collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: กินอยู่อย่างแข็งแรงด้วยแพทย์แผนจีน  (อ่าน 3939 ครั้ง)

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
Credit : cheewajit.com
นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 297


     เช่นเดียวกับในสายตาคนเอเชียด้วยกัน รวมถึงบ้านเราเอง ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมการกินอยู่แบบจีนแทรกซึมอยู่เกือบทุกหัวระแหง ยิ่งได้สัมผัสศาสตร์การดูแลตัวเองที่สั่งสมและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมานานนับพันปีแบบจีนด้วยตัวเองแล้ว ยิ่งได้เห็นความมหัศจรรย์
เพราะไม่ว่าหลักการใหญ่ๆ ในเรื่องสุขภาพ ตลอดจนรายละเอียดที่เป็นสิ่งละอันพันละน้อยล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สัมพันธ์กับปรัชญาการดำเนินชีวิตให้สมดุลในแบบของชาวตะวันออกอย่างเราๆ ทั้งสิ้น

เรื่องกินเรื่องใหญ่...จุดเริ่มต้นความแข็งแรง
     • การกินตามหยินหยาง
เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพตามศาสตร์จีน สิ่งแรกที่ทุกคนมักคิดถึงคือหลักของความสมดุลที่เรียกว่า หยินหยาง
     แพทย์หญิงศรันยา กตัญญูวงศ์ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ด้านฝังเข็มและยาสมุนไพรจีนจากชีวจิตโฮม อธิบายการกินของคนจีนตามหลักหยินหยางอย่างละเอียดว่า

“คนจีนเน้นเรื่องความสมดุลหยินหยาง กล่าวคือ ปกติคนเราต้องมีหยินและหยางเท่ากัน หากอย่างใดอย่างหนึ่งมากหรือน้อยไปจะเกิดโรค ในการกินอาหารจึงต้องสังเกตว่าสภาพร่างกายของตัวเองร้อนหรือเย็น เช่น ถ้าตัวร้อนจะกินของเย็นคืออาหารที่เป็นหยิน แต่ถ้าร่างกายเย็นให้กินของร้อนคืออาหารที่เป็นหยางเพื่อปรับสมดุล

     แพทย์หญิงสุลัคนา น้อยประเสริฐ แพทย์เฉพาะทางฝังเข็ม โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย อธิบายเสริมเกี่ยวกับอาการที่พบบ่อยเมื่อหยินหยางไม่สมดุลว่า

     หยินพร่อง หรือหยินน้อย คือสารที่เป็นน้ำในร่างกายน้อย ซึ่งทำให้มีอาการคล้ายคนขาดน้ำ คือ ร้อนใน ปากแห้ง คอแห้ง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ขี้หงุดหงิด ผิวแห้งเหี่ยว ฝ่ามือและฝ่าเท้าร้อน อาการคล้ายคนวัยทอง
     การกินเยียวยาอาการหยินพร่อง แนะนำให้กินผักและผลไม้ที่มีน้ำเยอะ เช่น สาลี่ แครอท หัวไช้เท้า กินผักมากๆ งดของเผ็ด เพราะรสเผ็ดทำให้มีการขับน้ำออกจากร่างกายมากขึ้น ทำให้ภายในร่างกายแห้ง
     หยางพร่อง เกิดจากความอบอุ่นหรือไฟในร่างกายน้อยลง ข้างในจึงเย็น มีอาการฝ่ามือฝ่าเท้าเย็น หนาวง่าย ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หน้าตาซีดเซียว ควรงดผลไม้ โดยเฉพาะในมื้อเย็น เนื่องจากเวลากลางคืนหยางจะลดลงตามธรรมชาติ หากกินของเย็นในช่วงเย็นจึงเป็นการเข้าไปดึงหยางให้ลดลงไปอีก
     การกินเยียวยาอาการหยางพร่อง แนะนำให้กินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน ซึ่งเป็นอาหารที่ให้พลังงานประเภทเนื้อสัตว์ รังนก ซุปต่างๆ แต่ถ้ากินแล้วรู้สึกร้อนให้หยุดกิน และถ้าจะกินผลไม้ ให้กินในช่วงมื้อกลางวันมากกว่า
     หยางเกิน เกิดจากหยางพุ่งขึ้นข้างบน ทำให้เลือดพุ่งขึ้นข้างบน ทำให้มีอาการหน้าแดง ตาแดง โมโหง่าย ความดันโลหิตสูง
     การกินเยียวยาอาการหยางเกิน ควรงดแอลกอฮอล์ กาแฟ รวมทั้งยาบำรุงบางชนิดที่ให้ความร้อน เพราะจะทำให้ยิ่งทำให้เลือดสูบฉีด และควรกินอาหารที่เป็นหยินซึ่งมีฤทธิ์เย็นเพิ่มขึ้น

     คุณสุรีย์ (สงวนนามสกุล) หรือคุณใหญ่ หญิงไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ววัย 60 ปี เป็นคนหนึ่งที่สุขภาพดีจากการกินอาหารตามหลักหยินหยาง วันนี้เธอจึงยังดูอ่อนกว่าวัย รูปร่างดี และแข็งแรงกระฉับกระเฉง แถมทุกวันนี้เธอยังทำงานวันละ 9-10 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 6 วัน อย่างขันแข็ง

     คุณใหญ่เล่าเคล็ดลับเกี่ยวกับการกินอาหารแบบหยินหยาง ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากอาม่าอากงว่า

“เมื่ออากาศเย็น จะกินโสมที่มีฤทธิ์ร้อน แต่ต้องนำมาตุ๋นผสมกับรังนกซึ่งมีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารที่ได้มีฤทธิ์ไม่ร้อนจัด หรือกินโสมตุ๋นกับปักคี้ เพราะคนจีนเชื่อว่าปักคี้เป็นตัวปรับสมดุลอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่ร้อนเกินไป”

ในทางกลับกัน เมื่อร่างกายมีความร้อน หรือที่คนไทยเรียกว่า อาการร้อนใน คุณใหญ่จะกินอาหารฤทธิ์เย็น

“เมื่อร่างกายร้อน คนจีนมักให้กินอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เช่น เห็ดหูหนูขาวตุ๋นน้ำตาลกรวด น้ำหล่อฮั่งก้วย หรือรังนกตุ๋นน้ำตาลกรวด อาจจิบชาเขียวด้วยก็ได้ เพราะชาเขียวมีฤทธิ์เย็น แต่ไม่เย็นจัด จะช่วยให้ร่างกายเย็นลง และกลับสู่สมดุลที่ดี”


นอนตามฮวงจุ้ยชาร์จพลัง
     วัฒนธรรมการนอนเพื่อสุขภาพของชาวจีนสัมพันธ์อยู่กับทิศทางตามศาสตร์ฮวงจุ้ย
     คุณหมอศรันยา อธิบายเรื่องการนอนตามศาสตร์จีนว่า

“คนจีนนอนตามทิศตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ซึ่งให้คุณทั้งเรื่องความเจริญรุ่งเรืองและการเสริมสร้างสุขภาพ ส่วนใหญ่มักหันศีรษะไปทางทิศเหนือ หรือทิศใต้ เพราะสัมพันธ์กับแรงแม่เหล็กโลก

“เนื่องจากในตัวคนเรามีสนามแม่เหล็กในลักษณะเป็นวงรีเช่นกัน ดังนั้น เพื่อให้สนามแม่เหล็กโลก และแม่เหล็กในตัวเราไม่ต้านแรงกัน จึงให้หันศีรษะไปทางทิศเหนือ ไม่ควรหันศีรษะไปในแนวขวางตามทิศตะวันออก-ตะวันตก เพราะแรงแม่เหล็กจะดูดกัน ส่งผลให้เสียพลังในร่างกาย

“สำหรับช่วงเวลาการนอนที่ดีต่อสุขภาพ คนจีนมักตื่นและนอนตามไก่ คือ เข้านอนแต่หัวค่ำ ประมาณ 3 ทุ่ม และตื่นเมื่อไก่ขัน ประมาณตี 4-5 หรือเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เพราะการนอนตั้งแต่ 3-4 ทุ่ม เป็นช่วงเวลาที่สารเมลาโทนินหลั่ง ช่วยให้หลับลึกจนโกร๊ธฮอร์โมนหลั่ง ตื่นเช้ามาจึงรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

“นอกจากนี้ คนจีนยังไม่นิยมให้ห้องนอนอยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งหลักการดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นทิศที่ได้รับแสงแดดช่วงบ่ายเป็นระยะเวลานาน ทำให้ห้องมีอุณหภูมิสูงจากการสะสมพลังงานความร้อน จึงรู้สึกไม่สบายตัว นอนหลับไม่สนิท และทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียได้”

     จะเห็นได้ว่าศาสตร์การดูแลสุขภาพของชาวจีนสะท้อนให้เห็นแนวทางการดูแลสุขภาพของชาวตะวันออกที่ให้ความสำคัญกับการกินอยู่หลับนอน และการดำเนินไปตามครรลองของธรรมชาติ นั่นเพราะธรรมชาติเป็นทั้งผู้สร้างและผู้พิทักษ์รักษา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/02/2011, 21:46 โดย ติ๊กน้อย »

Tags: