collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณประโยชน์ของการรับวิถีธรรม : สามารถหลุดพ้นจากการเกิดตาย  (อ่าน 26130 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               คุณประโยชน์
                         
                           ของการรับวิถีธรรม 

                   สามารถหลุดพ้นจากการเกิดตาย

        หลายคนที่ไม่เข้าใจชีวิต คิดว่าตายแล้ว "กระแสชีวิต" ก็ดับสูญไป ไม่มีการสืบทอดต่อไป คิดว่าคนตายเปรียบเสมืองดวงไฟที่มอดไหม้ตายแล้วทุกอย่างก็แล้วกันไป แต่ทว่าที่จริงเวลาคนตายแล้ว ทุกอย่างไม่ได้แล้วกันไป เพราะ ชีวิตมีการสืบทอดต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่อดีต  ปัจจุบัน และอนาคตคำโบราณว่า "คนกลัวตาย ผีกลัวเกิด"  เมื่อคนตายไป ก็กลายเป็นผี ผีกลัวจะกลับมาเกิดอีก เพราะต้องทุกข์กับกายสังขาร แต่เมื่อผีกลับมาเกิดเป็นคนแล้ว คนก็กลัวต้องตายไปเพราะยึดมั่นในกายสังขารแล้ว จึงเห็นได้ว่าการเกิดตายไม่ใช่เรื่องดีเลย ถึงแม้คนจะกลัวตาย แต่สามารุยับยั้งความตายได้หรือ?.
        ผีแม้จะกลัวการเกิด แต่จะหยุดวัฏฏะการเกิดตายได้หรือ?. เกิด ๆ ตาย ๆ ตาย ๆ เกิด ๆ เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป ท่านปราชญ์จวงจื้อจึงกล่าวว่า "เดิมทีข้าไม่ปรารถนาจะเกิด แต่ฉับพลันก็ต้องเกิดมา เดิมทีข้าไม่ปรารถนาจะตาย แต่ฉับพลันความตายก็มาเยือน"  เมื่อมีการเกิดย่อมมีการตาย ฉะนั้น ถ้าคิดจะ" หยุดการตาย" มีอยู่ทางเดียวก็คือ "ไม่มาเกิด"  นั่นหมายถึงการหลุดพ้นจากการเกิดตาย

        ความหมายของการหลุดพ้นจากการเกิดตาย   :  การหลุดพ้นการเกิดตายหมายถึง การอยู่เหนือการเกิดตาย ไม่ต้องตกอยู่ท่ามกลางวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด ที่ว่าหลุดพ้นจากการเกิดตาย ก็คือ การหลุดพ้นจากชาติกำเนิด 4 ภูมิวิถี 6 

        หลุดพ้นจากชาติกำเนิด 4  (จตุโยนิ - ชนิดของการเกิด)
-  ชลาพุชะ (สัตว์เกิดจากครรภ์ คือคลอดออกมาเป็นตัว เช่น คน ช้าง ม้า สุนัข เป็นต้น )
-  อัณฑชะ (สัตว์เกิดจากฟองไข่ คือออกไข่เป็นฟองแล้วจึงฟักเป็นตัว เช่น นก เป็ด ไก่ เป็นต้น )
-  สังเสทชะ (สัตว์เกิดจากเถ้าไคล คือเกิดในของชื้นแฉะ หมักหมม เน่าเปื่อยขยายแพร่ออกไปเอง เช่น หนอนบางชนิด
-  โอปปาติกะ (สัตว์เกิดผุดขึ้น คือเกิดผุดขึ้นทันทีทันใด ได้แก่ เทวดา สัตว์ นรก และเปรตบางพวกที่เกิด และตายโดยไม่ต้องมีเชื้อ หรือปรากฏซาก)

        หลุดพ้นจากภูมิวิถี 6  ภูมิวิถี 6 แบ่งออกเป็นทาง สุคติภูมิ 3 และทุคติภูมิ 3 
-  สุคติภูมิ 3  มีเทวภูมิ มนุษยภูมิ และอสูรภูมิ
-  ทุคติภูม 3 มี เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และนรกภูมิ

        ส่วนการหลุดพ้นจากการตาย หมายถึง การอยู่เหนือการตาย แม้กายสังขารจะตายไปแต่วิญญาณแห่งคุณงามความดียังคงอยู่ในจิตใจของมวลมนุษย์ไม่เคยตายจากโลกนี้ไป อนุชนรุ่นหลังจะเคารพบูชา และเอาเยี่ยงอย่างตัวอย่างเช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ที่ได้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม และสำเร็จธรรมกลับสู่เบื้องบน แต่ยังคงเหลือชื่ออันดีงามไว้ให้ผู้คนกล่าวขานต่อไป นี่คือการอยู่เหนือการเกิดตาย 

        สาเหตุที่ต้องหลุดพ้นจากการเกิดตาย  :
1.  เพื่อดับทุกข์  พระพุทธองค์ตรัสว่า "ชีวิตมนุษย์เปรียบได้ดั่งทะเลทุกข์"  มนุษย์ทุกชีวิตจะต้องเผชิญกับความทุกข์ใหญ่ ๆ ทั้ง 8 เช่น
การเกิดเป็นทุกข์    การแก่เป็นทุกข    การเจ็บเป็นทุกข์    การตายเป็นทุกข์    การพรัดพรากจากคนรักเป็นทุกข์    การอยู่ร่วมกับคู่อริเป็นทุกข์  การไม่สมหวังในสิ่งที่หวังเป็นทุกข์   และขันธ์ห้าเป็นทุกข์  ในเมื่อชีวิตมนุษย์คือการเวียนว่ายในทะเลทุกข์ จึงควรที่จะแสวงหาการดับทุกข์  หลุดพ้นจากทะเลทุกข์ นั่นก็คือการหลุดพ้นจากการเกิดตายนั่นเอง
2.  เพื่อรอดพ้นจากมหันตภัยในอนาคต  ปัจจุบันจะสังเกตได้ว่า ภัยพิบัติได้เกิดขึ้นมากมายทั่วทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นความเลวร้ายของมหันตภัยธรรมชาติ ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ ตัวอย่างเช่น แผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิด  ภัยแล้ง  ภัยน้ำท่วม  ฯลฯ  หรือไม่ว่าจะเป็นความวิบัติของโลกมนุษย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูงที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นเอง อันเนื่องมาจากสภาพจิตของมนุษย์ที่ตกต่ำลงทุกวันเพราะความโลภ ความโกรธ และความหลงในอิทธิพลอำนาจ ชื่อเสียงต่าง ๆ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นนิมิตที่เบื้องบนได้แสดงให้เห็นว่าเกณฑ์วาระของโลกได้ดำเนินมาถึงวาระสุดท้ายแล้ว และเมื่อภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึงไม่เพียงแต่เวไนยฯ บนโลกมนุษย์เท่านั้นที่จะถูกมหันตภัยทำลายล้าง แม้แต่เทพเทวาบนชั้นเทวภูมิ และวิญญาณบาปในนรกภูมิก็ยากรอดพ้นจากวินาศภัยครั้งใหญ่นี้ได้ จะมีก็แต่เพียงการรับวิถีธรรมรู้หนทางหลุดพ้นจากการเกิดตายสร้างบุญกุศล และดำรงตนในคุณธรรมเท่านั้น จึงสามารถหลบหลีกจากภัยครั้งใหญ่นี้ได้
3.  เพื่อกลับคืนสู่สภาวะเดิม  การหลุดพ้นจากการเกิดตาย เป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของมวลเวไนยฯ และก็เป็นความมุ่งหมายอันสูงสุดของผู้บำเพ็ญธรรมเช่นกัน  สิ่งศักดิ์สิทธิ์พุมะอริยเจ้าแต่อดีตล้วนอุบัติมาบนโลกเพราะเหตุปัจจัยครั้งใหญ่ ในการไขปมปริศนาการเกิดตายให้เวไนยฯ ได้ประจักษ์แจ้ง ให้เวไนยฯได้พบแสงแห่งโมกขธรรม (หนทางการหลุดพ้น)  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ?.  อันที่จริงแล้วพุทธจิตธรรมญาณแต่เดิมไม่มีการเกิดและการดับ แต่เพราะอวิชชาความไม่รู้ทำให้ธรรมญาณเดิมลุ่มหลง และปลูกสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งอกุศลกรรม จึงทำให้ตกอยู่ท่ามกลางทะเลทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด  สูญเสีย "โฉมหน้าเดิม"  และไม่สามารถกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จธรรมกลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน ซึ่งมีความเมตตากรุณาไม่อาจทนเห็นเวไนยฯ ได้รับความทุกข์ทรมานในทะเลทุกข์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเพื่อประสงค์ให้มวลมนุษย์ได้เข้าสู่กระแสแห่งการรู้แจ้ง กลับสู่สถานะเดิม มาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น พระองค์จึงได้อวตารภาคลงมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ได้อรรถาธิบายหลักวิถีธรรมอันแยบยล ฉุดช่วยและกล่อมเกลาโลกียชนให้หลุดพ้นจากการเกิดตายกลับคืนสู่สภาวะเดิม
        กล่าวโดยสรุป  สาเหตุที่ต้องหลุดพ้นจากการเกิดตาย นอกจากเพื่อหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ และเพื่อรอดพ้นจากมหันตภัยที่น่ากลัวแล้ว ยังเป็นโอกาสทองที่เบื้องบนได้ทรงเมตตากรุณา โปรดเกล้าประทานวิถีธรรมแห่งการหลุดพ้นจากการเกิดตายนี้ เพื่อให้เหล่าพุทธบุตรคนเดิมกลับคืนสู่สภาวะเดิม หากพลาดบุญวาระมงคลสมัยนี้แล้ว ก็คงจะตกอยู่ท่ามกลางวัฏจักรการเกิดตาย ตราบนานเท่านาน   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              คุณประโยชน์
                         
                           ของการรับวิถีธรรม 

                   สามารถหลุดพ้นจากการเกิดตาย

        การหลุดพ้นจากการเกิดตายที่แท้จริง  "อยากอยู่เหนือการตาย ก่อนอื่นต้องอยู่เหนือการเกิด  อยากอยู่เหนือการเกิด ก่อนอื่นต้องหลุดพ้นจากการเกิด" การรับวิถีธรรม จะหลุดพ้นจากการเกิดตายได้อย่างไร ?.  การรับวิถีธรรมเป็นการได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ (อาจารย์ผู้รู้แจ้ง) และได้รับการเบิกธรรม "ถอนชื่อจากบัญชีนรกลงทะเบียนลนบัญชีสวรรค์"  จากนั้น ก็บำเพ็ญปฏิบัติธรรมจนบรรลุปณิธาน จึงจะสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมือของพญายม ไม่ตกอยู่ในอุ้งมือแห่งอนิจจัง  (ความไม่เที่ยง) ได้ เช่นนี้เรียกว่า "หลุดพ้นจากการเกิดตาย"  เพราะเหตุใด ?.การรับวิถีธรรมจึงสามารถถอนชื่อจากบัญชีนรก ลงชื่อ 
บนบัญชีสวรรค์ พร้อมทั้งบำเพ็ญ  ปฏิบัติงานธรรม  ก็สามารถรอดพ้นเงื้อมือพญายม ไม่ตกอยู่ในอุ้งมือแห่งอนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ได้ จะขออธิบายด้วยแผผนภาพดังกล่าว
                                                อนุตตรธรรม       

   หนึ่่งก้าวเข้าสู่อนุตตรธรรม                                                 หนึ่งจุดรู้แจ้งจาก พระวิสุทธิ
รู้แจ้งธรรมญาณ  อิงสัจธรรม               ( ฟ้าเบื้องบน )                    อาจารย์อิงธรรมญาณ       
    กลับคืนสู่ต้นกำเนิด                                                                 มุ่งมั่นคืนสู่ 
       อนุตตรภูมิ             ( ขึ้น )                                                     แดนอนุตตร 

      ( รู้ตื่น )  ................................ (ธรรมญาณ) ........................... (ลุ่มหลง)     

                                                                           (ลง)     มัวหมองตกลงสู่นรกภูมิ
                                                                                    ลุ่มหลงธรรมญาณ  ปล่อย
                                                                                      ตามธรรมารมณ์ตกลงสู่     
                                                                                               ภูมิวิถี 6
                                                (ธรรมารมณ์ *)
                        ชาติกำเนิด 4                                 ภูมิวิถี 6

* อารมณ์ที่เกิดจากใจ (หมายถึงอารมณ์ที่เกิดจากความมัวหมองของธรรมญาณ) 

        เนื่องจากจิตประภัสสรของเวไนยฯ ได้ถูกวัตถุตัณหาครอบงำ และถูกอนุสัยบดบัง จึงได้สูญเสียโฉมหน้าเดิมส่งผลให้เวียนว่ายในทะเลทุกข์เรื่อยมา ยิ่งเวียนว่ายก็ยิ่งทำให้รัศมีของธรรมมัวหมอง ยิ่งมัวหมองก็ยิ่งทำให้สภาพธรรมญาณตกต่ำลง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อธรรมญาณเดิมลุ่มหลงระเริงไปตามอารมณ์ทั้ง 7 ( ยินดี - ยินร้าย - โศก - สุข - รัก - ชัง - กิเลส ) และตัณหาทั้ง 6  ( รูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัส - ธรรมารมณ์ ) ทำให้ความวิสุทธิ์ของธรรมญาณเดิมแปดเปื้อนตกต่ำไปตามกาลเวลา จนในที่สุดต้องตกลงสู่ห้วงแห่งการเวียนว่ายในชาติกำเนิด 4 ภูมิวิถี 6  ด้วยเหตุนี้เองธรรมญาณที่มีสถานะเดิมเป็น "นาย" และมีหน้าที่คอยกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ ก็กลายมาเป็น "บ่าว"  ที่ต้องถูกกำกับ ส่วนธรรมารมณ์อันเป็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากอายตนะทั้ง 6 (ตา - หู - จมูก - ลิ้น - กาย - ใจ ) ซึ่งมีสถานะเดิมเป็น " บ่าว "  ที่คอยถูกกำกับจากธรรมญาณอันบริสุทธิ์ ก็ขึ้นครองบัลลังก์กลายมาเป็น "นาย"  มาเป็นตัวกำกับแทนที่ธรรมญาณเดิม และร้อยปีเมื่อละกายสังขารไปทิศทางของภูมิภพที่จิตญาณจะไปก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจิตญาณจะออกทางทวารใดในบรรดาทวารทั้ง 6  หากชีวิตนี้สามารถสร้างบุญ และสั่งสมคุณธรรมหนึ่งจุดจิตญาณจะออกทางกระหม่อมเพื่อไปเกิดเป็นเทพยดาบนสรวงสวรรค์ หรือผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่  หากชีวิตนี้ดำรงตนอยู่ในหน้าที่ มีความดีและความชั่วคละปนกันไป เช่นนี้หนึ่งจุดจิตญาณก็จะออกทางสะดือ เพื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตรงกันข้าม ถ้าไม่อยู่ในกรอบหน้าที่หลงระเริงในวัตถุตัณหา ก่อบาปสร้างเวร ดังนี้ เมื่อหนึ่งจุดจิตญาณออกทางตา ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก เช่น นก เป็ด ไก่ ฯลฯ  เมื่อออกทางหู ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์สี่เท้าเดินดิน เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย สุนัข ฯลฯ  เมื่อออกทางจมูก จะไปเกิดเป็นแมลง เช่น ยุง แมลง ผึ้ง ฯลฯ  เมื่อออกทางปาก ก็ไปเกิดเป็นสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ 
        ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเกิดขึ้นจากความลุ่มหลงของจิตญาณที่ปล่อยไปตามกระแสธรรมารมณ์ จึงได้ตกสู่วัฏจักรการเวียนว่ายในชาติกำเนิด 4 ภูมิวิถี 6  เพราะฉะนั้น หากไม่ได้รับวิถีธรรม บำเพ็ญและปฏิบัติธรรม ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกระแสแห่งการเวียนว่ายได้  วันนี้เราได้รับหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์ได้รับการเบิกประตูแห่งธรรมญาณฟื้นฟูโฉมหน้าเดิมแท้  กระจ่างแจ้งในหลักสัจธรรมของชีวิตมนุษย์และจักรวาล เมื่อเห็นแจ้งในธรรมญาณแล้วก็อิงหลักคุณธรรมแห่งฟ้าที่มีอยู่ในธรรมญาณเดิมมาประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นไปตามครรลองฟ้า เช่นนี้ก็สามารถ "บรรลุธาตุแท้กลับคืนต้นกำเนิดเดิม"  เข้าถึงอนุตตรภูมิในที่สุด  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลังจากได้รับธรรมแล้วถ้าสามารถศึกษาให้เข้าใจและรู้ซึ้งในคุณวิเศษของอนุตตรธรรม จากนั้นก็กำหนดความมุ่งมั่นในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม อันเชิญคุณธรรมที่มีอยู่ในธรรมญาณเดิมออกมากลับขึ้นครองบัลลังก์เป็น "นาย"  คอยกำกับพฤติกรรมการกระทำ  ขจัดอุปนิสัย อารมณ์ต่าง ๆ และแก้ไขข้อบกพร่อง สร้างบุญกุศล อาศัยคุณธรรมนำพาสาธุชนให้ได้รับวิถีธรรม ฉุดช่วยชาวโลก เมื่อใดที่ "มรรคพร้อมผลพูน" ถึงพร้อมซึ่งบุญกุศลบรรลุปณิธาน เมื่อนั้นหนึ่งจุดจิตญาณก็จะออกทางประตูเดิมแห่งธรรมญาณ เรียกว่า "กลับสู่ธธาตุแท้คืนสู่ต้นกำเนิดเดิม" กลับคืนสู่อนุตตรภูมิ ดังนั้นจึงกล่าวว่า "อนุตตรภูมิ แม้อยู่ห่างไกลสิบหมื่นแปดพันลี้ เพียงหนึ่งจุดชี้ก้าวเดียวก็หลุดพ้น" 
        หลักฐานประจักษ์แจ้งเกี่ยวกับศิษย์อนุตตรธรรมในธรรมกาลยุคขาวที่ได้รับวิถีธรรมได้ฝึกบำเพ็ญธรรมและปฏิบัติธรรม เมื่อร้อยปียามละกายสังขาร จะเห็นภาพลักษณ์ที่เป็นมงคลน่าชม มีสีหน้าผุดผ่องเหมือนมีชีวิตอยู่ มีใบหน้าที่ชื่นบานสดใส "กายเนื้อนวลนิ่มดุจดั่งสำลี"  ร้อยวันไม่แข็งทื่อ นี่เป็นประจักษ์หลักฐานของการรับวิถีธรรมและเป็นนิมิตของการหลุดพ้นจากการเกิดตาย ดังนั้น ศาสนาปราชญ์กล่าวว่า "ยิ้มกริ่มคืนสู่เบื้องบน"  ลองดูซิว่ามีใครบ้างที่เวลาตายมีสีหน้าเบิกบานโดยทั่วไปแทบจะไม่มีเลย ... จึงเห็นได้ว่า ตั้งแต่วิถีอนุตตรธรรมลงโปรดทั่วไปจวบจนปัจจุบัน มีญาติธรรมจำนวนมากที่ได้รับธรรม บำเพ็ญปฏิบัติธรรมแล้ว ต่างก็ยิ้มกริ่มคืนสู่เบื้องบนทุกรายเว้นแต่ผู้ลบล้างทำลายวิถีธรรม และผู้ขาดคุณธรรม จากตรงนี้แสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า หลังจากรับธรรมแล้วบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม ก็สามารถหลุดพ้นจากการเกิดตายได้ ซึ่งเป็นคุณวิเศษอันล้ำค่าที่สุด และยังเป็นการพิสูจน์ว่า วิถีธรรมจริง  หลักธรรมจริง  และพระโองการสวรรค์จริง อีกด้วย 
        กล่าวโดยสรุป  :  การหลุดพ้นจากการเกิดตาย เป็นเรื่องที่วิเศษล้ำค่า  และพบพานได้ยากยิ่งนัก ในอดีตมีเฉพาะอริยบุคคล  สิ่งศักดิ์สิทธิ์  หรือพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมเท่านั้น ที่มีโอกาสได้พบพาน แต่ในปัจจุบัน วิถีอนุตตรธรรม ลงโปรดสู่โลกมนุษย์ฉุดช่วยคนทั่วไปถึงเวลาแล้วที่พระอนุตตรธรรมเจ้าได้เรียกร้องให้ "พุทธบุตรคนเดิม"  กลับคืนมา ขอเพียงได้สดับรับวิถีธรรม ถ่องแท้ในหลักธรรม สร้างบุญกุศล ฉุดช่วยเวไนย ฯ บรรลุปณิธาน ก็สามารถหลุดพ้นจากการเกิดตายได้ในที่สุด หลายสิบปีที่ผ่านมา ได้มีนักธรรมอาวุโส ผู้ทรงคุณธรรมหลายท่านในอาณาจักรธรรมที่ไม่เพียงแต่ "ยิ้มกริ่มคืนสู่เบื้องบน" คงเหลือภาพลักษณ์ที่เป็นมงคลให้ประจักษ์เท่านั้น แต่ยังได้บรรลุมรรคผลขึ้นประทับบัวอาสน์ อีกทั้งได้รับการประทานอริยฐานะให้เป็นถึง "มหาเทพ" "มาหราช"  "อริยเจ้า"  ฯลฯ  ซึ่งก่อนการโปรดทั่วไป ไม่เคยมีปรากฏเช่นนี้เลย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราทุกคนจะช่วยกันถนอม และรักษาโอกาสทองนี้ไว้เพื่อฉุดช่วยมวลเวไนยฯ อีกมากมายต่อไป                               

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              คุณประโยชน์
                         
                           ของการรับวิถีธรรม 

                    2.  สามารถละความชั่วใฝ่ความดี

        อิงใจธรรมเป็นนายกำกับใจอันตราย  ระดับของสภาพจิต สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ
ใจธรรม    หมายถึงใจแห่งความเมตตา มโนสำนึกจริยา และปัญญา (ใจที่มีแต่ความบริสุทธิ์ไร้ความชั่วร้าย)
ใจมนุษย์  หมายถึงใจแห่งความสุข ทุกข์ยินดีและยินร้าย (ใจที่มีทั้งความดี ความชั่วคละปนกันไป)
ใจเนื้อ     หมายถึงใจแห่งความมิจฉา ราคะ ฉกฉวยฉ้อฉล (ใจที่มีแต่ความชั่วร้าย ปราศจากความดีใด ๆ เลย) 
        อย่างไรก็ตามถึงแม้จะกล่าวว่าระดับสภาพจิตใจสามารถแบ่งออกเป็น ใจธรรม  ใจมนุษย์  ใจเนื้อ  ทว่าอันที่จริงแล้วระดับสภาพใจทั้งสามระดับนี้มาจากสภาวะจิตเดียวกัน เป็นความแปรปรวนที่สืบเนื่องมาจาก "เอกจิต"  นั่นเอง  สภาพจิตของเราสามารถเป็นได้ทั้งสวรรค์ และก็สามารถเป็นนรกได้เช่นกัน       
จะสังเกตุได้ว่า บางครั้งเราก็ดี บางครั้งเราก็ร้าย ยากที่จะกำกับควบคุม ยามเกิดความฟุ้งซ่านก็ยากสำรวมกลับมา จึงมีคำเปรียบว่า "จิตใจวอกแวกเหมือนลิง  กระเจิดกระเจิงเหมือนม้า"  ในเมื่อใจมนุษย์นั้นทั้งอันตรายและน่ากลัว แล้วเราจะไปแสวงหาใจธรรม เพื่ออยู่เหนือใจมนุษย์ได้อย่างไร ?. คำตอบก็คือ"การรับวถีธรรมนั่นเอง" เพราะว่า การรับวิถีธรรมเป็นการฟื้นฟูใจเดิมที่หายไป ใจธรรมแต่ดั้งเดิมนี้ มีอยู่ในตัวเราทุกคน เพียงแต่การเราอยู่ในโลกโลกีย์ทำให้เกิดอุปาทาน ในวัตถุตัณหาต่าง ๆ มากมายเป็นเหตุให้หลงผิดคิดว่าใจมนุษย์เป็นใจเดิมของเรา เพราะฉะนั้น การรับวิถีธรรมจึงเป็นการเรียกใจเดิมกลับคืนมา เพื่อกำกับใจอันตราย ไม่อิงอาศัยใจมนุษย์และใจเนื้อมากระทำการ  เช่นนี้ก็ช่วยละความชั่วใฝ่ความดีเองโดยปริยาย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
เบิกเมล็ดพันธ์แห่งความวิสุทธิ์ ความเมตตากรุณา และปัญญาญาณ  : 

        ใจมีอกุศลมูล 3  คือ โลภะ โทสะ โมหะ (โลภ โกรธ หลง) ซึ่งเป็นมูลแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง ส่วนการบำเพ็ญธรรมและการบำเพ็ญจิต ถ้าสามารถกำจัดจิตใจแห่งอกุศลมูลทั้ง 3 นี้ไป ก้เท่ากับเป็นการละความชั่วใฝ่ดี อนึ่ง ความวิสุทธิ์ ความเมตตากรุณา และปัญญาญาณ มีความสัมพันธ์ กับความโลภ โกรธ และหลงได้อย่างไร ?. ขณะที่เราได้รับธรรมะ พระอาจารย์จี้กงได้อาศัยมืออาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมปลูกเมล็ดพันธ์แห่งความวิสุทธิ์ ความเมตตากรุณา และปัญญาญาณที่ได้ปลูกลงไปก็แตกหน่องอกงาม ผลิดอก และออกผล
ความวิสุทธิ์  :  มีญาติธรรมหลายท่านหลังจากที่ได้รับธรรมะแล้ว เริ่มตีตัวออกห่างจาก สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร โดยธรรมชาติ ไม่หลงระเริงไปตามวัตถุตัณหา อารมณ์ และนิสัยต่าง ๆ ที่ไม่ดีก็ขจัดออกไป แก้ไขข้อบกพร่องใฝ่หาความดี ทั้งนี้ล้วนเป็นเพราะธรรมานุภาพแห่งคุณวิเศษจากหนึ่งจุดชี้ของพระวิสุทธิอจารย์ทั้งสิ้น เพราะการได้ฟื้นฟูจิตเดิมอันวิสุทธิ์นี้ ทำให้ไม่เกิดความโลภในวัตถุตัณหาภายนอก จึงเป็นการกำจัดความเพ้อฝันแห่งโลภะไปโดยปริยาย
ความเมตตากรุณา  :  เหตุใดจึงมีญาติธรรมมากมายที่ได้รับธรรมและได้ศึกษาหลักธรรมแล้ว จากนั้นก็คิดที่จะฉุดช่วยนำพาคนมารับธรรม คิดจะกอบกู้เวไนยฯ โดยไม่มีใครไปบอกกล่าวเลย เหตุใดจึงมีญาติธรรมจำนวนมากที่ได้สดับวิถีธรรม และเข้าประชุมธรรมก็คิดหันเหมาทานเจ ละเว้นจากการผูกหนี้สร้างเวรกับสัตว์ทั้งหลาย  โดยไม่มีใครบังคับเขาเหล่านั้นเลย  ทั้งนี้เป็นเพราะเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตากรุณา ที่ปลูกลงไปได้แตกหน่อ และนี่ก็เป็นคุณวิเศษของหนึ่งจุดชี้ของพระวิสุทธิอาจารย์  หากไม่ใช่วิถีธรรมจริง  หลักธรรมจริง  และโองการสวรรค์จริง   ใครเล่าจะสามารถทำให้คนมากมายเปลี่ยนแปลงไปได้เร็วถึงเพียงนี้ เพราะจิตเมตตาที่ได้บังเกิดจึงเกิดความสงสาร ทำให้อะไรก็คิดถึงสถานะของผู้อื่นตลอดเวลา มีจิตใจกว้างขวาง  โอบอ้อมอารี โทสะ ความโกรธ ก็หามีอยู่ในจิตใจของเขาเหล่านั้นไม่
ปัญญาญาณ  :  ก่อนที่เราจะได้รับธรรมเราทุกคนได้เห็น "ปลอมเป็นจริง  เห็นผิดเป็นถูก"  เข้าข่ายแห่งอกุศลมูลข้อ 3 คือโมหะความหลง แต่ทว่าหลังจากที่เราได้รับวิถีธรรม ปัญยาญาณของเรากำลังงอกงาม และเพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ  เราได้อาศัย "สุชญาณ"  ซึ่งเป็นปัญญาเดิมแท้อันประเสริฐมาแยกแยะผิดถูกชั่วดี การกระทำผิดบาปก้ไม่เกิดขึ้น  ซึ่งก็หมายถึงละความชั่วใฝ่ความดี นั่นเอง วันนี้เป็นเพราะคุณวิเศษของการรับวิถีธรรมประสิทธิพลจากหนึ่งจุดชี้ของพระวิสุทธิอาจารย์ เราจึงได้ฟื้นฟูจิตเดิมอันวิสุทธิ์ ความเมตตากรุณา และปัญญาญาณ ที่มีพร้อมสมบูรณ์อยู่แล้ว  แต่คงไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ หากไม่ใช่วิถีธรรมจริง  หลักธรรมจริง  และโองการสวรรค์จริง อย่างไรก็ตาม อาจมีบางท่านคิดว่า หลังจากได้รับธรรมไปแล้ว ก็ไม่เห็นมีปฏิกิริยา การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะฐานบุญ  ภูมิธรรม  พุทธสัมพันธ์ และวิบากกรรมของคนเราต่างกัน จึงส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงช้า และเร็วไม่เหมือนกันในแต่ละบุคคล  ผู้มีฐานบุญแน่น ภูมิธรรมสูง  พุทธสัมพันธ์ลึก  และวิบากกรรมน้อย  ย่อมมีความก้าวหน้าและเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่า  ผู้มีฐานบุญบาง ภูมิธรรมต่ำ พุทธสัมพันธ์ตื้น และวิบากกรรมหนัก แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความศรัทธา และความมุ่งมั่นในการสร้างบุญสร้างุศล เพื่อบรรลุปณิธาน เฉพาะบุคคล แล้วในวันใดวันหนึ่ง เมล็ดพันธุ์แห่งความวิสุทธิ์ ความเมตตากรุณา และปัญญาญาณ ก็จะเจริญงอกงามเอง  ดังคำกล่าวที่ว่า  "สิ่งที่ผู้อื่นกระทำได้ ในครั้งเดียว เราทำสิบครั้ง  สิ่งที่ผู้อื่นกระทำได้สิบครั้ง เราทำร้อยครั้ง หากทำเช่นนี้ได้ แม้จะอ่อนแอสักเพียงไรก็กลายเป็นผู้เข้มแข็งได้ แม้จะโง่เขลาสักเท่าไรก็กลายเป็นผู้เลิศปัญญาได้"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ด้านทัศนะของวัฏจักรแห่งเหตุต้นผลกรรม  :

        มีคำกล่าวที่ว่า "มนุษย์มี 3 ไม่รู้ " คือ
1. ไม่รู้อดีตและอนาคต
  ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปที่ใด
2. ไม่รู้ว่าเหล่ามวลเวไนยล้วนมีพุทธจิตธรรมญาณ ไม่รู้ว่าเดิมทีเราก็คือ "พุทธะ"
3 . ไม่รู้ว่าสวรรค์ และนรกมีจริง   ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์ได้ใช้ชีวิตอยู่ในอวิชชา  (ความไม่รู้)  ไใม่กระจ่างแจ้งในหลักธรรม จึงไม่เกิดความเชื่อในวัฏจักรแห่งเหตุต้นผลกรรม
        วันนี้หลังจากที่เราได้รับธรรม ได้เข้าร่วมชั้นประชุมต่าง ๆ ที่นักธรรมอาวุโสได้จัดขึ้น  ได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับญาณประทานโอวาทด้วยสายตาของเราเอง และได้ฟังการอรรถาธิบายธรรมมากมาย จนเกิดความเชื่อมั่นว่าสวรรค์นรกมีจริง มีเหตุต้นผลกรรมแห่งการเวียนว่าย ทำให้เราไม่ก่อบาปสร้างเวร ทำให้ละความชั่วใฝ่ความดีโดยปริยาย
สรุปใจความสำคัญ  :  คุณประโยชน์ของการรับธรรมสามารถละความชั่วใฝ่ความดีได้ เพราะการรับธรรมเป็นการชี้ชัดลงไปที่ใจธรรมเดิมของเวไนยฯให้อิงใจธรรมเป็นนายกำกับการกระทำ นอกจากนี้ยังเป็นการเบิกเมล็ดพันธุ์แห่งความวิสุทธิ์ ความเมตตากรุณา และปัญญาญาณให้แตกหน่อเจริญงอกงาม ตลอดจนผลิดอกออกผล จนเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงในการประพฤติปฏิบัติตน และสุดท้ายยังช่วยให้มนุษย์ตื่นจากอวิชชาความไม่รู้ ตื่นจากการไม่เชื่อในวัฏจักร แห่งเหตุต้นผลกรรม อันเป็นสัจธรรมของจักรวาล ให้บังเกิดความเชื่อมั่น และหยุดการก่อหนี้บาปสร้างเวรกรรมอีกต่อไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
สามารถลบล้างหนี้เวรกรรม แปรเปลี่ยนเคราะห์ภัยร้ายกลายเป็นดี  :

        สาเหตุเกิดมามีหนี้เวรกรรม  : หนี้เวรกรรมทั้งหลายเกิดเนื่องจากการกระทำของมนุษย์เอง บางท่านอาจคิดว่าไม่เคยทำชั่ว ไม่เคยเกี่ยวกรรมอะไรกับใครเลย ไฉนจะมีหนี้เวรหนี้กรรมเกิดขึ้นอีก ?. แต่ทว่าเราได้เวียนว่ายมา 6 หมื่นกว่าปี เกิด ๆ ตาย ๆ มาแล้วหลายภพหลายชาติ วิบากกรรมตั้งแต่อดีตชาติที่เราเคยสร้าง และสั่งสมมานั้นไม่มีที่สิ้นสุด

        การลบล้างหนี้เวรกรรม  : ถึงแม้เราจะมีวิบากกรรมมากมายที่ติดตัวมาแต่อดีตาติ แต่วันนี้เราได้รับวิถีธรรม ได้พบจิตเดิมแท้ในตัวเอง ได้อิงใจธรรมในการดำเนินชีวิต ได้อยู่เหนือใจมนุษย์และใจเนื้อ ได้ดำรงตนตามหลักครรลองแห่งฟ้า ได้เชื่อในเหตุต้นผลกรรม และไม่ก่อบาปสร้างเวรอีกต่อไป ... ยิ่งกว่านั้นเรายังสามารถสร้างบุญสร้างกุศล บำเพ็ญตน และปฏิบัติงานธรรม ให้ทานทั้ง 3 ทรัพย์เป็นทาน - วิทยาธรรมเป็นทาน - และแรงกายเป็นทาน) ประกอบกับการสำนึกผิดของจมา อย่างจริงใจในสิ่งเลวร้ายที่เคยทำมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งการกระทำทั้งหลายที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้ สามารถลบล้างหนี้เวรกรรมและยังช่วยแปรเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดีได้อีกด้วย

        สรุปใจความสำคัญ  :  ปัจจุบันกาลเวลาได้ดำเนินมาถึงยุคสามปลายกัป ซึ่งเป็นยุคแห่งการกวาดล้างครั้งใหญ่ มีหนี้ต้องชดใช้หนี้  มีเวรก็ต้องถูกจองเวร มนุษย์ในโลกล้วนตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ แห่งการกวาดล้างครั้งใหญ่นี้ แต่ศิษย์อนุตตรธรรมกลับโชคดีที่หลังจากได้รับวิถีธรรมแล้วพระอาจารย์จี้กงผู้มีคุณอนันต์ของเราได้ช่วยศิษย์ทั้งหลายแบกรับหนี้เวรกรรมไว้ชั่วคราวและยังเป็นผู้รับรองค้ำประกันให้กับเรา เป็นการเปิดโอกาสให้เราทุกคนได้สร้างบุญกุศลกำหนดคุณธรรม เพื่อผ่อนชำระหนี้เวรกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวร จะได้วางใจในการบำเพ็ญ ปฏิบัติธรรม ฉะนั้นเราจึงควรรักษาบุญวาระนี้ไว้เร่งรีบศึกษา บำเพ็ญธรรมฉุดช่วยเวไนยฯ และช่วยงานธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวว่า "ท่องทั่วหนทางในพื้นปฐพี มีเพียงหนทางบำเพ็ญธรรมที่ทำให้ไม่ผิดหวัง" ในอาณาจักรธรรมมีนักธรรมอาวุโสหลายท่าน หลังจากได้รับธรรมแล้ว มีจิตศรัทธามุ่งมั่นในการบำเพ็ญธรรม บ่อยครั้งจะประสบกับภัยอันตรายแต่ก็สามารถแปรเปลี่ยนเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดีได้ ในเมื่อเรารู้จักสั่งสมบุญบารมี เพื่อชดใช้หนี้เวรกรรมแล้ว เคราะห์ร้ายต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นดีเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต

        มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกมนุษย์ด้วยชะตาชีวิตที่แตกต่างกันไป บางคนเกิดมามีชีวิตที่สุขสบาย บางคนเกิดมาลำบากแสนเข็ญ บางคนร่ำรวย บางคนยากจน บางคนสูงศักดิ์ บางคนต่ำต้อย  บางคนสมหวัง บางคนผิดหวัง  บางคนรุ่งเรือง  บางคนตกอับ ฯลฯ  ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าชะตาชีวิตมีจริง แต่ชะตาชีวิตจำเป็นต้องเป็นไปตามที่ลิขิตหรือ ?. จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ?. แล้วจะเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีใด ?.  อันที่จริงแล้วมีตัวอย่างมากมายที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ ซึ่งจะขอนำเสนอให้ประจักษ์

        ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตจากการบำเพ็ญ ปฏิบัติธรรม  :  นักพรต ชิวฉางชุน เป็นหนึ่งในเจ็ดสัตบุรุษที่สำเร็จธรรมด้วยความมุ่งมั่น ในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมฝ่าฟันอุปสรรค และการทดสอบต่าง ๆ นานานับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ได้บรรลุมรรคผลกลับคืนเบื้องบน คงเหลือตำนานการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมให้ผู้บำเพ็ญรุ่นหลังได้กล่าวขาน และเจริญรอยตาม  ชีวิตการบำเพ็ญธรรมของนักพรตชิวนั้น ต้องประสพกับการทดสอบมากมายเหนือคำพรรณนา ไม่ว่าจะเป็นการอดอยาก  หิวโซครั้งใหญ่ถึง 72 ครั้ง และครั้งย่อยอีกนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังต้องอดกลั้นกับการถูกผู้คนลบหลู่ดูหมิ่น ต้องอดทนต่อความหนาวเหน็บที่ไม่มีเสื้อมาคลุมกาย ไม่มีแม้ชายคาเพื่อพักพิงกายา  ทว่าการเคี่ยวกรำเหล่านี้กลับทำให้ท่านชิวฉางชุน ยิ่งมีความแข็งแกร่ง และมีความแน่วแน่ในการบำเพ็ญธรรมมากขึ้น

        เรื่องราวการบำเพ็ญธรรมของท่านนักพรตชิวฉางชุน  :  หลังจากที่นักพรตชิวฉางชุนได้แยกทางกับศิษย์ผู้พี่ "หม่าตันหยัง" วันหนึ่งก็ได้เดินทางผ่านตำหนักที่ตั้งอยู่ริมทางแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยง นักพรตชิวจึงเข้าไปภิกขาหาร ไม่นานก็มีเด็กรับใช้นำภัตตาหารออกมาถวายแต่ในขณะที่ท่านชิวฉางชุนกำลังฉันภัตตาหาร ได้มีชายชราผู้หนึ่ง อายุราว 50 ปี เดินออกมาจากในตำหนัก ตรงเข้ามายืนต่อหน้านักพรตชิว เพ่งพิจารณาโฉมหน้าราศีนักพรตอยู่ครู่หนึ่ง  จากนั้นชายชราผู้นั้นก็หยิบซาลาเปามา 2 ลูก ออกจากภาชนะมอบให้นักพรต แล้วหันมาสั่งให้เด็กรับใช้นำภัตตาหารที่ถวายเก็บกลับเข้าไป ซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่นักพรตชิวเป็นอย่างยิ่ง นักพรตชิวจึงได้ถามชายชราผู้นั้นว่า "เด็กผู้นั้นได้นำอาหารมาให้อาตมา แต่ไฉนท่านกลับให้เขานำกลับเข้าไป ไม่ทราบว่าเป็นเพราะท่านไม่ประสงค์ที่จะสละทาน หรือเป็นเพราะอาตมาไม่มีวาสนาที่จะได้รับ ?. ชายชราผู้นั้นตอบว่า "เพียงภัตตาหารเล็กน้อยนี้ เหตุใดข้าจะสละให้ไม่ได้ ?. เพียงแต่ท่านไร้วาสนาที่จะได้รับต่างหาก"  คำตอบของชายลึกลับผู้นี้ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้แก่ท่านชิวฉางชุนมากยิ่งขึ้น ทำให้ยิ่งปรารถนาหาคำตอบ "ทำไมแค่อาหารเพียงหนึ่งมื้อ ! อาตมาก็ไร้วาสนาที่จะได้รับ" จึงใคร่ขอคำชี้แนะจากท่านชายชราผู้นั้น ชายชราจึงกล่าวอธิบายว่า "ข้าได้ศึกษาและรอบรู้วิชาโหราศาสตร์ "ม๋าอี" ซึ่งเป็นวิชาโหราศาสตร์อันเรืองนามของ "สัตบุรุษม๋าอี"แห่งรัชสมัยซ้อง หลายสิบปีที่ปผ่านมาตั้งแต่เขายังเยาว์วัย ตอนนั้นที่เขายังท่องอยู่ในยุทธภพเขาทำนายชะตาโชคลาภ และเคราะห์กรรมได้อย่างแม่นยำ จนได้รับฉายานามว่า "ไซ่ม๋าอี"  และเมื่อข้าได้วิเคราะห์รูปโฉมของท่านนักพรตก็รู้ว่าท่านไม่มีวันได้ทานอิ่ม แม้สักมื้อเดียว หากอิ่มท้องมื้อหนึ่ง ก็จะหิวโซต่อไปอีกหลายมื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านสู้ทานน้อยหน่อย จะได้มีอาหารลงท้องทุกมื้อจะไม่ดีกว่าหรือ นี่เป็นความปรารถนาดีของข้า หาใช่มิต้องการสละทานไม่"  ท่านชิวฉางชุน เมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดผวากับคำทำนายที่เป็นจริงของผู้เฒ่าไซ่ม๋าอี จึงได้ถามต่อไปว่า  "ชะตาชีวิตของอาตมาที่ผ่านมาล้วนเป็นไปตามที่ท่านผู้เฒ่าได้ทำนายมาเมื่อครู่นี้ แต่ใคร่ขอท่านได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่งว่าอาตมาสามารถบำเพ็ญปฏิบัติจนสำเร็จธรรมในอนาคตได้หรือไม่ ?.  ผู้เฒ่าไซ่ม๋าอี เพ่งพิจารณารูปโฉมอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า "เป็นไปไม่ได้ !  เป็นไปไม่ได้ !  รูปหน้าของท่านมีลักษณะตรงตามตำราที่ว่า  "งูคู่เฝ้าถ้ำ" ซึ่งเป็นรูปลักษณะที่ต้องอดอยากปากแห้งจนตาย ถึงแม้ว่าลักษณะส่วนอื่น ๆ ของท่านจะโดดเด่น แต่ก็คงรอดจากเคราะห์กรรมนี้ไปได้ยากและเมื่อไม่อาจผ่านพ้นเคราะห์ภัยครั้งใหญ่นี้ได้ แล้าท่านจะสำเร็จธรรมได้อย่างไร ?.  นักพระตชิวกล่าวว่า "จะมีวิธีเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้หรือไม่ ?. ผู้เฒ่าไซ่ตอบ "ลักษณะลิขิตชะตาชั่วชีวิตอย่าได้คิดเปลี่ยนแปลงที่ลิขิต ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไม่ว่าจะถือบวช  หรือครองเรือน เมื่อชะตาชีวิตลิขิตให้อดอยากหิวตาย ไม่อาจรอดพ้นหรือเปลี่ยนแปลงได้       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต 1  :  ตัวอย่างบุคคลในอดีต

       
ในสมัยจั๋นกั๋ว (ปีที่ 307 ก่อน ค.ศ.) "อู่หลิงหวาง" เจ้าเมืองแห่งรัฐจ้าว หากว่ากันตามทฤษฏีโหราศาสตร์แล้วมีรูปลักษณะที่ต้องชะตาอดตาย : แต่ถ้าว่ากันตามความเป็นจริง เมื่อเขามีศักดิ์เป็นถึงเจ้าเมืองแล้วจะอดตายได้อย่างไร ?. ทว่าในบั้นปลายชีวิตของท่านอู่หลิงหวางราชโอรสทั้งสองของท่านได้แย่งชิงราชบัลลังก์กัน เนื่องจากเกรงว่าท่านอู่หลิงหวาง จะเกิดความลำเอียง จึงได้ปิดประตูวังพร้อมทั้งสั่งทหารคอยเฝ้าหน้าประตู มิให้ใครเข้าออก ทำให้เหล่าขุนนางข้าราชบริพารต่างก็ใกล้จะอดอยากตาย เพราะไม่มีเสบียงอาหารเหลืออยู่ในราชวังเลย ส่วนเจ้าเมืองอู่หลิงหวางนั้น ข้าวก็ไม่ได้กิน น้ำก็ไม่ได้ดื่ม มาเป็นเวลา 7 วัน พลันแลไปเห็นรังนกที่มีไข่นกอยู่ใบหนึ่ง ก็ได้เอื้อมมือกำลังจะหยิบ ในขณะที่หยิบไข่นกขึ้นมากำลังจะกิน ทันใดนั้นได้มีนกตัวหนึ่งบินตรงดิ่งมาหาท่านอู่หลิงหวาง ด้วยความตกใจท่านเจ้าเมืองจึงได้ปล่อยไข่ที่อยู่ในมือตกพื้นแตกไป ก็เพราะสาเหตุของรูปลักษณะที่ถูกลิขิตให้ต้องอดตาย จึงทำให้ไม่ได้กินแม้ไข่ใบสุดท้าย

        อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ ฮั่น กษัตริย์ "ฮั่นเฉินตี้" มีขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนาม "เติ้งทง" วันหนึ่ง เติ่งทงได้พบกับหมอดูท่านหนึ่ง ซึ่งหมอดูท่านนั้นได้ทำนายโชคชะตาของเติ้งทงว่า จะต้องอดตาย เติ้งจึงได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ฮั่นเฉินตี้ เพื่อกราบทูลเรื่องราวที่หมอดูได้ทำนายทายทักให้ทรงทราบ พร้อมทั้งกล่าวว่า "ข้าน้อยเติ้งทง เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีทรัพย์สมบัติเงินทองเป็นส่วนตัว หมอดูทำนายว่าข้าน้อยต้องอดตาย ข้าน้อยได้พิจารณาแล้ว เกรงว่าในอนาคตต้องอดตายจริงอย่างที่หมอดูทำนายไว้ไม่มีผิดเลย" กษัตริย์ฮั่นเฉินตี้ทรงตรัส "ข้าเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน สามารถทำให้คนร่ำรวยได้ และก็สามารถทำให้คนมีชีวิตหรือตายได้เช่นกัน คำทำนายของหมอดูจะเอาอะไรมาอ้างอิง ?. ข้าจะประทานเขาทองเหลืองแห่งมณฑลอวิ๋นหนันให้เจ้าได้หลอมเป็นเงินตราใช้ 1 ปี เจ้าจะเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยมหาศาล แล้วเจ้าจะอดตายได้อย่างไร ?."เติ้งทงคิดว่า เมื่อได้รับพระกรุณาล้นพ้นโปรดเกล้าเช่นนี้ ตนคงรอดพ้นจากชะตากรรมที่หมอดู ที่ทำนายไว้อย่างแน่นอน"  คาดไม่ถึงว่าไม่นานกษัตริย์ฮั่นเฉินตี้ ก็เสด็จสวรรคต  ต่อมา เมื่อราชโอรสขึ้นครองราชย์เหล่าขุนนางจึงถวายฏีกากล่าวใส่ความว่าเติ้งทงกุเรืองหลอกลวงบรรพกษัตริย์เพื่อครอบครอง"เขาทองเหลือง" ของบ้านเมืองมาหลอมเป็นเงินตราเก็บไว้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว มีโทษมหันต์ อภัยให้ไม่ได้ กษัตริย์น้อยเมื่อได้ทรงอ่านฏีกาก็ทรงกริ้ว พร้อมทั้งมีกระแสรับสั่งให้ยึดทรัพย์ของเติ้งทง และนำไปขังโดยไม่ให้ทั้งอาหารและน้ำ เติ้งทงอดอยากได้ 7 - 8 วัน ก่อนจะตายก็ขอดื่มน้ำเป็นครั้งสุดท้าย ทหารผู้คุมขังเกิดความสงสารจึงรินน้ำหนึ่งชามให้เติ้งทง แต่อนิจจา !  หัวหน้าผู้คุมเห็นเข้าจึงได้ตะโกนเสียงดัง ! ด้วยความตกใจกลัว ทำให้ทหารผู้คุมขังผู้นั้นทำชามตกลงบนพื้น เป็นเหตุให้เติ่งทงต้องอดตายอย่างหน้าอนาถ แม้น้ำหยดสุดท้ายก็ไม่ได้ดื่ม เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าชะตาลิขิตให้อดตายก็ต้องอดตายในที่สุด ไม่อาจรอดพ้นได้"  หลังจากที่ท่านชิวฉางชุน ได้ฟังเรื่องราวที่ที่ผู้เฒ่าไซ่ม๋าอีเล่าแล้ว ความศรัทธามุ่งมั่นในวิถีธรรม ฉับพลันก็ได้แตกสลายไป ในใจเกิดความฟุ้งซ่าน คิดว่าไหน ๆ ชะตาลิขิตให้ต้องอดตาย สู้ตายก่อนเพื่อที่จะได้รีบกลับมาเกิดในชาติหน้าอีก แล้วบำเพ็ญปฏิบัติธรรมไม่ดีกว่าหรือ ?. เมื่อคิดเช่นนั้น นักพรตชิวจึงได้มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำแห่งหนึง ซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา จากนั้นก็เอนกายลงนอนบนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ริมน้ำ อดอาหารถึง 7 วันไม่มีน้ำสักหยดเข้าปาก ใจหนึ่งใจเดียวต้องการแต่ความตาย แต่ทว่าท่านนักพรตเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมจึงทำให้ไม่ตายง่าย ๆ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       
เมื่อมาถึงวันที่ 9 ไม่รู้ว่าฝนได้โปรยปรายมาจากที่ไหน ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้น และยังมีลูกท้อลูกหนึ่งลอยมาตามกระแสน้ำ ส่งกลิ่นหอมชวนทานยิ่งนัก จนลูกท้อที่ไหลมาตามกระแสน้ำได้หยุดอยู่ข้างกายของท่านชิวฉางชุน อันที่จริงแล้ว ท่านชิวฉางชุนไม่คิดอยากจะกิน แต่พอนึกถึงเรื่องราวทั้งสองเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนตายกับคนสมัยก่อนที่หมอดูไซ่ม๋าอีได้เล่าให้ฟัง จึงเกิดความสงสัยว่า ไม่รู้จะเกิดขึ้นกับตัวท่านเองหรือเปล่า ?. ท่านจึงได้ตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบลูกท้อมากิน ยิ่งกินก็ยิ่งอร่อย เลยกินลูกท้อจนหมด ทำให้เรี่ยวแรงกลับคืนมาอีก ไม่รู้สึกหิวหรือกระหายเลย ไม่นานระดับน้ำในแม่น้ำก็ลดลง นักพรตชิวคิดในใจว่า ริมแม่น้ำนี้คงไม่ใช่ลิขิตให้ตายจึงได้เดินขึ้นไปบนเขา จนมาพบวัดร้างแห่งหนึ่ง ท่านมีความรู้สึกว่าวัดร้างแห่งนี้ต้องเป็นที่ตายของท่านอย่างแน่นอน ว่าแล้วท่านก็นอนรอความตายอยู่ใต้แท่นบูชา ขณะที่อดอาหารมาได้ 7 - 8 วัน เห็น ๆ อยู่ว่าความตายกำลังจะใกล้เข้ามาทุกที ทันใดนั้น ก็มีเสียงคนทะเลาะวิวาทกันอยู่ข้างนอก ด้วยความอยากรู้ นักพรตจึงเหลือบไปดูเห็นกลุ่มโจรที่กำลังแบ่งสันปันส่วนเงินทองที่ปล้นมา ในบรรดากลุ่มโจร มีโจรที่ชื่อ"หวังเหนิน" ได้เห็นชิวฉางชุนนอนอยู้ใต้แท่นบูชาจึงถามว่า "ท่านมาจากที่ไหน ?." ท่านชิวฉางชุนเพิกเฉยกับคำถาม หวังเหนินเห็นสภาพอิดโรยปางตายของชิวฉางชุน จึงไม่ซักไซร์ต่อ เดินออกไปที่กลุ่มเพื่อน พร้อมทั้งพูดว่า "ชั่วชีวิตนี้พวกเราทำแต่ความชั่ว ไม่เคยทำความดีเลย วันนี้พวกเราน่าจะมาทำความดีสักอย่าง" กลุ่มเพื่อน ๆ โจรจึงถามว่า "มีความดีอะไรที่พวกเราทำได้ล่ะ ?." หวังเหนินตอบ "ใต้แท่นบูชามีนักพรตท่านหนึ่งดูท่าทางไม่เจ็บป่วยอะไร แต่อาจจะเป็นเพราะอดอาหารมานาน พวกเราน่าจะต้มหมี่ให้กินเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้" เพื่อน ๆ ทุกคนต่งก็ผงกหัวก็เห็นด้วยกับหวังเหนิน จึงเริ่มจัดหาอาหารมาให้ สักครู่หนึ่งเมื่อต้มหมี่เสร็จ ก็เข้าไปในวัดเรียกท่านชิวฉางชุนออกมากิน แต่ชิวฉางชุนกลับปฏิเสธไม่ยอมกิน จนในที่สุด โจรทั้งหลายก็ต้องฉุดกระชากลากถูชิวฉางชุนออกมา และกรอกหมี่เข้าปาก กรอกติดต่อกัน 2 ชาม จนอิ่มท้องทำให้เรี่ยวแรงกลับคืนมาอีกครั้ง สำหรับท่านชิวฉางชุนก็ได้แต่พร่ำบ่นว่า "เดิมทีข้ากำลังจะบรรลุงานใหญ่เป็นเพราะพวกเจ้าทั้งหลาย ไม่รู้เอาอะไรมาให้ข้ากิน ทำให้ข้าต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปอีก เวลาอยากจะอยู่ก็ลิขิตให้ตาย เวลาอยากจะขอตายก็มาบังคับให้อยู่ต่อ" เหล่าโจรทั้งหลายซึ่งไม่รู้สาเหตุจึงเกิดโทสะคิดว่าทำดีแล้วยังโดนตำหนิ พลันคว้ามีดขึ้นมาพลางพูดว่า "เจ้าคนไมู่้จักบุญคุณ พวกเราได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ แทนที่เจ้าจะกล่าวคำขอบคุณ แต่เจ้ากลับมาต่อว่าพวกเราอีก ในเมื่อเจ้าอยากตายข้าก็จะสนองให้เอง" พูดจบก็ทำท่าจะฆ่าชิวฉางชุน ถึงกระนั้นชิวฉางชุนกลับไม่สะทกสะ้ท้านหรือเกิดความกลัวแม้แต่น้อย ซ้ำยังชี้พุงตัวเองว่า "จะเชือดก็เชือดตรงนี้ ไม่ต้องไปเชือดที่อื่น จะได้เอาอาหารอะไรก็ไม่รู้ของพวกท่านกลับคืนไปข้าจะได้ตายอ่างไร้กังวล"โจรทั้งหลายได้ฟังแล้วก็รู้สึกขำ "อาจารย์ท่านนี้ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ๆ มีใครที่ไหนที่กินของคนอื่นแล้ว ควักออกมาคืนได้อีก พวกเราจะไม่ฆ่าท่าน แต่ขอให้ท่านเล่าถึงต้นสายปลายเหตุให้พวกเราได้เข้าใจด้วย"
        นักพรตชิวจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่หมอดูได้ทำนายให้โจรทั้งหลายได้ฟัง หลังจากที่โจรทั้งหลายได้ฟังแล้ว จึงกล่าวว่า "ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร หากท่านกลัวตายพวกเราพี่น้องทั้งหลายก็จะร่วมสมทบทุนให้ท่านสร้างวัดเพื่อเป็นที่พำนัก และยังสามารถรับลูกศิษย์ลูกหา ทุกคนขยันหน่อยตุนเสบียงอาหารไว้มาก ๆ เช่นนี้แล้วท่านจะอดตายได้อย่างไร?. ท่านชิวฉางชุนฟังแล้วตอบว่า "ไม่เอา ! ไม่เอา ! ชีวิตนี้ข้าไม่เคยรับสิ่งของที่ได้มาโดยไม่ถูกครรลองครองธรรมของใคร  สุดท้ายก่อนจากไป นักพรตชิวฉางชุนก็ได้อรรถาธรรมให้โจรทั้งหลายฟังจนเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมและต่างกลับใจมาเป็นคนดี แม้ชิวฉางชุนจะสามารถสั่งสอนโจรทั้งหลายให้กลับตัวกลับใจจนสำเร็จ ทว่าความมุ่งมั่นที่จะตายก็ยังคงอยู่ในจิตใจตลอดเวลา เขาจึงลงเขาไปเพื่อหาโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าป่าลึกที่ซึ่งไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่เลย เลือกต้นไม้ใหญ่ได้ต้นหนึ่งแล้วจัดการมัดตัวเองด้วยโซ่ไว้กับต้นไม้ เมื่อใส่กุญแจล็อคเสร็จเรียบร้อยก็โยนลูกกุญแจทิ้งไป คิดว่าคราวนี้คงต้องตายสมดังที่หวังแน่ ๆ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้สะเทือนถึง "เทพเจ้าไท่ไป๋ซิงจวิน" ที่อยู่เบื้องบนแปลงกายลงมาเป็นคนเก็บสมุนไพรและเดินมาตรงหน้าชิวฉางชุน พร้อมทั้งถามว่า "ท่านนักพรต ! ท่านนักพรต ! ท่านกระทำผิดอะไร ถึงต้องมัดตนเองกับต้นไม้ใหญ่ด้วย ?. ทีแรกชิวฉางชุนไม่คิดจะตอบ แต่เมื่อถูกถามหลายครั้งจึงตอบว่า "ท่านไม่ต้องมาสนใจเรื่องของข้าหรอก" ชายเก็บสมุนไพรกล่าวอีก "เรื่องในโลกเป็นเรืองชาวของโลกที่ต้องช่วยกันจะให้ไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร ?. ท่านพูดออกมาเถอะ ! เผื่อข้าจะช่วยเหลือท่านได้" ชิวฉางชุนเห็นชายผู้นี้พูดอย่างมีเหตุผลจึงได้เล่าคำทำนายของหมอดูไซ่ม๋าอีให้ฟัง ชายเก็บสมุนไพรหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่น พร้อมทั้งกล่าวว่า "ท่านช่างโง่จริง ๆ ! คิดว่าเรื่องใหญ่โตอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเพียงความคิดที่ถูกมารผจญเพียงชั่ววูบเท่านั้นเอง ทำให้คิดผิดและหลงทางมาตลอด" ... จากนั้นจึงได้อธิบายหลักธรรมให้ชิวฉางชุนฟังว่า "รูปลักษณะเกิดจากจิตใจ จิตใจเปลี่ยนแปลง ชะตาชีวิตก็แปรเปลี่ยนได้" นักพรตชิวฉางชุนเมื่อได้ฟังดังนี้ ก็เปรียบเสมือนตื่นจากอวิชชารู้ว่าตนเองโง่เขลาจริง ๆ
        ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นักพรตชิวฉางชุนจึงได้มุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ฉุดช่วยกล่อมเกลาเวไนย นอกจากท่านจะสามารถเอาชนะชะตาลิขิตของรูปลักษณะ "งูคู่เฝ้าถ้ำ" ที่ถูกทำนายให้ต้องอดตายแล้ว ท่านยังได้เปลี่ยนแปลงชะตาของตนเองเป็นรูปลักษณะ "มังกรคู่ลูกแก้ว" ที่เป็นลักษณะของผู้ที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ยิ่งกว่านั้นยังได้สำเร็จธรรม บรรลุมรรคผล เป็นมหาเทพอีก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        สรุป  :  จากตัวอย่างการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ดังที่ได้กล่าวมานี้ ได้ข้อสรุปว่า 

๑ .  รูปลักษณะเกิดจากจิตใจ ชะตาชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ด้วยใจ ถึงแม้ชะตาชีวิตจะถูกกำหนด ทว่าชะตาชีวิตก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน วิธีการเปลี่ยนแปลงชะคาชีวิต ไม่ใช่อาศัยการกราบพระขอพรและก็ไม่ใช่อาศัยหมอดู สะเดาะเคราะห์แก้บน หากแต่ต้องอาศัยตนเอง "เพราะตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" เนื่องจากชะตากรรมเกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเราเอง จึงต้องเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเราเอง จึงเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ  หากเป็นเช่นนี้จะมีวิธีการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตนี้ได้อย่างไร ?. มีเพียงการปฏิบัติธรรม สร้างสมบุญบารมีเท่านั้น จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิพลมากที่สุด

๒ .  กรำทุกข์ท่ามกลามความทุกข์ จึงเป็นยอดคนเหนือคน กรำทุกข์ท่ามกลางความทุกข์หาใช่ที่สุดแห่งทุกข์ หากแต่ควรเป็นความทุกข์ที่มีความหมายที่สุดต่างหาก คนเราเกิดมาบนโลกมนุษย์ล้วนมี "รากแห่งความทุกข์" ด้วยกันทั้งนั้น นี่ก็เป็นสาเหตุที่มนุษย์ต้องกล้ำกลืนความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ควรรู้ว่า ! ตราบใดที่รากแห่งความทุกข์ยังไม่ถอน ต่อให้กระเสือกระสนจะตายก็มิใช่เรื่องง่าย เช่นเดียวกับตัวอย่างของนักพรตชิวฉางชุน ที่แสดงให้เห็นประ
จักษ์  อย่างไรก็ตามคนทั่วไปมักจะบั่นทอนความทุกข์กับเรื่องราวที่ไร้สาระ ไม่ก่อให้เกิดคุณประโยชน์อะไรเลย คำที่กล่าวว่า "กรำทุกข์ท่ามกลางความทุกข์" หมายถึงการบั่นทอน "รากเหง้าแห่งความทุกข์" กับเรื่องราวที่มีความหมาย มีคุณประโยชน์ที่สุด !  "เมื่อรากเหง้าแห่งความ
ทุกข์ถูกถอน ! คุณค่าก็ปรากฏ"  หากจะกล่าวถึงเราทั้งหลายที่บำเพ็ญปฏิบัติในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากบ้าง แต่ว่านี้เป็น การกรำทุกข์ท่ามกลางความทุกข์อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น วันนี้เรามาร่วมประชุมธรรม เราอาจจะนั่งศึกษาธรรมทั้งวัน อาจจะได้รับความเหนื่อยล้า  อ่อนเพลีย  ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปแล้วความทุกข์ที่ได้รับนั้นเป็น ความทุกข์ที่มีความหมายอย่างแท้จริง เป็นความปวดเมื่อยอย่างมีความหมายเพราะใช่ว่าคนที่ไม่ได้มาร่วมประชุมธรรมแล้วจะไม่มีความทุกข์หรือจะไม่ปวดเมื่อยกว่าเรา แต่ความทุกข์ทรมานที่เขาทั้งหลายได้รับนั้นหาใช่ความทุกข์ที่แท้จริงไม่ คนที่ไม่ได้มาร่วมประชุมธรรมในวันนี้ อาจจะต้องพบพานความทุกข์มากกว่าเรา ซ้ำร้ายความทุกข์ที่ได้รับ ดูเหมือนจะเป็นความทุกข์เดียวกับเรา แต่แท้ที่จริงแล้วความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น นักพรตชิวฉางชุน ก่อนที่จะได้รับการชี้แนะจาก "เทพเจ้าไท่ไป๋ซิงจวิน"  แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ได้อย่างชัดเจน เราจึงยกย่องว่าเป็น "ยอดคนเหนือคน" อย่างแท้จริง         

Tags: