collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ทานเจเพื่ออะไร  (อ่าน 8139 ครั้ง)

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
ทานเจเพื่ออะไร
« เมื่อ: 5/09/2008, 19:58 »

ทานเจเพื่ออะไร
จุดประสงค์หลักของผู้ที่ทานเจ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ :-

 กินเพื่อสุขภาพ
อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อรับประทานติดต่อกันช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ผู้ทานเจจะต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ

 กินด้วยจิตเมตตา
เนื่องจากอาหารที่เราทานอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรม และมีจิตสำนึกอันดีงาม เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ย่อมไม่อาจทานเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้น ซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจ และที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา

 กินเพื่อเว้นกรรม
ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่า เพื่อเอาเลือดเนื้อของผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรมเกี่ยวกับการฆ่าโดยตรง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่า เพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย (" หยุดกิน... คือหยุดฆ่า") กรรมที่สร้างนี้ จักติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกาย อายุขัยของเราสั้นลง เป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ จากเวรกรรมซึ่งรักษาได้ยากและเรื้อรังด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ชีวิตบั้นปลายจะไม่มีความสุข เพราะมีแต่โรคภัยไข้เจ็บ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเก้าท์ และอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
เมื่อผู้มีความรู้เรื่องกฏแห่งกรรมหยั่งรู้ถึงเหตุนี้แล้วจึงหยุดกินหยุดฆ่า หันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโด้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้นๆ แค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น ความแตกต่างอยู่ที่ ทานอาหารเจไม่มีหนี้สินเวรกรรม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 6/09/2008, 21:14 โดย cs »

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 5/09/2008, 20:01 »


คุณประโยชน์จากการรับประทานอาหารเจ

1 ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกหมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืช ผักสดผลไม้ ช่วยทำให้การขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ

2 เมื่อทานอาหารเจเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมช้าลง ทำให้อายุยืนผิวพรรณผ่องใส นัยตาแจ่มใส ไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรง รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด สุขภาพดี

3 อวัยวะหลักภายใน และอวัยวะประกอบทั้ง 5 แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง
(อวัยวะหลักภายในทั้ง 5 ได้แก่ หัวใจ,ไต,ม้าม,ตับ,ปอด อวัยวะประกอบทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ, กระเพาะอาหาร, ถุงน้ำดี)

4 ร่างกายต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดา
สารพิษที่ต่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้แก่ :-
- จำพวกสารเคมี, ยากำจัดศัตรูพืช, ยาฆ่าแมลง, สาร DDT ฯลฯ
- ก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล ฯลฯ
- สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ เช่น กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในสงคราม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 3/10/2008, 12:21 โดย cs »

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 5/09/2008, 20:03 »
การรับประทานอาหารเจให้ผลทางจิตใจดังนี้

1 จิตใจสงบ เยือกเย็นสุขุม บังเกิดเมตตาจิตอย่างเต็มเปี่ยม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่โกรธง่ายเป็นพื้นฐานเบื้องต้นแก่การบำเพ็ญบารมีธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป

2 หยุดหนี้เวร ตัดกรรมผูกพัน ไม่มีศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งร้ายพยาบาท อาฆาต ติดตามจองเวร

3 มีสติมั่นคง ทั้งในขณะยังมีชีวิตและยามที่จิตวิญญาณจะละทิ้งออกจากร่างไป ไม่หวั่นไหวตื่นตระหนก หวาดผวา ตกใจกลัวง่ายต่อเหตุการณ์ต่างๆ สามารถรอดพ้นจากเภทภัยทั้งหลาย ได้แก่ ภัยจากธรรมชาติ, ภัยจากสัตว์ร้าย, ภัยจากเคราะห์กรรม

4 ตนเอง ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนถึงบริวาร บังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้ได้เกิดอยู่ในอารยประเทศอันอุดมสมบูรณ์ ชีวิตไม่ต้องตกอยู่ในท่ามกลางการรบราฆ่าฟัน ไม่ประสบเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยม ทารุณ ฆ่าฟัน ประหัตประหาร ล้างผลาญ ย่ำยีกันและกัน

5 บรรดาเหล่าเทพพรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงต่างสรรเสริญยินดี อวยพรให้การอารักขาคุ้มครองตลอดเวลา ไม่มีช่องทางให้วิญญาณต่ำทุกประเภทเข้าแอบแฝงแทรกสิงทำอันตรายใดๆ


ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 5/09/2008, 20:07 »
คำบอกเล่า จากนักข่าว

   ก้าวแรกที่เดินเข้าสู่อาคารหลังนั้น  ความรู้สึกแรกเห็น  ก็คิดว่า  มันกว้างขวางดี ผมเข้าไปทางประตูหน้า  ตรงกลางเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่  ทางด้านซ้ายมือหลายห้องเป็นที่ฆ่าหมู  ทางด้านขวาไว้ฆ่าแพะ  ทางขวามือเยื้องไปหน่อย  คือที่ฆ่าวัว  ตอนกลางวันจะฆ่าวัว  ตอนกลางคืนก็ฆ่าควาย  แล้วหมูหละ ?  ก็เหมือนกัน  ฆ่าตอนกลางคืน  ตอนที่ผมเพิ่งมาถึง  พอดีมีรถบรรทุกขนหมูส่งเข้ามา  เสียงร้องครวญในขณะที่มันกำลังโดนฉุดกระชากลากเข้าเล้า  ฟังแล้วบาดเข้าไปถึงใจ...  พอดีวันนั้นอากาศก็ครึ้มๆ ยิ่งเพิ่มความหดหู่ใจให้กับผมเป็นยิ่งนัก

   ผมมองไปทางด้านขวามือ  บนพื้นเต็มไปด้วยหัวแพะนองเลือด  และเครื่องในที่เพิ่งชำแหละออกมา  กลิ่นคาวเลือดที่โชยมา  ทำให้แทบอยากอ๊วก  ผมเดินวนไปมาใกล้ๆ กับบ่อน้ำ  ยืนทื่ออยู่ซักพักหนึ่ง  สุดท้ายก็ดึงความกล้าหาญออกมา  เดินไปทางโถงฆ่าแพะ  ก็พอดีเห็นเลือดแพะที่วางเป็นถังๆ ที่ยังมีกลิ่นไออุ่นโชยมา  ศพไร้หัวของแพะแต่ละตัว  วางกองอยู่บนเลือดที่นองพื้น  ยังมีแพะไร้หัวอีกหลายตัว  ที่ถูกแขวนแล้วถูกแร่หนัง  แขวนอยู่บนราวเหล็ก

   เดินผ่านเส้นทางเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยหัวแพะและเครื่องใน  ผมเดินไปทางโถงฆ่าวัว  ภายในนั้นมีคนฆ่าวัวอยู่ 20-30 คน  แต่ละคนมีมีดยาวเป็นฟุตอยู่ในมือกันทั้งนั้น  ขาทั้งคู่ยืนอยู่บนสายเลือดที่นองเต็มพื้น  มีบางคนกำลังแร่หนังวัวอยู่  บางคนกำลังกรีดหน้าอกวัว  บ้างก็ชำแหละเครื่องใน  หรือไม่ก็ใช้เลื่อยกำลังเลื่อยซี่โครงวัวอยู่  บางคนกำลังเงื้องขวานที่อยู่ในมือ  หวังจะฟันคอวัวให้ขาด !  ผมมองเข้าไปด้านใน  เห็นยังมีวัวอีกสามตัว  ที่มีน้ำตานองหน้า  ยังไม่ถูกเชือด  ยืนทื่อๆ อยู่กับที่  มองดูพวกพ้องตัวเองที่กองอยู่บนเลือด  และหนึ่งในนั้น ... ขาของมันสั่นไม่หยุด ... เหมือนกับหมดแรงแม้แต่จะพยุงตัวให้ยืน   ความรู้สึกและอารมณ์อันแสนสลดใจและหมองมัวนั้น ... ตั้งแต่เกิดมา  ผมก็เพิ่งเคยได้เห็น ...

   หลังจากนั้นไม่นาน  ก็มีอีกคนนึงเดินเข้ามา  ลากวัวตัวหนึ่งให้ไปยืนตรงกลางลานกว้าง  มือเชือดสองสามคนจับหัววัวให้เชิดขึ้น  อีกคนนึงถือค้อนยืนอยู่ข้างหลัง  แล้วฟาดลงไปเต็มแรง ... “โป้ง !!” ดังกังวาล ... วัวตัวนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันที  อีกคนนึงก็ถือมีดด้ามยาวเดินเข้ามา  จ้วงเข้าไปทางคอหอย  ดันลึกเข้าไปถึงหัวใจ  ใช้แรงหมุนด้ามมีดให้หมุนวนอยู่สองสามรอบแล้วดึงออกมา  เลือดแดงๆ ก็กระฉูดออกมาทันที   มือเชือดก็รีบเอาถังมารองเลือดวัวที่ไหลออกมาไม่หยุด  เวลานี้  ขาทั้งสี่ข้างของวัวตัวนั้น  ก็ยังชักกระตุกไม่หยุด  ตาทั้งสองเหลือกโพลน  ปากยังคงส่งเสียงครวญไม่หยุด ... ผมดูมาถึงตรงนี้  แทบจะน้ำตาร่วง  แม้แต่จะหายใจก็ยังรู้สึกลำบาก

   มือเชือดอีกคนหนึ่งไม่รีรอที่จะเฉือนหน้าอกวัว  ทั้งลำไส้  ทั้งกระเพาะ ... ต่างก็ทะลักออกมากองอยู่กับพื้น  เลื่อยไร้วิญญาณ ยังคงเชือดเฉือนร่างที่ยังคงชักกระตุกอยู่อย่างไร้เยื่อใย  เริ่มจากเครื่องใน  ต่อมาก็หัว  แล้วก็ขา ... ร่างของมันโดนหั่นท่อนต่อหน้าต่อตาผม  เวลานี้  ก็มีวัวอีกตัวหนึ่ง  ที่โดนลากเข้ามาด้วยน้ำตานองหน้า ... ผมไม่สามารถระงับอารมณ์ภายในใจได้อีกต่อไปแล้ว วิ่งผลุนผลันออกไปจากที่นั่น  แม้หางตาก็ไม่เหลียวมามองอีกเลย ...

   เรื่องนี้มันก็ผ่านไปนานแล้ว  แต่ภาพที่เต็มไปด้วยความเหิว้ยมโหดนั้น  ยังคงติดตาผมมาตลอด  ผมคิดอยู่เสมอว่า  วัฒนธรรมของมนุษย์นั้น  ก่อรากจากอะไร  ทำไมพวกเราถึงมีการกระทำที่แสนอำมหิต  ไร้ความกรุณา  กับเพื่อนร่วมโลกที่ไร้แรงขัดขืน  ได้ถึงขนาดนั้น  มนุษย์ที่ยกย่องตนเองว่าประเสริฐ ควรจะภูมิใจ .. หรือ ละอายใจ?


จากหนังสือ : ความหมายที่แท้จริงของการกินเจ  持齋的真義
"หากท่านยังมีซักเศษเสี้ยวของจิตเมตตากรุณา .. ก็โปรดหยุดที่จะหาข้ออ้างในการกินเนื้อสัตว์ .. ให้ตัวเอง"


จะกินเนื้อวัว จำเป็นต้องอำมหิตขนาดนั้นหรือ?

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 5/09/2008, 20:10 โดย cs »

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 5/09/2008, 20:10 »
ทั่วทั้งโลก  มีคนจำนวนไม่น้อย  ที่กินเนื้อวัว  แต่คงไม่มีที่ใด  ที่จะใช้วิธีเหิว้ยมโหดมากระทำต่อวัวได้เท่ากับไต้หวัน  การกระทำนั้นๆ รวมด้วย :

1.   ใช้ห่วงเหล็กหนาๆ คล้องไว้ที่จมูกวัว – เพื่อที่จะสะดวกต่อการฉุดลาก  และการกรอกน้ำใส่ปาก  เมื่อรถบรรทุกวัวมาถึง  ก็จะใช้ห่วงเหล็กนั้นคล้องจมูก  แล้วฉุดดึงไม่เพียงแค่เพิ่มความตื่นตระหนกหวาดกลัว  ยังเพิ่มความเจ็บปวดด้วยแผลที่จมูก  มีทั้งเลือดไหล  มีทั้งน้ำหนอง

2.   เทวัวเหมือนเทผัก บังคับให้วัวกระโดดลงจากรถ – อุปกรณ์ในการขนส่งขึ้นลงจากรถบรรทุกนั้น  ไม่เหมาะสมต่อการเคลื่อนตัวของสัตว์เลยซักนิด  แต่ใช้อุปกรณ์และวิธีเทข้าวของจากรถ  มาเทวัวแต่ละตัวบนรถ  บวกกับสถานที่ที่ๆ ไม่มีที่ทางจะขนส่งวัวอย่างถูกมาตรฐาน  เมื่อเวลาที่จะถ่ายเทวัวจากรถ  มักจะไม่สนใจความตื่นตระหนกหวาดกลัวของวัวที่อาจจะมีต่อทางลาด  คนงานนั้นเพียงแค่ใช้ทุกวิธี (ผลัก ดึง ฉุด ตี) ที่จะบังคับให้วัวลงจากกระบะหลังรถที่สูงพอๆ กับครึ่งตัวคน  บางที่ยังใจดำถึงขนาดไม่ยอมลงแรง  ใช้วิธีผูกเชือกวัวไว้กับตอไม้  แล้วขับรถออกไป  ปล่อยให้วัวที่อยู่บนรถเหล่านั้นตกลงจากรถเอง  ทำให้ขาหัก .. ก่อนที่จะถูกประหาร  ก็ถูกทารุณก่อนเสียแล้ว

3.   เชือกที่ผูกสั้นเกินไป  ทำให้วัวไม่สามารถย่อตัวลงนอนพักผ่อน  ได้แต่ยืนเป็นเวลาหลาววันติดกัน – วัวต่างๆ เมื่อถูกขนส่งมายังโรงฆ่า  โดยส่วนมากจะไม่ได้ถูกฆ่าในวันนั้นเลย  จะต้องปล่อยทิ้งไว้หลายวัน  แต่เนื่องจากไม่มีสถานที่มาตรฐาน  วัวถูกเจาะจมูก  ผูกเชือก  แล้วจำต้องยืนเบียดเสียดกันตัวต่อตัวทับๆ กันไป  โดนผูกไว้บนราว  ไม่สามารถวางตัวลงนอนได้  เชือกที่ใช้นั้นสั้นมาก (10-20cm)  วัวแต่ละตัวก็ต้องเชิดหัวขึ้นตลอดเวลา  บางตัวก็คอยจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเชือกผูกจมูก  ทำให้เลือดไหลไม่หยุด  บางตัวก็ได้แต่รอการตายที่จะมาเยือน  อย่างสิ้นหวัง

4.   ไม่ได้กินอะไรเป็นเวลา 3-4 วัน – คนฆ่าวัวขังวัวไว้เป็นเวลาหลายวัน  ไม่ให้อาหาร  หรือแม้แต่น้ำ  ก็ไม่ให้กิน  แม้แต่นมวัว  ที่ไม่สามารถให้นมได้แล้ว  เนื้อหนังก็ยังมีราคา

5.   ไม่ได้ให้น้ำกินธรรมดา  แต่ใช้วิธีกรอกปาก – เวลาปกติไม่ให้อาหารหรือน้ำกิน  แต่อีกทางนึง  ภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงเวลาเชือด  คนฆ่าวัวจะใช้ท่อเหล็ก  ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2cm ยาว 240cm  ยัดเข้าใส่ปากวัว  ทะลุยาวไปถึงกระเพาะ .. ทุกๆ ครั้งในการกรอกน้ำ  ก็จะใช้เวลานานประมาณ 10-15 นาที  วันละ 3-4 ครั้ง เนื่องจากว่าการย่อยอาหารของวัวนั้นช้ามาก  เมื่อวัวถูกกรอกน้ำ  ก็จะอาเจียนออกมา  จากเดิมที่ตื่นตระหนก  หรือป่วยอยู่แล้ว  ถึงกับโดนกรอกจนตายคาที่ก็มี  แต่สำหรับคนฆ่าวัวนั้น  เรื่องอย่างนี้กลับดูเหมือนไม่มีอะไร  ยังคงกรอกปากต่อไป  แล้วค่อยจัดการเชือดในยามกลางคืน

6.   ใช้ขวานฟันคอคร่าชีวิ บางตัวยังต้องถูกทุบหัวด้วยค้อน 5-6 ครั้ง – อันที่จริง  การเชือดฆ่าสัตว์ทั้งหลาย  ควรที่จะใช้วิธีที่เร็วที่สุด  ที่จะทำให้สัตว์นั้นๆ สิ้นสติ  แล้วค่อยเชือดลำคอปล่อยเลือด  แต่โรงฆ่าวัวบางที่  กลับใช้ค้อนทุบหัววัว  ให้ล้มลง  แล้วค่อยเชือดคอปล่อยเลือด  สำหรับคนที่มีประสบการณ์มากพอ  ก็อาจจะทุบเพียงครั้งเดียวก็ทำให้วัวหมดสติไปได้  แต่เนื่องจากว่าแรงคนไม่เท่ากัน  หรืออาจจะเป็นมือเชือดนายใหม่  หรืออาจจะเป็นเพราะวัวตื่นตระหนกแล้วส่ายตัวไปมา  ส่วนมากไม่สามารถทำให้สิ้นสติได้ด้วยการทุบหัวเพียงครั้งเดียว  บางครั้งต้องทุบ 5-6 ครั้ง  จึงจะฆ่าวัวตัวนั้นได้  ในขณะที่วัวกำลังถูกทุบหัวครั้งต่อครั้ง  ก็ยังคงดิ้นรนยืนหยัด  ไม่ยอมที่จะล้มลงไปสู่หนทางแห่งความตายง่ายๆ

7.   ถูกเชือดคอปล่อยเลือดทั้งเป็นๆ – ถ้าหากเป็นผู้มีประสบการณ์  ก็สามารถทำให้วัวสิ้นสติได้ด้วยการทุบหัวเพียงครั้งเดียว  แต่อันที่จริงแล้ว  ถึงแม้ว่าวัวจะถูกทุบหัวล้มลง  ก็ใช่ว่าจะหมดสติไปจนหมด  ยังคงมีความรู้สึก (ดูได้จากเปลือกตา และการหายใจอย่างมีจังหวะ)  ในเวลานี้มือเชือดก็จะใช้มีดแทงเข้าไปที่คอหอย  ความเจ็บปวดที่วัวได้รับ  คงจะไม่ต้องบอกกัน

8.   มองดูเพื่อนพ้องถูกฆ่า – เมื่อมือเชือดตีวัวสิ้นสติ  แทงคอหอยปล่อยเลือด  แล้วชำแหละกันบนพื้น ณ ที่ๆ นั้นเลย  นอกจากจะไม่อนามัยแล้ว  ยังทำให้วัวที่ยังคงถูกผูกไว้ข้างๆ ได้เห็นชัดๆ เต็มตาทุกกระบวนการ  เมื่อถึงคิวของตน  ก็จะพยายามดิ้นรนหลีกหนี

   นอกเหนือจากนี้แล้ว  เนื้อวัวทั้งหลาย  ที่ถูกวางขายตามตลาด  เรามิอาจรู้ได้เลย  ว่าจะเป็นวัวที่ป่วยตาย  มีเชื้อโรคหรือไม่  เพราะพ่อค้าจะไม่แยแสกับปัญหาเหล่านี้

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 5/09/2008, 20:12 »
   {#0140}  ทุกชีวิตบนโลกนี้  ก็มีชีวิตจิตญาณ  ไม่ใช่แค่วัวหรือแพะ ที่จะรู้จักเจ็บปวด  อย่างเช่นการฆ่าปลา  ถึงแม้จะควักตับไตไส้พุงมันออกมาแล้ว  จับมันโยนลงน้ำ  มันก็ยังคงว่ายไปว่ายมา  ถึงแม้จะตัดหัวมันขาดออกจากลำตัว  แล้วหั่นเป็นท่อนๆ  มันก็ยังคงกระตุกอยู่อย่างนั้น  เวลาที่ปรุงปลาไหลอยู่นั้น  เมื่อจับมันโยนลงในหม้อน้ำเดือดๆ  เสียงที่มันพยายามดิ้นรน  เสียงฝาหม้อที่เปิดๆ ปิดๆ ด้วยแรงดิ้น  ช่างเป็นเสียงที่น่าเวทนายิ่งนัก  เวลาที่นึ่งปู  จัดการจับขามันผูกไว้แล้วจับนึ่ง  มันอยากตาย ก็ตายไม่ได้  มันอยากหนี ก็หนีไม่พ้น  ได้แต่พยายามดิ้นรนอยู่ภายในกระทะอย่างหวาดผวา  ที่สุดของความเจ็บปวด  ที่สุดของความอาคาต  มันเป็นเช่นนี้เอง

   ลองดูคนทั่วไปที่ใช้มีดสับคีบปูเป็นสองท่อนทั้งเป็นๆ  คีบนั้นก็ยังคงคีบมีดเล่มนั้นไว้แน่นไม่ปล่อย  ความอาคาตแค้นพยาบาทมีให้เห็นชัดเจนยิ่ง  บางคนเห็นการฆ่ากบ  ถึงแม้ว่าหัวมันจะโดนสับออกมาแล้ว  ร่างของมันยังคงตะเกียกตะกาย  ขาของมันยังคงขวนขวายไปหาส่วนที่ๆ ควรจะมีหัวอยู่ !  แต่พยายามเท่าไร  ก็ไม่มีอะไรให้จับต้องแล้ว  เมื่อกบถูกถลกหนัง  ทั้งตัวของมันก็ยังคงขยับอยู่  อีกทั้งรูปร่างนั้นเหมือนคนยิ่งนัก  แล้วจะใจดำกินได้ลงได้อย่างไร  บางคนชอบกินกุ้งเต้น  เมื่อเขาแกะเปลือกกุ้งออกทั้งเป็นๆ  แล้วจับใส่ปากขบเคี้ยว  กล้ามเนื้อของมันก็ยังคงกระตุกอยู่

   คงเคยได้ยินอาหารจานหนึ่ง  ที่มีชื่อว่า ปลาสองแผ่นดิน  วิธีปรุงก็คือ  พ่อครัวจะใช้ผ้าซับน้ำ  ห่อหัวปลาเอาไว้  แล้วนำปลาตัวนั้นไปทอดแค่ช่วงลำตัวในน้ำมันร้อนๆ   แล้วราดด้วยน้ำปรุงรสที่หางปลา  เสร็จสรรพจึงยกขึ้นโต๊ะ  เมื่อพนักงานทำการแกะผ้าผืนนั้นออก  ก็จะเห็นปากปลาที่ยังพะงาบๆ ตาปลาที่ยังเกลือกกลิ้ง  บรรดาพ่อค้าต่างก็ใช้วิธีนี้  ให้ผู้รับประทานได้เห็นว่า  ปลาเป็นๆ สดๆ  คนเหล่านั้น  ต่างก็แย่งกันคีบ  แย่งกันกิน  แต่ไม่เคยรู้เลยว่า  ความอาคาตพยาบาทที่หนักที่สุด  อยู่ที่นี่เอง

   ยังมีเมนูอีกจานนึง  ใช้ลูกหนูที่เพิ่งคลอดได้ไม่นาน  เมื่อจับมันขึ้นมา  มันก็จะร้อง “จี๊ดดด” หนึ่งเสียง เมื่อราดตัวมันด้วยเครื่องปรุงรส  มันก็จะร้องอีกเสียง  เมื่อจับมันใส่ปากขบเคี้ยว  มันก็จะร้องอีกเสียง  ด้วยน้ำเสียงแห่งความเจ็บปวด  เมื่อมันไหลผ่านหลอดอาหาร  ลงไปถึงกระเพาะอาหาร  มันก็ยังคงดิ้นไปดิ้นมา  คนที่กินก็ยังคงหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มไปกับรสชาติของ “อาหารสวรรค์บนดิน”  ชีวิตน้อยๆ นี้ก็ตายอย่างไร้ค่า

   อาหารเลื่องชื่ออีกอย่างนึงคือ  เป็ดย่าง  เป็ดเหล่านั้นจะถูกขังอยู่ในกรง  ด้านล่างจะจุดไฟเอาไว้  เป็ดเหล่านั้นยืนอยู่ในกรงที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ  ก็จะวิ่งวุ่นไปรอบๆ กรง  เมื่อวิ่งไปวิ่งมา  ก็เริ่มร้อน  เริ่มกระหายน้ำ  มันก็จะไปดื่มกินน้ำปรุงรสที่เทอยู่รอบด้าน  ยิ่งกินก็ยิ่งกระหาย  ยิ่งกระหายก็ยิ่งกิน  ก็กินจนกระทั่งทั่วทั้งตัวมันเต็มไปด้วยน้ำปรุงรส  สุดท้ายก็ถูกทรมานจนตาย  ส่วนบรรดาลูกค้า  เขาก็สนใจกันเพียงว่า  เป็ดย่างจานนั้นอร่อยหรือไม่  แต่จะไม่สนใจว่ามันปรุงมาด้วยวิธีใด

   การกินสมองลิงเป็นๆ ที่ได้ยินกันมา  คือการจับลิงที่ยังกระโดดโลดเต้นอยู่  มัดไว้ใต้โต๊ะที่สั่งทำเป็นพิเศษ  ให้หัวมันโผล่ขึ้นมาตรงรูกลางโต๊ะ  บรรดานักกินก็จะนั่งคุยกันไปพลางอย่างเริงร่า  รอลิ้มรสชาดอาหารจานเด็ด  หลังจากนั้น  พนักงานก็จะถือเลื่อยและค้อนเดินมา  ด้วยประสบการณ์  ด้วยอารมณ์ทีท่างามสง่า  เลื่อยหัวกระโหลกของลิงตัวนั้นออก  ลิงตัวน้อยที่น่าสงสารก็ได้แต่นั่งตัวสั่นดิ้นรน  แต่นักกินผู้มีราศีทั้งหลายต่างก็ไม่สนใจ  รอจนเวลาที่พนักงานใช้ค้อนเคาะกระโหลกสมองออกมา  สมองสดๆ ก็วางอยู่ให้เห็นตรงหน้า  แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้  บรรดานักกินที่อดใจรอกันแทบไม่ไหว  ก็จะเริ่มใช้อุปกรณ์การกินที่ทำพิเศษ  ต่างตักต่างกิน  ควักสมองลิงออกมาทีละช้อนๆ .. เสียงหัวเราะ  เสียงชมเชยรสชาด  มีมาไม่หยุด  ภายในแฝงไว้ซึ่งเสียงแห่งความทรมานของลิงตัวนั้น  ทนรับความเจ็บปวดที่อำมหิตที่สุด  ลูกตาเหลือกโพลน  ทั้งตัวดิ้นรน  แม้แต่โต๊ะยังขยับเขยื้อน  คดีอาจชญากรรมที่โหดร้ายที่สุด  ก็เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารนี่เอง ...
ฟังมาถึงตรงนี้  ทุกท่านคงจะคิดเช่นเดียวกันว่า  คนเหล่านั้น ช่างโหดร้ายอำมหิตนัก  เขาไม่ควรจะเหิว้ยมโหดกันอย่างนั้น   แต่ลองนึกทบทวนกันซักนิด  การกระทำของคนอื่น  จะต่างไปจากคนเหล่านี้ซักเท่าไรเชียว .. ข้อแตกต่างคงมีแค่ คนเหล่านั้นกินทั้งเป็น  แต่คนกลุ่มอื่นทั่วๆ ไปนั้น  ให้มือเชือดฆ่าให้เสร็จสรรพจากโรงฆ่าสัตว์  ก็เป็นการทรมานไก่เป็ดปลา .. เช่นกัน  คว้านท้องควักไส้  ถลกหนังดึงเส้น  เชือดตับเฉือนปอด  หัวหางต่างกาย  ปล่อยเลือดสูบไข หั่นท่อนห่อกล่อง  เขาเหล่านั้นก็แค่เดินเข้าตลาดอย่างอารมณ์ดี  เลือกดูกล่องที่มันไม่มีคราบเลือด ไม่เหลือลมหายใจ ไม่อาจลุกมาเดินได้  เลือกซื้อเนื้อชั้นเยี่ยมกลบบ้าน  จากนั้นก็จัดการหั่นชิ้นปรุงรส  ทั้งทอดทั้งนึ่ง  สุดท้าย  สัตว์ทั้งหลายที่ผ่านแดนประหารอันโหดร้าย  ละจากคมมีดขอบกระทะ  มาถึงโต๊ะอาหาร  ส่วนเราๆ ท่านๆ บรรดาพ่อแม่พี่น้องแก่เยาว์  ที่ไร้สมองนึกคิด  ต่างก็ชื่นชมอาหารมื้อนี้  ที่พระเจ้าประทานมาให้  ชีวิตน้อยๆ เหล่านั้  ที่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเราเลย  ก็ต้องมาตายไปอย่างไร้ค่า  เป็นอาหารให้คนกิน  ถูกฝังอยู่ในกระเพาะของคน  แค้นอย่างไร ก็ยากจะเรียกร้อง  การกระทำอย่างนี้ จะต่างจากการกลืนถลกหนังทั้งเป็นตรงไหน?  สิ่งที่ต่างกัน  ก็เพียงแค่ .. ลงมือทำเอง  หรือ จ้างเขาทำ ..

   เคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งในสมัยก่อน  ว่า  ครั้งหนึ่ง เขากำลังต้มปลาไหล  เมื่อต้มเสร็จ เขาเปิดฝาหม้อ  ก็ต้องตกใจ  เมื่อเห็นว่าปลาไหลตัวนั้น  ทั้งหัวและหาง ก็โดนต้มสุกแล้ว  แต่ส่วนลำตัวนั้น คดงอออกมานอกหม้อ  ท่าทีการตายที่น่าพิสวง  เขาถึงคว้านท้องมันออกมาดู  จึงได้พบว่า  ทั้งท้องของมันเต็มไปด้วย ไข่ปลา  ที่แท้ปลาไหลตัวนั้นต้องการปกป้องลูกๆ ของมัน  ยอมให้หัวและหางโดนต้ม  ก็ไม่ยอมให้ลูกๆ เป็นอะไรไป

   พวกเราต่างก็รู้ว่า  การเอาขอไปเกี่ยวปลานั้น โหดร้าย  การถอนเขาของวัวกระทิง งาของช้างพลาย  ให้มันค่อยๆ ตายไปเองนั้น  เป็นการกระทำที่โหดร้าย   และก็รู้ว่า  การกินเนื้อสัตว์ป่า ก็เป็นการกระทำที่ไม่ควร  แต่ทำไมพวกเราไม่นึกกันบ้าง ว่า  การกินเนื้อไก่เป็ดปลาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ  ก็เป็นการกระทำอันไรมโนธรรมเช่นกัน  องค์การอนุรักษ์สัตว์ป่าทั่วโลก  ต่างก็รู้ว่าควรปกป้องอนุรักษ์ปลาวาฬ ปลาโลมา  และสัตว์ใกล้สูญพันธ์ทุกชนิด  อีกทั้งจัดทำการสื่อข่าวต่างๆ  ใช้ประโยคที่ดุเดือดที่สุด  มาต่อว่าการกระทำทารุณสัตว์ทั้งหลาย  แต่สิ่งที่เข้าใจยากก็คือ  เมื่อเขาเหล่านั้นเดินเข้าร้านอาหาร  ทั้งโต๊ะก็ยังคงวางเต็มไปด้วยปลาเป็ดไก่  เมื่อเขาใช้มีดใช้ส้อมในมือ  เฉือนเนื้อที่วางอยู่ในจานบนโต๊ะ  ใช้สองมือฉีกเนื้อปีกไก่ หรือน่องเป็ด มากิน  ทำไมถึงไม่รู้สึกว่า การกระทำอย่างนี้ก็เหี้ยมโหด?
 
ขอขอบคุณ คัดลอกจาก : http://gotoknow.org/blog/vegetarian/91282

ออฟไลน์ LittleCat

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 6/09/2008, 18:29 »

คุ้นๆ จังเนาะ
เหอะๆ

http://www.naktum.com/webboard/index.php?topic=10.0

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 6/09/2008, 21:11 »
เอิ๊กกกกกก ท่านเหมียวผู้รอบรู้..... {#0133}

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 9/09/2008, 17:44 »
มีเพื่อนๆ หลายคน เคยถามไว้ว่าทำไมไม่กินผักฉุน 5 อย่าง
วันนี้เลยมีคำตอบมาให้ ลองอ่านดูนะคับ

อาหารเจ เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์
รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบอื่นใดที่ทำมาจากสัตว์ทุกประเภท
ที่สำคัญอาหารเจจะงดเว้นการปรุงด้วยผักฉุน 5 ประเภท นั่นคือ
กระเทียม
หัวหอม
หลักเกียว
กุยช่าย
ใบยาสูบ
เพราะผักเหล่านี้ เป็นผักที่มีรสหนัก
กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ อีกทั้งยังมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย
เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญ ภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ
ซึ่งผู้ที่กินเจมีความเชื่อว่า

กระเทียม รวมไปถึง หัวกระ เทียม ต้นกระเทียม
จะไปทำลายการทำงานของหัวใจและกระทบกระเทือน ต่อธาตุไฟในกาย
ถึงแม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่สามารถละลายไขมันใน เส้นเลือด (คอเลสเตอรอล) ได้
แต่กระเทียมก็มีความระคายเคืองสูง
ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอาหารเป็นแผลและโรคตับจึงไม่ควรรับประทานมาก

สำหรับ หัวหอม รวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว
หอมหัวใหญ่ ตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์โบราณของจีนถือว่า
หัวหอมจะไปทำลายการ ทำงานของไต และกระทบกระเทือนต่อ ธาตุน้ำในกาย
ถึงแม้ว่าหอมแดงจะช่วยขับพยาธิ ขับลม แก้ท้องอืดแน่น ปวดประจำเดือน
และอาการบวมน้ำได้ แต่การบริโภคเป็นประจำ หรือมากเกินไป
จะทำให้เกิดอาการหลงลืมง่าย ประสาทเสีย มีกลิ่นตัว ฟันเสีย เลือดน้อย
และนัยน์ตาฝ้ามัว

มาที่ หลักเกียว คือ กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม
แต่มีขนาดเล็กและยาวกว่า ในประเทศ ไทยไม่พบว่ามีการปลูกแพร่หลาย
ซึ่งหลักเกียวจะไปทำลายการ ทำงานของม้าม กระเทือน ธาตุดิน ใน กาย

ส่วน กุยช่าย ทำลายการทำงานของตับ และกระทบกระเทือนต่อ
ธาตุไม้ ในกาย

สุดท้าย ใบยาสูบ ซึ่งหมาย ถึง บุหรี่ ยาเส้น นั้น เป็นของเสพติดมึนเมา
โดยใบยาสูบจะไปทำลายการทำงานของปอด และกระทบกระ เทือนต่อ
ธาตุโลหะ ในกาย

นอกจากผักต้องห้ามทั้ง 5 แล้ว สำหรับผักอื่น ๆ รวมทั้งถั่วและผักผลไม้
จะต้องกินในแต่ละวันให้ครบ 5 สี ตามสีของธาตุทั้ง 5 คือ

สีแดง สัญลักษณ์ธาตุไฟ ให้คุณต่อหัวใจ ได้จาก ถั่วแดง มะเขือเทศ พริกสุก แครอท
มะละกอ ส้ม แตงโม นอกจากนี้ธัญพืชประเภทข้าวโอ๊ต ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนเกิน
เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรค หัวใจ
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสขม
เพราะจะเป็นอันตรายต่อระบบการไหลเวียนโลหิตได้

สีดำ สัญลักษณ์ธาตุน้ำ ให้คุณต่อไต ได้จากถั่วดำ เผือก มะเขือม่วง
เห็ดหูหนู ลูกหว้า องุ่น ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่อง
ไต ก็คืออาหารรสเค็ม


สีเหลือง สัญลักษณ์ธาตุดิน ให้คุณต่อม้าม ได้จากถั่วเหลือง ฟัก ทอง ข้าวโพด
พริกเหลือง มะม่วง กล้วย ทุเรียน ให้คุณประโยชน์ในการบำรุงม้ามอย่างมาก
แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน

สีขาว สัญลักษณ์ธาตุโลหะ ให้คุณต่อปอด ได้จากถั่วขาว ลูกเดือย ผักกาดขาว
กะหล่ำดอก มะพร้าว น้อยหน่า รับประทานแล้วให้คุณค่าต่อปอด
และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเผ็ด

สีเขียว สัญลักษณ์ธาตุไม้ ให้คุณต่อตับ ได้จากถั่วเขียว คะน้า ถั่วฝักยาว
ผักบุ้ง ฝรั่ง ชมพู่ มะเฟือง การรับประทานผักสีเขียวมาก ๆ
มีประโยชน์ในการบำรุงตับ
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว

บางวันอาจเปลี่ยนมาทานสาหร่ายทะเล
มีทั้งสดและแห้งพร้อมกับใช้เกลือทะเลปรุงรสได้
รวมทั้งอาหารมีส่วนผสมของงาขาวและงาดำ ก็ได้
ผู้ที่กินเจควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง อาทิ ผักดอง ผลไม้ดอง
เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหาร สดที่ปรุงใหม่ ๆ
จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า
 
สำหรับเครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สด ๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม
น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม
เพราะน้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง
ควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์
เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สด ๆ แล้ว
ควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประจำ ทุกวันด้วย อีกอย่างน้ำผลไม้สด
จะได้พลังชีวิตดีกว่า ทิ้งไว้ข้ามคืน
 
การกินเจนั้น ควรทานอาหารให้ครบทั้ง 5 สี ตามธาตุทั้ง 5
โดยสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละวันไม่ควรเลือกทานอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพราะจะทำให้ไม่ได้คุณค่าอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่สำคัญ คือ
การเลือกทานผักผลไม้ในช่วงเทศกาลเจนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพงหรือหายาก
ควรเลือกทานผัก ผลไม้ ที่มีตามฤดูกาล
 
“กินเจ” ไม่ใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์
แต่คนกินเจจะต้องดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันด ีงาม
มีความบริสุทธิ์สะอาดงดงามทั้งกาย วาจา และ ใจ ถือศีลบำเพ็ญธรรมไปพร้อม ๆ
กันด้วย จึงเรียกว่า “กินเจที่แท้จริง”
 
ที่มา : http://www.kapook.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16/09/2008, 11:50 โดย cs »

ออฟไลน์ CSC บริการมิตรธรรม

  • มิตรนักธรรม
Re: ทานเจเพื่ออะไร
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 20/09/2008, 12:15 »
เอามาเสริมครับ
นิยามมังสวิรัติ


คำว่า "มังสวิรัติ" มาจากคำว่า "มังสะ" แปลว่าเนื้อสัตว์ "วิรัติ" แปลว่า การงดเว้น มังสวิรัติจึงแปลว่า การงดเว้นเนื้อสัตว์ ซึ่งหมายถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า เวเจเทเรียนนิซึม (Vegetatianism) มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินคือ เวเจตัส (Vegetus) แปลว่า สมบูรณ์ดีพร้อม สดชื่น เบิกบาน หรือมีความหมายว่า ผู้ซึ่งละเว้นจากการนำสัตว์ทุกชนิดมาเป็นอาหาร ทั้งนี้อาจรวมหรือไม่รวมถึงไข่และผลิตภัณฑ์จากนม

 
  มังสวิรัตินั้น มีผู้ถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านาน และกลายเป็นแนวปฏิบัติ ทางศาสนาสำหรับหลายศาสนา ในตะวันออกกลางมาเป็นเวลาหลายพันปี แล้วเช่น ศาสนาเชน ศาสนาฮินดู ศาสนาโซโรแอสเตอร์ ศาสนาพุทธ และศาสนาอื่นๆ

 
มังสวิรัติ อาจแบ่งได้เป็น 8 ประเภท คือ
มังสวิรัติแบบแมคโครไบโอติก (Macrobiotig) งดเว้นผลิตภัณฑ์จาก สัตว์ และยึดถือหลักหยิน-หยาง
มังสวิรัตินม-ไข่ (Lacto Ovo Vegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่กินนม ผลิตภัณฑ์จากนม และกินไข่ 
มังสวิรัติไข่ (Ovo Vegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่กินไข่
มังสวิรัตินม (Lacto Vegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่กินนม และผลิตภัณฑ์จากนม
มังวิรัติแบบเจ (J-Chinese Vegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมทั้งพืชที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด ได้แก่ หอม กระเทียม คึ่นฉ่าย ใบยาสูบ และหลักเกียว (กระเทียมโทนจีน)
มังสวิรัติบริสุทธิ์ (Pure Vegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากสัตว์
มังสวิรัติพืชสด (Raw Food Eater) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ และกินพืช ผัก ผลไม้ที่สดดิบ ไม่ผ่านขบวนการหุงต้มใดๆ
มังสวิรัติผลไม้ (Fruitarian) กินแต่ผลไม้และถั่ว
 


ขอบคุณท่านประมุขแห่งฉงเต๋อเด้อคับ  :)

Tags: