ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
ปฏิบัติงานธรรมโดยมิเพื่อแผ่ไพศาล
ถ้าปฏิบัติงานธรรมด้วยเป้าหมายเพื่อแผ่ไพศาล เราก็จะใช้วิธีการ จะใช้กลเม็ดมากมาย เพียงเพื่อให้แผ่ไพศาลเป็นใช้ได้ ฉะนั้น จึงมีการดึงคนของคนอื่นมา มีการให้ร้ายทำลายอาณาจักรธรรมของผู้อื่น นินทาว่าร้ายเขา พยายามฉุดพลังมุ่งใจที่เขามีต่ออาณาจักรธรรมให้ต่ำลง เมื่อพลังมุ่งใจต่ออาณาจักรธรรมนี้หมดไปแล้ว ฉันจึงจะมีโอกาสไปดึงคนของเขามาได้ นี่คือทำเพื่อแผ่ไพศาล เพื่อจะได้แผ่ไพศาล ก็จะใช้เล่ห์เพทุบายมากมายหลายวิธี นั่นคือ สั้นชั่วระยะ เพราะเหตุว่า ไม่ว่าเราจะมีผู้น้อยเท่าไร วันข้างหน้าละสังขารเรียกว่า "ทุกอย่างว่างเปล่า" จะต้องหันหน้าเข้าหาตัวเอง เผชิญหน้ากับภาวะรอบตัวของตัวเอง หากในชีวิตนี้เรามีผู้น้อยมากมาย โดยที่จะต้องใช้กลไกความคิดตลอดชีวิต ถ้าอย่างนั้นเราคงไม่ได้ระดับของ "ฉัน" อันเป็น "จริง"
หล่อเลี้ยงสิ่งจริงแท้
ครั้งหนึ่ง ที่ธรรมปราสาทเทียนเอินกง ท่านฉีเฉียนเหยิน จัดนิทรรศการวรรณกรรมพู่กันจีน เนื่องในงานวันแม่ นักวรรณกรรมมีชื่อหลายท่านส่งผลงานมาร่วมแสดง ในจำนวนวรรณกรรมหลากหลายนั้น มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่มีตัวอักษรตัวเล็ก ๆ เพียงสองตัว คือ "เอี้ยงเจิน .........แปลว่า "หล่อเลี้ยงสิ่งจริงแท้"
ท่านฉีเฉียนเหยินสูงส่งงดงาม บำเพ็ญจนกระทั่งธรรมชันษาชรากาล ก็ด้วยปฏิปทาคำว่า "หล่อเลี้ยงสิ่งจริงแท้" นั่นเอง อายุของเรายิ่งมากขึ้น ปฏิบัติบำเพ็ญยิ่งนานวันไป ยิ่งเข้าใจดีว่า อักษรสองตัวนี้ ........ หล่อเลี้ยงสิ่งจริงแท้ ไม่ง่ายเลย ทำไมจึงไม่ง่าย นั่นก็คือ ถ้าเรามุ่งแต่จะแผ่ไพศาล บางครั้งเราก็หันหลังให้อักษรสองตัวนี้ เราจึงจะต้องคิดว่า ที่เราใฝ่ใจนั้นคือ " ชั่วกาลนานหรือสั้นชั่วระยะ" นี่เป็นปัญหาอันหนึ่ง
งามเขื่องเบื้องหน้าคน กับบุญจริงกุศลแท้
ฉะนั้นเราจึงต้องคิดว่า ถ้าสั้นชั่วระยะเราจะเอาอะไร เอา "งามเขื่องเบื้องหน้าคน" งามเขื่องเบื้องหน้าคน กับ ให้ผู้อื่นยอมรับ เป็นความต้องการที่คนมากมายใคร่ได้ใฝ่หา แต่เราผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ที่ใฝ่ใจสิ่งนี้ ทุกคนยอมรับเธอ แต่มิได้หมายความว่าฟ้าเบื้องบนยอมรับเธอ ไม่แน่นะ ! บางคนมีชีวิตอยู่ในโลกดีมาก แต่พอตาย ทุกคนคาดว่า เขาควรจะบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ผลสุดท้ายก็ถูกขังอยู่ที่ลหุโทษเบื้องบน นี่เป็นเรื่องที่น่าจะเตือนตนไว้ ฉะนั้น สิ่งที่สั้นชั่วระยะก็คือ แสดงตนงามเขื่องเบื้องหน้าคน แสดงตนให้เป็นที่ยอมรับ แต่ถ้าชั่วกาลนานคือ บุญจริงกูศลแท้ จิตภาวะดีงามรู้ตื่น ก็คือ ตนเองมีจิตใจที่รู้ตื่น ไม่ใช่ใช้การทำเอา เช่น เอาละ ฉันจะทำความดี กับ ฉันสามารถทำความดีได้ ฉันช่วยเธอได้ ..... ทุกอย่างที่ทำล้วนมีฉัน ฉันเก่ง เธอทำได้ไม่ดี ฉันช่วยเหลือเธอได้ ฉันสร้างบุญคุณไว้แก่เธอ ฉันจะสอนเธอ ทุกอย่างที่เริ่มจากความเป็น "ฉัน" ไม่ใช่การแสดงออกของจิตภาวะอันดีงาม แต่เป็นดำริของสัญญาความจำ นั่นก็คือ "ใจคน" ใจคนทำความดีได้ ทำความชั่วก็ได้ ไม่ใช่จิตภาวะเดิมแท้อันงดงาม
จบไปสิ้น มีอะไรไม่สิ้น
จิตภาวะอันดีงามของจิตเดิมแท้จะไม่ทำความชั่วอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่มีภาวะของบาป - บุญ จิตภาวะดีงามทำอย่างนี้ก็คือทำอย่างนี้ ทำแล้วก็วางลง (มิได้ยึดหมาย ทำเหมือนไม่ได้ทำ) มีคนไปที่ศาลบูชาพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่เมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน จีนแผ่นดินใหญ่ เขาจดจำกลอนธรรมะบนหน้าประตูศาลมา น่าสนใจ.....
"เห็นแล้วทำ ทำแล้ววาง จบสิ้นไป มีอะไรไม่สิ้น.....................
เราบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้ เห็นแล้วทำ ทำแล้ววาง ช่วยเหลือได้ เราก็ช่วย ช่วยเสร็จแล้วก็วางลง ไม่ติดค้างอะไรเลย นี่คือจิตภาวะดีงามรู้ตื่น นี่เรียกว่า บุญจริงกุศลแท้ เมื่อก่อน ท่านฉีเฉียนเหยินพูดเสมอว่า "ผู้บำเพ็ญแม้ไม่รักษาหลักการเดิม ผู้ปฏิบัติงานธรรมแม้ไม่รักษาหลักการเดิม แม้แต่จะเทียบกับคนในสังคม เราก็อาจจะสู้เขาไม่ได้ เพราะไม่รักษา "หลักการเดิม" จะทำตามความต้องการไม่เลือก เรียกว่าใช้ความ "เป็นที่สุด" ทุกอย่าง เพื่อความต้องการ" ฉะนั้น ท่านฉีเฉียนเหยิน จึงกล่าวอยู่เสมอว่า "ธรรมะเป็นส่วนรวมของฟ้าเบื้องบน ไม่ใช่ธรรมะส่วนตัวของใคร ถ้าไม่มีจิตใจเป็นส่วนรวม ไม่มีจิตใจราบเรียบเปิดเผย ทำแต่เรื่องส่วนตัว จะไม่ผิดต่อฟ้าเบื้องบนได้อย่างไร" แต่หากหวังงามเขื่องเบื้องหน้าผู้คน แต่ตำแหน่งหรือสถานภาพที่อยู่ในอาณาจักรธรรมไม่สูงขึ้นสักที ตัวเองก็จะหนักใจว่า "เราทำให้ใคร ๆ เขาดูถูก" "เขาดูถูกเรา เราจะต้องหาทาง....." อันที่จริงคำว่า "เหนื่อยยากลำบากอยู่เบื้องหลัง จะดีเด่นได้เบื้องหน้าผู้คน" นั้น เหนื่อยากลำบากอยู่เบื้องหลัง หมายถึง เป็นการฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปลูกฝังศักยภาพฝีมือการจัดการให้แก่ตน ไม่ใช่เพือปลูกฝังความสามารถอะไร ที่จะทำให้ใคร ๆ ยอมรับ... ไม่เหมือนกันนะ
ที่เขายอมรับนั้นคือรูปแบบข้างนอก คือสิ่งที่คุณแสดงออกมา เมื่อเขายอมรับ คุณก็หาทางเต็มที่ ใช้ความคิดจิตใจที่เป็นกลไก ไปชิงเอาผู้น้อยของเขา อาณาจักรธรรมมีเรื่องราวอย่างนี้ไม่น้อย สมมุติว่า คุณจางคนนี้รู้จักกับคน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นประธานใหญ่เจ้าของโรงงานกิจการค้าสำคัญ รู้จักกันมาสิบปีแล้ว พยายามจะนำพาเขามารับวิถีธรรมก็มาไม่ได้สักที ครั้งหนึ่ง กินข้าวร่วมกันกับญาติธรรมคนหนึ่งแซ่หลี่ ซึ่งเป็นพ่อค้าเหมือนกัน คุณจางแนะนำคุณหลี่ให้รู้จักกับประธานใหญ่ รู้จักกันไม่ทันถึงปี คุณหลี่รีบแอบพาประธานใหญ่คนนี้ไปรับธรรมะ เรียกว่า "ใครลงมือก่อนก็ชนะไป ใช่ไหม" จรรยาธรรมของผุ้บำเพ็ญเมื่อก่อนคือ อย่างน้อยจะต้องมาบอกกล่าวกันเสียก่อนว่า "คุณจางครับ ประธานใหญ่รับปากว่าจะมารับวิถีธรรมพรุ่งนี้ สถานธรรมของผมจะจัดพิธีถ่ายทอดวิถีธรรม..." แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี พอขอนามบัตรแล้ว จัดการตัดหน้าไปเลย มี I.D. การ์ดแล้ว กำหนดตัวเตี่ยนฉวนซือ อิ๋นเป่าซือเรียบร้อยไปเลย อย่างนี้ก็จะแก้ไขไม่ได้ อย่างนี้เป็นเรื่องยุ่งยาก เรียกว่าแย่งชิงผู้น้อย และนี่ก็เป็นการกระทำที่ใฝ่ใจอยู่กับ "สั้นชั่วระยะ มิใช่ใฝ่ใจชั่วกาลนาน"