collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกกฏแห่งกรรมยุควิทยาศาสตร์ : คำนำ  (อ่าน 16499 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              คน - ควาย  :  พทธศักราช 2538 ปลายปี มีงานฝังลูกนิมิตที่วัดพระบาทฯ วันสุดท้ายของงาน เกิดเหตุไม่นึกไม่ฝันขึ้น  งานฝังลูกนิมิตเป็นงานบุญสำคัญทางศาสนาพุทธ

        สาธุชาชาวพุทธแทนที่จะตั้งใจมาอนุโมทนาสาธุการ ร่วมช่วยกันจรรโลงพุทธศาสนาให้ถาวรสืบไป สิ่งแรกคิดได้กลับกลายเป็นว่า "จะหาทางได้เงินทองจากงานนี้ด้วยวิธีไหน?"
จึงมีคนหากินจากงานวัดมากมายเรื่อยมา บ้างเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่สั่งการได้ แต่ไม่ว่าจะเข้าหาใคร สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ผลประโยชน์ใต้โต๊ะ แต่หลวงตาที่วัดพระบาทแห่งนี้ ไม่ยอมให้มีการ "รวบยอด" หาประโยชน์ ไม่ว่าจะขายบัตรผ่านประตู เก็บค่าเช่าแผง  จัดการละเล่นหรือการพาณิชย์ทุกอย่าง หลวงตาจะเก็บแต่เงินบุญที่สานุชนตั้งใจบริจาคอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น  เท่าไรก็เท่านั้น ซึ่งสุดท้าย พอเสร็จงาน เงินที่บริจาคก็เพียงพอสำหรับการเสริมสร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดได้พอดีเท่าที่ขาดแคลน พวกเราคณะกรรมการจากมูลนิธิกุศลสงเคราะห์ ได้รับการขอร้องจากหลวงตาให้มาช่วยทำบัญชี เสร็จภาระหน้าที่แล้ว ขณะที่คณะเรานั่งสนทนาธรรมกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงครึกโครมใกล้เข้ามา... ควายตัวใหญ่วิ่งถลันเข้ามาในกุฏิของหลวงตาที่เรานั่งอยู่ด้วย มันหายใจฟืดฟาดหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลวงตา ข้างหลัง ชาวบ้านชายฉกรรจ์สิบกว่าคน ต่งถือไม้พลองกระเหี้ยนกระหือวิ่งตามมาจะทำร้ายควาย หลวงตารีบออกไปกั้นกลาง ถามว่า "มันเรื่องอะไรกัน"   "มันขวิดคนตายครับ" ชายฉกรรจ์ชิงกันตอบ "ขวิดใครตายที่ไหน?." "ขวิดไอ้ปัญญา เจ้าของมันเอง ที่กลางทุ่งนานางทอง"  "ปัญญามันลูกของนางทองไม่ใช่หรือ มันติดยาบ้าไม่กลับมาบ้านนานแล้วไม่ใช่หรือ?" หลวงตาถามต่อไปว่า "มันตายหรือเปล่า?" "ยังไม่ตายครับ แต่ไส้ไหลออกมากองกับพื้น หน้าอกก็ถูกขวิดเป็นรูใหญ่สองรู จะรอดได้อย่างไร?"   "ทำไมพวกเจ้าไม่คิดจะช่วยส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลเสียก่อนเล่า คิดแต่จะฆ่าควาย มันจะเิกิดประโยชน์อะไร?"  "ใช่สิ ใช่สิ"  เสียงรับคำหลวงตาดังขรม แล้วคนกลุ่มใหญ่ก็รีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ หลวงตาส่ายหน้าแล้วบอกกับคณะเราว่า "จะต้องไปดูสักหน่อย แต่ทุกคนไม่ต้องไปลำบากด้วยมันไกลจากที่นี่หลายกิโล"คณะเรา คนที่สูงอายุเห็นด้วยที่จะไม่ไป แต่คนที่ยังไหวต่างลุกขึ้นยืนจะไปด้วยกับหลวงตา  ยังไม่ทันออกจากกูฏิ พวกที่ไล่ควายมาสามสี่คนวิ่งย้อนกลับมาใหม่ ตะโกนมาแต่ไกลว่า "หลวงตา ๆ ไอ้ปัญญาตายแล้ว ๆ "  เรื่องนี้ หลวงตาเป็นที่ปรึกษา ชาวบ้านให้ความเห็นว่า "ขวิดคนตาย เลี้ยงไม่ได้ ต้องฆ่า" หลวงตาย้อนถามว่า "จะเอาอย่างนั้นหรือ"  ๙ายฉกรรจ์คนหนึ่งพยักหน้าขึ้งเครียด พูดอย่างจริงจังว่า "มันต้องชดใช้ด้วยชีวิต มันขวิดเจ้าของตายใครจะรับรองได้ว่า มันจะไม่ขวิดคนอื่นอีก"  หลวงตาให้ทุกคนตั้งสติ ดื่มน้ำเย็น ๆ แล้วจึงค่อย ๆ พูดต่อไปว่า "ควายมีสัญชาติญาณอ่อนโยน เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของคน มันจะต้องมีเหตุแห่งกรรมนี้..." ในครั้งพุทธกาล พ่อค้าคนหนึ่งเข้าเมืองมาถูกควายขวิดตาย เจ้าของควายตกใจ รีบขายควายตัวนั้นไปในราคาต่ำ ผู้ซื้อดีใจที่ได้ควายมาในราคาถูกมาก จึงจูงควายกลับบ้าน แต่พอกลับถึงบ้าน ควายตัวนั้นก็ขวิดเจ้าของคนใหม่ตายอีก คนบ้านนั้นโกรธแค้นมาก ฆ่าควายตัวนั้นแยกชิ้นส่วน เอาไปเร่ขายที่ตลาดทันที ชาวนาคนหนึ่งซื้อหัวควายที่มีเขาทั้งสองข้างกลับไปด้วยความดีใจ แดดร้อนจัดมาก จึงหยุดพักร้อนใต้ร่มไม้ระหว่างทาง เขาแขวนหัวควายไว้บนต้นไม้แล้วหลับไป เกินกว่าจะคาดเดา เชือกที่ใช้แขวนเกิดขาด หัวควายตกจากต้นไม้ เขาข้างหนึ่งแทงลงบนทรวงอกชาวนาผู้ซื้อ เขาตายทันที เป็นรายที่สามในวันเดียวกัน เรื่องเล่าลือไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสเฉลยข้อข้องใจในที่ชุมนุมว่า "กาลครั้งหนึ่ง มีพ่อค้าสามคนเดินทางไปค้าขายต่งเมือง คืนหนึ่งได้พักแรมที่บ้านหญิงชรานางหนึ่ง  และรับปากว่าจะจ่ายค่าที่พักให้ แต่พอวันรุ่งขึ้นก็แอบหลบไป หญิงนางนั้นไล่ตามมา พ่อค้าเห็นเป็นหญิงชรา หามีพิษสงให้ต้องเกรงกลัวไม่ จึงกลับด่าทอให้หญิงชราเจ็บซ้ำ คร่ำครวญ มองดูพ่อค้าทั้งสามด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย สบถสาบานว่า " ข่มเหงเราแก่เฒ่า ชาตินี้ตอบโต้ไม่ได้ ไม่ว่าชาติไหน ๆ จะเกิดเป็นคน เกิดเป็นอะไร ก็จะล้างแค้น จะฆ่าพวกเจ้าให้ได้..." ตถาคตเจ้าโปรดต่อไปว่า "ควายที่ฆ่าคนตายถึงสามคนในวันเดียวกันก็คือหญิงชรา  ผู้ถูกฆ่าคือพ่อค้าทั้งสามที่ข่งเหงคตโกงหญิงชรานั้น...." เมื่อหลวงตาเล่าจบ ไม่เพียงคนฟังจะสะเทือนใจ ควายที่ขวิดนายปัญญาตาย ก็ยืนนิ่งน้ำตาคลอ ขณะนั้นเอง กำนันพานางทองแม่ของผู้ตาย นั่งเกวียนมาถึง นางทองอายุยังไม่ถึงห้าสิบ สามีตายไปสิบกว่าปี เหนื่อยยากเลียงนายปัญญากับน้องสาวมา ปัญญาคบเพื่อนเสียหายมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ปีนี้แม้จะอายุยี่สิบกว่า แต่เกียจคร้านไม่ยอมทำงานอะไรเลย แม้แต่ช่วยแม่ทำนา เอาแต่เที่ยวเล่นไป พอกลับมาบ้านก็จะเอาเงิน ปัญญาเลวถึงขนาดขายน้องสาว ให้เพื่อนสารเลวขึ้นเรือนมาข่มขืนกัน ดีที่น้องสาวหนีรอดไปบ้านน้าชาย น้าชายใช้ปืนดาวกระจายยิงกราด พวกสารเลวจึงถอยไป วันเกิดเหตุ ปัญญากลับมารีดเงินอีก แม่กำลังจูงควายจะไปทำนา ไม่มีเงินติดตัว ปัญญาไม่เชื่อค้นตัวแม่ ฉุดกระชากลากถูจนแม่เสื้อขาด ปัญญาเป็นสัตว์ไปเสียแล้ว จะข่มขืนแม่ของตัวเอง... แต่ในที่นั้น ไอ้ทุยยืนดูอยู่ เขาจึงหันกลับมาถีบไล่ไอ้ทุยไปให้พ้น... หารู้ไม่ว่า สัญชาตญาณของควายก็มิอาจทนดูความชั่วช้าของลูกอกตัญญูเยี่ยงนี้ได้ มันจึงพุ่งเข้าขวิด ชาวบ้านรู้เห็นแต่ที่ควายขวิด แต่ไม่รู้ความเป็นจริงก่อนหน้านั้น กำนันที่พานางทองมานำควายกลับไป ทิ้งท้ายว่า "ถ้าไอ้ปัญญามันไม่ตายด้วยควายขวิด มันก็จะต้องถูกฟ้าผ่าตายในไม่ช้า" ชายฉกรรจ์ที่กระเหี้ยนหระหือจะฆ่าควายในตอนต้น ต่างสำนึกขอบคุณควาย บ้างยังคุกเข่ากราบขอขมาลาโทษควายเสียด้วย ทำให้ทุกคนน้ำตาซึมไปตาม ๆ กัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      เฮียซุ้ง   :  ข้าพเจ้า กับ เฮียเฮ้งจงซุ้ง นั่งคุยกันตั้งแต่ตะวันตกดินจนตะวันส่องฟ้ากลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น จึงได้รู้สึกตัวว่า เราคุยกันมาทั้งคืนโดยไม่ได้หลับนอน ไม่รู้มีเรื่องอะไรให้คุยกันได้นักเชียว

        อันที่จริง ข้าพเจ้ากับเฮียซุ้ง ไม่ได้เป็นเพื่อนรักต่างวัย ไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมเรียนก่อนเก่าที่จากกันไปนาน เราเป็นเพียงคนที่เพิ่งรู้จักกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบนเที่ยวบินกรุงเทพฯ - ภูเก็ต
เมื่อแลกเปลี่ยนนามบัตรกันแล้ว กล่าวคำว่า "มีเวลาเชิญมาเที่ยวที่บ้าน" เท่านั้น ไม่คิดว่าเฮียซุ่งจะเป็นคนว่องไวเพียงนี้มาเยี่ยมข้าพเจ้าก่อนหลังจากอำลากันไม่นาน ทำให้นึกถึงคำโบราณที่ว่า "ตั้งใจเล่าเรียนได้ทุกที่ คบเพื่อนดีได้ทุกเวลา" เฮียซุ้งกำพร้าพ่อตั้งแต่เล็ก กตัญญูต่อแม่มาก เขาเป็นคนตำบลนอกเมืองนครศรีธรรมราช อาชีพเข็นรถขายของใช้ประจำบ้าน เลี้ยงปากท้องหกชีวิตของครอบครัว ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด มื้อเที่ยงมักจะอดข้าว ตอนค่ำจะซื้ออาหาร กลับไปฝากแม่ เฮียซุ้งเป็นคนอารีอารอบ ชอบช่วยเหลือคน ใครลำบากยากแค้น แม้ตนเองจะข้าวหมดหม้อ ก็ขอให้คนอื่นได้อิ่มไว้ก่อน ค่ำวันหนึ่ง ไปซื้อข้าวสารมากรอกหม้อ ระหว่างทางได้พบแม่เฒ่าขอทาน บอกว่าไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว เฮียซุ้งยกข้าวถุงนั้นให้ไป ซื้อก๊วยเตี๋ยวหนึ่งห่อกลับมาให้แม่ ตนเองกับลูกเมียอดไปก่อนหนึ่งคืน ค่ำมืดดึกดื่นใครเจ็บป่วยให้ช่วยส่งโรงพยาบาล แม้วันตรุษจีนเป็นวันถือ จะให้เขาช่วยหามโลงศพ เขาก็ยินดี ทุกคนในตำบลชื่นชมเขา ชาวไร่มีผัก มีฟักแฟง ก็มักจะเอามาฝาก เพราะรู้ว่าเขารายได้น้อย ลูกมากยากจน แม่ของเฮียซุ่งเจ็บออด ๆ แอด ๆ สงสารลูกชาย จึงไปอยู่กับลูกสาวที่ลูกเขยฐานะดีกว่า วันหนึ่ง น้องสาวโทรศัพท์มาบอกว่า แม่ป่วยหนัก เขารีบถอดแหวนวงน้อยไปขาย เป็นค่ารถพาลูกเมียไปเยี่ยมแม่ที่บ้านของน้องสาวทันทีที่หาดใหญ่  ชะรอยเป็นแรงกตัญญู ถ้าแม่เป็นอะไรไปในช่วงชีวิตนั้น ลูกกตัญญูยากจนยังทำอะไรไม่ได้ คงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เดชะบุญแม่หายป่วย  เฮียซุ้งส่งลูกเมียกลับบ้านไปก่อน ส่วนตนเองเดินทางต่อไปที่สุไหงโกลก เพื่อจะไปขอให้ "เจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธิ์" ช่วยดูชะตาแม่ และช่วยต่ออายุให้แม่ด้วย เสร็จธุระจากสุไหงโกลกย้อนกลับมาไหว้ "เจ้าปู่ใหญ่" ศักดิ์สิทธิ์ที่หาดใหญ่ ขอให้ช่วยต่ออายุให้แม่ จากนั้นจึงขึ้นรถไฟชั้นสามกลับนครศรีธรรมราช เก้าอี้ชั้นสามนั่งตัวละสองคน พอเดินมาถึงที่นั่ง ผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าตางรีบลุกขึ้นให้ทีนั่งแก่เขา  ผู้เฒ่าเองเลื่อนมานั่งใกล้ทางเดิน เฮียซุ้ง ดูเลขที่นั่งแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามผู้เฒ่าผมขาวสีเงินระยับว่า "ทำไมทราบว่าที่นั่งของผมอยู่ริมหน้าต่าง"  ผู้เฒ่าเคราสีเงินยาวประทรวงอกยิ้มแล้วว่า "ก็เลขที่นั่งของฉันอยู่ใกล้ทางเดิน ของเธอก็ต้องอยู่ริมหน้าต่างน่ะซิ" จากนั้นเฮียซุ้งกับผู้เฒ่าลักษณะพิเศษท่านนั้นก็เริ่มสนทนากัน  ผู้เฒ่าว่า "อายัขัยสั้นยาว ขึ้นอยู่กับบุญทานบารมีที่บำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน ไม่ใช่จะอธิษฐานภาวนาขอมาได้..." เฮียซุ้งสะดุ้งในใจ ท่านรู้เรื่องของเราได้อย่างไร  "...ผีสางเทวดาก็เป็นหนึ่งในหกชีววิถีที่ต้องเวียนว่าย ท่านเองก็ต้องสิ้นสุดเวลาอายุขัย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร อย่าหลงเชื่อง่าย ๆ เราไม่ดูแคลน แต่ก็ไม่ต้องไประจบสอพลอ ทางที่ดีเคารพแต่ต้องถอยห่างไว้..." "...เชื่อในผีสาง วอนขอแต่เทพยดา เคารพเซียนผู้บรลุธรรม เอาอย่างพุทธะอริยะ แสวงทางรู้แจ้ง  คล้ายกันแต่ต่งกัน จะต้องใช้ปัญญาแยกแยะ อ่นคัมภีร์สัจธรรมให้มาก ความคิดจิตใจให้เทียงตรงสว่างกว้างใหญ่  ไม่โลภ  ไม่ฉ้อฉล จึงจะไม่ถูกผีสิงใจ...ให้ทานทรัพย์สิ่งของ ประคองสงเคราะห์คนทุกข์ยาก เรียกว่าสร้างบุญกุศล  วันข้างหน้าวาสนาจะปรากฏ  ให้ทานไปเห็น ๆ แต่เบื้องบนจะตอบสนองกลับมาเงียบ ๆ ทุ่มเทอดทนทำไป เรียกว่าคุณความดี  สร้างคุณความดีให้ชาวโลก วันข้างหน้าจะสูงส่ง บุญกับคุณความดี จะหล่อหลอมจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ยินดีที่จะเป็นผู้สงเคราะห์ช่วยเหลือ จิตใจนั้นเป็นคุณธรรม  บุญกุศล  คุณความดี  กับคุณธรรม จะตอบสนองด้วยร่ำรวยสูงส่ง อายุยืน...  ...หากยังไม่เกิดผลตามนี้ แสดงว่ายังมีวิบากกรรม มีมารทดสอบ เช่นพ่อหนุ่ม เธอทำความดีมามาก แต่ยังขัดสนอยู่ เปรียบเหมือนว่า กว่าจะได้ข้าวมาสักชาม ก็ถูกหมาตัวใหญ่ชิงเอาไปกิน ถ้าเป็นอย่างนี้ พ่อหนุ่มจะคิดย่างไร"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
            เฮียซุ้ง ๒.   :  "แล้วแต่ฟ้าลิขิต" เฮียซุ้งตอบ "...ดีมาก ไม่ขัดเคือง ดีมาก..."ผู้เฒ่าชื่นชม  สนทนามาถึงตรงนี้ พอดีรถจอดสถานีใหญ่ เสียงร้องขายของกันเซ็งแซ่ ผู้คนบนชานชาลาจอแจ เฮียซุ้งนึกขึ้นได้ว่าบ่ายแล้ว จึงไปซื้อข้าวมาสองห่อ ให้ผู้เฒ่าหนึ่งห่อ  ผู้เฒ่าปฏิเสธบอกว่า
"เวลาขาลถึงมะโรง (เช้า) เทพยดาเสวย 
ก่อนเที่ยงถึงบ่ายสาม  เวาลามะเส็งถึงมะแม คนกิน
เวลาวอกถึงจอ หลังบ่ายสามถึงสามทุ่ม ผีสางกิน 
เวลากุนถึงเวลาฉลูรอบใหม่ สามทุ่มถึงตีสาม สัตว์กิน  เรียกว่ากินให้เหมาะกับเวลาของตน"


        ผู้เฒ่าบอกว่าจะลงรถสถานีหน้า จะให้ข้อคิดอีกหน่อย ...พระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนไว้ว่า อย่าโกรธแค้นคู่อริ เขามีคุณช่วยให้เราได้อดทนอดกลั้น ทั้งต่อเภทภัย ต่อความทุกข์ยาก อย่าโทษคน หรือฟ้าดิน... 
...ลบนิสัยเคยชินไปได้ส่วนหนึ่ง จิตก็จะสว่างได้ส่วนหนึ่ง...
...ละกิเลสไปสิบส่วน ก็จะเจริญโพธิได้ส่วนหนึ่ง... "
...พ่อหนุ่มจะต้องไปอีกสี่ห้าสถานี กว่าจะถึงบ้านจะดึกมาก..."
เฮียซุ้งสะดุ้งในใจอีกครั้งหนึ่ง ท่านรู้ได้อย่างไร เราไม่ทันได้บอกว่าจะลงที่ไหน ท่านผู้เฒ่าลงจากรถลับตาไปแล้ว แต่ก่อนรถจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ท่านวกกลับมาปรากฏตัวที่หน้าต่างรถบอกเฮียซุ้งอย่างจริงจังว่า "หลังตรุษจีน (วันไหว้) หนึ่งวัน ใส่ใจเลขทะเบียนรถเข็น" สั่งเสร็จท่านก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว เฮียซุ้งสับสนเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเพิ่งได้อะไรมาและเพิ่งเสียอะไรไปอย่างนั้น ...เพิ่งจะสังเกตเห็นหญิงสองคนที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามสายตาของเธอฉงนชอบกล คนหนึ่งอดไม่ได้เมื่อเฮียซุ้งสบตา เธอถามว่า "ตะกร้าดอกไม้ใบสวยที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ตัว หายไปไหนแล้วล่ะ" เฮียซุ้งสะดุ้งอีก ตะกร้าอะไรที่ติดตัวมา มีกระเป๋าเก่า ๆ ใบเดียว วางอยู่บนชั้นวางของเหนือศรีษะ ผู้หญิงคนนั้นพูดอีกว่า "ตลอดทางเห็นคุณคุยกับตะกร้าดอกไม้ไม่หยุด เราอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าคุณมีปัญหา (ประสาท อะไรหรือเปล่า" คราวนี้ เฮียซุ้งตัวเย็นวาบ ผลุดลุกขึ้นจะลงรถไปตามหาผู้เฒ่าท่านนั้นให้รู้ชัดว่า เป็นคนเป็นผีหรือเป็นเซียน ถ้าเป็นเซียนจะถวายตัวเป็นศิษย์ แต่ ...รถแล่นเร็วเกินกว่าจะกระโดดลงไปได้แล้ว เฮียซุ้งพะว้าพะวังครุ่นคิดอยู่หลายวัน ไม่อาจลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ ภาระรับผิดชอบครอบคัว ทำให้เฮียซุ้งเหนื่อยสายตัวแทบขาด ต่อมา พอจะหายใจได้ทั่วท้อง ก่อนตรุษจีนหนึ่งเดือนก็เกิดไฟไหม้ ชุมชนห้องแถวไม้ไหม้หมดทั้งแถบ เฮียซุ้งหมดตัว นึกถึงคำว่า "หมาตัวใหญ่แย่งไปกิน"  จึงได้แต่ร้องว่า "ฟ้าลิขิต  ฟ้าลิขิต"  บ้านเหลือแต่กองขี้เถ้า เฮียซุ้งจึงหอบหิ้วครอบครัวไปอาศัยพี่ชาย ซึ่งอยู่อีกย่านชุมชนหนึ่ง พี่ชายขายสินค้าประเภทเดียวกัน อีกทั้งมีรถเข็นเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วหนึ่งคัน เฮียซุ้งจึงขอใช้รถ ขอแบ่งสินค้ามาขายก่อน  ตรุษจีน  ร้านรวงการค้าขายหยุดหมด แต่เฮียซุ้งไม่ยอมเสียโอกาส เขายังคงเข็นรถคันเก่าตระเวนขายของจนค่ำ ท่ามกลางแสงสลัวช่วงหนึ่งบนถนน เขาเห็นรถขายน้ำเต้าหู้จอดอยู่ข้างทาง สภาพของรถเก่ามาก ไม่รู้อะไรทำให้เขาสนใจเหลือบดูป้ายทะเบียนรถสามตัว แล้วพลันก็นึกถึงคำของผู้เฒ่าขึ้นมาได้ เขากลับไปบ้าน รวบรวมเงินที่มีเพียงน้อยนิด ภรรยาของเฮียซุ้งเข้าใจเรื่องราว จึงไปขอยืมเงินจากลูกพี่ลูกน้องมาห้าร้อยบาท รวมเป็นสองพัน แทงหวยใต้ดินสามตัว นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต เขาถูกหวยสามตัวหลายแสนบาท เฮียซุ้งจัดสรรเงินซื้อหุ้นเหมืองแร่ครึ่งหุ้นซึ่งปันผลกันทุกวัน ครึ่งหุ้นก็ได้วันละหลายหมื่นบาทแล้ว กุศลผลบุญ  คุณความดี  และคุณธรรม  สัมฤทธิ์ผลแก่เฮียซุ้งแล้ว ฐานะของเขาดีขึ้นทุกวันอย่างรวดเร็ว  ลูกชายคนโตสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ความเจริญก้าวหน้าดีมาก ลูกชายหญิงอีกสองคนจบการศึกษาขั้นสูง ได้งานทำดี  แม่ของเฮียซุ้งหมดอายุขัย เมื่อเฮียซุ้งรวยแล้วสองปีสมกับที่เขาตั้งใจจะทำให้แม่ภาคภูมิเป็นครั้งสุดท้าย ถึงขั้นนี้ ทุกอย่างสมความปรารถนา ค้างใจอยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ผู้เฒ่าราศีสว่างท่านนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน เฮียซุ้งเคยไปยืนรอตรงจุดที่ผู้เฒ่าเดินลงรถไปหลายครั้ง หวังว่าจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์...! เรื่องค้วงใจนี้เป็นความทุกข์อยู่ลึก ๆ เป็นความทุกข์ยิ่งที่ยังมิได้ตอบแทนพระคุณ ได้ยินมาว่าที่นราธิวาส มีนักพรตเหมาซันศาสตร์ลี้ลับที่ล่วงรู้ทุกอย่าง เฮียซุ้งดั้นด้นไปหา พอไปถึง แต่เข้าไม่ถึง เพราะคนมีปัญหาคุกเข่ากันล้นหลาม ออกมาถึงนอกประตู เฮียซุ้งจึงได้แต่ยืนชะเง้ออยู่ข้างนอก แต่นักพรตมองเห็นกวักมือเรียก เฮียซุ้งจะคุกเข่าลงเหมือนคนอื่น ๆ  ท่านบอกไม่ต้องอีกทั้งยื่นแก้วเหล้า "โง้วเกียพ้วย" ที่ท่านดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งให้ พร้อมกับพูดว่า "ในโลกนี้ มีเรื่องมากมายที่ไม่รู้เสียดีกว่ารู้ ปัญหาที่ตั้งใจจะมาถามไม่ต้องถามแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องไปถามที่อื่นด้วย ทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน" ว่าแล้ว  ท่านก็เรียกสาวกให้ส่งแขก เฮียซุ้งไม่หาคำตอบจากที่ใดต่อไป แต่จะให้ลืมผู้มีพระคุณนั้น คงลืมไม่ได้

        ท้ายเล่ม : 

ทุกคนต่างรู้ดีว่า
ชีวิตเป็นสิ่งล้ำค่ากว่าอื่นใดในโลก
ความล้ำค่าของชีวิตสัมพันธ์กับกาลเวลา
หากเมื่อกาลเวลาของชีวิตหมดไป
ยังจะเหลืออะไรให้ก่อเกิดคุณค่าได้

ทุกคนต่างรู้ดีว่า
ความล้ำค่าของชีวิตถูกปลิดขั้วโดยกฏแห่งกรรม
หากเมื่อเวรกรรมที่ทำมาถึงคราตกผล
ยังจะเหลืออะไรให้ได้แก้ตัว

                    :) ~~~~~ จบเล่ม ~~~~~  :)

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”