collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: อาหารแสลง ห้ามกิน เมื่อป่วย ?.  (อ่าน 6255 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               อาหารแสลง ห้ามกิน เมื่อป่วย 10 โรค ต่อไปนี้

        อาหารแสลง คือ อาหารที่จะทำให้อาการป่วยของโรคนั้นๆ ทรุดหนักขึ้นเมื่อเราทาน อาหารแสลง นั้นเข้าไป ฉะนั้นเมื่อเวลาที่เราเป็นโรคอะไรสักอย่างก็มักจะมีการห้ามทาน อาหารแสลง นั้นๆ ขึ้นมาเพื่อไม่ให้โรคนั้นเป็นหนักขึ้นหรือรุกรามไปมากกว่าที่เป็นอยู่นั้น เองค่ะ และวันนี้เราก็มีคำแนะนำเกี่ยวกับ อาหารแสลงห้ามกินเมื่อป่วย อีกด้วยค่ะ ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้จะห้ามอาหารแสลงอะไรบ้างก็มาดูกันได้เลยค่ะว่าอาหารแสลงของแต่ละ โรคนั้นมีอะไรกันบ้างเอ่ยที่ห้ามกิน
        อาหารแสลง  ห้ามกินเมื่อป่วย
1. เป็นไข้หวัด มีไข้สูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสมเปรียบเสมือนอาหารเชื้อเพลิงหรือเป็นการเติมน้ำมัน เข้าไปในกองไฟ

2. โรคกระเพาะ
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

3. โรคความดันเลือดสูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันอาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกายและความชื้นก็มีผลก็ ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูงนอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน

4. โรคตับและถุงน้ำดี
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่าตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

5. โรคหัวใจและโรคไต
ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำการไหลเวียนเลือดจะ ช้าทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน

6. โรคเบาหวาน
หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานหรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด

7. นอนไม่หลับ
หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ไม่ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับสนิท

8. โรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะให้ท้องผูก หลอดเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

9. ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ

10. สิวหรือต่อมไขมันอักเสบ
งดอาหารเผ็ดและมันเพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนังขนตามร่างกายทำให้เกิดสิว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น

    ขอบคุณค่ะ  :)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         วิธีคลายง่วงช่วงบ่าย

        หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มักหาวแล้ว หาวอีก ต้องทนทรมานกับความง่วงช่วงบ่ายบ่อย ๆ ทำให้เสียสมาธิในการเรียน หรือ ทำงาน นั่นเป็นเพราะมื้อกลางวันรับประทานอาหารอุดมแป้ง และน้ำตาลขัดขาวมากเกินไป ลองลดปัจจัยดังกล่าว แล้วเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ รวมทั้งธัญพืชเยอะขึ้นอีก จากนั้น คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลง

        โดย “ผัก-ผลไม้อุดมวิตามินซี” จำพวก บรอกโคลี ฝรั่ง ส้ม จะช่วยต้านความล้าจากอาการเครียด และกังวล ส่วนแอปเปิล กล้วย มีโครเมียม ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย ส่วน “ธัญพืช” เช่น งา ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ซึ่งไม่ผ่านการขัดสี หรือ ขัดสีน้อยที่สุด จะให้วิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ บำรุงประสาท และช่วยให้จิตใจแจ่มใสสดชื่น

        นอกจากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถโดยการ “ลุกเดิน” ด้วย ระยะก้าวปานกลาง นานประมาณ 3-5 นาที ก็เป็นอีกวิธีในการคลายง่วงได้ เนื่องจากช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต คลื่นสมองทำงานดีขึ้น ร่างกายรู้สึกตื่นตัว

        ทั้งนี้ “หากทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรหมั่นพักสายตาทุก 1ชั่วโมง” โดยหลับตา หรือ มองไปไกลๆ ประมาณ 5 นาที อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ประคบดวงตา ประมาณ 2-3 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี ทั้งยังคลายง่วง และลดการเพลียตา เพราะแสงจากหน้าจอ

        รวมทั้ง “อย่าลืมมีน้ำดื่มติดโต๊ะ” ค่อยๆ จิบระหว่างวัน ทั้งนี้ ควรเป็นน้ำอุณหภูมิห้อง เพื่อร่างกายจะดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้ทันที ช่วยเพิ่มความสดชื่น และกระปรี้กระเปร่า

เป็นวิธีง่ายๆ ช่วยให้สดชื่นตื่นตัวได้ โดยไม่พึ่งกาแฟ ลองนำไปประยุกต์ใช้กันดู

      ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์   ขอบพระคุณค่ะ  :)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          เคล็ดลับ ‘ดื่มน้ำ’ ได้สุขภาพ

        เมื่ออากาศเย็นลง จนทำใครหลายคนรู้สึกหนาวและอาจป่วยไข้ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง ระยะนี้จึงต้องใส่ใจดูแลสุขภาพกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องการดื่มน้ำ ที่ไม่ว่าจะฤดูไหน ก็ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ

        สำหรับน้ำที่ดื่ม ไม่ควรเย็นจี๋ เพราะทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารหดตัวลง หากเป็นเช่นนั้นเซลล์จะปรับตัวและขยายตัวเพื่อดูดซึม ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการปรับอุณหภูมิก่อนดูดซึม จึงมักเกิดอาการจุกหน้าอกขณะกระหายน้ำ

        นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย ชี้ว่า การดื่มน้ำเย็นจัดมากเกินไปจะทำให้ขีดความสามารถในการทำงานของสมองลดลงทันที ส่งผลกระทบต่อการขับรถ หรือทำงานที่ต้องใช้สมอง ซึ่งน้ำเย็นจัดเพียงแค่แก้วเดียว ยังทำให้สภาพจิตใจของบางคนลดลงร้อยละ15

        ส่วนการดื่มน้ำร้อนจัดก็ไม่ควร เพราะความร้อนของน้ำอาจทำลายเยื่อบุช่องปากและทางเดินอาหาร จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรค

        การดื่มน้ำที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ควรเป็นน้ำที่มีอุณหภูมิใกล้เคียงหรือต่ำกว่าอุณหภูมิร่างการเล็กน้อย เช่น น้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำที่มีอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้ทันที

        โดยเฉพาะในหน้าหนาว ช่วงเวลาที่ควรดื่มน้ำ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะนำไว้ 3 ช่วงด้วยกัน ประกอบด้วย แก้วแรกของวัน ดื่มระหว่าง 05.00-07.00 น. จะช่วยการขับถ่าย ช่วงต่อไป คือ 15.00-17.00น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ และแก้วสุดท้ายของวัน ดื่มก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง ช่วยการนอนหลับที่ดี

        ในแต่ละวัน ปริมาณน้ำดื่มที่ร่างกายต้องการของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปตามน้ำหนักตัว ซึ่งมีวิธีคำนวณง่ายๆ ในสูตร น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หาญด้วย 2 แล้วคูณด้วย 2.2 และคูณด้วย 30 จะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นปริมาณน้ำหน่วย c.c. ที่ควรดื่มในแต่ละวันนั่นเอง

        อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำ ไม่ควรดื่มคราวละมากๆ เพราะจะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย โดยควรดื่มแบบค่อยๆ จิบ เซลล์ในร่างกายจะดึงน้ำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

        ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์      ขอบพระคุณค่ะ   :)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           เคล็ด (ไม่) ลับดูแลผิวรอบดวงตาสำหรับผู้หญิงวัย 30+


        เมื่อพูดถึงผิวรอบดวงตา เป็นผิวที่ละเอียดอ่อนกว่าผิวส่วนอื่นบนใบหน้าถึง 3 เท่า และมักเป็นส่วนที่เกิดปัญหาริ้วรอยได้มากที่สุด และด้วยอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้ผิวรอบดวงตาเปราะบาง ประสิทธิภาพในการฟื้นบำรุงผิวตามธรรมชาติชะลอลง
        ดังนั้นวัยจึงส่งผลให้ผู้หญิงในวัย 30 ปีขึ้นไปมีข้อกังวลกับ 4 สัญญาณสำคัญของปัญหาที่เกิดกับผิวรอบดวงตา ได้แก่ ริ้วรอยบนผิวพับเปลือกตา ผิวใต้ตาที่ไม่กระชับ เส้นริ้วบริเวณหางตา และเส้นริ้วรอยใต้ตา วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับเพื่อช่วยดูแล และลดเลือน 4 สัญญาณสำคัญแห่งริ้วรอยรอบดวงตาที่นำไปปฏิบัติง่าย ๆ ด้วยตัวเองมาฝากกัน

1. การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลาย ๆ คนมองข้ามไป เพราะการมีสุขภาพที่แข็งแรงจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และเกราะกำบังให้แก่เซลล์ผิว เพื่อต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม หรืออนุมูลอิสระที่ก่อตัวในการทำร้ายผิวภายในรอบดวงตา ดังนั้นอาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใสที่ควรใส่ใจมีดังนี้

- บริโภคผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti oxidant) ในปริมาณสูง เช่น ผลบิลเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ พร้อมทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและมีความไวในที่มีแสงน้อย ๆ ดีกว่า

- บริโภคผัก ผลไม้ ที่มีสารลูทีน (Lutien) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบได้ที่เลนส์ตาและจอรับภาพของตา ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา ซึ่งพบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอโวคาโด บล็อกโคลี่ ข้าวโพด ฝักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง

- บริโภคสารสกัดของโอเมก้า 3 หรือ รับประทานปลาชนิดต่าง ๆ

2. เปลือกตาก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องโดนกระหน่ำกับเมกอัพหลากชนิดแทบทุกวัน ฉะนั้นจึงลืมไม่ได้ที่จะถนอมเปลือกตาด้วยการชำระล้างเมกอัพและสิ่งสกปรกอื่น ๆ ให้เกลี้ยงก่อนเข้านอน ด้วยการแปะสำลีชุ่มอายเมกอัพรีมูฟเวอร์เพื่อให้อายเมกอัพละลายก่อน โดยค่อยๆ เช็ดซ้ำเบา ๆ จนเกลี้ยง จากนั้นอาจใช้คอตตอนบัดชุบอายเมกอัพรีมูฟเวอร์แล้วเช็ดตามขอบตาและซอกมุมเล็ก ๆ ให้สะอาดหมดจดยิ่งขึ้น

3. เริ่มฝึกนิสัยพักสายตาโดยการมองออกไปไกลๆ ทุก ๆ 10 -15 นาที ก็จะเป็นการช่วยพักการทำงานของกล้ามเนื้อรอบดวงตาได้อย่างดี

นอกจากนี้ การกดจุดก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราสามารถทำได้ เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแรง ออกกำลังกายกล้ามเนื้อตา เพื่อลดปัญหาริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่น ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

- ล้างทำความสะอาดรอบดวงตาให้เรียบร้อย

- ทาอายครีมที่คุณใช้อยู่ให้ทั่วผิวรอบดวงตา โดยใช้นิ้วกลางในการกดจุดเบา ๆ นับ 1 – 7 ค้างไว้ ก่อนเปลี่ยนจุด (ทำพร้อมกันทั้งสองข้าง) เริ่มจากใต้หัวตาลงมาประมาณ 1 ซม. กึ่งกลางตา (ใต้ตา หางจากดวงตาประมาณ 1 ซม.) และปลายตา (ห่างจากดวงตาประมาณ 1 ซม.)

- หลับตา ใช้ปลายนิ้วชี้หรือนิ้วก้อยวางประกบไปบนเปลือกตา กดเบา ๆ นับ 1 – 7 ค้างไว้แล้วจึงผ่อนน้ำหนักออกแล้วค่อย ๆ ลืมตา

ใครอยากมีผิวใต้ตาที่กระชับ ไร้ริ้วรอยบริเวณหางตา และใต้ตา ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปลองปฏิบัติกันดูนะครับ
 
        ที่มา ผู้จัดการออนไลน์        ขอบพระคุณค่ะ   :)

Tags: