ)...

.....จากพระไตรปิฏก ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗ หน้า ๑๙๗-๒o๒...

.....เนื่องจากพระพุทธเจ้า "ทรงรู้แจ้งโลก" อันหมายถึงรู้เรื่องโลกๆ และรู้เรื่องทุกข์และแนวทางดับทุกข์ พระองค์ทรงตรัสสอนธรรมสำหรับผู้ครองเรือนมากมาย ในหมวดธรรมอังคุตตรนิกาย...

.....พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี้แก่ นางสุชาดา ซึ่งเป็นสะไภ้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่บ้านของท่านเศรษฐี ดังนี้...

.....ภริยา ๗ ประเภพ มีดังนี้...

.....๑ ภริยาเสมอด้วยเพชรฆาต (วธกาภริยา)...

.....๒ ภริยาเสมอด้วยโจร (โจรภริยา)...

.....๓ ภริยาเสมอด้วยนาย (อัยยาภริยา)...

.....๔ ภริยาเสมอด้วยมารดา (มาตาภริยา)...

.....๕ ภริยาเสมอด้วยพี่สาวน้องสาว (ภคินีภริยา)...

.....๖ ภริยาเสมอด้วยเพื่อน (สขีภริยา)...

.....๗ ภริยาเสมอด้วยทาสี (ทาสีภริยา)...

...............ซึ่งมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้...............

.....๑ ภริยาเสมอด้วยเพชรฆาต (วธกาภริยา)...คือภริยาที่มีจิตใจประทุษร้ายต่อสามี ดูหมิ่นสามี สาปแช่งสามี ใจจืด ใจดำ ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ใจร้าย อำมหิต พยายามจะฆ่าสามี มีใจยินดีในชายอื่น...

.....๒ ภริยาเสมอด้วยโจร (โจรภริยา)...สามีทำงานสุจริต เลี้ยงครอบครัว ได้เงินมา จะมาก จะน้อย ภริยาจะขโมยและยักยอกทรัพย์นั้นเสีย เอาไปใช้เพื่อความสุขความมัวเมาของตนถ่ายเดียว เช่น เอาไปเล่นการพนัน กินเหล้าเมายา เที่ยวกลางคืน ฯลฯ ...

.....๓ ภริยาเสมอด้วยนาย (อัยยาภริยา)...สามีเป็นคนขยันขันแข็งทำมาหากิน แต่ภริยาขี้เกียจทำงาน ไม่สนใจการงาน เกียจคร้าน กินมาก ปากร้าย ปากกล้า ร้ายกาจ กล่าวคำหยาบ ข่มขี่ ข่มแหงสามี ใช้งานสามี...

.....๔ ภริยาเสมอด้วยมารดา (มาตาภริยา)...ภริยามีความห่วงใยในสามี รักสามีเหมือนมารดารักบุตร ช่วยเหลือเกื้อกูลทุกโอกาส รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้...

.....๕ ภริยาเสมอด้วยพี่สาวน้องสาว (ภคินีภริยา)...ภริยามีความเคารพในสามี เชื่อฟัง ทำตามสามี เป็นไปตามอำนาจของสามี มีความภูมิใจในตัวสามีมาก และรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเป็นภรรยาของสามี มีความละอายต่อบาป...

.....๖ ภริยาเสมอด้วยเพื่อน (สขีภริยา)...ภริยาใดในโลกนี้เห็นสามีแล้ว มีความชื่นชมยินดี เปรียบเหมือนเพื่อนผู้จากไปนานแล้วกลับมาเจอกัน หาอาหารให้กิน พูดคุย ปรับทุกข์ สุขกัน มีความยินดีและเป็นสุข เป็นหญิงมีตระกูล มีศีล มีวัตรปฎิบัติต่อสามีดี...

.....๗ ภริยาเสมอด้วยทาสี (ทาสีภริยา)...ภริยาใดถูกสามีเฆี่ยนตี ขู่ตะคอกก็ไม่โกรธ ไม่คิดพิโรธโกรธตอบสามี อดทนได้ เป็นไปตามอำนาจสามี มีลักษณะคล้ายนางทาส...

.....ภริยาประเภพในข้อ ๑-๓ นั้น ล้วนเป็นคนทุศีล จิตใจหยาบช้า ไม่เอื้อเฟื้อ มีความเห็นแก่ตัว มีความหลง จิตใจมีกิเลสมาก เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงนรก...

.....ภริยาประเภพในข้อ ๔-๗ นั้น เป็นคนตั้งอยู่ในศีล ถนอมรักไว้ยั่งยืน เป็นคนดีื มีศีลธรรม เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ...

.....ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆทุกคน จงมีสามีหรือภรรยา ที่ดีครับ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะพี่หมอ

Tags: