จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 6
ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระร้อน
(สู่ฉือกวน)
วันที่ 1 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา พาพ้นความฝันหนันกัว (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย ให้ป่วยการ
พระ ฯ จี้กง : พระฯ นายด่านเกรงใจไปแล้ว คืนนี้อาตมาพาฉงซิวมาที่ด่านของท่าน ขอท่านได้โปรดแนนะนำ
พระฯ นายด่าน : พระฯ จี้กงช่างถ่อมพระองค์ ทางด่านของข้าพเจ้าจะเรียนให้ทราบทุกอย่างเพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือ ฉงซิว มีปัญหาอะไรจะถามไหม
ฉงซิว : ทูลถามพระองค์นายด่าน เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า "ด่านสระร้อน"
พระฯ ผู้คุม : ในสังกัดด่านนี้ยังมีด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านมีพระผู้คุมหนึ่งท่าน ภายในด่านร้อนระอุ โดยเฉพาะด่านย่อยที่เก้าจะร้อนเท่ากับไอร้อนในหม้อหุงข้าว เพื่อเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ เมื่อมีชีวิต แม้เขาจะเดินอยู่บนเส้นทางอริยะ แต่มักไม่พ้นผิด ผิดแล้วรู้ตัวรีบเปลี่ยนแปลง ชื่อที่จารึกอยู่กับด่านสระร้อนก็จะถูกลบออกไปได้เอง
ฉงซิว : เป็นเช่นนี้เอง ขอบพระคุณพระองค์นายด่านที่โปรดประทานความกระจ่าง
พระ ฯ จี้กง : ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำฉงซิวไปเก็บข้อมูลในสถานที่จริงด้วย
พระฯ นายด่าน : น้อมรับ ให้นายทะเบียนนำพระพุทธะจี้กงและฉงซิวไปหาข้อมูลที่ด่านสระร้อน เพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือทันที ...
นายทะเบียน : ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา เชิญพระพุทธะจี้กง กับนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยไป ... ถึงแล้ว
พระฯ ผู้คุม : ขอต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิวมาเยือนด่านของเรา
พระฯ จี้กง : มิต้องคารวะ รีบพาเขาเข้าไปเถิด
พระฯ ผู้คุม : ขอน้อมรับ เชิญตามข้าพเจ้ามาได้
ฉงซิว : เอ ทำไมไม่เห็นมีอะไร แต่ผู้บำเพ็ญเหงื่อท่วมกันทุกคน บางคนอย่างกับร้อนจนหน้าแดงก่ำแต่ไม่เห็นเครื่องทำความร้อนอะไรที่ไหนเลย
พระฯ ผู้คุม : นักบุญฉงซิว ขณะนี้ท่านไม่มีกรรมนี้ จึงไม่อาจรับรู้ได้ว่า เขาเหล่านั้นกำลังถูกเผาผลาญด้วย เพลิงไฟของฟ้าดินที่เกิดขึ้นในกายตนตาม "บาปเวรที่เกิดแก่จิต"
ฉงซิว : "เพลิงไฟของฟ้าดิน" แต่ศิษย์ไม่เห็นเพลิงไฟมาจากไหนเลย
พระฯ ผู้คุม : เพลิงไฟของฟ้าดินก็คือ เพลิงบาปที่เกิดขึ้นในแต่ละตน เป็นอากาศธาตุที่มองไม่เห็นรูปลักษณ์
ฉงซิว : ถ้าเช่นนั้น เพลิงบาปนั้นเมื่อไรจะมอดดับเล่าขอรับ เมื่อมองไม่เห็นแล้วจะดับได้อย่างไร ศิษย์ว่าอย่างนี้หน่วยดับเพลิงโลกก็ทำอะไรไม่ได้
พระฯ ผู้คุม : นักบุญฉงซิวพูดให้ขบขัน เพลิงไฟนี้เกิดจากบาปเวรก็ดับได้เมื่อบาปเวรได้ลบล้างไปน่ะซิ
ฉงซิว : แล้วจะดับได้เมื่อไรเล่าขอรับ
พระ ฯ ผู้คุม : ผู้บำเพ็ญทุกคน หากสำนึกผิดได้อย่างจริงใจ แสงญาณก็จะปรากฏขึ้นใหม่อีก เพลิงบาปก็จะดับไป ทำให้รู้ได้ว่าเขาได้สำนึกผิดแล้ว ผู้คุมก็จะรายงานต่อพระองค์นายด่านให้พ้นด่านนี้ไปได้
ฉงซิว : ขอกราบเรียนถามอีกว่า ผู้ที่ถูกเคี่ยวกรำในด่านนี้ มีที่ทนไม่ไหวบ้างไหม ศิษย์หมายถึงว่าถ้าเขาทนไม่ไหวจะรู้ได้อย่างไรและจัดการอย่างไร
พระ ฯ ผู้คุม : นักบุญฉงซิวถามได้เหมาะ ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญที่ถูกเคี่ยวกรำในด่านนี้จะผ่านพ้นไปได้ทุกคน บางคนก็ทนร้อนไม่ไหวจน "แสงแตก" คือแสงญาณแตกกระจายดับไปหมด อย่างนี้เราก็จะส่งเขาลงไปในนรกให้เข้าวงเวียนกรรมเกิดเป็นคนบำเพ็ญใหม่
ฉงซิว : อย่างนี้นั่นเอง ศิษย์เข้าใจแล้ว
พระฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญบางคนมาให้ท่านซักถามจะได้เข้าใจดียิ่งขึ้น เจ้าทั้งสามมากราบคารวะพระพุทธะจี้กงและคารวะนักบุญฉงซิว มือทรงเอกแห่งตำหนักพระไถจงฉงเซิง พร้อมทั้งเล่าเรื่องการบำเพ็ญและเหตุที่ถูกตัดสินให้เข้ามารับการเคี่ยวกรำในด่านสระร้อนนี้โดยละเอียดด้วย