collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 1  (อ่าน 17174 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
5 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 17:ความรัก กับ ความโกรธ)

.....มิติหนึ่ง ที่ผมยึดถือในวิชาชีพแพทย์มาตลอดชีวิต คือ ประโยชน์สูงสุดของคนไข้ บางที เรายึดถือแนวแบบนี้ แต่คนไข้กลับไม่เข้าใจ มนุษย์หนอมนุษย์...

.....มีงานวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก มีการสอนกันในโรงเรียนแพทย์ว่า ในจำนวนคนป่วย 100คนที่มาหาหมอ 60% ไม่จำเป็นต้องต้องถึงมือหมอ เพียงแต่ว่า ถ้าเขาดูแลสุขภาพให้ดี เขาจะไม่เป็นอะไรเลย อีก 30% แพทย์เวชปฎิบัติทั่วไป สามารถรักษาและให้ยากลับไปทานที่บ้าน และก็หายได้ มีเพียง 10%เท่านั้น ที่จะต้องนอนโรงพยาบาล และให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรักษา...

.....แต่คนกลุ่มนี้ ก็มาหาหมอ เกิดความสูญเสียทางเศรฐกิจมากกว่าครึ่งหนึ่งของความจำเป็นเลยทีเดียว...

.....เวลา มีคนไข้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ ผมก็จะปฎิบัติต่อเขา เหมือนเขาเป็นญาติเรา คือ ผมจะสำนึกในใจตลอดเวลาว่า ถ้าคนไข้คนนี้เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติ หรือคนรักเรา เราก็จะรักษาเขาแบบเดียวกัน ใช้ยาตัวเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน...

.....คนไข้ในกลุ่มนี้ เวลามาหาผม ถ้าคนไหน ไม่ต้องใช้ยาเลย ผมก็จะไม่ให้ยา ก็คงมีแต่เพียงคำแนะนำการปฎิบัติตัว ก็ไม่รู้จะจ่ายยาไปทำไม เอาสารเคมีไปใส่ในตัวเพื่อนมนุษย์เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นทำไม ถ้าไม่มีการจ่ายยา ผมก็ไม่คิดค่ารักษา ประมาณว่า ปรึกษาฟรี ไม่เสียค่าหมอ...

.....เมื่อเดือนที่แล้ว คนไข้ชายไทย อายุ 42ปี มาหาผมด้วยอาการเป็นหวัด เมื่อซักประวัติ และตรวจร่างกายแล้ว พบว่า คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมากเลย วิธีการรักษาก็คงเพียงแค่พักผ่อนสักวันสองวัน โดยไม่ต้องกินยาเลย ก็เพียงพอแล้ว ผมก็ได้อธิบายและทำความเข้าใจ จนแจ่มแจ้งแล้ว ก็เลยบอกไปว่า ไม่ต้องกินยาอะไร กลับไปพักผ่อนวันสองวันก็หาย ค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้คิด...

.....ทันใดนั้นเอง คนไข้แสดงท่าทีโมโห เกรี้ยวกราดใส่ผมทันที กล่าวหาผมต่างๆนาๆ แต่ทุกคำพูดที่พูดออกมา ก็เป็นไปตามกรอบความคิดของตัวเอง เช่น ไม่สบาย ไม่กินยา ไม่ฉีดยา จะหายได้ไง, คุณเรียนจบหมอมาได้อย่างไร, มีจรรยาบรรณมั้ยมั้ย? ผมมีเงินนะ คุณหมอหายาที่ดีที่สุด ค่ายาเท่าไหร่ไม่อั้น เอาแบบเข็มเดียวหาย ฯลฯ...อีกสารพัด ที่เป็นคำลบๆ...

.....ท่านผู้ชมครับ ถ้าเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไรต่อครับ?...

.....ร้อยทั้งร้อย ก็คงตอบเหมือนกัน โกรธสิครับ.....

.....ความโกรธเป็นโทสะมูลที่มีความชั่วร้าย เป็นพลังฝ่ายอกุศลที่เปี่ยมพลังยิ่ง เมื่อมีพิษร้ายความโกรธอยู่ในดวงจิตแล้ว จะก่อให้เกิดกรรมและความทุกข์ ไม่มีที่สิ้นสุด ความโกรธก่อให้เกิดความเคืองแค้น และนำไปสู่ความก้าวร้าว เมื่อคนถูกทำร้าย มนุษย์ส่วนใหญ่จะอยากตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เช่น...

.....ถ้าใครมาด่าฉัน ฉันจะด่าตอบ...
.....ถ้าใครมาตีฉัน ฉันจะตีตอบเป็นสองเท่า...
.....คนๆนี้เป็นศัตรูของฉัน ฉันจะต้องฆ่ามัน ฉันจึงจะมีความสุข...เป็นต้น

.....อยากให้ตระหนักว่า หากเรามีแนวโน้มที่จะโกรธและก้าวร้าว เราก็จะมีศัตรูทั่วทุกหนทุกแห่ง เราจะชอบคนน้อยลง จะเกลียดคนมากขึ้น คนจะเริ่มหลีกลี้หนีห่างจากเรา เราจะยิ่งโดดเดี่ยวและเหงาเศร้าสร้อย เวลาที่เราโกรธมากๆ เราจะด่าคำหยาบคาย คำผรุสวาทต่างๆก็จะออกมา...

....."แม้ในถ้อยคำไม่มีอาวุธ แต่มันสามารถทำร้ายจิตใจคนได้มากเป็นอย่างยิ่ง" วาจาของมนุษย์จึงเป็นภัยต่อคนอื่น และต่อตนเองอย่างยิ่ง...

.....นิสัยความเคยชินของมนุษย์ มักจะเป็นไปในทางไม่สร้างสรรค์ เช่น ถ้ามีใครมาสบประมาทเรา เราก็จะหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องนั้น คิดแล้วคิดอีก วนไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุด "ทำไมเขาจึงพูดแบบนั้นกับฉัน" คิดฟุ้งซ่านไปไม่มีที่สิ้นสุด มันเปรียบเสมือนการยิงธนูพลาดเป้า การหมกมุ่นกับปัญหา เหมือนกับการเก็บลูกธนูขึ้นมาทิ่มแทงตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วใจก็โทษคนอื่น กล่าวหาคนอื่นว่า "เขาทำให้ฉันเจ็บปวด ไม่คิดว่า เขาจะใจดำขนาดนี้"...

.....คนไข้มีอาการโกรธ และแสดงอัตตาตัวตนที่่ยิ่งใหญ่ออกมา ดูไปแล้วเหมือนคนบ้า...

.....ถ้าเป็นวิธีการจัดการแบบเดิมของผม คุณหมอก็คงโกรธ และเกิดการโต้เถียงกันอย่างหนัก...

.....เป็นการดีกว่าที่จะสลายความโกรธลงก่อนที่มันจะชักนำไปสู่ความขัดแย้งอันรุนแรง โดยอาศัยการอดทนข่มใจ ความรับผิดชอบและความเข้าใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ย่อมช่วยให้ระงับโทสะได้...

.....การตอบสนองความโกรธด้วยความโกรธจึงเหมือนการกระโดดตามคนบ้าลงจากหน้าผา คุณหมอจำเป็นต้องทำขนาดนั้นมั้ย ถ้าหากการกระทำของเขา เราถือว่าเขาบ้า เราก็ยิ่งบ้ากว่าเขา หากทำเช่นเดียวกัน เปรียบเสมือนการเอายาพิษมารักษาโรค แล้วมันจะหายมั้ย...

.....ลองพิจารณาจากคำพูดเหล่านี้ดูสิ ถ้าหากมีใครมาพูดว่า "เจ้าเป็นคนเลว" คุณลองถามตัวเองดูสิว่า "นั่นทำให้ฉันเป็นคนเลวจริงหรือ แต่ถ้าฉันเป็นคนเลวและมีใครมาบอกว่าฉันเป็นคนดี นั่นจะทำให้ฉันเป็นคนดีขึ้นมาหรือไม่"...

.....ถ้ามีใครมาบอกว่าถ่านก็คือเพชร นั่นมันจะทำให้เป็นเพชรขึ้นมาได้ล่ะหรือ แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าเพชรก็คือถ่าน นั่นมันจะทำให้กลายเป็นถ่านจริงล่ะหรือ...

.....สิ่งต่างๆ ย่อมจะไม่แปรเปลี่ยนไป เพียงเพราะมีคนมาพูดอย่างนี้ เหตุใดเราจึงต้องใส่ใจจริงจังกับคำพูดทำนองนี้ด้วยเล่า...

.....วันนี้กลับถึงบ้าน ลองฝึกปฎิบัติแบบนี้ก็ได้ ท่านไปนั่งอยู่หน้ากระจก และดูเงาสะท้อนของตัวเอง ท่านลองสบประมาทตัวเองดู "เจ้าช่างน่าเกลียด เจ้าช่างแสนเลว" ครั้นแล้วก็ลองชมตัวเองดู "เจ้าช่างงดงาม เจ้าช่างแสนดี" ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไร ภาพสะท้อนนั้นก็ยังคงอย่างที่มันเป็น คำชมหรือคำตำหนิ หาใช่สิ่งจริงในตัวของมันเองไม่ มันเหมือนเงา เหมือนภาพสะท้อน มันคงไม่มีอำนาจที่จะเกื้อกูลหรือทำร้ายเราได้...

.....เมื่อเราฝึกมาถึงตรงนี้ เราคงจะเริ่มตระหนักได้ว่า สรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนไร้ซึ่งแก่นสาร มันเป็นเหมือนมายา เหมือนความฝัน เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่เราโกรธ อย่าเพิ่งตอบสนองอย่างทันทีทันควัน ลองพิจารณาดู และถามขึ้นว่า...

....."อะไรกันนี่ อะไรที่ทำให้ฉันตัวสั่นและหน้าแดงก่ำ มันอยู่ที่ไหนกันเล่า" สิ่งที่เราค้นพบคือ ไม่มีแก่นสารใดๆอยู่ในความโกรธ ไม่มีสิ่งใดให้ค้นพบได้...

.....วันนี้ท่านจะดี ก็คงดีด้วยตัวของท่าน วันนี้ท่านจะไม่ดี ก็คงไม่ดีด้วยตัวของท่าน คำพูดของคนอื่น คงไม่มีผลต่อสาระในชีวิตของผมได้...

.....คุณคนไข้ผู้น่าสงสาร นอกจากคุณจะป่วยทางร่างกายแล้ว ยังจะหายา ซึ่งเป็นสารเคมีมายัดเข้าร่างกายตัวเอง โดยที่ไม่มีความจำเป็นใดๆเลย มิหนำซ้ำ ยังมีโทสะมูลฝังแน่นอยู่ในดวงจิต ซึ่งพร้อมที่จะระเบิดได้ตลอดเวลา มันเป็นการป่วยทางจิตวิญญาณ ที่น่าสงสารจริงๆ ผมต้องการช่วยเหลือคุณเหลือเกิน...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร                   ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

30 กรกฏคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 18:รักตัวเองก่อน จึงจะรักคนอื่นได้)

.....ขอบคุณมากครับ ที่รัก ขอขอบคุณจากใจจริงๆ...

.....เป็นเวลานานเหลือเกิน สิบกว่าปีแล้ว ที่ผมไม่อีนังขังขอบกับความเป็นความตาย จะเป็นก็เป็น จะตายก็ตาย ชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่ว่า ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่า การมีชีวิตอยู่ ก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง...

.....ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้ นับว่า วันนี้เป็นวันที่ผมมีความรู้สึกว่า ยอมตกบ่วงรักเธอ ไม่มีอะไรที่จะต้องลังเลอีก จะรักเธอ จะรักเธอ เรื่องใดๆ ก็ไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป...

..... .....เราเจอกันวันนี้ หลังเธอเลิกงาน ที่รัก ทำไมเธอเหนื่อยอย่างนี้ โทรมเลยล่ะ หน้าเป็นผื่นเต็มไปหมดเลย ขอบตาดำคล้ำ คงไม่ได้พักหลายวัน ทำไม ทำไม ทำไม...โอ....น่าสงสารจัง ผมรู้สึกเสียใจมากๆเลย มันเป็นความผิดของผมเอง ผมควรจะดูแลเธอได้มากกว่านี้ ผมไม่อยากให้เธอต้องลำบากอีกแล้ว...

.....ที่รัก ผมขอใช้พลังที่เหลือในชีวิตผม ทุ่มเทให้กับความรักที่ผมมีต่อคุณ ผมจะต้องมีชีวิตที่ดี เพื่อที่จะได้ดูแลที่รักไปนานๆ และจะได้ไม่ต้องทำความลำบากกายและใจให้กับที่รักอีก...

....ผมจะต้องมีสุขภาพกายและใจที่ดี ตั้งแต่วินาที่นี้เป็นต้นไป ผมจะรักสุขภาพของผม จะต้องดูแลสุขภาพของผมให้ดีสุดๆ ผมจึงจะมีพลังที่จะดูแลที่รักได้...

.....ถ้าสุขภาพของผมไม่ดี เดี๋ยวป่วยเป็นโน่นเป็นนี่ แล้วผมจะเอาพลังที่ไหนมาดูแลที่รัก จะเอาแรงกายที่ไหนไปทำงานหาเงิน แล้วไหนจะต้องค่ารักษาพยาบาลอีก แล้วจะต้องทำให้ที่รักเสียเวลาเป็นห่วงมาดูแลผมอีก...

.....ทุกๆเช้า ผมจะตื่นตรงต่อเวลา เพื่อมาออกกำลังกายทุกวัน จะกี่วันกี่ปี ก็ขอจะทำ ตลอดไป...

.....ผมจะตั้งสัจจะเรื่องอาหาร:จากนี้ไป อาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ ผมจะไม่ยอมให้มันเข้าปากผมอีกเป็นอันขาด ทุกๆคำที่เข้าสู่กระเพาะ จะต้องเป็นไปเพื่อสุขภาพที่ดี จะมีสติในการกินตลอดเวลา...

.....เหล้า เบียร์ แอลกอฮอร์ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ผมจะไม่ดื่มมันอีก คงจะดื่มแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น...

.....วันนี้ได้รู้ซึ้งประจักษ์แกใจตนเองว่า การที่เราจะรักคนอื่นได้นั้น เราจะต้องรักตนเองก่อนนั้นว่ามันเป็นอย่างไร...

.....ที่ผ่านมา มีการเข้าใจผิดๆมากมาย ถามทุกคน ว่ารักตัวเองมั้ย ร้อยทั้งร้อยก็ตอบว่ารัก ยังไม่เคยเจอคนไหนบอกว่าไม่รักตัวเองเลย วันนี้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว...

.....ระหว่างการรักตัวเองกับความเห็นแก่ตัว มันต่างกันอย่างนี้เอง...

.....คนบางคนบอกว่ารักตัวเองมากๆ แต่กินเหล้าทุกวัน สูบบุหรี่ทั้งวัน กินอาหารตามใจปาก โดยไม่สนใจเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ แถมมีการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ก็เพราะรักตัวเองไง อยากจะทำอะไรก็รีบทำ ไม่นานก็ตายแล้ว เดี๋ยวจะไม่ได้ทำ...

.....คนบางคนบอกว่ารักตัวเอง แต่ไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วร่างกายจะแข็งแรงได้อย่างไร ในวันหนึ่งๆ ทุกคนมีเวลา 1,440นาที เพียงแค่เจียดเวลาวันละ 30-40นาที มาออกกำลังกาย ก็ทำไม่ได้ ข้ออ้างคือ ไม่มีเวลา.....

.....พฤติกรรมแบบนี้มันไม่ใช่การรักตัวเอง แต่เป็นความเห็นแก่ตัว เอาความพอใจของตัวเอง เอาความสะดวกสบายของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้คิดเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นเลย คิดถึงแต่ความสะดวกสบายของตัวเอง เห็นแก่ตัวเอง การกระทำดังกล่าว มันส่งผลเสียต่อสุขภาพ ถ้าตัวเองเป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา คนที่อยู่ข้างหลังก็คงลำบาก...คนแบบนี้ เขาไม่เรียกว่า เป็นคนรักตัวเอง แต่ คือ คนเห็นแก่ตัว...

.....นักธุรกิจเครือข่าย หลายๆคน ปากก็พร่ำบ่นว่ารักดาวไลน์ รักอย่างนั้น รักอย่างนี้ อยากจะให้ดาวไลน์ไปประสบความสำเร็จ แต่ตัวเองไม่เคยเรียนรู้วิธีการทำงานเลย ไม่เคยสนใจที่จะหาความรู้มาถ่ายทอดให้ทีมงาน เอาแต่โมติเวทให้ซื้อของอย่างเดียว เดือนไหนยอดมาน้อย ก็จะแสดงอาการที่ไม่ดีออกมา อย่างนี้ คุณไม่ได้มีความรักดาวไลน์เลย เป็นความเห็นแก่ตัว เขาเรียกว่า ห่วงยอด ไม่ห่วงใย...

.....หัวหน้า ผู้จัดการ ในที่ทำงานบางคน ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อที่จะทำยอดให้ถึงเป้าหมายอย่างเดียว โดยไม่สนใจถึงปัจจัยอื่นๆเลย ขอเพียงให้ยอดถึงเป้าหมาย แต่ปากก็บอกว่ารักลูกน้องทุกคน...

.....ขอบคุณที่รักมาก วันนี้ เราคุยกัน ที่รัก ก็จะดูแลสุขภาพ เหมือนที่ผมดูแล เราต่างก็จะเป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกัน...

.....ขอบคุณที่รักมาก ที่บอกว่า จะดูแลสุขภาพเหมือนที่ผมดูแล เป็นเพราะพี่ดีแบบนี้ ที่รักก็จะดูแลสุขภาพ เพื่อไม่ไห้ผมต้องห่วง หรือกังวลกันต่อกันอีกต่อไป...

.....รักตัวเองให้เป็นก่อน แล้วจึงจะไปรักคนอื่น แล้วความรักที่ได้รับกลับมา จะเพิ่มเป็นทวีคูณ ถ้าท่านแบ่งปันความรักให้คนอื่น ความรักนั้นก็จะย้อนกลับมาสู่ท่านเป็นทวีคูณ ความรักที่แบ่งปันออกไป ยิ่งแบ่งปันออกไป ยิ่งมีแต่เพิ่มพูน ไม่มีพร่องเลย...

.....คืนนี้ เมื่อถึงเวลาจะนอน ทันทีที่หัวถึงหมอน ผมจะมีคำมั่นสัญญากับตัวเอง ก่อนหลับว่า พรุ่งนี้เช้า ผมจะรีบลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เพื่อที่รัก การนอนในคืนนี้ ช่างมีคุณค่า และมีความสุขเสียนี่กระไร เมื่อมีความรักเกิดขึ้นที่ไหน ที่นั่นย่อมสวยงาม การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น อยู่เพื่อคนที่เรารัก มันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แม้แต่ยามนอนยังมีความหมาย อยากให้โลกนี้มีแต่ความรัก รักเธอ รักเธอ รักเธอ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร                 ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ความรักคืออะไร ตอนที่ 19 : วาสนา
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 1/08/2556, 10:20 »
1 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 19: วาสนา)

.....คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนมากเชื่อกันว่า การที่คนเราได้มาเจอกันในชาติหนึ่งๆนั้น เป็นเพราะเคยทำบุญร่วมกันมา หรือเคยก่อกรรมร่วมกันมา แล้วแต่ว่า เป็นกรรมดี หรือกรรมไม่ดี ถ้าเคยก่อกรรมไม่ดีร่วมกันมากันมาในชาติปางก่อน เมื่อถึงเวลาของมัน อย่างไงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องชดใชักรรมเก่าอยู่ดี ถึงเวลา มันจะเดินมาหาเอง ไม่มีใครหนีพ้น...

.....แต่ถ้าเป็นกรรมดี อันนี้ เราเรียกว่าเป็นบุญกุศล เมื่อถึงเวลา เราก็จะได้อานิสงค์จากผลบุญนั้นๆ...

.....แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าได้ให้ความกระจ่างหมดแล้ว เราสามารถศึกษาได้ ไม่ยาก ซึ่งสรุปได้ว่า ทุกๆสิ่งบนโลก หรือจักรวาลนี้ ไม่มีสิ่งใดๆที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมด...

.....เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นจึงไม่มี...

.....เวลาที่ท่านปัสสาวะทิ้ง น้ำปัสสาวะสุดท้ายก็ลงสู่ดิน หรือแม่น้ำ เมื่อแดดออก ก็เผาเอาน้ำที่ท่านปัสสาวะทิ้งนั้นกลายเป็นเมฆขึ้นไปอยู่บนฟ้า เมื่อเมฆมีก้อนใหญ่ขึ้น และอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม (ภาษาธรรมมะ เรียกว่า เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม) เมฆนั้นก็ตกลงมาเป็นฝน น้ำฝนนั้นก็ลงสู่อ่างเก็บน้ำ สุดท้ายก็เป็นน้ำประปาที่ท่านเอามาดื่มอีก...

.....วันนี้ ท่านกินหมู เห็ด เป็ด ไก่ อาหารทุกๆอย่างที่ลงสู่กระเพาะท่าน ไม่กี่วันก็ถ่ายออกมาเป็นมูลอุจจาระ มูลอุจจาระนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นปุ๋ย ปุ๋ยนี้ก็ใช้ปลูกพืชปลูกผัก พืชผักนั้นก็กลับมาเป็นอาหารให้กับมนุษย์และสัตว์ต่างๆกินอีก...

.....มนุษย์เมื่อเสียชีวิต ไม่ว่าจะถูกเผาหรือถูกฝัง สุดท้ายก็ย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ...

.....ส่วนประกอบร่างกายมนุษย์ 60% เป็นน้ำ เวลาที่มนุษย์เสียชีวิต น้ำในร่างกาย 60%นี้ก็กลับเข้าสู่วงจรปกติ สุดท้ายน้ำนี้ก็คืนสู่ธรรมชาติให้คนและสิ่งมีชีวิตดื่มต่อ และเป็นไปตามวงจรเดิม...

.....ส่วนประกอบของร่างกายที่เหลือ 40%ก็จะย่อยสลายคืนสู่ดินเหมือนกัน ซึ่งจะประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น โซเดี่ยม โปเตสเซี่ยม แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ฯลฯ แร่ธาตุต่างๆเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นส่วนประกอบของดิน ใช้เป็นอาหารของพืชของสัตว์ต่อไป พืช สัตว์ ก็จะกลับมาเป็นอาหารของคนอีก วนกันไป เป็นวัฐจักร...

.....ร่างกายเราที่อยู่ได้ และเติบโตมาได้ก็เพราะ เราได้รับสารอาหารต่างๆจากธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งการบริโภคพืชและสัตว์ และน้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ท่านเสียชีวิตลง ส่วนประกอบของร่างกายทั้งหมดของท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ และจะกลายเป็นส่วนประกอบของพืช และสัตว์ต่อไป ก็วนกันอย่างนี้มากี่ล้านๆปีแล้ว...

......ถึงได้กล่าวว่าทุกๆสิ่งบนโลก หรือจักรวาลนี้ ไม่มีสิ่งใดๆที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมด กล่าวในอีกแง่หนึ่งก็คือ สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวเรา ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคนอื่นๆ สัตว์อื่นๆ หรือพืชอื่นๆ มาแล้วทั้งสิ้น...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวของ นพ.ไมตรี พิชญังกูร ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคน สัตว์ และพืชอื่นๆมาเป็นล้านๆปีแล้ว...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวของท่าน ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคน สัตว์ และพืชอื่นๆมาเป็นล้านๆปีแล้วเหมือนกัน หมุนเวียนกันเป็นวัฐจักรอย่างนี้...

.....วันนี้ เราจะมองอะไร ขอให้เรามองให้มันเชื่อมโยงกัน มองไปที่ต้นทานตะวัน ทำไมดอกจึงแบ่งบานออกมาได้ใหญ่ขนาดนี้ ก็เพราะแสงแดดได้ส่องมันเต็มที่ ได้รับน้ำสมบูรณ์ ได้รับสารอาหารที่ดีและครบ อยู่ในที่อุณหภูมิพอดี ดอกมันจึงงาม อาหารคือแร่ธาตุต่างๆและน้ำนั้น ส่วนหนึ่งก็เคยผ่านจากร่างกายเราไป...

.....ไม่ว่าจะมองไปทางไหน สรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนเป็นญาติเราทั้งนั้น...

.....วันนี้ เราเกิดมาแล้ว การที่เราได้พบใครหรือเจออะไรในแต่ละวัน เราถือว่าเป็นวาสนา ทำไมเราจะไม่ถนอมวาสนานั้นไว้...

......วันนี้ เราได้เจอใครต่อใครมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือมนุษย์ ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรถนอมวาสนานี้ไว้...

.....ในโลกนี้ มีสิ่งมากมายที่เราควรจะถนอมรักไว้ เงินทอง ญาติสนิท เพื่อนรัก ล้วนต้องถนอมรักไว้ หมู่คณะ สังคม แม้ประเทศชาติ หรือโลกใบนี้ เราจักต้องช่วยกันถนอมรักไว้...

.....คนเราควรมีการถนอมน้ำใจ ถนอมรัก ถนอมเวลา ถนอมสิ่งของ พืช และสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ...

.....การถนอมรักประเภพต่างๆนี้ การถนอมบุญวาสนาถือเป็นบุญกุศลที่สำคัญยิ่ง...

.....วันนี้ มาถึงสี่แยกไฟแดง ได้พบกับตำรวจ ถ้าไม่มีท่านช่วยอำนวยความสะดวก รถคงติดจนวุ่นวายน่าดู ท่านได้ช่วยให้เราเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....วันนี้ เราได้เจอน้องหมา บิลลี่ ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....วันนี้ เราได้เจอคุณพยาบาล ท่านช่วยดูแลเรา ยามเราเจ็บป่วย ถ้าไม่มีพวกท่านช่วยดูแลเรายามเจ็บป่วย คนไข้ทั้งหลายก็คงลำบากมาก ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....เจ้าแมวเหมียว เจ้าน้องหมา เรามีบุญวาสนากับมัน จึงถนอมมิตรสัมพันธ์ที่มีต่อกัน...

.....ดอกไม้ในสวนและริมรั้ว เรามีบุญวาสนาได้พบปะมันทุกวัน จึงไม่อยากให้มันถูกทำลาย...

.....คนอื่นๆ ให้บุญวาสนาต่อเรา เราควรถนอมรักคุณค่าที่หาได้ยากยิ่งนี้ และควรจะพัฒนาบุญวาสนานี้ให้งดงามยิ่งๆขึ้น...

.....ครูบาอาจารย์สั่งสอนเรา เราจะไม่ถนอมรักวาสนาที่มีกับครูบาอาจารย์ได้อย่างไร...

.....พ่อแม่ให้ชีวิตเรา บุญวาสนาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เราจะไม่ถนอมรักให้สุดกำลังได้อย่างไร...

.....เกษตรกร ชาวนา พ่อค้าวานิช พวกเขาให้อาหารเรากิน ให้เรามีเสื้อผ้าสวยๆสวมใส่ ให้เรามีเครื่องใช้ ที่เรามีชีวิตอยู่ได้ เพราะอาศัยเหตุปัจจัยเหล่านี้ ถ้่าเราไม่ถนอมรักบุญวาสนาเหล่านี้ไว้ แล้วชีวิตเราจะดำรงอยู่ได้อย่างไร?...

.....ในธรรมชาติ...ดอกไม้ดอกเล็กๆ มันยังต้องขอบคุณน้ำค้าง ขอบคุณแสงแดด ขอบคุณสายลมที่อบอุ่น ขอบคุณอากาศ เพราะว่า มีสิ่งเหล่านี้มันจึงผลิดอกมีสีสันสวยสดสะดุดตาได้ ถ้าชีวิตคนเราเหมือนดอกไม้ เราก็ควรจะถนอมรักสายน้ำ แสงแดด อากาศ ที่รายล้อมอยู่ในชีวิตเราด้วย ไม่ใช่หรือ?...

.....เพื่อนๆทุกคนของผม วันนี้ เราได้มาเจอกัน ผมถือว่า เรามีบุญวาสนาต่อกัน ขอขอบคุณบุญวาสนาที่เรามีต่อกัน ขอขอบคุณอย่างลึกซึ้งจากใจจริง ทุกๆคนคือทุกๆบุญวาสนา จะถนอมรักบุญวาสนาอย่างจริงใจ...

.....ทุกๆบุญวาสนาที่มีต่อกันคือความรัก ความเมตตา รักวาสนาทุกๆวาสนา วาสนาจึงเป็นสุดที่รัก ที่จะต้องถนอมรัก เข้าใจกัน ให้อภัยกัน และดูแลกัน อันเป็นปัจจัย4แห่งรักแท้ ตลอดไป...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร          ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
Re: ความรักคืออะไร ตอนที่ 20 : น้ำตา
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: 2/08/2556, 12:55 »
ความรักคืออะไร:(ตอนที่ 20: น้ำตา 2:สาเหตุที่ผมหลั่งน้ำตา)

.....ที่รัก วันนั้น ที่รักเป็นต้นเหตุให้ผมต้องหลั่งน้ำตา น้ำตาไหลจนเหือดแห้ง ตาบวมจนลืมตาแทบไม่ขึ้น แม้แต่เวลากระพริบตาก็ยังปวดจนทนไม่ไหว...

.....ไปหาหมอตอน2ทุ่ม เราเองก็เป็นหมอ แต่ตาบวมจนแทบมองอะไรไม่เห็น แล้วเราจะไปแหกตาตัวเอง เพื่อที่จะตรวจตาตัวเอง ก็คงไม่ได้ อีกอย่าง เราก็ไม่ใช่ผี ที่จะเที่ยวไปแหกตาคน หลอกคนได้...

.....อ้าว อ้าว อ้าว.....คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร...

.....คุณบอกว่า ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณหลั่งน้ำตา ถามจริงๆ ฉันไปทำอะไรให้เธอ ตอนไหน...

.....ก็วันนั้นไง ที่คุณโทรมา แล้วบอกให้ผมช่วยหาเอกสารชิ้นหนึ่งให้คุณ ผมก็เข้าไปหาในห้องเก็บเอกสาร ก็รู้อยู่ ห้องนั้นฝุ่นเยอะมากๆ...

.....ขณะที่กำลังค้นหาเอกสารอยู่นั้น ฝุ่นเล็กๆชิ้นหนึ่งก็ปลิวเข้าที่ตาผม ผมก็เริ่มขยี้ ตามันก็บวม น้ำตาก็หลั่ง อย่างที่บอกนั่นแหละ แล้วอย่างนี้ ต้นเหตุมันก็เริ่มจากคุณนั่นแหละ หรือว่าจะเถียง...

.....โอเค ฉันยอมรับก็ได้ว่า ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณหลั่งน้ำตา ฉันจะชดใช้คุณก็แล้วกัน...

.....จะชดใช้อะไร ค่ายาค่าหมอ หมดไปพันกว่าบาท...

.....คุณเข้ามาใกล้ๆสิ ...

.....ทำไมต้องใกล้ๆ จะให้อะไรเหรอ?...

.....เอาไปสัก2หมัด พอมั้ย? เฮ้ย...รมณ์เสีย...ฝุดฝุด อุตส่าห์แอบหลงดีใจ คิดว่าจะรักเราซาบซึ้งใจ จนน้ำตาไหล...บ้า บ้า บ้า บ้าที่สุดเลย...

.....อ้าว ไรฟ่ะ เป็นอะไรของมัน ไม่เข้าใจเลยอ่ะ ผู้หญิง งงง้งงง...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร             ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
๐ทุกข์เหมือนผงเข้าตาหาทางเขี่ย
ทุกข์จนเปลี้ยเพลียใจไม่สร่างหาย
บ้างถูกทุกข์ทับถมตรมไม่วาย
ทุกข์ทั้งหลายล้วนเกิดจากผลกรรม

๐ใช้ธรรมมะเขี่ยผงตรงดวงจิต
คอยสะกิดเตือนใจไม่ถลำ
บ่งเสี้ยนทุกข์ออกไปไม่เจ็บจำ
ให้ดวงตาเห็นธรรมที่ฉ่ำเย็น

๐แม้ทำใจไม่ได้ในช่วงแรก
เพราะใจแหลกด้วยกรรมนำทุกข์เข็ญ
หาผู้รู้ชี้ชัดขจัดเป็น
ก็จะเห็นหนทางสว่างใจ
 
๐ทุกคนล้วนมีทุกข์ให้ฉุกคิด
แล้วใครจะสะกิดเตือนใครได้
หากมีทุกข์ขึ้นมาอย่าช้าไย
จดจำไว้ใช้หลักธรรมชี้นำทาง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ความรักคืออะไร ตอนที่ 22 : มีแต่คิดถึง
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: 4/08/2556, 21:20 »
4 สิงหาคม 2556

...ความรักคืออะไร (ตอนที่ 22: มีแต่คิดถึง)

เธอถามผมว่า "หายคิดถึงมั้ย?"

หลังจากที่เรา เจอกัน(วันนั้น)

เวลาอยู่ใกล้เธอ ก็คิดถึงเธอ

เวลาอยู่ไกลเธอ ก็คิดถึงเธอ

จะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกล ก็คิดถึงเธอ

เมื่อเจอเธอแล้ว ไม่หายคิดถึงเธอ

แต่กลับคิดถึงเธอ มากขึ้น มากขึ้น

พบเธอ หัวใจอยู่ที่เธอ

ไม่พบเธอ หัวใจก็อยู่ที่เธอ

ที่รัก มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง...

นพ.ไมตรี พิชญังกูร

http://youtu.be/e4eysNo3a2g

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
5 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 23:ความรัก10มิติ: มิติที่ 5:ชาตินิยม)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" เราได้เรียนรู้ผ่านไป 4มิติแล้ว...

.....มิติที่ 5 คือ ชาตินิยม: เป็นความรักที่เป็นอุดมการณ์เพื่อชาติเพื่อประเทศ หากผู้ใดมีความรู้สึกนึกคิดหรือมีอุดมการณ์ต้องการช่วยเหลือเกื้อกูลกว้างออกไปกว่าความรักแค่ "มิติที่4" เป็นความรักความปรารถนาถึงขั้นหมายใจจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้คนทั่วไปในประเทศชาติจริง...

.....ความรักในมิตินี้ ไม่แคบอยู่แค่เพื่อนรัก เผื่อแผ่เพื่อคนใกล้ตัวเราเท่านั้น หรือไม่เล็กอยู่แค่หมู่กลุ่ม ชุมชน อำเภอ จังหวัด ซึ่งเป็นสัดส่วนในประเทศเท่านั้น แต่เป็นความเกื้อกว้างที่มีน้ำใจ คิดเห็นแก่คนทั้งชาติ ทั้งประเทศจริงๆ...

.....สภาวะของจิตของความรักในมิตินี้ ไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่า มันเป็นอุดมการณ์ที่ดีอยู่แค่นั้น หรือไม่ใช่เพียงเป็นคารมโก้ๆลีลาเก๋ๆ ของคนหาเสียงให้แก่ตนเท่านั้นด้วย แต่ต้องเป้น "ความจริงของจิตที่เกิดความรู้สึกรัก และปรารถนาตามอุดมการณ์นี้แท้ๆ" ยิ่งมีน้ำหนักเข้มข้นของน้ำใจและความเป็นไปได้จริงมากยิ่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งประเสริฐยิ่งๆเท่านั้นๆ...

.....ความรักระดับมิติ 5นี้ เรียกว่า "ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม"...

.....และจะจริงยิ่ง หากคนผู้นี้มีพฤติกรรมพากเพียรพยายามกระทำ เพื่อให้เกิดผลตามอุดมการณ์ ที่สุดจะจริงสมบูรณ์ทีเดียว ถ้าแม้นผู้มี "ความรัก"นั้นบริสุทธิ์จากความแฝงเพื่อประโยชน์ให้เกิด ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข แก่ตน...

.....ซึ่งเป็นความเจริญของความรัก ความปรารถนาดีอย่างเห็นได้ชัดขึ้นไปอีก ว่า เป็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์แน่แท้ หากใครสามารถเผื่อแผ่เกื้อกว้่างออกไปได้มากเท่าใดๆ ก็ยิ่งเป็นคุณงามความดีมากเท่านั้นๆ...

.....ด้วยสามัญสำนึก ความเข้าใจแค่นี้ ใครๆก็คงรู้กันได้อยู่แล้ว เพราะไม่ใช่ความลึกล้ำอะไรนักหนา แต่มันก็เป็น "ความจริง" ของคน ที่ "จิตจริง"อันจะพึง "เป็น" จริง...

.....อาจจะกล่าวได้ว่า สมรรถนะของใครจะมี "ประสิทธิภาพแห่งความรัก" กว้างเกื้อได้มากน้อยแค่ไหน ก็ย่อม "เป็น" ได้ตามสมรรถนะของผู้นั้นๆ ถ้าจะเอาแค่ "ความคิดฝัน" ทุกคนที่มีปัญญาเข้าใจได้ ก็คิดได้ พูดได้ แต่ "ความจริงของความเป็นไปได้" ตามที่ตนคิดได้ ตนพูดได้นั้น มันเป็นจริงไปได้ตามความคิดตามคำพูดนั้นไหม?...

....."ความรัก" ในที่นี้ต้องเป็น "ความจริง" โดยเฉพาะเป็น "ความจริง" ที่เกิดในจิตของคนผู้นั้นจริง ที่ต้องเป็น "ความรู้สึกในจิตของตนเองเกิดอารมณ์นั้นๆแท้ๆ" ไม่ใช่แค่ "คิด" หรือแค่ "รู้"...

.....ที่เรากำลังเรียกว่า "ความรัก" นี้ มันต้องมีภาวะเป็น "อารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้นจริงในจิตของผู้นั้น" และมีสมรรถนะถึงขั้น "เป็นไปได้" (possible) หรือ "สามารถทำได้" (practicable) จริง มิใช่แค่ "รู้" แค่ "พูด" แต่ปากอยู่เท่านั้นด้วย...

.....เช่น "ความรัก" ของนาย ก.มี "ความจริงของความเป็นไปได้" แค่ มิติที่ 4 "ชุมชนนิยม" เท่านั้น หรือบางทีอาจจะแย่กว่านั้น คือ มี "ความจริงของความเป็นไปได้" แค่ มิติที่ 3 แค่นั้น ดีไม่ดี อาจจะแค่ มิติที่ 2 ด้วยซ้ำ ก็เป็นได้แต่นาย ก.นึกว่าตนมีสมรรถนะถึงมิติที่ 5 คุยฟุ้ง ตามที่ตนหลงว่า ตนเป็น หาเสียงใ้ห้แก่ตนเองไปทั่ว ว่าตนมีความรักระดับ "ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม" ซึ่่งเป็นสมรรถนะที่กว้างเผื่อแผ่ออกไปถึงขั้น "ความรักชาติ รักประเทศ" ทีเดียว...

.....แต่ความเป็นจริงนั้น นาย ก. ทำได้หรือเป็นได้แค่ "ความรัก" มิติที่ 4 หรือแค่ 3 แค่ 2 เท่านั้น ถ้าอย่างนี้ "ความรัก" ของนาย ก. ก็ยังไม่ใช่ระดับ มิติที่ 5จริง "ความรัก" ของคนผู้นี้ ยังไม่ถึงขั้นมีความจริงเข้าข่ายที่ชื่อว่า ผู้มีความรักระดับมิติที่ 5 "ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม" เพราำะ "ความเป็นจริง" หรือ "ภาวะสัจจะ" ยังไม่ถึงขีดถึงขั้น...

.....ใครจะสามารถรู้ความจริง หรือรู้สัจจะของ "ความรัก" ได้ถูกต้องถ่องแท้ ก็ยากอยู่ จะต้องศึกษาฝึกฝนจนรู้แจ้งหยั่งถึงสัจธรรมของความเป็น "คุณค่าประโยชน์" (อัตถะ)...

.....ทั้งในสภาพที่เป็น "ประโยชน์ตน" (อัตตัตถะ) "ประโยชน์ผู้อื่น" (ปรัตถะ) "ประโยชน์สองฝ่าย" (อุภยัตถะ) หรือ "ประโยชน์สามัญที่ต่างก็รู้ๆกันได้ในระดับของโลกียะทั่วไป ที่เรียกว่าโลกนี้" (ทิฎฐธัมมิกัตถะ) และ "ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นสู่โลกหน้าหรือโลกอื่น ซึ่งเป็นโลกที่ก้าวหน้าขึ้นไปถึงระดับโลกุตระ" (สัมปรายิกกัตถะ)...

.....ที่สำคัญก็คือ ประโยชน์ที่เป็นความเจริญถึงจิตถึงเจตสิก อันเป็นขั้น "บรมประโยชน์ขั้นสูงถึงความเป็นอริยสัจธรรม" (ปรมัตถะ) โน่นแหละ จึงจะพอรู้ "ความจริงตามความเป็นจริงมีจริง" ดังที่ได้สาธยายมา...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร               ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
7 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 24:ความรัก10มิติ: มิติที่ 6:สากลนิยม)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" เราได้เรียนรู้ผ่านไป 5มิติแล้ว...

.....ความรักมิติที่ 6 คือ ความรักมวลมนุษยชาติทุกภาษา ที่เป็นมนุษย์ในโลก ไม่จำกัดเฉพาะในชาติของตนเท่านั้น ยิ่งเห็นได้ชัดว่า เป็นความรักความปรารถนาที่แผ่กว้างเกื้อกูลออกไป อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในด้านรูปธรรมแห่งมวลมนุษย์...

.....ความรักในมิตินี้ จะเผื่อแผ่ต่อมนุษยชาติไปทั้งโลกไม่จำกัดผิวพรรณ เพศ วัย เชื้อชาติ ชั้นวรรณะกันแล้ว เป็นความรักระดับโลกาภิบาลทีเดียว คือ รักปรารถนาจะให้แก่ทุกคน เป็นอุดมการณ์ที่สูงส่งยิ่งแล้ว สำหรับมนุษย์ที่พึงกระทำพึงแสดงออกทางรูปธรรม...

.....หากผู้ใดมีจิตใจที่มีความรู้สึกนึกคิด และได้พากเพียรประพฤติตามอุดมการณ์ดังกล่าวนี้จริง ทำได้เป็นได้จริง ก็นับเป็นผู้มีความรักที่มีคุณค่าสูงส่งขึ้นไปกว่ามิติที่ 5 แน่นอน...

.....และไม่ใช่เพียงความรู้ว่ามันเป็นอุดมการณ์ที่ดีอยู่แค่นั้น หรือไม่ใช่เพียงเป็นคารมโก้ๆ ลีลาเก๋ๆ ของคนหาเสียงให้ตนเท่านั้นด้วย แต่ต้องเป็น "ความจริงของจิตที่เกิดความรู้สึกรักและปรารถนาตามอุดมการณ์นี้แท้ๆ และต้องมีสมรรถนะสมคล้อยสอดคล้องด้วย" ...

.....และยิ่งมีน้ำหนักหรือความเข้มข้นของน้ำใจและประสิทธิภาพมากยิ่งเท่าใดๆ ก็ยิ่งประเสริฐสูงส่งเลอเลิศยิ่งๆเท่านั้นๆ...

.....และจะจริง หากคนผู้นี้ มีพฤติกรรมพากเพียรพยายามกระทำเพื่อให้เกิดผลตามอุดมการณ์ได้จริง ที่สุดจะจริงสมบูรณ์ทีเดียว ถ้าแม้นผู้มีความรักนั้นบริสุทธิ์จากความแฝง เพื่อผลประโยชน์ให้เกิดลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข แก่ตน...

.....ซึ่งเป็นความเจริญของความรักความปรารถนาดีอย่างเห็นได้ชัดขึ้นไปอีก ว่าเป็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์แน่แท้...

.....ความรัก ระดับมิติที่ 6 นี้ เรียกว่า "สากลนิยม" หรือ "จักรวาลนิยม"...

.....ก็เป็น "ความรักที่มีคุณค่าประเสริฐสูงส่งขึ้นไปยิ่งๆขึ้น ที่ผู้มีปัญญาสามัญก็พอเข้าใจได้ ทว่า "ความจริง" ที่คนจะเป็นได้จริง มีสมรรถนะถึงขั้นจริงนั้น ก็หายากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนมากก็มีแต่ "อุดมการณ์" แต่เป็นจริงก็ยังไม่ได้ และพูดคุยโวโอ้อวดจนกลายเป็นคนหลอกลวงชาวโลกไปก็มีมากมาย...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร            ขอบคุณค่ะพี่หมอ

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”