collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: จิ่วหยังกวน สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ  (อ่าน 28624 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

พระ ฯ จี้กง   :  พระฯ นายด่านเกรงใจไปแล้ว คืนนี้อาตมาพาฉงซิวมาที่ด่านของท่าน ขอท่านได้โปรดแนนะนำ

พระฯ นายด่าน   :  พระฯ จี้กงช่างถ่อมพระองค์ ทางด่านของข้าพเจ้าจะเรียนให้ทราบทุกอย่างเพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือ ฉงซิว  มีปัญหาอะไรจะถามไหม

ฉงซิว   :  ทูลถามพระองค์นายด่าน เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า  "ด่านสระร้อน" 

พระฯ ผู้คุม   :  ในสังกัดด่านนี้ยังมีด่านย่อยอีกเก้าด่าน  แต่ละด่านมีพระผู้คุมหนึ่งท่าน ภายในด่านร้อนระอุ โดยเฉพาะด่านย่อยที่เก้าจะร้อนเท่ากับไอร้อนในหม้อหุงข้าว เพื่อเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ เมื่อมีชีวิต แม้เขาจะเดินอยู่บนเส้นทางอริยะ แต่มักไม่พ้นผิด ผิดแล้วรู้ตัวรีบเปลี่ยนแปลง ชื่อที่จารึกอยู่กับด่านสระร้อนก็จะถูกลบออกไปได้เอง

ฉงซิว   :  เป็นเช่นนี้เอง ขอบพระคุณพระองค์นายด่านที่โปรดประทานความกระจ่าง

พระ ฯ จี้กง   :  ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำฉงซิวไปเก็บข้อมูลในสถานที่จริงด้วย

พระฯ นายด่าน   :  น้อมรับ ให้นายทะเบียนนำพระพุทธะจี้กงและฉงซิวไปหาข้อมูลที่ด่านสระร้อน เพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือทันที ...

นายทะเบียน   :  ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา  เชิญพระพุทธะจี้กง กับนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยไป ... ถึงแล้ว

พระฯ ผู้คุม   :  ขอต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิวมาเยือนด่านของเรา

พระฯ จี้กง  :  มิต้องคารวะ รีบพาเขาเข้าไปเถิด

พระฯ ผู้คุม   :  ขอน้อมรับ เชิญตามข้าพเจ้ามาได้

ฉงซิว   :  เอ ทำไมไม่เห็นมีอะไร แต่ผู้บำเพ็ญเหงื่อท่วมกันทุกคน บางคนอย่างกับร้อนจนหน้าแดงก่ำแต่ไม่เห็นเครื่องทำความร้อนอะไรที่ไหนเลย

พระฯ ผู้คุม   :  นักบุญฉงซิว ขณะนี้ท่านไม่มีกรรมนี้ จึงไม่อาจรับรู้ได้ว่า เขาเหล่านั้นกำลังถูกเผาผลาญด้วย เพลิงไฟของฟ้าดินที่เกิดขึ้นในกายตนตาม "บาปเวรที่เกิดแก่จิต" 

ฉงซิว   :  "เพลิงไฟของฟ้าดิน"  แต่ศิษย์ไม่เห็นเพลิงไฟมาจากไหนเลย

พระฯ ผู้คุม   :  เพลิงไฟของฟ้าดินก็คือ เพลิงบาปที่เกิดขึ้นในแต่ละตน  เป็นอากาศธาตุที่มองไม่เห็นรูปลักษณ์

ฉงซิว   :  ถ้าเช่นนั้น เพลิงบาปนั้นเมื่อไรจะมอดดับเล่าขอรับ เมื่อมองไม่เห็นแล้วจะดับได้อย่างไร ศิษย์ว่าอย่างนี้หน่วยดับเพลิงโลกก็ทำอะไรไม่ได้

พระฯ ผู้คุม   :  นักบุญฉงซิวพูดให้ขบขัน เพลิงไฟนี้เกิดจากบาปเวรก็ดับได้เมื่อบาปเวรได้ลบล้างไปน่ะซิ

ฉงซิว   :  แล้วจะดับได้เมื่อไรเล่าขอรับ


พระ ฯ ผู้คุม   :  ผู้บำเพ็ญทุกคน หากสำนึกผิดได้อย่างจริงใจ แสงญาณก็จะปรากฏขึ้นใหม่อีก เพลิงบาปก็จะดับไป ทำให้รู้ได้ว่าเขาได้สำนึกผิดแล้ว ผู้คุมก็จะรายงานต่อพระองค์นายด่านให้พ้นด่านนี้ไปได้

ฉงซิว   :  ขอกราบเรียนถามอีกว่า ผู้ที่ถูกเคี่ยวกรำในด่านนี้ มีที่ทนไม่ไหวบ้างไหม ศิษย์หมายถึงว่าถ้าเขาทนไม่ไหวจะรู้ได้อย่างไรและจัดการอย่างไร

พระ ฯ ผู้คุม   :  นักบุญฉงซิวถามได้เหมาะ  ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญที่ถูกเคี่ยวกรำในด่านนี้จะผ่านพ้นไปได้ทุกคน บางคนก็ทนร้อนไม่ไหวจน  "แสงแตก" คือแสงญาณแตกกระจายดับไปหมด อย่างนี้เราก็จะส่งเขาลงไปในนรกให้เข้าวงเวียนกรรมเกิดเป็นคนบำเพ็ญใหม่

ฉงซิว   :  อย่างนี้นั่นเอง ศิษย์เข้าใจแล้ว

พระฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญบางคนมาให้ท่านซักถามจะได้เข้าใจดียิ่งขึ้น  เจ้าทั้งสามมากราบคารวะพระพุทธะจี้กงและคารวะนักบุญฉงซิว มือทรงเอกแห่งตำหนักพระไถจงฉงเซิง  พร้อมทั้งเล่าเรื่องการบำเพ็ญและเหตุที่ถูกตัดสินให้เข้ามารับการเคี่ยวกรำในด่านสระร้อนนี้โดยละเอียดด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง  คารวะนักบุญฉงซิว เอ๊ะ คนในโลกมนุษย์มาถึงที่นี่ได้อย่างไร

ฉงซิง   :  ท่านอาวุโสทั้งสามอย่าได้แปลกใจไปเลย ผู้น้อยกับพระอาจารย์จี้กงได้รับสนองพระโองการให้มาบันทึกเรื่องราวในด่านจิ่วหยัง เพื่อสร้างหนังสือบุญเอาไว้เตือนใจชาวโลก เรียนถามอาจารย์ท่านนี้ ดูท่านร้อนมากเหลือเกิน

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ใช่ ร้อนมาก จนเกือบทนไม่ได้อยู่แล้ว

ฉงซิว   :  เรียนท่านผู้คุม จะให้ท่านทั้งสามนี้พักโทษจากไฟร้อนชั่วคราวได้ไหมขอรับ เพื่อจะได้เล่าเรื่องราวได้สบายหน่อย

ผู้ควบคุม   :  ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจผ่อนผันให้ได้ ด่านนี้สร้างขึ้นจากธรรมชาติของฟ้าดิน ผู้มีบาปเวรกรณีย์นี้ติดตัวเมื่อมาถึงที่นี่ก็จะร้อนขึ้นมาเอง คนที่ไม่มีบาปเวรนี้จะไม่รู้สึก ข้าพเจ้าได้แต่รับสนองพระบัญชาควบคุมดูแลผู้บำเพ็ญที่ถูกเคี่ยวกรำ แต่ไม่สามารถจะทำให้เขาพักการเคี่ยวกรำจากเพลิงบาปของเขาเองได้

พระฯ จี้กง   :  ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ดูฤทธิ์ของอาตมาซิ โอมมานิปามิ ฮง เพี้ยง

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ขอขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง เราคนเขลาทั้งสามรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาฉับพลันทีเดียว

พระฯ ผู้คุม   :  อิทธิฤทธิ์ของพระพุทธะจี้กงสูงส่งเสมอ แค่ขยับพัดนิดเดียวเท่านั้นก็ยิ้มระรื่นกันได้แล้ว

ฉงซิว   :  อาจารย์ท่านนี้ได้โปรดเล่าความเป็นมาเถิด

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ได้  เมื่อมีชีวิตอยู่ฉันเป็นเจ้าตำหนักพระแห่งหนึ่ง ได้สร้างบุญฉุดช่วยคนและบำเพ็ญดีมาก่อน พอตายไปกลับถูกพามารับโทษที่นี่ไม่น่าเลย โอย  (เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากความร้อนที่กลับเผาไหม้ผู้บำเพ็ญรายนี้อีก) 

พระฯ ผู้คุม   :  จนบัดนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่สำนึก มิน่าเล่าเพลิงบาปจึงมาถึงตัวอีก หากไม่สำนึกผิดที่แล้วมาถึงขั้นแสงญาณแตกกระจายเจ้าจะต้องถูกส่งลงนรกไปเข้าวงเวียนเกิดตายอีก ถึงเมื่อนั้นสำนึกก็สายเสียแล้ว

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  โอย ร้อน ร้อน ร้อน พระพุทธะจี้กงได้โปรดช่วยด้วย

พระฯ จี้กง   :  สร้างกรรมเองโทษใครไม่ได้ เพื่อเห็นแก่การสร้างหนังสือจะช่วยเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  เฮ้อ  เย็นสบายแล้ว ๆ  ขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง

พระฯ ผู้คุม   :  ยังไม่รีบเล่าอีก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  จะเล่าแล้วขอรับ
        ฉันเป็นเจ้าตำหนักพระ (ถังจู่) ตำหนักหนึ่ง เดิมทีทำการค้า ต่อมาได้รับพระโองการจากพระองค์เสวียนเทียนซั่งตี้ (ตี้เอี่ยกงหรือตั่วเหล่าเอี้ย) อยากให้ลูกศิษย์สร้างตำหนักพระเพื่อพระองค์จะแสดงบุญญาภินิหาริย์กล่อมเกลาชาวโลก ดังนั้น ด้วยพระประสงค์ของพระองค์ ฉันจึงได้เปลี่ยนแปลงร้านค้าของตนให้เป็นตำหนักพระฯ   พระองค์เสวียนเทียนซั่งตี้ก็ได้ปรากฏบุญญาธิการช่วยผู้คนได้มากมาย ฉันจึงสนองพระบัญชาทำหน้าที่เจ้าตำหนักพระ อีกทั้งเป็นมือทรงด้วย  ฉันใฝ่ธรรมและฉุดช่วยผู้คนไว้ไม่น้อย เทวบุตร (สาธุชนที่ขึ้นต่อตำหนักพระเทวสถาน) มีมากขึ้นทุก ๆ วัน  แต่ด้วยนิสัยมุทะลุชอบใช้อารมณ์รุนแรงบ่อย ๆ  ทำให้เทวบุตรของตำหนักพระค่อย ๆ หายหน้าไป แต่เนื่องด้วยมีผู้เข้าออกกันมาก ฉันจึงไม่ได้ใส่ใจ
        ฉันทำหน้าที่มือทรงของพระองค์ตี้เอี่ยกงอยู่ถึงยี่สิบปี ในระหว่างนั้นฉันมีความเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมา ไม่โลภในเงินทองแต่โทสะแรงมากและไม่ยอมให้ใครติติง พอตายไป พญายมยกย่องว่าฉันเคยฉุดช่วยคนให้บำเพ็ญถือเป็นบุญใหญ่ จึงส่งฉันข้ามสะพานทอง  ฉันดีใจว่าจะได้ท่องสวรรค์ให้หรรษากันคราวนี้ ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่สระร้อนนี่ จึงขัดใจมาก คิดว่าตนเองอนุเคราะห์ชาวโลกมายี่สิบปีเพื่อสัมปทานธรรม อีกทั้งไม่เคยโลภเงินทองของตำหนักพระ ฉันทำเพื่อเป็นปากเสียงแทนฟ้าเบื้องบนโดยแท้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องตกทุกข์ทรมานอย่างนี้

พระฯ จี้กง   :  เอาละ อย่าคับอกคับใจไปเลย การจะบรรลุจริงนั้นจะต้องกำจัดนิสัยปุถุชนให้หมดไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นไร ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงจะต้องถูกส่งไปเวียนว่ายต่อในนรก  ส่วนบุญก็จะเป็นเพียงวาสนาได้เชยชม แล้วไปเกิดใหม่ในชีววิถีหกด้วยชีวประเภทไหนก้ไม่รู้  อาตมาขอเตือนให้ท่านละอารมณ์เสีย จะได้เสวยสุขบนวิมานนับหมื่นปี ไม่ต้องทุกข์ยากกับการเวียนว่ายต่อไป ไม่วิเศษกว่าหรือ

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ขอบพระคุณพระพุทธจี้กงได้โปรดชี้นำ ศิษย์จะจดจำไว้

ฉงซิว   :  ผู้น้อยก็ขอภาวนาให้ท่านพ้นจากด่านได้ในเร็ววัน  ขอเรียนถามอาจารย์ที่สวมชุดพิธีกรรมท่านนี้ ท่านคงเป็นผู้อาวุโสในตำหนักพระกระมัง เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  ใช่แล้ว ...  พูดแล้วมันน่าอับอาย ครั้งมีชีวิจฉันเป็นเจ้าตำหนักพระแห่งหนึ่ง อีกทั้งเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง  ได้สนองพระโองการจัดบัลลังก์ทรงเพื่อสิ่งศักด์สิทธิ์ได้ประทับประทานพระโองวาทกล่อมเกลาสาธุชน ฉันทำหน้าที่เป็นมือทรง มีสาธุชนศรัทธากันมาก จากนั้นฉันก้เริ่มลำพองตน สำคัญว่าเบื้องบนได้อาศัยความสามารถของฉันจึงเกิดคุณประโยชน์เช่นนี้ได้  ฉันไม่รู้ตัวว่าโอหังอย่างนี้ แม้มีใครตักเตือนด้วยอาการเกรงใจฉันก็ไม่ยอมรับ ทั้งยังเชิดหน้าบอกว่า "ฉันกล่อมเกลาชาวโลกแทนเบื้องบน" 
        พอตาย ฉันก็ถูกรับตัวไปถอนชื่อจากบัญชียมโลก พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทอง ตอนนั้นฉันยิ่งคึกคักมาก ขึ้น ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาที่ด่านจิ่วหยัง พระองค์นายด่านบอกว่า  "ผู้บำเพ็ญมีจิตใจลำพอง ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  เสียแรงที่พระอริยปราชญ์ได้โปรดอบรมสั่งสอน"  จึงตัดสินให้ฉันเข้าสำนึกผิดในด่านสระร้อนหนึ่งปี ไม่คิดว่าพอเข้ามาถึง ก็เหมือนตกอยู่ในหม้อไฟใหญ่ร้อนจนตาย
        ขณะที่เหงื่อตกพลั่ก ๆ นั้น หากเกิดจิตลำพองเหมือนเมื่อมีชีวิตอยู่ ตรงหน้าก็จะเกิดภาพชั่วร้าย ที่ไม่กล้าคิดว่านั่นคือตัวเอง  ละอายต่อพระพุทธะอริยเจ้าที่พระองค์อุตส่าห์กล่อมเกลาเหลือเกิน  เคราะห์ดีที่เคยสร้างตำหนักพระ และอรรถาธรรมเป็นผลบุญไว้บ้าง จึงได้พ้นจากการถูกทรมานในนรก แต่ถ้าจะก้าวสู่แดนวิมุติ ยังจะต้องฝึกฝนอยู่ที่นี่ไปก่อน  จึงหวังว่าเพื่อนผู้บำเพ็ญในโลก จงอย่าเอาเยื่องอย่างฉัน พึงรู้ว่าเบื้องบนอาศัยคนช่วยแพร่ธรรม และยิ่งจะต้องรู้ว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนร่วมกันทำจึงเป็นงานธรรม  ลำพังคนอย่างเดียว ไม่มีน้ำหนักเท่าใดเลย"

ฉงซิว   :  ขอบคุณท่าน หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้บำเพ็ญในโลกได้ และขอให้ท่านพ้นจากด่านในเร็ววัน   ขอเรียนถามผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่ง ท่านก็คงเป็นผู้รับผิดชอบตำหนักพระแห่งใดคนหนึ่งกระมัง

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  ใช่  ฉันเป็นศิษย์ของพระอริยมาตานภาลัย (เจ้าแม่เทียนซั่งเซิ่งหมู่  เป็นพระองค์หนึ่งที่รักษาการแทนเจ้าแม่ทับทิม) ด้วยบุญบันดาล ฉันได้สร้างศาลเจ้าแม่ทับทิมไว้ให้สาธุชนกราบไหว้ ตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นมือทรงของพระองค์ด้วย  จิตใจของฉันมุ่งแต่จะฉุดช่วยชาวโลกโดยไม่มีอคติแม้แต่น้อย ฉะนั้นเมื่อสร้างศาลจึงมีสาธุชนมาร่วมบุญมากมาย งานบุญก็กว้างขวางยิ่งขึ้นทุกวัน  ฉันไม่โลภ และมีจิตใจที่เที่ยงตรง มุ่งช่วยคนทั้งหลาย แต่อารมณ์ร้อนแรง สานุศิษย์ที่ขึ้นอยู่กับศาลนี้จึงต้องพากันหลีกหนี ไปตั้งศาลใหม่ให้สาธุชนกราบไหว้กัน  ฉันโกรธมาก ถือว่าพวกเขาทรยศต่อฉัน จึงเกิดริษยาหาทางโจมตีทุกวิถีทาง กล่าวหาว่าพวกเขาสร้างศาลเพื่อหวังเอาเงินเข้าพกของตัวเอง
       ฉันหาโอกาสกล่าวร้ายพวกเขาเสมอ จนกระทั่งเมื่ออายุได้  50 ปี  ฉันก็ตายด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก  วิญญาณได้ลงไปลบชื่อจากบัญชียมโลก พญายมให้ส่งฉันข้ามสะพานทอง  ฉันมั่นใจว่าจะได้กราบเฝ้าเง๊กเซียนฮ่องเต้แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาเคี่ยวกรำที่ด่านจิ่วหยัง ฉันไม่เคยได้ยินชื่อด่านนี้มาก่อนเลยขณะมีชีวิต  เมื่อมาถึง  พระองค์นายด่านจึงได้บอกว่า ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะ พระองค์ว่า ฉันมีจิตริษยามาก ไม่เข้าใจว่าทุกคนทำหน้าที่ประกาศวิถีธรรมได้ ต่างฉุดช่วยผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กับตนมา เป็นงานของชาวโลกที่ทุกคนทำได้ ไม่ควรคิดริษยา จึงตัดสินใจให้ฉันเข้าสำนึกผิดในด่านสระร้อนหนึ่งปี  บัดนี้ได้สำนึกก็สายเสียแล้ว หวังว่าผู้บำเพ็ญในโลกจงอย่าเอาเยี่ยงอย่างฉัน จะได้ไม่ต้องมาร้องโอดโอยในด่านจิ่วหยัง เพราะเมื่อนั้นจะไม่ทันการ

พระฯ ผู้คุม   :  ทั้งสามเล่าจบแล้ว กราบลาพระอาจารย์จี้กงกับนักบุญฉงซิวได้

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  กุศลที่เราได้เล่าเรื่องของตัวเองเพื่อพิมพ์หนังสือจะมีผลลดหย่อนกำหนดโทษได้ไหม

พระ ฯ  ผู้คุม   :  ในขณะที่เล่า เจ้าได้เย็นสบายไปพักใหญ่ ถือเป็นความกรุณาแล้ว อย่าได้ร้องขอวุ่นวาย แม้ได้ลดหย่อนแต่เมื่อนั้นจิตของเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงก็จะถูกเคี่ยวกรำต่อไป  จงสงบใจกลับเข้าไปสำนึกจะเหมาะกว่า

พระ ฯ จี้กง   :  ถูกต้อง ต่างคนต่างบำเพ็ญ ต่างคนต่างบรรลุ การสำนึกผิดก็เหมือนกัน ใครแก้ไขได้ก่อน ก็ผ่านด่านไป ขอจากใครไม่สู้ขอกับตนเอง 

ฉงซิว   :  หวังว่าท่านจะได้พ้นด่านในเร็ววัน  ผู้น้อยขอภาวนา

พระ ฯ จี้กง   :  วันนี้ดึกมากแล้ว เรารีบกลับตำหหนัก ฯ กันเถิด  ขอท่านผู้คุมได้ขอบพระคุณนายด่านแทนเราด้วย เราขอลากลับ

พระ ฯ ผู้คุม   :  กราบส่งพระ ฯจี้กง  ส่งนักบุญฉงซิวคืนตำหนัก ฯ 

พระ ฯ จี้กง   :  นกเผิงใหญ่มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นไป เราไปกันได้แล้ว

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดออกเดินทาง

พระ ฯ จี้กง   :  หลับตา ... ไปได้ ...  ฉงซิวได้กลับถึงตำหนัก ฯ วิญญาณกลับคืนเข้าร่างดังเดิม 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 7 

                    ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านมลายโลกีย์

                             (เหลี่ยวฝันกวน)

                 วันที่  2  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        หฤทัย ฯ คัมภีร์     ที่ทูลอ่าน        สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว              เป็นเรื่องง่าย    ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร                     รู้แจ้งตาม        คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก                  สามศาสนา      ว่านัยเดียว

พระ ฯ จี้กง   :  ทุกคนรู้ว่าศึกษาธรรมเป็นเรื่องดี แต่ก็พาตัวให้พ้นจากวิสัยโลกีย์กันได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเซียนได้แหละดี แต่จะให้ปลงใจไม่ให้มีอารมณ์รักใคร่ผูกพันก็ทำไม่ได้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเองก็เถอะ บางคนยังตัดเรื่อง สุรา นารี ภาชี กีฬาบัตร ลาภสักการะไม่ได้เลย ยิ่งความผูกพันกับคนรักสนิทลูกเต้าแล้ว ยิ่งตัดไม่ขาด เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคใหญ่ของผู้บำเพ็ญ

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ขอรับ ฟังพระองค์พูดแล้วขัด ๆ พิกล

พระฯ จี้กง   :  ขัดตรงไหน

ฉงซิว   :  พระองค์บอกว่าพ้นจากโลกีย์วิสัยได้ยากเช่นเหล้า ... พระอาจารย์บางีก็ดื่มเหล้าไม่ใช่หรือขอรับ แม้แต่เทวสถานสงเคราะห์บางแห่ง เมื่อพระอาจารย์ประัทับทรงลงก็ยังมีการดื่มด้วยมิใช่หรือขอรับ

พระฯ จี้กง   :  เห็นทีสัญญลักษณ์นี้จะติดตรึงอยู่ในใจของผู้คนเสียแล้ว จะกลับตัวก็คงยาก อาจารย์เพียงแต่จะแสดงบุญญาภินิหาริย์ในบางโอกาสเท่านั้น ไม่ใช่ติดในน้ำจัณฑ์ หวังว่าุกคนคงเข้าใจ  แล้วยังไงอีก

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ว่าความผูกพันเป็นอุปสรรคใหญ่ของการบำเพ็ญ บัดนี้วิถีธรรมถ่ายทอดสู่ครัวเรือน ให้เอาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเป็นบรรทัดฐานของการบำเพ็ญิใช่หรือ ถ้าตัดขาดควาสัมพันธ์กับคนในครอบครัวแล้วจะบรรลุได้อย่างไร

พระ ฯ จี้กง   :  ฉงซิวเอ๊ย อย่าชอนเข้าปลายเขาควายซิ ที่อาจารย์พูดหายถึงควาผูกพันของผู้บำเพ็ญที่อาลัยอาวรณ์ต่อลูกหลานากเกินไป ลูกหลานคนรักสนิท เป็นผลกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันาแต่ชาติก่อน เื่อไรผลกรรนั้นจบสิ้นลง ทุกอย่างก็ควรให้เป็นไปตามนั้น  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  เป็นเรื่องธรรดาที่สุด ขณะบำเพ็ญหรือตายจาก หากผูกใจอาวรณ์ก็ยากจะบรรลุ ิใช่ให้ตัดขาดควาผูกพันในภาวะปกติ แต่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ 

ฉงซิว   :  ฮิ ที่จริงศิษย์ก็เข้าใจ แต่จงใจถามสักหน่อย

พระฯ จี้กง   :  อาจารย์ก็รู้เจตนาของเจ้า เอาละได้เวลาแล้วเราไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ไ่ม่ทราบว่าวันนี้จะท่องด่านไหนขอรับ

พระฯ จี้กง   :  คืนนี้เราจะไปด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวนคือ ด่านลายโลกีย์ ฯ

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว เชิญพระอาจารย์ได้

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว  เบื้องหน้าคือด่านมลายโลกีย์ ฯ  ด่านที่ห้าของจิ่วหยังกวน นายด่านรออยู่ที่นั้นแล้ว ฉงซิวรีบเข้าไปกราบคารวะเสีย

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ฉงซิวกราบคารวะพระองค์นายด่านมลายอารมณ์ คืนนี้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวนที่นี่ ขอพระองค์ได้โปรดอภัย

พระฯ นายด่าน   :  คารวะเฝ้าพระพุทธะจี้กง  ฉงซิวยืนขึ้นเถิดมิต้องมากจริยา เชิญเข้าไปพักข้างในสักครู่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 7 

                    ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านมลายโลกีย์

                             (เหลี่ยวฝันกวน)

                 วันที่  2  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        หฤทัย ฯ คัมภีร์     ที่ทูลอ่าน        สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว              เป็นเรื่องง่าย    ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร                     รู้แจ้งตาม        คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก                  สามศาสนา      ว่านัยเดียว

ฉงซิว   :  สองข้างประตูห้องพระโรงมีกลอนคู่เขียนไว้ว่า 

        "หญิงชายปล่อยกายใจ      ไ่ม่รอดด่าน     ผ่านสอบจริง
ฟ้าดินยิ่งปัญญา          จะปล่อยผ่านสายตา        ให้เจ้าผิดไ่ได้"

พระฯ นายด่าน   :  เมื่อกี้ ฉงซิวพูดเกรงใจนัก เจ้ากับพระพุทธะจี้กงสนองพระโองการฯ มา หนังสือที่สร้างก็เพื่อกล่อมเกลาเหล่าคนเดิมบำเพ็ญ ความตั้งใจดีเช่นนี้ข้าพเจ้าขอคารวะด้วยความชื่นชมจริง

        ด่านจิ่วหยังเดิมทีมิได้เปิดเผยโดยง่าย หากมิใช่กลียุคขณะนี้ มีหรือจะแพร่งพราย  เป็นบารมีเก่าและผลบุญในชาตินี้ที่ฉงซิวเจ้าเฝ้าบำเพ็ญมานานปี ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เกิดบุญวาระนี้

        เมื่อชีพจรของธรรมะเวียนมาถึง ตำหนักพระของเจ้าก็ต้องรับหน้าี่ที่ใหญ่กล่อมเกลาชาวโลก เบื่องบนจึงได้มอบภาระสำคัญแก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะสำนึกในพระเจตนาของเบื้องบน กล่อมเกลาชาวโลกให้ไพศาล ซึ่งถือเป็นบลุญวาสนาของเวไนย์สัตว์ทั้งหลาย

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณพระองค์นายด่านได้โปรดเอ็นดูอบรมศิษย์ ศิษย์ละอายยิ่งนัก จากนี้ไปจะยิ่งทำเต็มสติกำลัง เพื่อมิให้ผิดต่อเบื้องบนที่โปรดมอบหมาย

พระฯ จี้กง   :  ที่ท่านนายด่านพูดมาถูกหมด หวังว่าฉงซิวเจ้าจะจำไว้ให้ดี ดูซิว่ามีปัญหาอะไรจะทูลถามพระองค์ท่านบ้าง

ฉงซิว   :  ขอรับ  ทูลถามว่าเหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า  "มลายโลกีย์"

พระฯ นายด่าน   :  ชื่อนี้หมายถึงให้หมดสิ้นความเป็นปุถุชน ผู้บำเพ็ญถึงขั้นนี้แล้ว หากยังติดนิสัยความเคยชินไม่ดี หรือผูกใจกับอะไรในทางโลก จะต้องมารับชการชำระที่ด่านนี้

ฉงซิว   :  เอ๊ะ ชำระยังไงจะสิ้น "โลกีย์"  ขอรับ

พระฯ นายด่าน   :  ให้นายทะเบียนนำเจ้าไปดูเหตุการณ์จริงก็จะเข้าใจได้ดีกว่านี้

นายทะเบียน   :  ทูลเชิญพระพุทธะจี้กง เรียนเชิญนักบุญฉงซิวโปรดตามผู้น้อยมา

พระฯ ผู้คุม   :  ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับฉงซิวมาเยือน

พระฯ จี้กง   :  มิต้องคารวะ มิต้องคารวะ  รีบนำเราเข้าไปข้างในเถิด

พระฯ ผู้คุม   :  ทูลเชิญ

ฉงซิว   :  อุ๊ย  ทำไมในด่านมีแต่เสียงร้อง โอย โอย  ดังขรม  โอ้โฮ แมลงตัวใหญ่จัง มันพากันกัดต่อยผู้บำเพ็ญกันใหญ่ บนใบหน้าของบางคนเกาะอยู่ตั้งหลายตัว โอ๊ย น่ากลัวจัง ดูพวกเขากัดฟันทน ปล่อยให้มันกัดต่อย ทำไมไม่มีใครไล่เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 7 

                    ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านมลายโลกีย์

                             (เหลี่ยวฝันกวน)

                 วันที่  2  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        หฤทัย ฯ คัมภีร์     ที่ทูลอ่าน        สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว              เป็นเรื่องง่าย    ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร                     รู้แจ้งตาม        คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก                  สามศาสนา      ว่านัยเดียว

พระฯ ผู้คุม   :  ในด่านมลายโลกีย์มีด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านขนาดของตัวแมลงไ่ม่เท่ากัน บางตัวเหมือนยุง  บางตัวใหญ่เท่านกกระจอก  บางตัวใหญ่เท่านกอินทรีทีเดียว ด่านนี้เป็นด่านเล็กที่สุด แมลงตัวเล็กหน่อย ผู้มีอารมณ์ทางโลกเบาหน่อยก็จะถูกส่งมาให้แมลงที่นี่ชำระโลกีย์วิสัย ตามกฏเกณฑ์ผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาจะตบตีหรือไล่แมลงไม่ได้ จึงเห็นว่าเขาต้องปล่อยให้กัดต่อยอย่างนั้น

ฉงซิว   :  ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ มีโลกีย์วิสัยอย่างไรหรือขอรับ จึงต้องถูกขังที่นี่

พระ ฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าจะเรียกมาให้ถามสักสองสามคน ท่านก็จะเข้าใจ  สามคนนั่น รีบมากราบพระพุทธะจี้กงและคารวะต่อนักบุญฉงซิวแห่งเทวสถานไถจงฉงเซิงของโลกมนุษย์ ให้เล่ารายละเอียดในการบำเพ็ญ และเหตุใดจึงถูกนำมาขังในด่านนี้ นักบุญฉงซิวสนองพระบัญชาพระเบื้องบนมาเก็บข้อมูลสร้างหนังสือบุญกล่อมเกลาชาวโลก

ผู้บำเพญ ก. ข. ค.   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง คารวะนักบุญฉงซิว พระอาจารย์จี้กงช่วยด้วย ผู้น้อยล้วนเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ทั้งนั้น

พระ ฯ จี้กง   :  เวรกรรมของใครต่างรับกันเอง โดยเฉพาะการจะบรรลุธรรมยิ่งจะต้องอาศัยภาวะพุทธจิตอันกลมกลืนของตนพาให้พ้นด่านต่อไป อาจารย์จะช่วยพวกเจ้าได้อย่างไร

พระ ฯ ผู้คุม   :  รีบเล่าความเป็นจริงได้แล้ว

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ครั้งมีชีวิตสร้างสถานบูชาพระพุทธะจี้กงไว้ให้ผู้คนกราบไหว้ เข้าใจว่าพระอาจารย์ดื่มเหล้า จึงคิดว่าศิษย์เอาบ้างคงไม่เป็นไร จึงดื่มทุกวันแต่ส่วนงานธรรมะ ศิษย์ก็ทำจริง ฉุดช่วยคนไว้ไม่น้อย ไม่คิดว่าพอตายแล้วไม่ได้เป็นเซียนทันที กลับถูกรับมาที่นี่ ถูกยุงดูดเลือดตามหน้าตามตัวทุกวัน เจ็บปวดเหลือเกิน พระอาจารย์จี้กงได้โปรดฯ ศิษย์ผิดเพราะเลียนแบบพระอาจารย์นะ

พระ ฯ จี้กง   :  โธ่  ที่ดีไ่ม่เลียนกลับเลียนที่ไม่ดี อาจารย์ฉุดช่วยผู้คนตามจริตและบุญกรรมของเขา ไ่ม่ใช่ดื่มเพราะอยาก  ในครั้งนั้นอาจารย์แสดงบุญญาภินิหาร์ย์ เพื่อเตือนชาวโลกให้รู้ว่า "ใจเจสำคัญกว่าปากเจ"  อย่าได้เข้าใจเจตนาของอาจารย์ผิดไป ถ้าเจ้าเผลอดื่มไปเล็กน้อยยังไม่น่าเกลียด ถ้าดื่มทุกวันจะไม่เป็นศิษย์ของผีเหล้าไปหรือ เป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงได้ยังไง

ฉงซิว   :  นอกจากดื่มเหล้าแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างที่ต้องมาสำนึกผิดให้กายบริสุทธิ์ ในด่านมลายโลกีย์นี้

พระฯ ผู้คุม   :  ไม่เพียงดื่มเหล้าเท่านั้น  บุหรี่  หมากพลู ฯลฯ  ล้วนเป็นข้อห้ามของผู้บำเพ็ญ  ผู้บรรลุจริงอย่างสมบูรณ์ จะต้องตัดสิ่งเสพติดทั้งนั้นให้หมดไปจึงจะเพียบพร้อม

ฉงซิว   :  โชคดีที่ศิษย์ไม่แตะต้อง ทั้งเหล้า  หมากพลู  บุหรี่  ม่ายงั้นก็เสร็จละซิ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 7 

                    ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านมลายโลกีย์

                             (เหลี่ยวฝันกวน)

                 วันที่  2  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        หฤทัย ฯ คัมภีร์     ที่ทูลอ่าน        สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว              เป็นเรื่องง่าย    ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร                     รู้แจ้งตาม        คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก                  สามศาสนา      ว่านัยเดียว

        เรียนอาวุโสท่านนี้ ดูท่านหน้าตาใจดี เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่ด้วย

ผู็บำเพ็ญ ข.   :  ฉันเป็นพุทธมามกะที่ศรัทธามากคนหนึ่ง ได้ศึกษาหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง และได้ไปอรรถาธรรมตามที่ต่าง ๆ เสมอ ฉันบำเพ็ญมาสามสิบกว่าปี แต่พะวงลูกหลานมาก ห่วงคนโน้น  ทุกข์คนนี้  คิดถึงคนนั้นอยู่ตลอดเวลา  แม้ใกล้ตายก็ยังวางใจไม่ลง เขาว่ากันไว้ไม่ผิดว่า "วางอะไรก็วางได้ แต่ลูกหลานเท่านั้นที่วางไม่ลง"  พอตายไปพญายมตรวจสอบเห็นว่าฉันมีผลบุญจากการบรรยายธรรม จึงส่งฉันข้ามสะพานทอง คิดว่าจะได้ขึ้นสู่สุขาวดีแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่นี่  ครั้งมีชีวิต  ฉันพลิกคัมภีร์เท่าไร ก็ไม่เคยเห็นคำว่า  "จิ่วหยังกวน"  เพิ่งจะมาพบที่นี่  บัดนี้ฉันได้สำนึกแล้วว่า ลูกหลานคือผู้เกี่ยวกรรมกันมา ฉันกำลังทรมานอยู่ที่นี่ ลูกหลานก็แทนตัวไ่ม่ได้ ขัดเคืองใจจริง ๆ  พระองค์นายด่านบอกฉันว่าฉันมีอุปสรรค เพราะอารมณ์ผูกพันจึงตัดสินให้เข้าสำนึกในด่านสามเดือน  บัดนี้ ฉันเข้าใจแล้ว แมลงวันใหญ่เหล่านั้นก็ได้เลิกกัดต่อยฉันแล้วก่อนหน้านี้

ฉงซิว   :  โอ  ยินดีด้วย  แต่กำหนดโทษยังไม่หมดไม่ใช่หรือ  ทำไมแมลงใหญ่จึงไม่กัดต่อยอีก

พระฯ ผู้คุม   :  แแมลงใหญ่เหล่านั้น เป็นนิมิตที่เกิดจากควันธูปของพระุพุทธเจ้า เขามีญาณรู้ทุกอย่าง เื่มื่อผู้บำเพ็ญปลงตกในโลกีย์วิสัย หนี้เวรหมดไป แมลงก็รู้ได้ จะไม่รังควานอีก ข้าพเจ้าก็รู้ได้เช่นกัน ก็จะถวายรายงานแก่พระองค์นายด่านให้ส่งตัวผ่านด่านไป

ฉงซิว   :  เป็นเช่นนี้เอง  เรียนถามท่านอาจารย์ต่อไป ดูท่านก็เป็นผู้ได้รับวิถีธรรม เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  อมิตาพุทธ  พูดแล้วน่าละอาย เมื่อมีชีวิตอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ปกครองวัดอย่างเป็นธรรม พุทธานุภาพได้บันดาลให้อุบาสก  อุบาสิกา  ศรัทธาขึ้นกับวัดคับคั่ง  ตั้งแต่อาตมาได้ฌาน สาธุชนพากันมารับศีลมากมาย ลาภสักการะจากสานุศิษย์ก็มากขึ้นทุกวัน วันนี้นิมนต์ไปฉันที่โน้น วันนี้ที่นั่น ฯ  เป็นบุญปากเหลือเกิน สานุศิษย์ก็ถือเป็นเกียรติที่นิมนต์อาตมาไปเป็นแขกพิเศษได้ จึงมีผู้นิมนต์กันไม่ขาดสาย จนกระทั่งมรณภาพ อาตมาลงนรกไปลบชื่อบัญชีผู้ตาย พญายมส่งอาตมาขึ้นสะพานทอง คิดว่าจะได้อยู่ร่วมกับพระพุทธะแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่จิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านมลายโลกีย์บอกว่า  อาตมาโลภเรื่องปากท้อง ยินดีในลาภสักการะ  ความคิดนี้จะต้องกำจัดเสีย จึงตัดสินให้รับโทษอยู่สามเดือน  เมื่อนึกถึงความเลวต่าง ๆ ครั้งมีชีวิต ซึ่งชอบที่จะรับการต้อนรับขับสู้จากผู้อื่น ทำให้ละอายใจนัก  หวังว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จะไม่เอาเยี่ยงอย่างอาตมา เพื่อจะได้ไม่ต้องยังไม่ทันถึงเบื้องพระพุทธบาท แต่กลับมาถึงด่านมลายโลกีย์เสียก่อน

พระฯ ผู้คุม   :  ทั้งสามก็ได้เล่าเรื่องของตนจบลงแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กงและลานักบุญฉงซิวเสีย

พระฯ จี้กง   :  ค่ำแล้ว เรากลับพระตำหนักกกันเถิด รบกวนท่านผู้คุมช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนอาตมาด้วย ฉงซิวรีบขึ้นนกเผิงใหญ่ เรากลับกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณผู้อาวุโสทุกท่าน ศิษย์กับพระอาจารย์จี้กงขอลากลับตำหนัก

พระฯ ผู้คุม   :  กราบส่งพระพุทธะจี้กง และน้อมส่งนักบุญฉงซิว

ฉงซิว   :  ศิษย์นั่งได้ที่แล้วขอรับ

พระ ฯ จี้กง   :  ดี  หลับตา ... บินได้  มาถึงตำหนักพระฉงเซิง  วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”