collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: รำลึก พระโพธิสัตว์ศรีปัญญา (เต๋อฮุ่ยผูซ่า)  (อ่าน 15652 ครั้ง)

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม



รำลึก พระโพธิสัตว์ศรีปัญญา (เต๋อฮุ่ยผูซ่า)

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม




ที่เก็บอัฐิพระโพะสัตว์ศรีปัญญา(เต๋อฮุ่ยผูซ่า) ณ ประเทศไต้หวัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 5/03/2009, 14:37 โดย jplus_cs »

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
พระบารมีธรรมนักธรรมอาวุโส
พระโพธิสัตว์เต๋อฮุ่ย (เต๋อฮุ่ยผูซ่า)

พระโพธิสัตว์เต๋อฮุ่ย

          พระโพธิสัตว์เต๋อฮุ่ย ยามมีชีวิตอยู่ได้ติดตามท่านผู้เฒ่าน้ำใสบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ในขณะนั้นท่านก็คือ รองธรรมาธิการของพวกเรา
          ท่านเป็นผู้ที่ไม่รู้หนังสือ แต่ท่านมีจิตใจที่เปี่ยมำแด้วยความเมตตากรุณาที่เหนือกว่าคนทั้งหลาย แม้ท่านจะเป็นเพียงปุถุชน แต่ท่านก็มีจิตใจอันบริสุทธิ์ดั่งพระโพธิสัตว์
          ท่านมีฝ่าเท้ายาวแค่สามนิ้ว การก้าวย่างเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ละก้าวได้เดินเข้าหาเวไนยสัตว์ และได้บุกเบิกออกไปจนมีอาณาจักรธรรมอันกว้างใหญ่ไพศาล
          ในชั่วชีวิตของท่านไม่เคยที่จะเสพสุขในกองบุญ แต่ได้สะสมพระบารมีธรรม และพระกรุณาธิคุณให้แก่เหล่าเวไนย ชั่วชีวิตของท่านมีแต่ความสันโดษสมถะ แต่ก็ได้มีรัศมีแห่งญาณจิต ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนทุกคน นับได้ว่าท่านเป็นกุลสตรีตัวอย่างแห่งศตวรรษที่ 20 และก็เป็นสตรีที่เปี่ยมพระบารมีธรรมของโลก ก่อนที่ท่านจะกลับคืนสู่เบื้องบน พระอาจารย์เคยประทับญาณกล่าวว่า
     “การปฏิบัติบำเพ็ญในเกาะไต้หวันเป็นเวลา 40 กว่าปี บัดนี้ได้บังเกิดพระโพธิสัตว์เดินดินแล้ว”

พระบารมีธรรมยามมีชีวิต
     1.   ชาติกำเนิด
          แซ่จาง นามอวี้ไถ เป็นคนมณฑลเหอเป่ย อำเภอจิ่ง เกิดก่อนปีหมินกั๋วที่ 2 (ค.ศ. 1910) เดือน 9 วันที่ 11 บรรพบุรุษเป็นชาวกสิกร สภาพครอบครัวเรียบง่าย เคร่งครัดในการอบรมสั่งสอน กระจ่างในจารีตประเพณี และเคร่งครัดในคล้อยตาม 3 จริยธรรมสตรี 4 (ซันฉงซื่อเต๋อ) มีจิตใจมตตาดีงาม มีใจชอบช่วยเหลือผู้อื่น
          สมรสเข้าสู่ตระกูลฉาว มีอยู่ที่มืองเทียนจิน ทำกิจการโรงงานย้อมผ้าหย่งจวี้เฉิง เป็นตระกูลที่มีความภักดีรู้คุณ ชอบสร้างสมคุณงามความดี

     2.   การรับวิถีธรรม
          คุณฉาวผู้เป็นสามี เมื่อได้ผู้แนะนำรับรองชักนำมารับวิถีธรรมแล้ว แต่เนื่องจากธุรกิจการค้ารัดตัว จนไม่มีเวลาที่จะศึกษาพระธรรม
          ครั้งหนึ่งบิดาของคุณฉาวเคยถูกโจรเข้าปล้นสะดมและหนีเอาชีวิตรอดมาได้ ตัวคุณฉาวเองก็เคยเดินทางออกไปทำธุรกิจได้ประสบเคราะห์ภัย มีนักธุรกิจมากมายที่ถูกจับกุมตัวและถูกทำร้าย จะมีเพียงคุณฉาวเท่านั้นที่ควบคุมสติอารมณ์ไว้ในจุดญาณทวาร แล้วท่องไตรรัตน์อยู่ในใจ โจรเหล่านั้นจึงไม่ได้ทำร้ายและปล่อยตัวออกมา หลังจากคุณฉาวกลับมาจึงโปรดท่านรับวิถีธรรมด้วย
          หลังจากที่ท่านแต่งเข้าสู่ตระกูลฉาวแล้ว บิดาได้ลากจากโลกไป พอได้ยินมาว่า การรับวิถีธรรมสามารถฉุดช่วยบิดามารดา การทานเจสามารถทำให้บิดามารดได้รับรัศมีบุญ เพื่อที่จะทดแทนบุญคุณ ในปีหมินกั๋วที่ 32 (ค.ศ.1941)โดยอาศัยคุณฉาวอิงจวิ้นผู้เป็นสามีชักนำในการรับวิถีธรรม อีกทั้งบังเกิดจิตศรัทธาถือศีลกินเจ

     3.   การบำเพ็ญปฏิบัติ
          หลังจากที่รับวิถีธรรมเดือนกว่าก็ทำการฉุดช่วยดวงวิญญาณของบิดา จากนั้นยังได้ชักนำคุณย่าและมารดามารับวิถีธรรม แล้วยังได้ฉุดช่วยดวงวิญญาณของคุณปู่ตามลำดับ ซึ่งจิตใจของท่านเต็มเปี่ยมด้วยความกตัญญู
          จากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆวันก็ได้มาพุทธสถานทำความสะอาด จุดธูปกราบไหว้พระ ต้อนรับญาติธรรม ส่งเสริมอย่างเต็มกำลังความสามารถ
          อีกทั้งในโรงงานกได้ตั้งพุทธสถาน พระอาจารย์ประทับญาณประทานนามว่า “พุทธสถานอี้ซิง”
          คุณฉาวมีความประสงค์ที่จะออกไปบุกเบิกเผยแพร่ธรรม แต่ก็เนื่องจากการงานธุรกิจผูกมัด เหตุนี้จึงได้สละทรัพย์ และให้ภรรยาออกไปปฏิบัติงานธรรมแทนตนเองเป็นเวลา 3 ปี
แต่เดิมทีคุณพ่อสามีไม่ยอม เนื่องจากภายในครอบครัวไม่มีคนดูแล แต่ก็ได้คุณฉาวคุกเข้าอ้อนวอนขอร้อง จึงยอมตกลงให้จากบ้านไป 3 ปี จากนั้นต้องกลับมา
          ปีหมินกั๋วที่ 36 (ค.ศ. 1947) จันทรคติเดือน 8 วันที่ 7 ออกบุกเบิกแทนสามีได้รับคำบัญชาจากท่านผู้เฒ่าน้ำใส เดินทางพร้อมกับห่าวจินอิ๋ง จ้าวฮุ่ยเซียง เฉินหงเจิน หลี่อวี้หมิงรวมทั้งบุตรคนเล็กนามฉาวไห่อิ๋ง เป็นต้น ลงเรือไปไต้หวัน
          ปีหมินกั๋วที่ 38 (ค.ศ. 1949) บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง จากนั้นข่าวคราวก็ถูกตัดขาด ท่นมีความคิดถึงบ้านเกิดอย่างสุดซึ้ง ระยะแรกที่มาถึงไต้หวัน ทั้งผู้คนและสถานที่ก้ไม่คุ้นเคย ภาษาก็สื่อกันไม่รู้เรื่อง ธรรมกิจต่างๆ ปฏิบัติกันอย่างยากลำบากยิ่ง อีกทั้งยังต้องประทังชิวิตด้วยความทุกข์ยากแสนเข็ญ
          ช่วงแรกท่านได้นำเงินทองติดตัวมามากมาย แต่เป็นเพราะเศรษกิจไต้หวันซบเซา อัตราเงินตกต่ำ เงินจีนสี่หมื่นหยวนแลกกับเงินไต้หวันได้เพียงแค่หนึ่งหยวนเท่านั้นเอง
          ได้แต่ถอนใจกล่าวว่า..”หากรู้ว่าที่แผ่นดินใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้ จะนำมามากกว่านี้ แม้จะหนักแค่ไหนก็ยังคงต้องแบกมาให้ได้”
          จากนั้นจึงได้นวดแป้งทำเส้นบะหมี่ ทำหมั่นโถว ปลูกผัก ทำเครื่องใช้สตรี รองเท้า ส่งไปในตลาดฝากขาย อีกทั้งยังต้องคอยปรนนิบัติผู้เฒ่าน้ำใส ซักเสื้อผ้า หุงหาอาหาร ปักชุนรองเท้าถุงเท้า ทำความสะอาดทั้งนอกและใน ในแต่ละวันต้องนวดแป้งกันหลายถุง สตรีที่มีฝ่าเท้าเล็กเพียงสามนิ้ว จำต้องกัดฟันทนความยากลำบาก ความเจ็บปวดในการยืน ด้วยเหตุนี้แผ่นหลังจึงเกิดก้อนเนื้อที่หนาและแข็งขึ้น ต้องใช้ความอดทนเหน็ดเหนื่อยอย่างมากในการอุทิศตนอย่างเงียบๆ
          ด้านหนึ่งก็ต้องดูแลนักธรรมอาวุโสที่ร่วมนาวาเดียวกัน เป็นเสมือนกับพี่ใหญ่ที่มีความมานะอุตสาหะ พร้อมทั้งให้กำลังใจ คุ้มครองและประคับประคอง
          เป็นเพราะชีวิตความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน จึงมักจะต้องไปเก็บเศษผักในตลาดสดแม้กระทั่งน้ำมันขวดเล็กๆ ก็จำเป็นต้องคำนวณในการใช้ให้ได้หนึ่งเดือน ข้าวสารในถังก็ไม่อาจะรู้ว่า สามารถประทังได้นานแค่ไหน ในบางครั้งทุกคนก็ต้องกอดคอร่ำไห้ด้วยความทุกข์ใจ
          ไหนเลยจะคาดคิดในปีหมินกั๋วที่ 40 (ค.ศ. 1951) ก็ต้องพบกับการทดสอบจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอีก ได้ถูกจับขังในคุกเป็นเวลา 3 เดือน พร้อมกับนักธรรมอาวุโส 5 ท่านอย่างไร้ความผิด สุดท้ายเป็นเพราะตรวจสอบหาหลักฐานไม่ได้จึงได้ปล่อยตัวออกมา ในระหว่างนั้นได้รับการเคี่ยวกรำอย่างแสนสาหัส มิอาจใช้คำพูดใดๆ ที่จะสาธยายออกมาได้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19/01/2018, 02:02 โดย nakdham »

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม

4. การบุกเบิกเผยแพร่
          (1) ปีหมินกั๋วที่ 50 (1961) ท่านได้เห็นนักธรรมอาวุโสที่ร่วมเดินทางมาไต้หวันด้วยกันต่างประสบความสำเร็จในการบุกเบิก จึงได้เกิดความกล้า ขออนุญาตจากท่านผู้เฒ่าน้ำใสออกไปบุกเบิกบ้าง
          ครั้งแรกที่ได้ไปบุกเบิกที่เมืองไถจงชิงสุ่ย เป็นเพราะไม่รู้หนังสือ และไม่ชำนาญทาง อีกทั้งมีฝ่าเท้าเล็กเพียงสามนิ้ว จึงได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ทุกๆ ครั้งต้องแอบร่ำไห้เพียงผู้เดียว ด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยศรัทธาจริงอันใสบริสุทธิ์ จึงได้ดลใจฟ้าเบื้องบน เหล่าพุทธอริยะต่างก็ให้การปกป้องช่วยเหลืองานธรรม มีผู้อุปถัมภ์คอยให้การช่วยเหลือฉุดช่วยผู้มีบุญสัมพันธ์
          มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นั่งรถเลยป้าย เมื่อลงจากรถแล้ว ก้ไม่กล้าที่จะนั่งรถอีก เป็นเพราะท่านผู้เฒ่าน้ำใสให้เงินค่ารถมาเพียงแค่ไปกลับเท่านั้น จึงได้อาศัยการเดินทางด้วยเท้าเปล่าจนหลงทางไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี อีกทั้งใกล้จะค่ำแล้ว ภายในใจก็เกิดความหวั่นวิตกจึงได้โอบกอดต้นไม้ใหญ่ แล้วร้องไห้อธิษฐานต่อฟ้าเบื้องบน ทันใดก็ได้เห็นเกวียนเล่มหนึ่งผ่านมา สารถีจึงได้ถามและชวนท่านขึ้นรถ เป็นเพราะท่านถือกฎเคร่งครัด ไม่สะดวกที่จะนั่งไปด้วยกันกับชายแปลกหน้า จึงได้ทนกล้ำกลืนบอกว่าไม่กล้าที่จะนั่งรถเกวียน ขอเพียงเดินตามหลัง ช่วยนำทางให้เดินออกจากหนทางที่หลงมาก็พอ
          ท่านมักจะเดินตามคันนาที่ลื่น และหกล้มลงในโคลนอยู่บ่อยๆ แต่ด้วยปณิธานอันมั่นคง อุปสรรคเหล่านี้จึงไม่ทำให้ถดถอยไป แต่กลับทำให้ท่านเกิดความเข้มแข็งที่จะเดินต่อไปข้างหน้า

          (2) จากชิงสุ่ยก็มาถึงซันฉี, ซินจู่, ไถหนาน, ไถเป่ย, เกาสง ธรรมกิจภายในประเทศจึงค่อยๆ เจริญขึ้น
          ในปีหมินกั๋วที่ 70 (ค.ศ. 1981) ได้ออกไปบุกเบิกยังต่างประเทศ ในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 20 กว่าประเทศ อาจารย์ถ่ายทอดธรรมทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมทั้งสิ้นสองร้อยกว่าท่าน
          ในปีหมินกั๋วที่ 72 (ค.ศ. 1983) ที่ผิงซันเทียนเอวี๋ยนกง ณ อำเภอตั้นสุ่ย หมู่บ้านซันจือ ทำการก่อสร้างสร็จ มักกจะจัดการประชุมธรรมครั้งใหญ่ๆ ครั้งสำคัญๆ รวมทั้งกิจกรรมสันทนาการเป็นต้น
          ในปีหมินกั๋วที่ 78 (ค.ศ. 1989) ได้รับคำสั่งจากท่านผู้เฒ่าน้ำใส ให้ก่อตั้งวิทยาลัยศึกษาอนุตตรธรรมขึ้น เพิ่อส่งเสริมบุคลากรได้บำเพ็ญปฏิบัติในอาณาจักรธรรม

5. พระบารมีธรรม
          (1) เคารพยำเกรงโองการสวรรค์ เคารพอาจารย์เน้นหนักทางธรรม
          1.1 ปีหมินกั๋วที่ 36 (ค.ศ. 1947) ท่านผู้เฒ่าน้ำใสได้ค้ำประกันให้แก่หาวจินอิ๋ง ,หลี่อวี้หมิง รวมทั้งท่านได้รับโองการสวรรค์เป็นอาจารย์ถ่ายทอดธรรมต่อพระธรรมาจาริณี ท่านมีความหวั่นวิตกว่า จะผิดต่อเหล่าเวไนยสัตว์ ผิดต่อเจตนารมณ์ของพระมหากรุณาธิคุณสวรรค์ คิดว่าตนไร้บารมี ไร้ความสามารถ จึงได้ตอบปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ได้รับกำลังใจจากนักธรรมอาวุโสตลอดเวลาว่า “เมื่อเหตุสัมพันธ์เป็นเช่นนี้แล้ว ธรรมกิจมีความต้องการ โองการสรรค์ก็ได้อัญเชิญมาแล้ว ไม่น้อมรับก็ไม่ได้” ฉะนั้นท่านจึงไม่อาจจะปฏิเสธอีกต่อไป
          หลังจากน้อมรับโองการสวรรค์แล้ว ร้องไห้เป็นเวลา 2-3 เดือน โดยท่านกล่าวว่า..”ฉันกลัววว่าจะทำผิดต่อธรรมกิจของฟ้าเบื้องบน ผิดต่อพระองค์ธรรมมารดา ผิดต่อเวไนยสัตว์”  รับโองการสวรรรค์มาแล้วหนึ่งปี ขณะที่ถ่ายทอดธรรมนั้น ขาทั้งสองก็ยังคงสั่นอยู่ กลัวว่าจะทำผิดพลาดไป
          1.2 ปีหมินกั๋วที่ 43 (ค.ศ. 1954) ท่านผู้เฒ่าน้ำใสได้รับพระธรรมาจาริณีมาถึงไต้หวันจึงได้กำชับนักธรรมอาวุโสหลายท่าน  มาปรนนิบัติดูแลพระธรรมจาริณี ตอนกลางวันเมื่อทำงานบ้านเสร็จ มีเวลามักมาให้การดูแลเอาใจใส่เสมอ หากมีการเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิด ก็ต้องรีบๆ ไปดูแล ทำอยู่เช่นนี้ร่วมสิบปี

ท่านกล่าวว่า..”ในขณะนั้น ทุกคืนฉันไม่กล้าที่จะหลับตาลงนอนอย่างสนิทด้วยเกรงว่าจะมีอะไรผิดพลาด จะเป็นการผิดต่อพระธรรมาจาริณี และท่านผู้เฒ่าน้ำใส”

          ยังกล่าวอีกว่า “ในตอนนั้นสุขภาพของพระธรรมาจาริณีไม่ค่อยจะดี ทุกครั้งที่ลุกจากเตียงหรือจะเข้าห้องน้ำ ท่านเป็นคนซันตงรูปร่างสูงใหญ่ ส่วนฉันรูปร่างเตี้ยเล็ก แต่ฉันก็กลัวว่าพระธรรมาจาริณีนอนนานเกินไปแล้ว ร่างกายจะอ่อนแอ ฉันมีแต่ความหวั่นเกรง จึงได้ใช้พละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อประคับประคองร่างของพระธรรมาจาริณี ทีละก้าวๆ ช้าๆ ค่อยๆ เดินไป เกรงว่าเมื่อไม่ระวังแล้วพระธรรมาจาริณีจะหกล้ม และทุกๆ ครั้งที่ประคองพระธรรมาจาริณีขึ้นบนเตียงแล้ว ฉันก็เหนื่อยอ่อนหล้าหมดแรงเต็มที” เป็นเพราะด้วยความเคารพเทิดทูนต่อพระธรรมาจาริณี จึงกระทำไปอย่างไม่บ่นสักคำ ปรนนิบัติด้วยความปีติยินดีโดยไม่ตกบกพร่องแม้แต้น้อยนิด

          พระธรรมาจาริณีจึงมักจะกล่าวว่า..”อวี้ไถช่างป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่จริงๆ” ท่านธรรมปรินายกจางเหวินอวิ้นก็เคยชื่นชมว่า..”คนที่มีจิตใจคอยปรนนิบัติต่อพระธรรมาจาริณีเช่นผู้อาวุโสจาง ยากจะหาคนทำได้ในอาณาจักรธรรมปัจจุบัน”

          ทุกครั้งที่ครบรอบวันระลึกพระธรรมาจารย์ และพระธรรมาจาริณี ท่านจะต้องทำหมั่นโถวหรือเกี๊ยว เพราะว่าพระธรรมาจารย์ยามมีชีวิตชอบทานหมั่นโถว พระธรรมาจาริณีชอบทานเกี๊ยว อีกทั้งจะไม่รบกวนต่อผู้น้อย จะต้องลงมือทำด้วยตัวท่านเอง

          1.3 ทุกครั้งที่ญาติธรรมนำของมาให้ ท่านก็มักจะกล่าวว่า..”ไม่ต้องเปลืองเงิน”อีกทั้งทุกครั้งจะต้องนำผลไม้มาถวายพระเสียก่อน แล้วจึงแจกจ่ายให้แก่ญาติธรรม ตนเองไม่ยอมที่จะทาน”
          ท่านกล่าวว่า..”ก่อนอื่นต้องบูชาสวรรค์ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วค่อยนำมาให้แก่ผู้คน ยังมิได้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์จะทานไม่ได้”
          1.4 ขณะที่อายุ 40-50 ปีนั้น เมื่อมีเรื่องราวจะรายงานต่อท่านผู้เฒ่าน้ำใส ก็จะคุกเข่ารายงาน เรื่องราวที่ผู้เฒ่าน้ำใสไม่อนุญาต จะไม่ละเมิดเลย
          หลังจากปีหมินกั๋วที่ 70 (ค.ศ. 1981) ธรรมกิจต่างประเทศก็ได้เจริญขึ้นและหวังให้ท่านได้ไปเผยแผ่พระบารมี ครั้งหนึ่งได้ไปรายงานต่อผู้เฒ่าน้ำใสแล้วได้คำตอบว่า..”อายุเธอก็มากแล้ว การที่จะออกไปยังต่างประเทศนั้นจะเป็นอันตราย อย่าไปเลย” ท่านก็ไม่กล้าที่จะแย้งเลยสักคำ ได้แต่กระทำตามคำสั่ง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง
          หลังจากนั้นมีอยู่วันหนึ่ง ผ้เฒ่าน้ำใสก็ได้เอ่ยปากว่า..”เธอต้องการจะไปต่างประเทศมิใช่หรือ? จะไปก็อาศัยโอกาสนี้ที่ยังสามารถเดินได้รีบไป” ท่านก้ได้รีบคุกเข่าลงกราบสามกราบเพื่อขอบพระคุณ
          ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเคารพอาจารย์ เน้นหนักทางธรรม ปฏิบัติเรื่องราวตามคำบัญชา

(2) รู้สำนึกพระคุณมีความกตัญญู คุณธรรมรักพี่น้องมีพร้อมมูล
          2.1 ชั่วชีวิตบำเพ็ญปฏิบัติธรรม มุมานะบากบั่นด้วยความยากลำบาก มักจะกล่าวว่า..”ด้านหนึ่งของฉันทำเพื่อเวไนย อีกด้านหนึ่งทำเพื่อบิดามารดา”
          อยู่ที่บ้านของสามี คอยปรนนิบัติพ่อสามีแม่สามี เสมือนดั่งกตัญญูต่อบิดามารดาของตนเอง อีกทั้งมีความรักความห่วงใยต่อพี่ๆ น้องๆ ของสามี ให้การดูแลอย่างทั่วถึง
          เมื่อมาถึงไต้หวันแล้ว ข่าวคราวก็ได้ตัดขาดลง จึงคะนึงบุพการีอย่างสุดซึ้ง ทุกๆ ราตรีต้องหลั่งน้ำตา ทุกๆ ครั้งที่ตรงกับช่วงเทศกาล ก็คุกเข่าลงกราบบิดามารดาต่อหน้าพระ ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ก็จะต้องอยู่หน้าพระทำการเสี่ยงทาย เพื่อกราบขอทราบเรื่องราวของคุณพ่อสามี และคุณแม่ว่ายังสบายดีอยู่หรือไม่?
          เมื่อหยิบได้เครื่องหมาย “๐” ก็แสดงว่ายังมีชีวิตอยู่ ก็จะกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ปีนั้นก็ผ่านวันปีใหม่ไปได้อย่างสบายใจ
          มีอยู่ปีหนึ่งกลับหยิบได้ “×” ก็ได้ร่ำไห้ออกมา เสียใจโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่อาหารในวันปีใหม่ก็กินไม่ลง
          หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ก็ส่งคนไปสืบหาข่าว ผลปรากฏว่าเป็นความจริงอย่างที่เสี่ยงทายไว้  มารดาก็ได้จบชีวิตลงในปีนั้น
          2.2 ทุกครั้งถึงวันเกิดตน จิตใจก็เศร้าหมอง คิดถึงแต่มารดา จึงไม่ยอมที่จะจัดงานวัดเกิด โดยกล่าวว่า..”วันนี้เป็นวันที่คุณแม่ทุกข์ทรมานที่สุด แล้วจะรับประทานลงได้อย่างไร?”
          2.3 ครั้งหนึ่งที่สามคุณช่วยจัดเก็บเสื้อผ้าในตู้ ก็ได้พบเห็นเสื้อผ้าที่เก่าขาดจนดูไม่ได้แล้ว เลยกล่าวว่า..”เสื้อของท่านตัวนี้เก่าเกินไปแล้ว ทิ้งเสียเถิด” อย่างมิคาดคิด ท่านรีบหยิบกลับไป แล้วก็ได้กล่าวเสียงเครือว่า..”ไม่ได้ เสื้อตัวนี้คุณพ่อสามีได้มอบให้ฉันเป็นของขวัญ หากวันข้างหน้าเมื่อฉันมีโอกาสได้กลับไปแผ่นดินใหญ่ก็ยังต้องใส่เสื้อตัวนี้ ต่อให้ต้องคลาน ก็จะขอคลานให้ถึงหน้าหลุมฝังศพคุณพ่อสามี เพื่อจะรายงานต่อคุณพ่อสามีให้ได้รับทราบถึงเรื่องราวทั้งหมด”
          2.4 ปีหมินกั๋วที่ 77 (ค.ศ. 1988) คุณพ่อและคุณแม่สามีได้มาผูกสัมพันธ์ พระอาจารย์ประทับญาณชื่นชมว่า..”ยินดีกับศิษย์จางที่ร่วมงานธรรมกับข้ามา สี่สิบปีดุจหนึ่งวัน บัดนี้ได้รับความรุ่งโรจน์แห่งธรรมนั้น เธอเป็นสตรีตัวอย่างอันดับหนึ่ง”
          2.5 ปีหมินกั๋วที่ 74 (ค.ศ. 1985) มีโอกาสดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งที่สอง มาถึงเมืองไทย ณ จังหวัดตรังทางภาคใต้พุทธสถานฉือเต๋อ เช้าวันหนึ่ง ประธานพุทธสถานได้ยืมเอาม้วนวิดีโอเรื่องการเฉลิมฉลองวันชาติของจีนแผ่นดินใหญ่มาดูกัน ดูได้ชั่วครู่เดียวภาพในจอก็ปรากฏว่ามีผู้คนมากมาย ในทันใดนั้น ก็ได้กล่าวกับสามคุณว่า..”เร็วๆ ช่วยฉันดูหน่อย มองดูในฝูงชน ดูซิว่าเห็นน้องชายฉันอยู่ในนั้นหรือเปล่า?” ความรู้สึกในตอนนั้นทั้งตื่นเต้นดีใจอย่างสุดซึ้ง จนกระทั่งน้ำตาก็หลั่งไหลออกมา
          สามคุณจึงกล่าวว่า..”ท่านโปรดเมตตา น้องชายของท่านมีหน้าตาเป็นอย่างไร?” ผู้น้อยไม่เคยเห็น จะรู้จักเขาได้อย่างไรล่ะ?” ท่านกล่าวพลางน้ำตาก็ไหลพลางว่า..”เธอตั้งใจดูให้ดี ถ้าหากมีหน้าตาคล้ายๆ กับฉัน คนนั้นอาจจะเป็นน้องชายของฉันแน่ๆ” สามคุณกล่าวว่า..”เอาละ ท่านโปรดวางใจ ผู้น้อยจะตั้งใจดูให้ละเอียด”
          ระยะเวลาที่อยู้ไต้หวันกว่า 40 ปี แม้ว่าเรื่องราวทางมนุษย์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย แต่ว่าความผูกพันกันทางสายเลือดของพี่น้องนั้น ยังฝังลึกอยู่ในอยู่ภายในก้นบึ้งของจิตใจ รองอธิการธรรมหลินของเรา (ในสมัยนั้นยังคงเป็นอาจารย์ถ่ายทอดธรรม) ก็ได้เข้าใจถึงจิตใจของท่าน จึงได้พยายามขอความช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ให้ช่วยเขียนจดหมายสืบหา (ในสมัยนั้น ทั้งสองประเทศก็ยังไม่มีการสือ่สารกันทางไปรษณีย์) ไม่นานก็สามารถสืบเสาะหาจนพบ ท่านดีใจจนน้ำตาไหล ด้วยความจำเป็นทางด้านธรรมกิจ อีกทั้งอายุก็มาก จึงไม่สามารถกลับมาตุภูมิได้
          ท่านรองอธิการธรรมหลินของเรา จึงได้เดินทางไปเยี่ยมพี่น้องของท่านที่บ้านเกิด และยังได้นำรูปถ่ายมามอบให้กับท่าน เพื่อทำให้ท่านสมความตั้งใจที่มีมาหลายปี
          2.6 ปีหมินกั๋วที่ 38 (ค.ศ. 1949) นักธรรมอาวุโสที่มาไต้หวันด้วยกัน ก็ถูกทางการทดสอบจับกุมขัง 3 เดือน ซึ่งท่านพระโพธิสัตว์เหวินฉือ (ในสมัยนั้นคือรองธรรมาธิการหลี่อวี้หมิง) ที่เป็นสตรี และท่านมิอาจทนต่อการเคี่ยวกรำ จนล้มป่วยลงอาการสาหัส เจ้าหน้าที่กลัวว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต จึงได้ให้ประกันตัวออกมา เพื่อหาหมอมารักษา ในขณะนั้นมีเพียงแค่ลมหายใจ นอนไม่ได้สติ ไม่อาจที่จะลุกจากเตียงนอน
          ขณะนั้นมีความยากลำบากมาก แม้อาหารสามมื้อยังเป็นปัญหา แล้วจะหาหมอมารักษาได้อย่างไร? แต่ท่านอาวุโสจางก็ได้ให้การดูแลด้วยตัวท่านเอง ไม่ว่าจะเป็นการปัสสาวะ อุจจาระ รวมทั้งอาหารสามมื้อ จนเกือบจะเป็นเวลาครึ่งปี ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ
          ในปีหมินกั๋วที่ 72 (ค.ศ. 1983) พระโพธิสัตว์เหวินฉือสำเร็จธรรม ขณะที่เคลื่อนย้ายโลงศพนั้น ไม่ว่าจะเคลื่อนย้ายอย่างไรก็ไม่ขยับเขยื้อน รอจนกระทั่งท่านรองธรรมาธิการจางมา เมื่อได้รับทราบเรื่องราว ท่านจึงกล่าวว่า..”น้องเอ๋ยไปเถิด” ช่างน่าแปลก ทันใดก็เคลื่อนย้ายศพออกกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีบุญคุณและความจริงใจผุกพันกันอย่างลึกซึ้ง มีบุญคุณแฝงด้วยมโนธรรมน้ำใจ   

(3) ส่งเสริมด้วยจิตที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตากรุณา และความรัก
          3.1 เพื่อที่จะฉุดช่วยส่งเสริมญาติธรรม จะไม่กลัวเกรงลมฝนกระหน่ำ ทนต่ออุปสรรคทั้งปวง แม้จะไม่รู้หนังสือ แต่อาศัยเท้าเล็กๆ ของท่านค่อยๆ เดินไปตามหนทาง ด้วยเหตุนี้จึงดลใจให้ผู้น้อยบังเกิดจิตศรัทธาเข้าสู่กระแสธรรม
          3.2 ครั้งแรกสุดไปส่งเสริมญาติธรรมที่ชิงสุ่ย เป็นเพราะคนในครอบครัวดังกล่าวยังไม่เข้าใจในหลักธรรม จึงไม่ได้ค้างคืนในครอบครัวนั้น มักจะอาศัยกระต๊อบเก่าๆ โทรมๆ กลางดงหญ้าฟางเป็นที่พักผ่อนผ่านช่วงยามค่ำคืน อดทนรอจนถึงวันรุ่งสาง บางครั้งในยามค่ำคืนฝนก็ตกน้ำก็รั่ว อีกทั้งหนูและงูต่างส่งเสียงน่ากลัว จนท่านอกสั่นขวัญหาย มิอาจที่จะหลับได้ตลอดทั้งคืน
          3.3 เพื่อจะโปรดคน ได้นำพาบุคลากรเดินไปตามหมู่บ้านต่างๆ แม้แต่คนหนุ่มสาวยังเดินกันอย่างเหน็ดเหนื่อย แทบจะทนเดินต่อไปไม่ไหว แต่ท่านก็ยังไม่ย่อท้อ ยังคงเดินต่อไป เดินไปอีกช่วงระยะหนึ่ง เท้าของแต่ละคนล้วนเกิดตุ่มน้ำพุพองขึ้นมา  ส่วนเท้าของท่านนั้น ก็มีแผลเลือดไหลซึมออกมาด้วย แต่ท่านก็ไม่ได้บ่นว่าเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด กล่าวเพียงว่า..”กาลเวลาคับขัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา พวกเราต้องรีบเร่ง หากไปสายจะเป็นการไม่สะดวกต่อผู้อื่น” ทุกครั้งท่านจะต้องเตรียมหมั่นโถวไปเอง อย่างดีจะใส่ถั่วลิสง  หรือผักดองหน่อย จะไม่ยอมไปรับประทานอาหารในบ้านของผู้อื่น เพราะไม่ต้องการไปรบกวนผู้อื่น
          3.4 ปีหมินกั๋วที่ 56 (ค.ศ. 1967) ที่เมืองซินจู๋ผูติ่ง ได้มีคุณนายกัวท่านหนึ่งรับธรรมแล้วโปรดคนเก่งมาก ท่านมักจะไปส่งเสริม เพื่อหวังให้คุณนายท่านโปรดคนมากกว่านี้ ด้วยเหตุนี้คุณนายท่านจึงได้หลบหนีมาตลอด คุณกัวซึ่งเป็นสามีก็ทนไม่ได้  จึงได้ย้ายไปอยู่ที่จงลิ
          ท่านได้สอบถามเพื่อนบ้านจนทราบที่อยู่คร่าวๆ แล้วนั่งรถไฟเดินทางไปจนถึงจงลิ ตลอดทางได้ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นำทาง  เดินไปพลางถามไปพลาง โชคดีสุดท้ายก็หาจนพบ
          คุณกัวทนไม่ได้อีก จึงได้ย้ายบ้านไปอยู่ที่ไถเป่ย ประจวบเหมาะกับท่านที่ได้ย้ายไปอยู่ที่ไถเป่ย อาศัยอยู่อย่างถาวร เมื่อได้ทราบว่าคุณนายกัวย้ายมาอยู่ที่ไถเป่ยแล้ว จึงได้ขอร้องให้คุณนายกัวออกไปโปรดคนอีกครั้ง ซึ่งก็โปรดคนมาไม่น้อยเลย
          แต่ว่าคุณกัวผู้เป็นสามีก็ทนไม่ได้อีก จึงได้ย้ายไปอยู่ที่จงหลุน ใจของท่านก็คิดแต่ว่าอยากจะหาคุณนายกัวให้พบอีกครั้ง ในระหว่างทางได้พบกับญาติธรรม จึงได้รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน และสามารถหาจนพบอีกครั้ง
          คุณนายกัวตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ท่านจึงได้ขอร้องอีกครั้งว่า ในเมื่อท่านมีความสามรถในการโปรดคน ก็ควรที่จะใช้ความสามารถนี้ให้เกิดประโยชน์ ครั้งนี้ก็ได้โปรดคนมาอีกมากมาย
          ไม่นานคุณกัวผู้เป็นสามีก็ทนไม่ได้อีก ก็กล่าวด้วยความโมหันต์ว่า..”โปรดคนก็ใช่ว่าจะหาเงินได้” จึงได้ย้ายบ้านอีกครั้งไปอยู่ข้างสนามบินซงซัน
          แม้กระทั่งบิดาของคุณกัวก็ไม่พอใจว่า ทำไมเอาแต่ย้ายบ้านเช่นนี้ ครั้งนี้จึงไม่ย้ายบ้านอีก
          ซึ่งท่านก็ออกเดินหาอีกครั้ง โชคดีได้มีญาติธรรมคอยนำทาง ทุกครั้งที่ไปจะต้องผ่านถนนขรุขระ นับว่าเป็นเรื่องลำบากยิ่ง ครั้งที่สี่ ที่ท่านหาจนพบ คุณนายกัวตกตะลึง ยอมสยบต่อความมุมานะดังปาฏิหาริย์ของท่าน
          เมื่อได้ท่านเตือนด้วยความยากลำบาก จึงได้โปรดคนมามากมายอีกครั้ง ในนั้นก็มีคุณนายหวังท่านหนึ่ง ได้สร้างพุทธสถาน ซึ่งทั้งเล็กและร้อน ซ้ำหลังคายังรั่วอีก แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ได้ส่งเสริมอาจารย์โจวและอาจารย์หลู ออกบุกเบิกอาณาจักรธรรมไปยังที่ไถเป่ย และเป่ยโถว
          3.5 มีคุณพานคนหนึ่ง เป็นเพื่อนของบุตรชายท่าน มีความคิดอยากจะรับท่านมาเป็นแม่บุญธรรม ซึ่งท่านเองก็อยากที่จะโปรดเขา แต่ว่าโปรดยังไงก็ไม่ได้ผล จวบจนกระทั่งถึงวันอำลาในพิธีศพของท่าน ที่ได้ลาจากโลกนี้ไป ได้มีมวลชนมากมายมาส่งแสดงความอาลัยให้แก่ท่านในวันงาน จึงได้เข้าใจความยิ่งใหญ่ของท่าน และยอมมารับวิถีธรรม
          ในวันที่ประชุมธรรมมหาชาติ ขณะที่ขึ้นแท่นบรรยายกล่าวความรู้สึกว่า..”ข้าเป็นคนที่พลาดโอกาสกับพระโพธิสัตว์คนหนึ่ง ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พยายามที่จะฉุดช่วยข้าตลอดมา ข้าไม่ยอมที่จะรับ จวบจนกระทั่งวันที่ท่านกลับคืนเบื้องบน ข้าจึงยอมรับธรรม ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อย 50 ครั้งขึ้นไป ที่ท่านพยายามที่จะฉุดช่วยข้า โดยไม่ยอมละความมานะพยายาม ทุกครั้งที่พบหน้ากันก็ยังต้องการโปรดข้าอยู่เสมอ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10/12/2009, 09:48 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
(4) อาศัยความศรัทธาดลใจ โดยไม่ต้องอาศัยวาจา (ท่านให้ความรักกับทุกๆ คน แทนการตำหนิ)

     4.1   ลูกสาวของอาจารย์ถ่ายทอดธรรมหลี่ ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ อาการสาหัสเป็นอย่างยิ่ง สลบไสลไม่รู้สึกตัว เมื่อท่านทราบข่าวก็รีบๆ คุกเข่าต่อหน้าพระ กราบเป็นพันเป็นหมื่นกราบ จุดธูปตั้งปณิธานขอให้เบื้องบนเมตตา อีกทั้งเชิญสามคุณ อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การชี้แนะ หลังจากนั้นปรากฏว่า เด็กสาวคนนั้นก็ได้ฟื้นขึ้นมา อีกทั้งผ่านการผ่าตัดมาอย่าปลอดภัย ท่านสามารถช่วยชีวิตหนึ่งให้รอดคืนมา

     4.2   มีใจมั่นคง จริงใจ ด้วยความจริงใจของท่านจนดลใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็ได้อาศัยวิธีการนี้มาส่งเสริมสั่งสอนผู้น้อย เคยกล่าวว่า "การบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม เมื่อประสบกับความทุกข์ยาก ในขณะที่จนหนทางนั้น ขอเพียงเรามีความจริงใจอย่างแท้จริง หมั่นกราบวอนขอจากเบื้องบน เพราะพลังของฟ้านั้นยิ่งใหญ่ที่สุด"
     เคยมีสามคุณเนื่องจากยังเยาว์วัยชอบเที่ยวเล่น แต่ท่านก็อาศัยการกราบเพื่อกล่อมเกลา โดยกล่าวว่า "ฉันคุมอะไรพวกเธอไม่ได้ แต่จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุมพวกเธอเอง"
     และก็มีผู้น้อยเกิดความลุ่มหลงชั่วขณะ กลับใจสำนึกบาป ท่านก็กล่าวว่า "กลับมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่เป็นห่วงเธอ เพราะว่าทุกๆวันฉันอยู่ต่อหน้าพระกราบขอให้สอ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ฉันรู้ว่าเธอจะต้องกลับมาแน่ๆ"
     สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับญาณกล่าวว่า "ผู้อาวุโสของพวกเจ้า กราบเพื่อผู้น้อยมากมายจนไม่อาจที่จะนับได้แล้ว..."

Tags: