collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 1  (อ่าน 17413 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร (ตอนที่7:ความรัก10มิติ:ประเภพของความรัก)

.....เมื่อเอ่ยคำว่ารัก มนุษย์ปุถุชนธรรมดาย่อมเข้าใจไปในทางว่า เป็นเรื่องของคนสองคน ที่เข้าใจกันว่า เป็นความรักแบบหนุ่มสาว เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ ที่สุดท้ายลงเอยด้วยการแต่งงานอยู่กินด้วยกัน ซึ่งแต่ละคู่ก็จะมีความยึดมั่นถือมั่น ยึดติด ครอบครอง (เธอรักฉัน ฉันรักเธอ เธอต้องเป็นของฉัน ฉันต้องเป็นของเธอ แต่เพียงผู้เดียว)แตกต่างกันไป ตามแต่กรอบความคิดของแต่ละคนไป...

.....จากบทความ ความรักคืออะไร (ตอนที่6:ความรัก10มิติ:นิยามแห่งรัก) ความรัก คือ อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปราถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ ตามคำนิยามนั้น

.....แท้จริงแล้ว ยังมีเหตุปัจจัยมากมาย ที่ทำให้จิตใจของมนุษย์มีอาการดังกล่าวได้ เช่น พ่อ แม่รักลูก: พ่อ แม่ก็จะมีความชอบใจผสมความยินดีในตัวบุตร...คุณครูรักลูกศิษย์: คุณครูก็จะมีความชอบใจผสมความยินดีในตัวลูกศิษย์...คุณรักเพื่อนคุณ: คุณก็จะมีความชอบใจผสมความยินดีในตัวเพื่อนคุณ...เรารักในหลวงเรา: เราก็จะมีความชอบใจผสมความยินดีในในหลวงของเรา...ฯลฯ...ยังมีตัวอย่างอีกมากมาย ที่เป็นเหตุปัจจัยของอาการดังกล่าว หรือเป็นเหตุปัจจัยของความรักได้ ซึ่งจะไม่ใช่แค่จำกัดอยู่ในกรอบแคบๆว่า ความรัก เป็นเรื่องของคนสองคน ที่เข้าใจกันว่า เป็นความรักแบบหนุ่มสาว เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ ที่สุดท้ายลงเอยด้วยการแต่งงานอยู่กินด้วยกัน อีกต่อไป

.....เพราะฉะนั้น เวลามีใครมาบอกเรา หรือเราเข้าใจไปว่า เขารักเรา ก็จงใช้สติ พิจารณาว่า เหตุปัจจัยแห่งความรักนั้น คืออะไร ซึ่งในที่นี้ จะแบ่งความรักออกเป็น 10มิติ ดังนี้

.....ความรักมิติที่1: กามนิยม (เมถุนนิยม)
.....ความรักมิติที่2: พันธุนิยม
.....ความรักมิติที่3: ญาตินิยม
.....ความรักมิติที่4: ชุมชนนิยม
.....ความรักมิติที่5: ชาตินิยม
.....ความรักมิติที่6: สากลนิยม
.....ความรักมิติที่7: เทวนิยม
.....ความรักมิติที่8: อเทวนิยม
.....ความรักมิติที่9: นิพพานนิยม
.....ความรักมิติที่10: พุทธภูมินิยม

.....ในแต่ละมิติ มีความหมายและรายละเอียดอย่งไร ก็จะได้อธิบายเป็นตอนๆในบทต่อๆไป...

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร   ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30/06/2013, 10:35 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: ความรักคืออะไร ตอนที่ 8
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 30/06/2013, 10:18 »
ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 8:ความรัก10มิติ:มิติที่1:กามนิยม1)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ"

.....ความรักในมิติที่1: คือ ความรักที่เป็นเรื่องของความใคร่ เรื่องของกาม เรื่องของการสมสู่ของผู้หญิงผู้ชาย เรื่องของคน2คน หากจะเห็นแก่กันก็แค่อยู่ในวงวนของ "คนคู่" หรือคน2คน ซึ่งเป็นความรักที่เผื่อแผ่แก่กันอยู่แค่คน2คน...

.....ความรักมิตินี้ ถ้ายิ่งรักมากติดใจในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่มากเท่าใดๆ ก็ยิ่งแคบมากเข้าๆเท่านั้นๆ มันเป็นวงแคบที่เห็นแก่แค่คู่รักคู่ใคร่ของตนเท่านั้น ถ้าแม้นติดมากยึดมาก ดูดดึงมาก ก็ยิ่งหวงแหนมาก ผูกมัดรัดรึงตรึงใจเป็นอุปทานแน่นขึ้นๆ...

.....และหากยิ่งมีแต่ความใคร่มากขึ้นๆก็ยิ่งจะมืดซ้ำดำกฤษณา เป็นความหลงใหลคลั่งไคล้และหึงจัดรัดรอบรุนแรง ไม่มีคนอื่นแทรกเข้าได้เลย มีอะไรก็ทุ่มโถมให้แก่เธอแก่ความรักที่หลงติดผูกแน่นนี้เท่านั้น หนักเข้าๆจะเห็นแต่แก่ตัว โดยอาศัยคู่ที่ตนรักสุดนั่นแหละเป็นเครื่องมือ หรือเป็นองค์ประกอบในการเสพสมสุขสมให้แก่ตน...

.....ยิ่งหลงในรสสุขนั้นมากเท่าใดก็ยิ่งยึดเป็นของตัวของตนสนิทเนียนเข้าเป็นตน กระทั่งถึงขั้นใครมองใครแตะต้องไม่ได้ จะหึงแรงจนถึงขั้นทำร้ายคนที่มากล้ำกรายได้ถึงขั้นเอาตายกันทีเดียว ซึ่งก็เคยเห็นตามข่าวบ่อยๆ...

.....อารมณ์ชนิดนี้ คือ ความเห็นแก่ตัวแท้ๆ คือ ความโลภเพื่อตัวเพื่อตนเต็มๆ คือ กามราคะสมบูรณ์แบบ หากจะเรียกว่า "ความรัก" ก็เป็นความรักที่ต้องการมาบำเรอตนนั่นเอง...

.....การบำเรอตนเอง ไม่ใช่ "ความรัก" การได้มาสมใคร่สมอยากแก่ตน เป็น "ความเห็นแก่ตัว"...

.....ใครถ้าแม้นถึงขั้นปฎิบัติต่อคู่ของตนเยี่ยงทาสหรือเยี่ยงวัตถุบำบัดความใคร่ ไม่มีใจเผื่อแผ่เกื้อกูลปรารถนาดีต่อคู่ของตน แม้ด้านกายภาพจะจ่ายวัตถุข้าวของเงินทองทรัพย์ศฤงคารให้ด้วยอากัปกิริยาที่ดูเหมือนมีน้ำใจเอื้อเอ็นดูเสียสละปานใดๆก็ตาม ก็เป้นเพียงค่าจ้าง ทุกอย่างเพื่อ "ตัวเอง"แท้ๆ คนผู้นี้ยังไม่ชื่อว่า "มีความรัก" เป็นแค่ผู้ "ให้" หรือผู้ "จ่าย" ค่าจ้าง เพื่อบำเรอความใคร่ของตน...

.....จนกว่าคนผู้นี้ จะมี "การเผื่อแผ่การเสียสละ"ให้แก่ "คู่" ของตน อย่างบริสุทธิ์ใจไม่ว่าจะ "ให้"วัตถุธรรมให้รูปธรรม หรือให้นามธรรม ถ้าให้มาก ใจสะอาดมากก็ "รัก"มาก ให้น้อย ใจสะอาดน้อยก็ "รัก"น้อย...เพราะการ "ให้" หรือ "สละ" ที่ออกไปจาก "ความรัก" เกิดจาก "ความรัก" นั้น จะมิใช่เพื่อแลกอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เป็นอันขาด...

....."ความรัก" ไม่ใช่ "ความโลภ" หรือ "ความแลก" มาให้ตน...

.....หากยังมีความโลภใดๆที่เหลือเป็นเศษเป็นส่วนอันต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตน "ให้" หรือตน "สละ" อยู่เท่าใดๆ ก็ลด "ค่าของความรัก"ลงตามจริงเท่านั้นๆ ยิ่งเป็นการ "ให้"หรือ "สละ" เพื่อแลกเอามา "เป็นของตนคนเดียว" หรือ "ทาสผู้ซื่อสัตย์ต่อตน" ที่ตนจะได้ทาสนั้นไว้บำเรอประโยชน์แก่ตนแต่เพียงผู้เดียว ก็ยิ่งมิใช่ "การให้-การสละ"เลย แต่เป็น "การซื้อ"แท้ๆตรงๆ ป่วยการกล่าวถึงคำว่า "ความรัก"...

.....ยิ่งชอบมาก ติดใจมากในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่มาก ที่เห็นคู่เสพย์ของตนเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ตนยิ่งสุขสะใจ(Sadist) นั่นยิ่งมิใช่ "ความรัก" แต่นั่นคือ การสุขสมอารมณ์ที่ตนชอบความรุนแรงโหดร้าย ซึ่งฝังอยู่ส่วนลึกในก้นบึ้งของจิตตนเอง อันเป็น "สัญชาตญาณหรืออนุสัย"(unconcious) ที่เจ้าตัวไม่สามารถหยั่งลงไปล่วงรู้ความจริงของ "จิตวิปริต"เหล่านี้ได้ เพราะมันเป็น "จิตไร้สำนึก"(unconcious) ที่เกิดจากตนเคยยินดีในความรุนแรง และได้สะสมความรุนแรงใส่จิตตนมานาน...

.....เช่น ชอบดูการแข่งขันที่เอาชนะคะคานกันอย่างถึงพริกถึงขิง หรือชอบดูการต่อสู้ที่ฟาดฟันห้ำหั่นกัน ดูการทำร้ายเข่นฆ่า ยิ่งต่อสู้กันรุนแรงโหดเหี้ยมเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบ กระทั่งรุนแรงสูงขึ้นหยาบขึ้นๆเป็นคนชอบความโหดร้าย จึงกลายเป็น "คนชอบในความรุนแรงทุกข์ทรมานเหี้ยมโหดฝังลึกอยู่ในจิตไร้สำนึก(Sadist)...

.....จิตที่สั่งสม "ความชอบหรือรักรสชาติของความอำมหิต"เช่นนี้ เมื่อมาแสดงออกกับใครย่อมมิใช่ "ความรัก" แม้จะมี "การให้ การสละวัตถุธรรมรูปธรรมนามธรรม" "กับคู่รักของตนมากเท่าใดๆก็ยังมิใช่ "ความรัก" แต่เป็นเพียง "สิ่งแลกเปลี่ยน" เพื่อให้ได้มาซึ่ง "ความอำมหิต"หรือ "ความวิปริต" ที่ฝังลึกอยู่ใน "จิตไร้สำนึก" ของตนโดยแท้...

.....ถ้า "จิตวิปริต" ในความอำมหิตได้สั่งสมใส่จิตร้ายหนักยิ่งๆขึ้นไปกว่านี้ ก็ก้าวถึงขั้น "ตนสุขสะใจ เมื่อตนได้เจ็บเสียเอง ปวดเสียเอง ทุกข์เองทรมานเอง" (Masochist) ไม่ว่าตนทำตนเอง หรือใครจะเป็นผู้กระทำให้ ก็สุขสะได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า คนผู้อำมหิตถึงขั้น "ตนเองทำตนเอง" จึงจะสุขสะใจ นั้นแหละคือ ผู้มีจิตรุนแรงร้ายยิ่งกว่า ผู้ที่ "คนอื่นทำให้ตนเจ็บ" แล้วก็สุขสะใจ...
................................ยังมีต่อครับ..............................
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร   ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30/06/2013, 10:35 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร : ตอนที่ 9
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 30/06/2013, 10:20 »
ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 9:ความรัก10มิติ:มิติที่1:กามนิยม2)

.....ต่อจากตอนที่แล้ว...

.....ความรักมิติที่ 1 นี้ เป็นความรักแบบเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าเพศตรงกันข้ามหรือวิตถารเพศเดียวกัน เป็นความรักที่เห็นแก่กันและกัน อยู่แค่ฉันกับเธอเท่านั้น หรือเห็นแก่ผู้อื่นก็แผ่ออกไปแค่คนคนเดียว วงรักจึงแคบอยู่แค่คน2คน คือ ให้แก่กันและกันก็แค่2คน ซึ่งถ้าจัดจ้านก็มีอารมณ์หึงหวง แก่งแย่งรุนแรง ถึงขั้นฆ่ากัน ฆ่าตนเองสังเวยชีวิต เช่นบูชารัก ก็เป็นได้ ซึ่งในแต่ละวันเราก็เห็นจากข่าวกันเป็นประจำ และก็มีจำนวนมาก เห็นกันเกือบทุกวัน...

.....ขึ้นชื่อว่า "กาม" มีแต่ความขาดทุน เพราะว่าได้เสพอารมณ์กามสุขนิดหน่อย แต่ทุกข์ยากมากหลาย ทำลายก็หนักหนา เปลืองชีวิต เปลืองใจ เปลืองเวลา เปลืองแรงกาย เปลืองแรงสมอง เปลืองทุนรอนวัตถุทรัพย์สิน เป็นความผลาญพล่าเสียหายที่สุดในโลก ความรักมิติที่่ 1 นี้จึงต่ำต้อย ด้อยค่าที่สุด นับว่าไร้คุณประโยชน์ยิ่งกว่าความรักชนิดใดๆ...

.....อารมณ์ "กามสุข" ก็เป็นแค่ "รสอร่อยที่หลงติด"(อัสสาทะ) ซึ่งเป็นเพียง "อารมณ์หลอกๆ,ไม่จริง"(อลิกะ) เพราะแท้ๆมันเป็น "ความยึดมั่นถือมั่น"(อุปทาน) ที่คนสามารถจะเลิก จะศึกษาปฎิบัติละล้างจนหมดเกลี้ยงไปจากจิตของผู้หลงติดหลงยึด ให้สำเร็จเด็ดขาดสัมบูรณ์ (Absolute)ได้จริง อันเป็นเรื่อง "เหนือธรรมชาติ-เหนือความวนเวียน"(โลกุตระ) หรือเป็นเรื่อง "ล้างสัญชาตญาณการสืบพันธุ์แห่งสัตว์โลก"(โลกุตระ)กันทีเดียว เรื่องนี้ก็ยากที่จะเชื่อกัน แต่ขอยืนยันว่า "เป็นไปได้"(possible) หรือ "สามารถทำได้"(practicable) จริงแน่แท้ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง เราก็เห็นกันเยอะแยะ...

.....สรุปแล้ว "ความรัก" มิติที่1นี้ หากใครจะหมายเอาว่าเป็น "ความเห็นแก่ตัว" ก็ช่างเห็นแท้ดูจริงมากยิ่งเหลือเกิน เพราะกิเลสพาให้เกิดสภาพเช่นนั้นจริง แต่ถ้าหากหมายเอาว่าเป็น "ความเผื่อแผ่-เสียสละ" ก็เป็นแค่ "ให้" เพื่อแลกกับที่ตนจะได้เสพ "รสอร่อยที่ใคร่อยาก" เป็นการเกื้อกูลวนแคบอยู่แค่กับคนคนเดียว หรือเกื้อกูลแก่กันและกันแค่ "คน 2 คน"...

.....ความรัก มิติที่ 1 นี้ จึงเรียกว่า "กามนิยม" หรือ "เมถุนนิยม"...

.....หากใครยังกำจัดกิเลสของตนให้ลด "ความเห็นแก่ตัว"ที่เผื่อแผ่แก่กันและกันอยู่แค่คน 2 คนนี้ ไม่ได้ เมื่อได้ก่อกรรมผูกเวรขึ้นมีคู่จนเป็นภาระแท้จริงเสียแล้ว ก็ควรจะต้องเมตตาหรือปรารถนาดีแก่คู่ของตนบ้าง ควรจะต้องพากเพียรแบ่งใจ แบ่งพลังงาน แบ่งเวลา แบ่งทุนรอนเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเสียสละให้คู่ของตน ควรจะต้องรับผิดชอบตามหน้าที่อันสมควร มิเช่นนั้น ก็จะได้ชื่อว่า ยิ่งต่ำเพราะเลวซ้ำเลวซ้อน...

.....แต่นั่นแหละ อย่างไรมันก็เป็นความแคบ "ความรัก" อื่นที่ประเสริฐกว่านี้ยังมีอีกมาก ควรศึกษาเสริมสร้างความรักที่เป็นคุณค่าประโยชน์เกื้อกูลต่อผู้อื่น พลังงานและเวลาแม้แต่ทุนรอนทรัพย์วัตถุโดยเฉพาะจิตใจ ซึ่งคนอื่นๆอีกมากหลายในโลกที่ควรได้ประโยชน์ ซึ่งจะเป็นการแบ่งพลังงานของเราไปใช้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์มากกว่า...

....."ความรัก" ไม่ใช่แค่ "คน 2 คน" เท่านั้นแน่ๆ ที่เราจะเกื้อกูลแบ่งใจแบ่งชีวิต แบ่งพลังงาน แบ่งเวลา แบ่งทุนรอน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือเสียสละให้ เพราะผู้อื่นมีอีกมากมายในโลกที่เราจะเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างออกไปจากตัวจากตน ที่เป็นวงแคบเพียง 2คน ซึ่งถ้าทุกๆคนเข้าใจในเรื่องนี้ สังคมนี้ โลกนี้คงศิวิไลซ์สวยงาม และน่าอยู่มากขึ้นอีกเยอะ...

.....หากได้ศึกษาพุทธธรรมถึงขั้นโลกุตระ ประพฤติตนให้บรรลุมรรคผลดีขึ้น สูงขึ้น ลดกาม ลดกิเลส ที่ทำให้เห็นแก่ตัวอยู่ออกไปได้อีก มากเท่าใดๆ "ความรัก" ก็จะเป็น "ความเกื้อกูลเสียสละ" ที่เจริญงอกงามไปสู่ความประเสริฐยิ่งๆขึ้นเท่านั้นๆ...

.....หากใครสามารถลดความสูญเสียพลังงาน ทั้งพลังกาย พลังใจ ลดความสูญเสียเวลา ลดความสูญเสียทุนรอน เพื่อความรักมิติที่1 นี้ลงได้มากเท่าใดๆ หรือที่สุดไม่ต้องสูญเสียอะไรเพื่อความรักมิตินี้เลย ก็นั่นแหละคือ ความหลุดพ้นจาก "ความรัก มิติที่1" นี้สำเร็จ...

.....บทความ "ความรักคืออะไร" ในตอนก่อนๆหลายตอน คงเป็นตัวอย่างและอุทธาหรณ์ได้เป็นอย่างดี...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร      ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร : ตอนที่ 6
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 30/06/2013, 10:39 »
ความรักคืออะไร (ตอนที่6:ความรัก10มิติ:นิยามแห่งรัก)

การเขียนเรื่องความรัก10มิติจากนี้ไป ผมนำเอาเค้าโครงเรื่องและแนวคิดทั้งหมดมาจากการบรรยายธรรมะของท่านสมณะโพธิรักษ์ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2518 ณ.วิทยาลัยครูเชียงใหม่ และวันที่ 8 กรกฎาคม 2518 ณ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ความเห็นและแนวคิดทั้งหมดเป็นของท่านสมณะโพธิรักษ์ ผมขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ ณ.ที่นี้ อาจจะมีการสอดแทรกคำอธิบายลงไปบ้าง ไม่มาก ท่านสามารถตรวจสอบกับต้นฉบับในหนังสือ ความรัก 10 มิติได้

นิยามแห่งรัก:ความรักคืออะไร

ความรัก คือ อาการทางจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นอาการที่มีความรู้สึก "ชอบใจผสมความยินดี" ถ้าหากชอบถึงขั้นผูกพันก็เป็นความยึดติด นั่นคือ เริ่มเห็นแก่ตัว และถ้าหากติดยึดถึงขั้นดูดดึงเข้ามาเป็นของตัวของตนเท่าใดๆ ก็เป็นความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้นๆ ที่สุดหากถึงขนาดดึงดูดมาเพื่อตัวเองแต่ผู้เดียว และหวงแหนไม่เผื่อแผ่ให้ใคร ความรักที่มีลักษณะปานฉะนี้ ก็คือ "ความเห็นแก่ตัว"สุดๆเต็มๆแล้วนั่นเอง

แต่ถ้าหากอาการ "ชอบใจผสมความยินดี"นั้น ลดความเห็นแก่ตัว ลดความหลงไหลคลั่งไคล้ ลดความหวงแหน ลดความดึงดูด ความยึดติด ความผูกพันลงไปๆตามลำดับ คุณค่าของความรักก็จะสูงขึ้นๆๆ และถ้าหากผู้ใดสามารถลดอาการดังกล่าวนี้ด้วย และทั้งตนก็สามารถเสริมสร้างความเสียสละเกื้อกูลช่วยเหลือเผื่อแผ่ออกไปแก่ผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ได้กว้างได้ลึกซึ้งสูงส่งครบคุณภาพและปริมาณมากขึ้นๆอีกด้วย ก็ยิ่งเป็นความรักที่ประเสริฐมีคุณค่าสูงมีประโยชน์มากยิ่งๆขึ้น

คนที่มีอาการชอบใจผสมความยินดีแต่เฉพาะตัวเอง มีแต่ความปราถนามาให้แก่ตน ไม่มีแก่คนอื่นเลย คนชนิดนี้คือ คนผู้มีแต่ "ความเห็นแก่ตัว" ถ่ายเดียว จึงเท่ากับคนที่ไม่มี "ความรัก"เลย เพราะ "เห็นแก่แต่ตัวเอง" เป็นคนที่มีแต่ "ตัวเอง" หรือมีแต่ "อัตตา"แท้ๆเท่านั้นเต็มๆ โดดๆ เดี่วยๆ หนึ่งเดียวไม่มีอื่นเลย นั่นจึงไม่ใช่ "ความรัก"

หนึ่งเดียวเป็น "ความรัก"ไม่ได้ "ความรัก"ต้องมีสองขึ้นไป ยิ่งเผื่อแผ่กว้างมากกว่าสองทวีมากขึ้นเท่าใดๆก็ยิ่งเป็น "ความรัก" ที่ประเสริฐยิ่งๆขึ้นเท่านั้นๆ

"อวิชชา"หรือ"กิเลส"มักทำให้คน"เห็นผิด"ไปว่าความรัก คือ ความผูกพันไม่ห่างเหิน ความหวงแหนเพื่อตัวเพื่อตน ความติดยึดไม่ปล่อยไม่วาง ความดูดดึงให้เหนียวให้แน่น ความเห็นแก่ตัวให้แคบให้จัดจ้าน ความหลงใหลคลั่งไคล้ปราถนาเป็นของตัวของตน หากใครมีอาการผูกพัน..หวงแหน..ติดยึด..ดูดดึง..เห็นแก่ตัว และหลงใหลคลั่งไคล้ปรารถนาเป็นของตัวของตน ได้มากได้หนักได้แน่นได้แรง ยิ่งๆเพียงใดๆ ก็คือผู้ "มากไปด้วยความรัก" หรือผู้มี "ความรัก" ที่น่าเชิดชูยกย่องเลิศลอยเพียงนั้นๆ

แท้จริงแล้ว อาการดังกล่าวนั้น มิใช่ "ความรัก"เลย "เห็นผิด" (เป็นมิจฉาทิฏฐิ)กันไปชนิดตรงกันข้ามเลยทีเดียว มันเป็น "ความโลภ"ต่างหาก ซึ่งโลภจัดชัดแจ้ง ยิ่งแรงยิ่งเป็น "ตัวกู ของกู" (อัตตา,อัตตานียา)

ตามสารสัจจะที่ถูกต้องนั้น ความรักไม่ใช่ความชั่วที่มีลักษณะ "เห็นแก่ตัว" ความรักเป็นความดี ที่มีลักษณะ "เมตตาหรือปรารถนาให้ผู้อื่นได้สุข" ความรักมิใช่ลักษณะของ "ความเป็นอัตตาหรืออัตตนียา"ที่มีลักษณะแคบเพื่อตัวกูของกู โดยเนื้อแทัแก่นจริงแล้ว "ความรัก"มีลักษณะตรงกันข้ามกับ "อัตตาหรืออัตตนียา"ด้วยซ้ำ ความรักที่สูงส่งที่ประเสริฐยิ่งมีคุณลักษณะถอดตัวถอดตนสู่ "ความเป็นอนัตตา" ยิ่งมีอาการเอื้อมเอื้อเผื่อแผ่ออกไปจากตัวจากตน จนหมดตัวหมดตน นั่นแหละจึงจะเป็นความรักที่วิเศษสุด ความรักตามสัจจะนั้น ทวนกระแสกับอัตตา ความรักไม่ใช่ลักษณะ "เอกพจน์หรือเอกเทศ" แต่มีลักษณะ "พหุพจน์หรือพหุภาค" "ความรัก"ไม่ใช่ "ความโลภ" ที่จะกอบโกยเข้ามาหาตนเข้ามาบำเรอตน หรือมีแต่แคบเข้ามาเป็นตนเป็นตัวเอง แต่เป็น "ความเผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเกื้อกูล"ออกไปหาผู้อื่นมากขึ้น ยิ่งขยายกว้างขึ้นๆก็ยิ่งเป็นความรักที่ประเสริฐสูงส่งยิ่งๆขึ้น

ขอยืนยันว่า โดยสัจจะนั้น "ความรัก"ไม่ใช่ "ความเห็นแก่ตัว" "ความเห็นแก่ตัว" จึงไม่ใช่ "ความรัก"

เพราะ "ความเห็นแก่ตัว"ก็ประกาศลักษณะของมันเอง อยู่ชัดๆโต้งๆ ว่า เป็น "กิเลสโลภมาให้แก่ตน"

คนที่กล่าวว่า "ความรักคือความเห็นแก่ตัว"นั้น กล่าวผิด อวิชชาหรือกิเลสต่างหากพาให้เขากล่าวเช่นนั้น "ความรัก"ที่แท้ที่บริสุทธิ์จริง ไม่ใช่ "ความเห็นแก่ตัว"เลย ทว่าเป็น "ความเมตตาหรือปรารถนาให้ผู้อื่นได้สุข" เป็น "ความภาคภูมิที่พากเพียรขยันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ออกไปจากตัวจากตน จนกระทั่ง "หมดตัวหมดตน" นั่นต่างหาก จึงจะเป็นความรักที่วิเศษสูงสุด

สรุป ความรัก คือ อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ หากใครปฎิบัติพัฒนา "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย มีแต่เต็มไปด้วยความเมตตาหรือปรารถนาให้ผู้อื่นได้สุข" หรือ "มีแต่ความเผื่อแผ่ของตนเสียสละแก่ผู้อื่น"ให้เจริญสูงสุดจนเกิดจริงเป็นจริงได้เท่าใดๆ ผู้นั้นก็คือ ผู้ได้สร้าง "ความรัก" ที่ใหญ่ยิ่งประเสริฐสุดๆเท่านั้นๆ

คนผู้มี "ความรัก" ประเสริฐที่สุด สูงที่สุด จึงได้แก่ ผู้ที่หมดตัวหมดตน ชนิดไม่มีกิเลสถึงขั้นสิ้นอาสวะ เห็นแก่ผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ เสียสละเกื้อกูลช่วยเหลือเผื่อแผ่ออกไปให้ผู้อื่นอยู่อย่างภูมิใจสุขใจ และยืนยาวหาประโยชน์มิได้และเต็มไปด้วยความปรารถนาดีที่ตัวเราจะได้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ให้มากๆให้ยิ่งๆให้กว้างที่สุดเท่าที่จะให้ได้

ดังนั้น คำว่า "ความรัก" มิติที่ 1 นี้ หากจะหมายความเอาว่าเป็น "ความเห็นแก่ตัว" ก็ใกล้เคียงความจริงที่สุด แต่ถ้าหากจะหมายเอาว่า เป็น "ความเผื่อแผ่-เสียสละ" ก็แคบและเล็กสุดๆ

ความรักยังมีอีกหลายมิติ ซึ่งจะได้อธิบายต่อไปถึง 10 มิติ ในตอนต่อๆไป

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921       ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร : ตอนที่ 5
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 30/06/2013, 10:43 »
ความรักคืออะไร (ตอนที่5:โอกาสแห่งรัก)

ผู้คนบนโลกนี้ ส่วนมากรู้จักจักพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศษนาม นโปเลียน โปนาปาร์ต รบชนะมาตลอดทั่วดินแดนยุโรป ความสามารถในการรบเป็นที่เลื่องลือ มีควาสามารถในการยิงปืนใหญ่อย่างแม่นยำ การรบครั้งสำคัญที่ถูกจารึกใว้ในประวัติศาสตร์คือสงคราม Waterloo ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ครั้งสำคัญที่ถูกกล่าวขานกันมาจนถึงทุกวันนี้

คศ.1815 นโปเลียนต่อสู้กับกองทัพของอังกฤษและกองทัพของปรัสเซียที่รุกเข้าโจมตีกองทัพของนโปเลียนที่ทุ่งWaterloo วันนั้ฝนตกหนักมาก พื้นดินเปียกชุ่ม ดินโคลนเต็มไปหมด การเคลื่อนย้ายต่างๆลำบากมาก กองทัพนโปเลียนไม่สามารถรบตามแผนได้ เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนย้ายปืนใหญ่ไปยังจุดที่สามารถยิงกองทัพศัตรูได้อย่างแม่นยำได้ทันเวลา ทำให้ไม่สามารถยิงปืนใหญ่เพื่อต่อสู้กับกองทัพของอังกฤษและปรัสเซียได้ สุดท้ายก็แพ้สงคราม ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ศึกสงครามของนโปเลียน ในประวัติศาสตร์ของพระองค์

พระองค์ทอดพระเนตรไปในกลางสมรภูมิ พร้อมกับกล่าวว่า
"Ability without opportunity means nothing."
"มีความสามารถ แต่ไร้ซึ่งโอกาส ย่อมไร้ความหมาย"

เหตุการณ์ต่างๆย่อมผ่านเข้ามาในชีวิตมนุษย์ทุกๆวันทุกๆเวลา เพียงแต่ว่า เราเข้าใจมันหรือไม่ว่า นั่นคือโอกาส
โอกาสมาแล้วหรือยัง?
โอกาสมาแล้ว แต่เราไม่รู้ว่านั่นคือโอกาส แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป
โอกาสมาแล้ว แล้วเราก็รู้ว่านั่นคือโอกาส แต่เราก็ยังปล่อยให้ผ่านไปอยู่ดี
โอกาสมาแล้ว แล้วเรารู้ว่านั่นคือโอกาส เรารับโอกาสนั้น และมีการกระทำอะไรบางอย่างกับโอกาสนั้น

เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะรู้หรือไม่รู้ว่านั่นคือโอกาสก็แล้วแต่ ถ้าเราเพิกเฉย ไม่สนใจ ไม่หยิบฉวยมัน มันก็คือเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วก็ผ่านไป ก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าเราหยิบฉวยได้ทัน และมีการกระทำอะไรบางอย่างในเวลาที่เหมาะสม เราก็สามารถเปลียนจากโอกาสนั้นมาเป็นความสำเร็จได้

สิบกว่าปีที่แล้ว ศัลยแพทย์รุ่นพี่ผมคนหนึ่ง มาพูดเรื่องเครือข่ายให้ผมฟัง ผมมองไม่เห็นและได้ละทิ้งโอกาสอันนั้น แต่วันนี้รุ่นพี่ผมคนนี้ มีอิสระภาพทางการเงินไปแล้ว ในวันนั้น ผมได้ละทิ้งโอกาสที่มีค่ามากที่สุดโอกาสหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมขับรถไปกับเพื่อนผมแล้วเห็นป้ายประกาศขายที่ดิน เพื่อนผมมองเห็นโอกาสทันที และมีการกระทำบางอย่างต่อ สุดท้ายเขาสามารถทำกำไรจากที่ดินแปลงนี้มากมาย

สมันผมเป็นวัยรุ่น เคยแอบรักเพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าบอกเธอ สุดท้ายเธอก็รักและแต่งงานกับคนอื่นไป ผ่านไปเกือบยี่สิบปี มาเจอกันอีกที เหลือแต่ความเป็นเพื่อนเก่า เลยได้คุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องมีฟอร์ม ผมได้บอกกับเธอตรงๆว่า ในสมัยที่เราเรียนด้วยกัน ผมได้แอบชอบเธอนะ แต่ไม่กล้าบอกรักเธอ(ถ้าเป็นสมัยนี้ ฮึ่มมมมม.....) จนกระทั่งเธอมีแฟน ผมก็เลยทำใจเงียบๆอยู่คนเดียว

ในขณะนั้น ผมเห็นแววตาเธอผิดปกติไป ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เธอก็บอกว่า ช่างมันเถอะ เพราะว่าในเวลานั้น เธอก็แอบชอบผมอยู่เหมือนกัน และเราก็คุยกันอีกยาว แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว โอกาสผ่านไปแล้ว ไม่มีทางหวนกลับคืนมาได้อีก

มีอยู่2สิ่งที่ผมไม่ชอบเลยในชีวิต คือ
1, สิ่งที่สมควรทำ แต่ไม่ได้ทำ โอกาสผ่านไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้ทำอีก
2, สิ่งที่ไม่สมควรทำ แต่ก็ทำ แก้ไขอะไรไม่ได้อีก โอกาสผ่านไปแล้ว

ไม่ทุกคนหรอกที่จะเห็นความสำคัญในแต่ละเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและมองเห็นเป็นโอกาส มิฉะนั้นแล้วเราคงไม่เรียกว่าโอกาส(opportunity)

สถิติจากการสำรวจประชากรไทยปี พ.ศ.2551-2552 พบว่า ผู้ชายไทยมีอายุเฉลี่ย 69ปี ผู้หญิงไทยเฉลี่ย 76ปี(มีบางคนเอาไปกระแนะกระแหนว่า แก่ง่าย ตายยาก: ผมไม่ได้พูดนะ) ถ้าดูจากสถิตินี้แล้ว ชีวิตมนุษย์สั้นมาก ถ้านับเป้นวันแล้ว ของผมเหลือไม่ถึงหนึ่งหมื่นวันก็หมดแล้ว

ถ้ามีเหตุการณ์อะไรผ่านเข้ามาในชีวิต จงมองให้เป็นโอกาส แล้วค่อยนำมาพิจารณาในรายละเอียดว่าจะกระทำอย่างไรกับมัน วันนี้ท่านจะทำอะไรก็จงทำ วันนี้ท่านจะรักใครก็จงรัก วันนี้ท่านจะบอกรักใครก็จงบอก ท่านจะใช้ชีวิตที่เหลือทำอะไรเพื่อใครก็จงรีบทำ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเริ่มต้นที่ความรักและความศรัทธาในสิ่งนั้นๆ อยากจะแนะนำว่า ให้เริ่มต้นที่ความรักในหัวใจเราที่มีต่อสิ่งนั้นๆ แล้วพัฒนาความรักนั้นไปในมิติที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมจะขอแบ่งความรักออกเป็น 10มิติ ถ้าเราสามารถพัฒนาไปถึงมิติที่ 10แล้ว ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว

ความรัก 10มิติ คืออะไร มีอะไรบ้าง แต่ละมิติเป็นอย่างไร โปรดติดตามในตอนต่อไป

อนุสรณ์สถานรูปสิงห์โตบนยอดเขาที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงจักพรรดิ์นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ ขณะนี้อยู่ในดินแดนของประเทศเบลเยี่ยม ผมชอบเอามาดู เพื่อระลึกถึงคำพูดของพระองค์ เพื่อเตือนความทรงจำ

"Ability without opportunity means nothing."
"มีความสามารถ แต่ไร้ซึ่งโอกาส ย่อมไร้ความหมาย"
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484(dtac)
083 8949921(true)              ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร ตอนที่ 4
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 30/06/2013, 10:48 »
ความรักคืออะไร (ตอนที่4:บิลลี่)

บิลลี่เกิดเมื่อ 19 ม.ค.2549 เป็นสุนัขเพศผู้พันธุ์ยอร์คเชีย เทอร์เรีย ขณะนี้อายุ 7ปี4เดือนแล้ว

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2549 ขณะที่ผมกำลังจะกลับจากการทำธุระที่ห้าง บังเอิญเดินผ่านจุดที่เขาขายน้องหมากัน เห็นบิลลี่ยืนเกาะที่กรง สายตาจ้องมาที่ผม เศร้าๆ เว้าวอน น่าสงสารมาก (ทุกวันนี้ยังจำภาพนั้นได้) ก็เลยเดินเข้าไปดู สุดท้ายก็ซื้อบิลลี่กลับมาบ้าน

คืนแรกให้บิลลี่นอนที่ห้องหนังสือ เตรียมที่นอนอย่างดีให้ พอถึงตอนดึกๆด้วยความเป็นห่วง จึงได้ลุกขึ้นมาดู บิลลี่ไม่ได้นอนเลย บิลลี่นั่งคอยและจ้องมาที่ประตูห้องนอนผม ทันที่ที่เห็นผม บิลลี่ดีใจมาก ก็เลยอุ้มมานอนบนเตียงด้วยกัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้

ทุกคืนบิลลี่จะนอนเตียงเดียวกับผม เวลานอนบิลลี่จะต้องหันหลังชนกับผมบิลลี่ถึงจะนอนหลับ คืนไหนฝนตกหรือฟ้าร้อง บิลลี่จะกลัวจนตัวสั่น จะต้องอุ้มมากอดไว้ พอหกโมงเช้า บิลลี่จะมีหน้าที่ปลุกผม ตรงต่อเวลาทุกวัน หลังจากตื่นแล้วบิลลี่จะนอนตาพริ้มให้ผมนวดขาให้ เป็นอย่างนี้ทุกวัน

ทุกๆเช้า บิลลี่จะกระโดดขึ้นรถตรงเบาะคนขับ ขาหน้าสองข้างจะจับที่พวงมาลัย ติดตามผมไปคลินิคทุกวัน วันไหนถ้าไม่ให้ไป บิลลี่จะร้องให้เสียใจมากๆ ตอนบิลลี่ยังเล็กๆ ผมจะป้อนอาหารให้เองทุกวัน อุจจาระเสร็จผมก็จะล้างก้นให้ทุกครั้ง (เราก็มาคิด:ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วผมทำกรรมอะไรกับบิลลี่ไว้ ชาตินี้จึงต้องมาล้างก้นให้บิลลี่:หมา)

ผ่านไปนานเข้า บิลลี่มีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของคลินิค จะมีอาการหวงสถานที่และตัวผม บิลลี่จะวิ่งไล่กัดคนไข้ ใครจะมาเข้าใกล้ผมไม่ได้ บิลลี่จะกัด มีอยู่ครั้งหนึ่ง บิลลี่ไปกัดคนไข้ซึ่งเป็นเด็กอายุ3ปี จนเป็นแผล สุดท้ายจึงตัดสินใจให้บิลลี่อยู่บ้าน ไม่ให้มาที่คลินิค

ทุกครั้งที่ผมเข้าบ้าน บิลลี่จะดีใจสุดๆ ไม่ว่าผมจะกลับกี่ทุ่มกี่ยาม บิลลี่จะนอนคอยผมที่ประตู จะไม่ยอมนอนก่อน พอเข้าบ้านบิลลี่จะดีใจจนตัวสั่น และจะเข้ามาคลอเคลียจนพอใจ ถ้าผมต้องไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัดแล้วไม่ได้กลับบ้าน บิลลี่จะซึม ถ้าเกิน3วัน บิลลี่จะไม่กินข้าว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปเหยียบถูกขาบิลลี่เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ บิลลี่ร้องจนสุดเสียง แต่ขาก็ไม่หัก แต่คงเจ็บ บิลลี่งอนผมสามวันสามคืน ไม่ยอมทัก ไม่ยอมมองผม จะทำอะไรบิลลี่ก็ไม่สนใจ จะป้อนข้าวให้ เอาอาหารยัดเข้าปาก ก็ไม่ยอมเคี้ยว จับไปนอน ปล่อยลงท่าไหน บิลลี่ก็อยู่ท่านั้น ผ่านไปสามวันสามคืน บิลลี่ลืมจึงกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม แกคงเสียใจมากๆ

ความผูกพันธ์ที่ผมมีกับบิลลี่มีมากมาย บิลลี่น่ารักตรงที่ไม่มีการปรุงแต่งอารมย์ ไม่มีการแสแสร้ง สิ่งที่แสดงออกเป็นของบิลลี่เป็นไปตามอารมย์ที่แท้จริงของมัน คนเราถ้าไม่ต้องปรุงแต่งอารมย์กันก็คงดีนะ

ความผูกพันธ์ระหว่างคนและน้องหมา มีเรื่องดีๆเยอะแยะ เล่ากันไม่หมด บางคนพอน้องหมาเสียชีวิตขึ้นมา ร้องไห้กันสามวันสามคืนไม่ยอมหยุด มีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างครับ

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 40314849(dtac)
083 8949921(true)          ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร ตอนที่ 3
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 30/06/2013, 10:50 »
ความรักคืออะไร (ตอนที่3:ศึกศักดิ์ศรี)
ศักดิ์ศรีคืออะไร ยากที่จะอธิบาย เป็นนามธรรม จัดอยู่ในตัณหา3 ประเภพภวตัณหา คือเป็นการดิ้นรนปราถนาในภพจิต (ตัณหา3 มี1,กามตัณหา 2,ภวตัณหา 3,วิภวตัณหา) และมนุษย์เราไปยึดติดและอุปทานกับมัน(อวิชชา)

ศักดิ์ศรี:เป็นเรื่องที่มนุษย์ไปให้คุณค่าและราคาแก่มันในเรื่องหรือเหตุนั้นๆว่า มันมีค่าหรือมีความสำคัญกับเราตามที่เราไปยึดติดหรืออุปทาน ตามกรอบความคิดของคนคนนั้น ถ้าใครมากระทำที่ทำให้เรารู้สึกว่า เขามาดูถูกหรือมาเหยียดหยามเราในเรื่องนั้นๆแล้วไซร้ ก็จะมีความรู้สึกว่า เขามาหมิ่น หรือมาเหยียดหยามศักดิ์ศรีเรา ยอมไม่ได้ บางคนถึงขั้นว่า ยอมตายดีกว่าที่จะให้ใครมาหมิ่นหรือหยามศักดิ์ศรีเรา ตามกรอบความคิดที่เขาไปยึดติดหรืออุปทานไว้ของคนคนนั้น (แล้วบางคนก็ได้ตายจริงๆ)

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 ผมต้องไปเป็นพยานศาลในฐานะแพทย์ ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง(สาขามีนบุรี) ในคดีความอาญา ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งข้อหานี้มีโทษถึงขั้นประหารชีวิตกันเลยทีเดียว

เรื่องมีอยู่ว่า:เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 ในขณะที่ผมทำงานตรวจคนไข้ที่คลินิค ขณะที่ผมได้ลุกจากห้องตรวจคนไข้เพื่อที่จะไปห้องน้ำหลังบ้าน ทันใดนั้น ได้ยินเสียงปืนดังมากๆ 2นัด และได้ยินเสียงกระจกที่หน้าคลินิคแตกดังมาก

ทันใดนั้น ผมรู้สึกว่ามีวัตถุมากระทบเฉียดพุงผมไป (ซึ่งทราบทีหลังว่าเป็นกระสุนปืน) ผมก้มลงดูที่พุงผม มีรอยถลอกและเลือดออกไม่มาก(ในขณะนั้น ผมบังเอิญยืนหันด้านข้างให้กับวิถีกระสุน เมื่อปี 2552 ผมอ้วนนะครับ อ้วนมากกว่านี้ 8กิโลกรัม ซึ่งช่วงหลังนี้ ผมได้ทานอาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนัก จึงผอมลง หุ่นจึงดี และหล่อด้วย อิอิ ซึ่งถ้าวันนั้นพุงไม่ยื่น ก็คงไม่โดนกระสุน

เมื่อหายตกตะลึงแล้ว ผมรีบวิ่งไปที่หน้าคลินิค พบว่ามีเด็กนักศึกษา 2คนถูกยิง จึงปฐมพยาบาลและรีบนำส่งโรงพยาบาล

คนที่1 ถูกยิงที่ขา เลือดทะลัก
คนที่2 ถูกยิงที่ท้อง กระสุนไปถูกประสาทสันหลัง ขาพิการทั้งสองข้างตลอดชีวิต
แต่ก็รอดตายทั้งสองคน

เนื่องจากครอบครัวของจำเลยและคนที่ถูกยิง เป็นคนไข้ผมมาสิบกว่าปี ทั้งจำเลยและคนที่ถูกยิงเป็นคนไข้ที่ผมดูแลมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กรุ่นๆเดียวกัน รู้จักกันมานาน ไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนถึงขั้นจะต้องฆ่ากัน แต่บังเอิญว่าเด็กทั้งสองคนไปเรียนโรงเรียนเทคนิคคนละโรงที่เป็นคู่อริกันมานาน เคยยกพวกตีกัน ยิงกันมานาน เป็นเรื่องของความขัดแย้งในนามของศักดิ์ศรีของสถาบันที่พวกเขาไปยึดติด ไปอุปทานในกรอบความคิดของพวกเขา เป็นความรักสถาบันในแบบภวตัณหา ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจในความหมายของความรักผิดไปอย่างสิ้นเชิง จะว่าไปในกรณีนี้ก็เป็นผลแทรกซ้อนของความรักที่คนไปเข้าใจความหมายของความรักผิดไป ทำใ้ห้เด็กสองคนที่ควรจะมีอนาคตที่ดี กลับต้องมาพิการไปตลอดชีวิตคนหนึ่ง และติดคุกอีกคนหนึ่ง

ผมเป็นคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองดีมากๆ เนื่องจากถือสัจธรรมที่ว่า "ถ้าเรายังรักตัวเองไม่เป็น แล้วจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร" เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ออกกำลังกายทุกวัน ทานอาหารเสริมเยอะมาก ถือหลักและปฏิบัติตามหลัก 5อ.แต่ชีวิตผมก็เกือบถูกท่านเอาไป ในนามของความรัก ความรักสถาบัน ตามที่ท่านกล่าวอ้าง เกือบไปจริงๆ

หลังจากที่เฉียดประตู(ไม่รู้ว่าสวรรค์หรือนรก)แล้ว ได้มีการพิจารณาเรื่องความเป็นและความตายอย่างลึกซึ้ง ชีวิตคนเราประมาทไม่ได้จริงๆ "เราไม่มีทางรู้ว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึงก่อนกัน"ผมเริ่มเข้าใจว่า สาระจริงๆของชีวิต คืออะไร.....

นับจากนี้เป็นต้นไป อะไรที่ผมสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ อะไรที่ผมสามารถช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมและสัตว์โลกได้.....ผมจะทำ
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484(dtac)
083 8949921(true)                   ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 30/06/2013, 10:53 »
ความรักคืออะไร (ตอนที่2 พลังแห่งรัก)
ทุกสิ่งทุกอย่างหรือไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่บนโลกนี้ มี2ด้านเสมอ ความรักก้เหมือนกัน ถ้าเราใช้พลังแห่งความรักไปในด้านลบ มันก็จะเกิดผลข้างเคียงดังตัวอย่างที่แล้ว แต่ถ้าเราใช้พลังแห่งรักไปในด้านบวก ผลลัพธ์ของมันย่อมดีเสมอ ผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์โดยตรงของผม ดังนี้

ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในขณะที่กระผมกำลังขับรถไปทำงานแต่เช้า โดยขับตามหลังรถเท็กซี่คันหนึ่ง ทันใดนั้น รถเท็กซี่ได้เบรกกะทันหัน เนื่องจากมีเด็กวิ่งตัดหน้ารถเท็กซี่ ทำให้รถผมไปชนท้ายรถเท็กซี่เข้า แต่ก็ไม่แรงมาก บังโคลนท้ายรถเท็กซี่ยุบไปพอสมควรและห้อยลงมา ช่วงนั้นผมก็รู้สึกว่าผมใจลอยในขณะขับขี่ ถ้าได้ใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้ ก้คงไม่ชน ทำให้มีความรู้สึกว่าเราผิด

เมื่อจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเดินเข้าไปหาคนขับรถเท็กซี่ แล้วยกมือไหว้เขา พร้อมกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ ได้ขอโทษเขาว่าเป็นความผิดของผมเองที่ทำให้เขาเสียเวลาทำมาหากิน เนื่องจากผมใจลอยเองในขณะขับ ไม่ระมัดระวังเท่าที่ควร ทันใดนั้น คนขับรถเท็กซี่ก็ส่งยิ้มให้ผมด้วยสีหน้าที่เห็นได้ชัดว่ามีไมตรีจิตที่ดี พร้อมกับกล่าวว่า ไม่เป็นไร เขาเองก็มีส่วนผิดที่เบรกกะทันหัน ต่างคนต่างก้ยอมรับผิด พร้อมที่จะรับผิดชอบ(น่ารักอ่ะ) ผมได้บอกกับเขาว่า ที่ใกล้ๆตรงนี้ มีอู่รถที่ผมรู้จักอยู่หนึ่ง เป็นช่างประจำของผม เราขับรถไปให้ช่างดู ไม่ต้องเรียกประกัน ไม่ต้องเรียกตำรวจ มันเสียหายไม่มาก ผมขอรับผิดชอบเอง แล้วเราก็ขับรถตามกันไปที่อู่นั้น

ในระหว่างที่รอช่างซ่อมอยู่นั้น เราได้มีโอกาสได้คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายเรื่อง ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง พี่คนขับเท็กซี่ก็เดินไปที่รถเขา และหยิบผ้ามาผืนหนึ่งพร้อมกับชุบน้ำมันที่ผ้านั้น และเดินไปเช็ดและขัดสีตรงกันชนรถผม ตรงบริเวณที่ผมไปชนรถเขา ซึ่งสีที่ติดมาก็เป็นสีของรถเขา เห็นเขาบรรจงขัด และ้ขัดไปที่จุดอื่นๆอีกหลายจุด

ณ.วินาทีนั้น ผมเกิดความรู้สึกที่ประทับใจมากๆๆ จนยากที่จะบรรยายออกมาเป้นตัวหนังสือได้ มันเป้นความรู้สึกที่ลึกล้ำ เรารู้ซึ้งได้ถึงพลังของจิตมนุษย์ที่ใช้ไปในทางบวก เป็นพลังแห่งความรักในมนุษย์ เคารพกัน ให้เกียติกัน ไม่มุ่งทำลายกัน มันคงประทับในใจผมไปตลอดกาล จากการที่เราขับรถไปชนเขา สุดท้ายแทนที่เท่าที่เห็นส่วนมากจะอารมณ์เสีย ทะเลาะกัน ต่อยกันก็เคยเห็นเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งยิงกันจนตายก็เคยเห็นในข่าวกันบ่อยๆ แต่วันนี้ ผมได้นำเอาความรู้สึกว่าเรารักเพื่อนมนุษย์ มาใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สุดท้ายก็ได้มิตรภาพที่ดีและความประทับใจที่ดีกลับมา

ถึงแม้ว่า มันไม่ใช่เหตุการณ์อะไรที่ใหญ่โต แต่ในความรู้สึกของผมแล้ว มันประทับใจและยิ่งใหญ่มากๆ และคงประทับในความทรงจำของผมตลอดไป
"เมื่อมีใครเอาขี้หมามาขว้างใส่เรา เราจงหยิบเอาขี้หมาก้อนนั้นมาปั้นเป้นดอกกุหลาบสีแดงที่สวยงาม แล้วยื่นส่งคืนให้เขา"
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
http://youtu.be/9qzr6XnjfS4             

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ผมกำลังมีความรัก
“ ผมรักคุณมากๆ รักจนไม่สนใจอะไรอีก นอกจากเธอ รักจนข้าวก็ไม่อยากจะกิน นอนก็ไม่อยากจะนอน งานก็ไม่อยากจะทำ เงินก็ไม่มีความหมายสำหรับผม อนาคตก็ไม่สนใจ แม้แต่ชีวิตก็ไม่สนใจ นอกจากเธอแล้ว ผมไม่สนใจอะไรอีกเลยที่รัก “

ความรักมากมายขนาดนี้ นับว่าเป็นความรักมั้ย?

ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผมมีอาชีพเป็นแพทย์ ได้มีโอกาสตรวจ รักษาพยาบาล และให้คำปรึกษาแก่คนไข้ที่มีอาการป่วยทั้งทางร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณจากผลข้างเคียง(side effects)ของสิ่งที่คนส่วนมากเข้าใจว่าคือความรัก(Love) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป รวมทั้งอนาคตที่จะต้องดับวูบลง หรือบางคนต้องสูญเสียอิสระภาพ ติดคุกติดตะราง บางคนร่างการถึงขั้นพิการไปตลอดชีวิต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องเป็นภาระแก่คนอื่นไปตลอดชีวิต บางคนกลายเป็นคนบ้าหรือวิกลจริตไป หรือแม้กระทั่งบางคนต้องสังเวยชีวิตไป เป็นเวรเป็นกรรมไปอีกกี่ภพกี่ชาติ คนไข้กลุ่มนี้มีเยอะมากๆ ขอยกตัวอย่างคร่าวๆ....

ผู้ป่วยหญิง อายุ 45ปี สถานะ สมรส อาชีพ รับราชการ
อาการเบื้องต้น:ถูกสามีทำร้ายร่างกายก่อนมาหาหมอ มีเลือดออกจากหู
ประวัติเบื้องต้น:ผู้ป่วยเล่าว่า ก่อนมาหาหมอ มีเรื่องทะเลาะกับสามี มีเรื่องหึงหวงกัน ต่างคนต่างไม่ลดละ สุดท้ายก็ตีกัน โดยฝ่ายภรรยาถูกสามีตบบ้องหูซ้ายอย่างแรง
ตรวจร่างกาย:พบว่าเยื่อแก้วหูข้างซ้ายฉีกขาดกะรุ่งกะริ่ง มีเลือดออก
การรักษา:ผ่าตัด ทำเยื่อแก้วหูเทียม

จากตัวอย่างคร่าวๆ คนไข้ที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เราเรียกว่าความรักนั้น ตลอดชีวิตผมเจอมาเป็นร้อยเป็นพันคน มีทุกรูปแบบ
ความรักคืออะไร รักแบบไหนจึงไม่เป็นทุกข์ ทำไมคนจึงตกเป็นเหยื่อมันมากมายขนาดนี้ แท้จริงแล้วความรักมันมีแต่ด้านผลเสียหรือ ด้านดีก็มี มีมากด้วย ต้องทำอย่างไร?

เพื่อนๆผมทุกคนบนแฟคนี้ครับ มาช่วยกันคอมเม้นท์ครับ ผมขอเปิดบ้านผม(Time line)มาช่วยกันให้ความรู้เรื่องความรักกันนะครับ
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร : ตอนที่ 10
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 4/07/2013, 09:59 »
ความรักคืออะไร (ตอนที่ 10:ความรัก10มิติ: มิติที่ 2:พันธุนิยม)

..........ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" อาการหรือสภาวะทางจิตดังกล่าว มีเหตุปัจจัยมากมาย ไม่ใช่มีเพียง ความรักแบบหนุ่มสาว หรือที่พวกเราเวลาพูดถึงความรัก เราก็จะเหมาเอาว่า เป็นเรื่องของคน 2คน ดังที่ได้บรรยายไว้ใน มิติที่ 1 ในตอนก่อนๆ...

.....ความรักมิติที่2 คือ ความรักระหว่างสายโลหิต หรือ พ่อ-แม่-ลูก ก็ขยายขอบเขตของความรักขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง แต่ก็ยังแคบมาก มีขอบเขตอยู่แค่แวดวงสายเลือดชั้นแรกชั้นเดียวเท่านั้น ความรักที่ยังไม่แผ่กว้างออกไปมากกว่านี้ จึงเป็นความรักที่ยังอยู่ในแวดวงที่วนแคบ ไม่เป็นประโยชน์กว้างเกื้อออกไปสักเท่าไหร่...

.....โดยนัยเดียวกัน ที่เหมือนความรักในมิติที่1 ถ้ารักอย่างหลงเฉพาะแวดวงพ่อแม่ลูกนี้ ยิ่งหนักยิ่งมากเท่าใด ก็จะหวงแหนตระหนี่ถี่เหนียวเพื่อแวดวงแคบๆแค่นี้ไปตลอดชีวิต จะเผื่อแผ่ออกไปแก่ผู้อื่นหรือวงนอกได้ยาก อะไๆก็จะลำเอียงแวดวงเท่านี้ก่อนอื่นเสมอ จะสะสมทุกสิ่งทุกอย่าง ไว้ให้แก่คนในวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"เท่านี้แหละ เป็นอุดมการณ์อันเอก...

....."ความรัก" คือ ความเผื่อแผ่ แต่สำหรับความเผื่อแผ่ของคนที่มีความรักมิติที่2นี้ ไม่ว่าจะเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นแก่ใครๆ แม้แต่ญาติที่นอกไปจากวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"แล้ว จะยังฝืนใจอยู่ ไม่มากก็น้อย จิตใจจะยังไม่ว่างสะอาดปราศจากธุลีแห่งความตระหนี่ไปได้ง่ายๆ...
.....ถ้าจะให้สละแก่ผู้นอกวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"ก็เพราะจำนน ไม่เช่นนั้น ก็เพื่อที่จะได้ผลข้างเคียงตอบแทนอยู่ไม่มากก็น้อยเสมอ ถึงแม้จะมีบางครั้งบางเรื่องที่ได้เผื่อแผ่หรือเสียสละอย่างสะอาดปราศจากธุลีแห่งความตระหนี่แก่ผู้เป็นคนนอกวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"อยู่บ้างก็อาจจะมีได้บ้างเป็นแน่ แต่ก็จะสะอาดหมดจดยาก หรือทำได้น้อยครั้งน้อยเรื่องเต็มที ฉะนี้แลคือ คนที่มี "ความรัก" อยู่ใน มิติที่ 2...

.....ดังนั้น "ความจริง" ในคนที่มีความรัก มิติที่2 นี้ จะพึง "ไม่เห็นแก่ตัว" ซึ่งเป็น "ความรัก" ที่แท้ ก็จะไม่เห็นแก่ตัวหรือเป็นการเสียสละ ให้ได้อย่างไร้ธุลีแห่งความตระหนี่ก็เฉพาะในวงวนระหว่าง "พ่อ-แม่-ลูก" กันอยู่แคบๆเท่านี้ ไม่ว่าจะเสียสละวัตถุธรรมหรือนามธรรม ก็จะมีความเผื่อแผ่หรือเสียสละแก่กันและกันได้สะอาดหมดจดจริงเฉพาะในวงวนระหว่าง "พ่อ-แม่-ลูก" กันอยู่แคบๆเท่านี้ เท่านั้น กระนั้นก็ดี แม้ระหว่าง "พ่อ-แม่-ลูก"นี้ก็เถอะ ก็ยังมีความตระหนี่ มีความหวงแหนแทรกปนอยู่บ้างในบางอารมณ์บางเรื่องบางราวบางครั้งบางคราว...

.....แต่ถึงอย่างไร การเผื่อแผ่ การเสียสละของคนก็ย่อมมีแก่ผู้อื่นอันนอกเหนือจากวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"นี้อยู่บ้าง ทว่า "การให้หรือการเสียสละ" ส่วนมากของคนที่อยู่ในฐานะผู้ที่ชื่อว่ามี "ความรัก มิติที่ 2" นี้ ก็ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนการเสียสละแก่กันและกันของ "พ่อ-แม่-ลูก"ได้ง่ายนักหรอก หรือจะบริสุทธิ์บางครั้งบางคราวก็ในกรณีที่พิเศษจริงๆน้อยครั้งน้อยราย ซึ่งไม่มากพอที่จะทำให้ผู้อยู่ในฐานะที่มีคุณค่าสูงขึ้นอีกขั้น...

.....คงจะไม่สับสนนะว่า "การเห็นแก่ตัว"นั้นไม่ใช่ "ความรัก" "การเผื่อแผ่-การเสียสละ-การมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น" ต่างหาก คือ "ความรัก"เพราะฉะนั้น "การเผื่อแผ่ -การเสียสละ-การมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น" ที่มีลักษณะแคบๆวนอยู่แค่ "พ่อ-แม่-ลูก" เท่านี้ จึงเป็น "ความรัก" มิติที่ 2 ซึ่งมีลักษณะกว้างเกื้อขึ้นมาจาก "ความรัก"วงวนของ" คนคู่" หรือ "คน 2 คน " เพิ่มมามีแก่ลูก ก็เกื้อกว้างขึ้นอีกนิด สูงกว่า "ความรัก มิติที่ 1"...

.....ถึงอย่างนั้น ความรักมิติที่ 2 นี้ ก็ยังเป็นความรักขั้นที่ยังไม่สูงเลย เพราะเป็นความรักที่ยื่นยาวออกไปแค่ "พ่อ-แม่-ลูก" ซึ่งมีประโยชน์น้อยนิดต่อผู้อื่นอยู่นั่นเอง เป็นความรักที่จำกัดวงรักแคบอยู่แค่สายเลือดชั้นเดียว หรือเห็นแก่ผู้อื่นอยู่ในวงแคบแค่ "พ่อ-แม่-ลูก" เพียงเท่านี้ ความรัก มิติที่2 นี้ แม้จะเริ่มดีขึ้น แต่จัดเป็นความรักที่แผ่ออกไปเห็นแก่ผู้อื่นยังไม่ถึงไหนเลย...

.....แม้จะเผื่อแผ่แก่กันและกันในวงวนแห่งความเห็นแก่คนนั้นคนนี้ระหว่าง "พ่อ-แม่-ลูก" นี้ก็เถอะ ก็ยังมีความซับซ้อนของความลำเอียงกันไปมาอีกนักกว่านัก เพราะว่ากิเลสในคนแต่ละคนนั่นเอง...

.....ความรัก มิติที่ 2 นี้ จึงได้ชื่อว่า "พันธุนิยม"หรือ "ปิตุปุตตานิยม"

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะ

Tags: