collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ผักชี...กลิ่นดีที่คนไทยนิยม  (อ่าน 1391 ครั้ง)

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 329

ผักชี...กลิ่นดีที่คนไทยนิยม

ใบสด ประกอบด้วย โปรตีน ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน (Beta – carotene) และ วิตามินซี พบว่า ถ้ารับประทานผักชี 1 ขีด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีเท่ากับปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน

นอกจากนี้ยังมีน้ำมันหอมระเหยในกลุ่มเทอร์ปีน (Terpenes) ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นหอมเฉพาะตัวผลหรือลูกผักชี จัดเป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับใบสด จะมีน้ำมันหอมระเหยในปริมาณมากกว่า โดยเฉพาะชนิด ลินาโลออล (Linalool)

ด้านสรรพคุณทางยา ผักชีมีรสเผ็ดร้อน ช่วยแก้ไข้ ขับเหงื่อ ขับลม เจริญอาหาร แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต บำรุงกระเพาะอาหาร และบรรเทาอาการโรคข้ออักเสบ

เลือกผักชีพันธุ์ไหน จึงได้กลิ่นหอม
ผักชีที่ปลูกกันแพร่หลายในประเทศไทยมี 2 พันธุ์ คือ
1.พันธุ์พื้นเมือง มีลักษณะต้นเล็ก ใบบาง กลิ่นฉุน
2.พันธุ์แอฟริกา มีลักษณะต้นใหญ่ ใบใหญ่หนา กลิ่นหอมเล็กน้อย

ส่วนการเลือกพันธุ์ไหนมาปรุงอาหารนั้นขึ้นกับเมนูที่ปรุง เช่น ถ้าเป็นต้มยำปลา ควรใช้ผักชีพันธุ์พื้นเมืองเพราะจะช่วยดับกลิ่นคาวปลาได้เป็นอย่างดี ส่วนผักชีพันธุ์แอฟริกานั้นใช้ปรุงอาหารที่ไม่ต้องการกลิ่นผักชีมากนัก เช่น โรยน้ำจิ้มชนิดต่างๆ ใส่อาหารประเภทยำ

เก็บผักชี...ไม่ให้ชีช้ำ
ปัญหากลุ้มใจของคนทำครัวเกี่ยวกับผักชี คือ เน่าเสียง่าย ชมนาดจึงมีเคล็ดลับเก็บผักชีมาแนะนำดังนี้ค่ะ
1.เด็ดก้านผักชีที่มีใบสดๆติดอยู่และตัดรากออกจากกัน นำไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นแช่ทุกส่วนในน้ำสะอาดทิ้งไว้ 5 นาที นำขึ้นสะเด็ดน้ำ แล้วใส่ตะกร้าผึ่งลมทิ้งไว้ให้แห้ง

2.เตรียมกล่องพลาสติกที่แห้งสะอาด เปิดฝากล่อง วางกระดาษทิชชู่ชนิดหนาลงในกล่อง จากนั้นวางก้านผักชีลงไป ปิดฝากล่องให้สนิท นำเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา จะเก็บก้านผักชีได้นาน 2 สัปดาห์

3.ส่วนรากผักชี ให้นำไปปั่นรวมกับ กระเทียม เกลือ และพริกไทยในสัดส่วนที่พอเหมาะ จากนั้นนำไปผัดกับน้ำมันพืชเล็กน้อย จนส่วนผสมมีกลิ่นหอม แล้วตักใส่ถ้วย ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ตักส่วนผสมที่ได้ใส่ถุงซิปล็อก นำเข้าตู้เย็นช่องแข็ง สามารถเก็บไว้ได้นาน 3 สัปดาห์

เมื่อจะปรุงอาหารก็นำมาตั้งทิ้งไว้ให้น้ำแข็งละลาย ส่วนผสมของรากผักชีจะยังคงมีกลิ่นและรสชาติดีดังเดิม
ผักชีมีดีต่อสุขภาพเพียงนี้ ห้ามคนไทยนำไปโรยหน้าเฉยๆ ต้องกินให้เอร็ดอร่อยด้วยนะคะ

Credit : cheewajit.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30/06/2012, 21:54 โดย ติ๊กน้อย »

Tags: