วิถี 'เจ' ลดโลกร้อน ...กรนัท สุรพัฒน์ โดย : มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
ใกล้ถึงเทศกาลกินเจแล้ว ปีนี้ตรงกับช่วง 14-23 ตุลาคม 2555 หนึ่งปีมีหนเดียว และอาจเป็นหนเดียวที่เปลี่ยนแปลงชีวิตใครบางคนก็เป็นได้ เช่นเดียวกับ 'เจ' กรนัท สุรพัฒน์ กระบวนกรอิสระหนุ่มวัย 32 ปี
เขาเป็นนักกิจกรรมเพื่อสังคมมาตั้งแต่รั้วมหาวิทยาลัย อาสาสมัครบริหารและพัฒนาศักยภาพนักศึกษานานาชาติ ในสมาคมไอเซค (AIESEC) นักออกแบบและจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อสังคมสำหรับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ รวมทั้งเป็นครูสอนโยคะด้วย
'เจ' รับประทานมังสวิรัติ 100 % มาหลายปีแล้ว และตอนนี้กินเจได้ 80% เขามีปณิธานที่จะงดเว้นเนื้อสัตว์ตลอดชีวิตด้วย เขาบอกว่า หลังจากหลีกเลี่ยงการกินชีวิตผู้อื่นมาได้สามสี่ปี มีหลายอย่างเปลี่ยนไปในตัวเขา อย่างแรกที่สำคัญคือ อารมณ์เย็นลง และมีความเมตตามากขึ้น
เราจึงชวนเขามาคุยถึงเหตุของการหยุดรับประทานเนื้อสัตว์ มารับประทานพืชผักผลไม้เป็นหลัก ที่ช่วยทำให้เกิดผลในการลดโลกร้อนอย่างแท้จริง ซึ่งหลายคนอาจนึกไม่ถึง !
[ กายใจ : อะไรที่ทำให้หันมารับประทานมังสวิรัติ แล้วเลยเถิดมาจนถึงการกินเจ /b]
ผมมีความคิดไม่อยากรับประทานเนื้อสัตว์มาตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ตอนนั้นก็พยายามหาเหตุผลว่า มันจะดีหรือ จะมีสารอาหารเพียงพอไหม เพราะตอนนั้นเป็นคนติดอาหารที่ต้องมีโปรตีนเยอะๆ อยากเติบโต พอมาฝึกวิปัสสนา โยคะ จิตตปัญญา คนรอบข้างส่วนใหญ่รับประทานมังสวิรัติ เช่น อาจารย์ที่ปรึกษาของผม ครูบาอาจารย์รอบๆ ตัวก็รับประทานทั้งนั้น หลายๆ สถานการณ์เราก็ไม่มีตัวเลือกก็เลยต้องรับประทานไปกับเขาด้วย เลยเริ่มโอเคขึ้น รสชาติคุ้นปาก จุดเปลี่ยนจริงๆ ตอนหลังกลับจากอินเดียเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว
ไปที่โน่นมีอาหารสองประเภทคือ มังสวิรัติและไม่มังสวิรัติ แล้วสถานที่นั้น เขากินมังสวิรัติกัน ไม่มังสวิรัติ มีไม่มากก็เลยกินไปกับเขา พอกินไปกินมาเริ่มเห็นลักษณะนิสัยตัวเองที่เปลี่ยนไป ช่วงที่ไม่รับเนื้อสัตว์มาก็ทำให้เราดูแลอารมณ์ได้ดีขึ้น ก็เลยทดลองกับตัวเองก่อนหนึ่งเดือน ตอนนั้นเข้าช่วงวิสาขบูชา รู้สึกว่าไม่ยาก เลยรับประทานต่อเนื่องมากขึ้น
พอเดินทางไปต่างประเทศก็ทดลองรับประทานมังสวิรัติ มันทำให้เราเดินเหินปกติดี มีแรง เลยเริ่มศึกษาหาความรู้ว่าในทางวิทยาศาสตร์ว่ากินมังสวิรัติแล้วมีผลอย่างไร ดีไม่ดีอย่างไร มันก็มีเหตุผลเยอะแยะที่บอกว่า สามารถกินได้อย่างปกติมาก โดยเฉพาะคนที่มีอายุยืนของโลกที่อายุเกิน 100 ปี ร้อยทั้งร้อยกินมังสวิรัติทั้งหมดเลย อัจฉริยของโลกมากมายก็รับประทานมังสวิรัติ ไม่ว่าจะเป็นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือท่านมหาตมะ คานธี ดาราอีกหลายๆ คน เช่น มาริลิน มอนโร ก็ยังรับประทานมังสวิรัติ ผมก็ถามตัวเองว่า เรารับประทานมังสวิรัติไปทำไม ก็ได้คำตอบว่า เราเพียงต้องการสารอาหารที่ประคองร่างกาย หล่อเลี้ยงเราได้ แค่นั้นเอง
กายใจ : โปรตีนไม่จำเป็นต้องมาจากเนื้อสัตว์หรือ
โปรตีน มาจากแหล่งไหนก็ได้ ที่ทำให้เราสามารถรับสารอาหารเหล่านี้ได้ ฉะนั้น ถ้าเรารับโปรตีนที่ไม่ทำให้ใครต้องเสียชีวิต ไม่ต้องให้เกิดพลังลบเกิดขึ้นในชีวิต มันก็น่าจะดี ก็เริ่มรับประทานมังสวิรัติ เลยตั้งปณิธานวันเกิดเมื่อ 2 ปีก่อน 24 พฤศจิกายน 2553 วันนั้นอายุ 30 ปีพอดี เลยตั้งใจ ว่าลึกๆ แล้วเราไม่อยากให้ใครทำลายชีวิตมาให้เรากิน เพียงแต่ว่า มันเคยมีความคิดว่า จะได้โปรตีนมาได้อย่างไร
แต่พอรู้ชัดทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า มันไม่จำเป็นต้องมาจากเนื้อสัตว์ เพียงแค่ อะมิโนที่มาจากพืชพันธุ์หลากหลายต่างๆ ก็เพียงพอ และยังเป็นประโยชน์มากในการลดโลกร้อน ตอนนั้นได้เข้าภาวนาของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ จากหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ที่ท่านจาริกมาประเทศไทย ในคอร์สภาวนารับประทานทานมังสวิรัติกัน แล้วในการปฏิบัติเรื่องศีล ซึ่งหลวงปู่ท่านใช้คำว่า ' ข้อฝึกอบรมสติ 5 ประการ' ในข้อ 1 ที่นอกจากไม่ฆ่า ไม่สนับสนุนการฆ่าแล้ว ยังรวมไปถึงการไม่รับประทานเนื้อเขาด้วย ในปีนั้น เนื่องจากภาวะโลกร้อนรุนแรงมาก เกิดสึนามิในหลายประเทศ หลวงปู่เริ่มเพิ่มข้อฝึกอบรมข้อนี้ว่า ไม่รับประทานไข่และนม ท่านมีเหตุผลในการลดโลกร้อน เราก็เอ๊ะ มันยังไง
ก็คือว่า การที่เรารับประทานหมู ไก่ วัว ใช้ทรัพยากรของโลกมากในการปลูกพืชเป็นหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนไร่เพื่อให้สัตว์กิน แล้วก็เอาเนื้อสัตว์มาเข้าโรงงานแปรรูป โรงฆ่าสัตว์ก็พลังงานเชื้อเพลิงเยอะมาก กับการที่จะได้รับโปรตีนจำนวนหนึ่ง ซึ่งโปรตีนจำนวนนี้ เราสามารถมีทางเลือกอื่นได้ โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรเยอะ เพียงรับประทานพืชโดยตรง จากธัญพืช ที่มีโปรตีน ก็ไม่ต้องผ่านการกินเนื้อสัตว์ ซึ่งต้องใช้พลังงานมากในการผลิต พืชผัก เพียงแค่ปลูกบนดิน และอาศัยการขนส่ง คือใช้พลังงานไม่มากเพื่อที่จะให้ได้โปรตีนหนึ่งกรัมเช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ ก็เลยตั้งปณิธานในวันเกิดปีนั้นว่าจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์อีกแล้ว
กายใจ: อะไรคือที่มาของการฝังหัวว่า โปรตีนต้องมาจากเนื้อสัตว์
คงเป็นเพราะการศึกษาของเราที่สืบต่อกันมาว่า ทางเลือกที่มาของโปรตีนมีไม่เยอะ ที่บอกว่ากินเนื้อจะได้ตัวโต แต่จริงๆ พลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตมาจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน ส่วนโปรตีน ไว้สำหรับซ่อมแซมเซลล์กล้ามเนื้อส่วนที่สึกหรอ แต่พลังงานของชีวิตไม่ได้มาจากโปรตีน
โปรตีนที่เราต้องการจริงๆ ก็ไม่มาก หลายคนบอกว่าต้องการโปรตีนเยอะๆ เลยต้องไปกินสเต็ก หมูกระทะ ซึ่งกินกันเยอะมาก เมื่อก่อนผมก็ชอบมากเหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงๆ หนึ่งกิโลกรัม ร่างกายใช้โปรตีนจริงๆ แค่ 30% เท่านั้นเอง ที่เหลือทิ้งหมด ร่างกายจะขับออกไป แต่ถ้าขับไม่หมดก็สะสมเป็นรังของโรคมะเร็งส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีสารโลหะที่ติดไปกับเนื้อสัตว์ เดี๋ยวนี้ไม่มีการรับประกันเลยว่า สิ่งที่เรารับประทานจะมีสารพิษ สารเคมีอะไรมาบ้าง เพราะสัตว์ที่ถูกเลี้ยงก็ถูกเร่งด้วยฮอร์โมนหมดเลย จีเอ็มโอบ้าง พอเขาตายก็ใส่สารบางอย่างให้เขาอยู่ในสภาพสวยงาม เราก็กินพวกนี้ โดยที่ไม่รู้ แม่ค้าก็ไม่รู้ เราไปกินนอกบ้าน หรือไปซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตดีๆ ก็ยังมีสารเคมีเหล่านี้อยู่ พอกินเข้าไปมันก็สะสม ยิ่งกินเยอะเกิน จำนวนที่สะสมก็เยอะขึ้น มันก็เลยกลายเป็นมะเร็ง โรคภัยไข้เจ็บ เลยคิดว่า ถ้าเราไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เราก็หลีกเลี่ยงสารโลหะหนัก สารเคมีเหล่านี้ไปด้วย สุขภาพก็ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง เพราะโรคเหล่านี้ มาจากการกินหมดเลย
กายใจ: ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร หลังจากปรับวิถีการกิน
อารมณ์เปลี่ยนไป ผมรู้สึกสังเกตอารมณ์ได้ไวขึ้น สังเกตความโกรธของตัวเองได้ชัดขึ้น ทำให้มีพลัง มีสติอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น เพราะพลังงานลบที่เข้ามาในร่างกายน้อยลง พลังงานลบที่มี อาจมาจากสัตว์ที่ตาย ผมเชื่อว่า เวลาเขาตาย มันมีอารมณ์อยู่ในนั้น ความโกรธแค้น ใครมาฆ่าเขาก็ไม่รู้ ความกลัว ความเหงาที่เขาเติบโตมาในที่อับๆ แคบๆ แล้วเราก็จับเขามาฆ่า มันก็อยู่ในเซลล์ ในเนื้อเขา เมื่อไปรับเขามา มันก็มีพลังงานเหล่านี้ถ่ายทอดเข้ามาในตัวเราด้วย พอเราไม่รับประทาน กายก็เริ่มเบา ใจไม่ค่อยโกรธ คือเห็นอารมณ์โกรธของตัวเองชัดขึ้น มันก็ระงับได้ไว
ตอนที่รับประทานไปได้ปีหนึ่ง ความโกรธ มันไม่รุนแรงเท่าแต่ก่อน เริ่มมีทัศนคติที่ดีต่อคนรอบข้าง พอเราไม่ไปทำร้ายใคร ให้ใครต้องมาตายเพราะเรา ก็รู้สึกถึงความเมตตามากขึ้น
กายใจ : ในศีลข้อ 1 การไม่ฆ่าสัตว์เป็นอันดับแรก รวมไปถึงการรับประทานด้วยไหม
โดยกายภาพแล้ว ร่างกายของเราสามารถรับประทานพืชผักและเนื้อได้ แต่พระพุทธองค์ทรงไม่ระบุไปถึงการรับประทานเนื้อสัตว์ก็จริง เพราะมีหลายกรณีที่เลี่ยงไม่ได้ ท่านจึงระบุไว้ประมาณว่า ไม่ควรเป็นเนื้อสดที่เจตนาฆ่ามารับประทาน แต่พลังงานสดๆ ที่เราควรจะรับประทานน่าจะมาจากพืชผักสดๆ มากกว่า จริงๆ แล้วเนื้อสัตว์ไม่จำเป็นต้องทานเยอะ ไม่กี่ชิ้นร่างกายเราก็เพียงพอแล้ว แล้วค่อยๆ ลดลง ลองสังเกตตัวเองดูว่าร่างกาย จิตใจเราเปลี่ยนไปอย่างไร อารมณ์เราเป็นอย่างไร
ผมมั่นใจว่า ถ้าได้ทดลองสักสัปดาห์หนึ่งจะเห็นผลแน่นอน เหมือนที่ผมได้ทดลองกับตัวเองมาก่อน ถ้าคิดถึงโลกจริงๆ การรับประทานมังสวิรัติ การรับประทานเจ ช่วยลดการใช้ทรัพยากรโลกให้น้อยลง เผื่อแผ่คนอื่นได้มากขึ้น ธรรมชาติก็อยู่กับเราไปอีกนาน
กายใจ: ร่างกายของมนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อหรือ
ครับ ลำไส้ของเราที่ยาวเหมาะแก่การย่อยพืชผักมากกว่า ส่วนเนื้อเมื่อเข้าไปในร่างกาย มันต้องการเอมไซม์ในการย่อย เนื้อที่ผ่านการปรุงแล้วอยู่ในลำไส้นานๆ มันก็เน่า ถ้าสะสมบ่อยๆ เป็นมะเร็งลำไส้ได้ ทานผัก ผลไม้ ธัญพืช ทำให้เราเอาของเก่าในลำไส้ออกได้ไวขึ้น พืชผักที่อยู่ในลำไส้ที่ยาวมันก็ไม่ก่อกวนร่างกายมาก ไม่ทำให้เกิดโรคภัย
กายใจ : การรับประทานมังสวิรัติช่วยในเรื่องการภาวนาอย่างไรบ้าง
เมื่อไม่กินเขา จิตใจเราอ่อนโยนลง ผ่อนคลาย มันเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อผ่อนคลาย จิตก็จะเริ่มนิ่งสงบ แล้วก็ใช้สภาวะนั้นใคร่ครวญประสบการณ์เก่าๆ ที่ทำให้ว้าวุ่นใจ พอเราเห็นเหตุแห่งทุกข์ จิตใจก็เริ่มยอมรับ ให้อภัยตัวเอง และผ่อนคลายลงเหมือนแก้วที่ตกตะกอนแล้ว น้ำนิ่งใส เห็นความจริงชัด พอสติมา เดี๋ยววิปัสสนา (การรู้เห็นตามความเป็นจริง) ก็จะเกิดเอง
ในช่วงนั้นจิตอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าไม่ผ่อนคลาย มันจะดื้อ และถ้าคิดว่า การปฏิบัติธรรมต้องนั่งสมาธิ ให้จิตนิ่งๆ แต่มันไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเรา คนเราต้องเคลื่อนไหว ก็หาอะไรตามจริตเรา ไปวิ่งก็ได้ วิ่งไปวิ่งมา สติจะเกิด เพราะฉะนั้นอะไรก็ได้ ที่ทำให้เรามีสติ บางคนชอบวาดรูปก็วาดไปก่อน ทำความสะอาดบ้านก็ได้ เพียงแค่ให้อยู่กับสิ่งนั้น 100% สักพักจิตก็เริ่มสงบ
คือ จุดเริ่มต้น จุดไหนก็ได้ แล้วมันจะไปสู่จุดเดียวกันกับการนั่ง การเดินจงกรม จะฟังเสียงดนตรี วาดรูป เขียนไดอารี่ ได้หมดเลย คนรุ่นใหม่ บางทีเราพูดถึงคำว่าปฏิบัติธรรมปุ๊ป นั่งสมาธิหรือ ยากอ่ะ ทำไม่ได้ จริงๆ แล้วมันอยู่ในชีวิตเราหมด ผมก็เลยเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้กับเวิร์คชอป สามารถประยุกต์ได้ทุกอย่าง เพราะชีวิตเรามีหลายโหมด ทั้งโหมดวิ่งๆ ฟุ้งๆ แล้วโหมดที่ทำให้สงบเย็นลง ผมเน้นที่กิจกรรมสดใหม่ สมาธิอาจไม่เยอะ แต่เราพาไปทำกิจกรรมอะไรต่างๆ สลับกับการที่ทำให้สงบ บ่อยๆ เข้าจะมีทักษะติดตัว เมื่อเขาทำอะไรก็จะมีสมาธิได้เร็วขึ้น ต้องทำบ่อยๆ เพราะพื้นฐานของแต่ละคนมาไม่เหมือนกัน
กายใจ: การภาวนาเป็นหนทางที่ทำให้เข้าใจตนเองใช่ไหม
แบบฝึกหัดหนึ่ง เราให้ผู้เข้าอบรมกลับไปคุยกับเด็กน้อยในตัวเขาก็มี เพราะหลายคน แม้แต่เขาอายุ 50 ปีขึ้นแล้ว ก็ยังมีปมภายใน การที่เราให้เขากลับมานิ่งๆ แล้วทำกิจกรรมให้เขากลับไปคุยกับตัวเองในวัยเยาว์ ทำให้เขาพบกับอะไรบางอย่างที่เขานึกไม่ถึง และสามารถแก้ไขได้ในวันนี้ แม้ว่า มันจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม
กายใจ : ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง นอกจากจัดการอบรม
กำลังนำแนวทางการศึกษา การจัดกระบวนกรไปเชื่อมโยงโลกธุรกิจและภาคสังคมในรูปแบบ ‘องค์กรธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)’ ร่วมตั้งและผลักดันกลุ่ม 'บียอนด์เจอร์นีย์ (Beyond Journey)' กับคุณเพนกวิน 'พรเพ็ญ วงศ์กิจมโนชัย' โดยมีความมุ่งมั่นในการผลักดันกระบวนการเรียนรู้เพื่อสมดุลชีวิตองค์รวม ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ ให้เข้าสู่ระบบการศึกษาในกระแสหลักและสู่วงกว้างมากขึ้น แล้วก็ประสานกับเครือข่ายทางสาธารณสุข จัดอบรมหมอ พยาบาล ชาวบ้าน ให้ดูแลเรื่องสุขภาพ เป็นอาสาสมัครที่ปรึกษาน้องๆ ในกิจกรรมอาสาต่างๆ ครับ
~~~ ขอบคุณค่ะ ~~~